20 กรกฎาคม 2547 14:34 น.
ถังแดง
...มันชั่งเสียแย่จริงๆ...ที่ใครๆเขาว่าคนเราเมื่อคราวเคราะห์เข้าแล้ว เรื่องเลวร้ายต่างๆมักชอบมาทับถมเราอยู่เรื่อยไป หรือจะเป็นพายุแห่งชีวิตซึ่งแม้แต่ที่จะเกาะยึดยังว่างเปล่า แม้ช่วงเดียวที่มันเกิดขึ้นแต่มันก็ได้โบกธงแห่งชัยชนะอยู่เหนือจิตใจของผม "มันเกิดขึ้นได้อย่างไร" นี่คือคำถามที่เป่าใส่หูผมอย่างแรง ผมไม่มีวันรู้สาเหตุเลยว่าต้นตอแห่งเรื่องเลวร้ายทั้งปวงมันเริ่มเคลื่อนไหวรวมพลกลายเป็นกองทัพอันเกียงไกรทั้งแต่เมื่อใด ขุนพลน้อยๆอย่างผมจะต่อต้านสงครามสิบทิศได้เยี่ยงไร มันมีทางเดียวที่ผมทำได้ คือ แสดงอาการพ่ายแพ้อย่างหมดรูปและเสริมหยดน้ำตาของอ้ายขี้แพ้คนนี้ให้มันดู มันช่างทุเรศนัยน์ตาอะไรเช่นนี้ ....ร้องขอซิ...ร้องขอด้วยความเวทนาให้สิ่งเลวร้ายทั้งหลายนั้นชื่นชม...เผื่อมันจะจากไป!... แต่ตอนนั้นเอง เสี้ยววินาทีเดียว ปรากฏอัศวินขี่ม้าขาวควบม้าฝ่ากองทัพใหญ่มาแต่เพียงผู้เดียวแล้วมาหยุดต่อหน้าผม สงครามที่สิ้นหวังอย่างนี้คงเป็นไปได้ยากที่จะชนะแต่... แสงสว่างจากเขาแม้จะเล็กน้อยแต่ช่างอบอุ่น ใบหน้าเธอค่อยๆ ผ่านออกมาจากความมืดมิด อัศวินผู้นั้นยื่นมือมาหาผม...เสื้อลายลูกม้ายเก่าๆกับผ้าถุงสีเทาที่ติดรอยน้ำยางพารา เผยชัดถึงคนคุ้นเคย...... " แม่ " .....แม...แฮะๆๆๆๆๆ..แฮๆ
ปล.วันแม่ใกล้ถึงแล้วขอให้ทุกท่านรักแม่เยอะๆ ตอนนี้ ขณะนี้แหละไม่ตเองรอ เวลาตักบาตรหรอก!
กระทรวงการคลัง...พฤษาคม 2547
16 กรกฎาคม 2547 13:48 น.
ถังแดง
//"กระรี่-พับ "
....รถเมล์กระป๋อง(รถเมล์เก่าๆ)สายนี้ข้าพเจ้านั่งประจำ ไม่ใช่เพราะชอบนั่งแต่เป็นสายเดียวที่พอจะสะดวกในการไปทำงานของข้าพเจ้า ริมข้างทางยังภาพเดิมๆให้เห็น ผู้คนมากหมายเดินขวักไขว่สายตาเร่งรีบ ดูเหมือนความสุขจะไม่เห็นบนใบหน้าของพวกเขาเหล่านั้นเลย ข้าพเจ้ามิได้หยั่งรู้ใจคนแต่เพราะโคนคิ้วที่วิ่งเข้ากระจุกตัวกัน พร้อมอารมณ์ที่ถ่ายทอดออกมานั้น เรารู้กันได้ด้วยสัญชาตญานมนุษย์ว่าเขาเป็นทุกข์ วันนั้นข้าพเจ้านั่งอยู่เบาะหลังสุดซึ่งเป็นที่ประจำย้ำรอยเดิม บัดนั้นเองสิ่งที่เห็นจนคุ้นตาคุ้นใจก็ปรากฏ "ผ่าง!" กระโปรงดำสั้นฟิตติดเนื้อสะโพก และขาอ่อนอันผ่องเป็นยองใย แถมผ่าข้างให้ง้างขาอันเรียวงามก็เคลื่อนย้ายมาใกล้วิถีสายตาข้าพเจ้า อกอีแป้นจะแตก เสื้อนักศึกษาคับรีดจนหน้าอกทะลักทะล้นถล่มทะลาย สายตาชายหมายปองของตกหล่นจากทรวดทรงองค์เอวเธอ เงาสีดำเป็นสองเส้นรวบจากทรวงอกพาดผ่านสองไหล่เซ็กซี่ได้ถ้วย ข้าพเจ้าขบคิดอยู่นานว่าชุดแบบนี้มันเคยเห็นที่ไหน รวมทั้งผมสีทองที่เธอย้อมเป็นฝรั่งขี้นก ไม่นานก็คิดออก ใช่เลย!ถ้าติดเบอร์ที่หน้าอกแทนเข็มสถาบันเข้าหน่อยก็ชัดเลย 'กระรี่-พับ' โคตรอีดอกเธอแจ่มเสียไม่มี เยี่ยมยอดเธอสามารถกระชากความหื่นที่ฝังรากลึกอยู่ในใจอ้ายแผนอย่างเราๆได้อย่างไร้ที่ติ แต่ดูสีหน้าเธอไม่ค่อยพอใจในอ้ายแผนทั้งหลายที่ล่วงล้ำล้วงลึกทางสายตา อันนี้ก็แปลกอีก เธอแต่งตัวอลังการงานสร้างแบบนี้มาเพื่ออะไร เพื่อโชว์หรือเปล่า หรือว่าเพื่อความมั่นใจ แต่พอมีคนมองชื่นชมงานสร้าง เธอกลับไม่พอใจ...หนีบขาทั้งสองเข้าด้วยกัน มือดึงกระโปรงอันจ้อยร่อยลงเพื่อปิดขาอ่อนอันเรืองแสง...อีกดอกแท้ แล้วจะแต่งมาทำห่าเหวอะไรถ้าไม่อยากให้คนชื่นชมเนื้อดิบๆของเธอ ถูกต้องบางครั้งการมองของผู้ชายอาจจะล้วงลึกมากกว่าที่เธอต้องการนำเสนอ แต่ก็ต้องทำใจหากเธอยังมีงานสร้างเช่นนี้ก็ย่อมมีผู้ชมหัวงูเป็นปรกติ เราดูการแต่งตัวของนักศึกษาปัจจุบันแน่นอนว่าหลายคนโดยเฉพาะท่านชายทั้งหลายนิยมชมชอบ แต่นั่นเป็นอัตรายอย่างยิ่งต่อนักศึกษาสาวเหล่านั้น เราดูข่าวข่มขืนซิ มีมากเหลือเกิน มีหลายรูปแบบนับวันยิ่งระยำอัปรีย์ต่ำช้าขึ้นทุกที เพราะอะไร ส่วนหนึ่งคือการแต่งตัวของบรรดาสาวๆทั้งหลายที่บรรจงงานสร้างเรียกความหื่นได้อย่างแจ่มจ้า โดยเฉพาะชุดนักศึกษาที่คาดว่าจะคลายเป็นชุด กระรี่-พับ ไปโดยอัตโนมัติ อาจมีคนค้านว่านี่มันสมัยใหม่แล้วนะ จะไปใส่กระโปรงยาวๆเชยๆอยู่ได้อย่างไร หุๆ...ร่านเสียจริงๆ หากหล่อนไม่ให้เกียจต่อสถาบันหรือมหาลัยแล้วละก็ ลาออกไปเป็นกระรี่-พับ ยังจะดีกว่า อาชีพนั้นคงเหมาะกับอีดอกร่านอย่างเธอแล้วเป็นแน่แท้...
ตอนเช้าสายๆ...รถเมล์สาย 44
13 กรกฎาคม 2547 11:41 น.
ถังแดง
เงาดาว
...แสงแดดยามสายที่จัดจ้าน กับเสียงแจ้วๆเหมือนแม่ค้าในตลาดของเจ้านกกระจอกตัวน้อยๆ ที่กำลังเสวนากันภาษานก คงเป็นเวลาป้อนอาหารเจ้าลูกน้อยที่อยู่ในรังตรงชายหลังคาบ้านของสองแม่ลูก เสียงก๊อกแก๊กผสมเสียงเบียดของกระดานไม้ดังมาจากครัวในบ้านหลังน้อยนี้
"ดาวเอ้ย!...เสร็จรึยัง...สายแล้วนะลูก เดี๋ยวไปเรียนไม่ทันนะ " เสียงหญิงวัยห้าสิบกว่าๆตะโกนจากหลังครัวบ้าน ด้วยน้ำเสียงเคลือๆในคอ มะพร้าวห้าวที่ขูดไว้ในกระละมัง ชั่งขาวโพลนเหมือนหิมะที่อยู่บนยอดเขาทางขั้วโลกเหนือไม่มีผิด เธอเตรียมไว้ทำขนมขายในวันนี้ชิดเป็นหม้ายผัวตายมาสามสิบกว่าปีแล้ว เธออาศัยอยู่กับลูกสาวที่บ้านเล็กๆท้ายซอยในเมือง ด้วยฐานะที่ไม่ค่อยจะดีนัก ดาวผู้เป็นลูกซึ่งเรียนอยู่มัธยมปลาย เธอต้องตื่นแต่เช้าเพื่อช่วยแม่ทำขนมก่อนไปโรงเรียนทุกวัน อันรายได้ที่มีก็พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องสองแม่ลูกเท่านั้น
"เสร็จแล้วจ๊ะแม่!.." เสียงสาวแรกรุ่น วัยพอดอกไม้แย้มบาน หน้าตาจิ้มลิ้มปากนิดฉมูกหน่อย ผิวนวลขาวเหมือนหยวกกล้วยถ้าไม่บอกก็ไม่มีใครเชื่อเป็นแน่ว่าเป็นลูกแม่ค้าขายขนม ทรวดทรงองค์เอวบ่งบอกถึงวัยอันย่างก้าวแห่งความสาวของเธอ
"วันนี้กลับบ้านเร็วหน่อยนะลูกนะ..จะได้ช่วยแม่ขายขนม.. ช่วงนี้ขนมขายไม่ค่อยดีเลย...เพราะพิษเศรษฐกิจมันทำแท้ๆ " แม่ชิดคุยมือพรางทำขนมไป เสริมกับใบหน้าอันไม่ค่อยสบายใจนัก
ดาวเอ้ย! วันนี้ลูกซื้อถุงกระดาบที่ใช้ห่อขนมมาให้แม่ด้วยนะ ของเก่ามันหมดแล้ว
จ๊ะแม่ ..เดี๋ยวหนูซื้อมาให้ รู้สึกว่าแถวร้านหน้าโรงเรียนจะมีขายนะ
" แม่ค่ะ แล้วหนูจะรีบกลับมาช่วยแม่ขายขนมนะ หนูไปล่ะนะแม่ หวัดดีจ๊ะแม่!" ดาวจัดแจงใส่ถุงเท้ารองเท้าเสร็จสรรพ คว้ากระเป๋านักเรียนเดินออกจากบ้านด้วยความเร่งรีบ แม่ชิดมองดูดาวจากด้านหลัง หัวใจเธอเต้นผิดปกติเหมือนจะห่วงลูกมากกว่าทุกวัน เธอเดินออกมาหน้าบ้าน ทอดสายตาจนดาวเดินไปสุดปากซอย
.. . ต้นมะขามใหญ่ยืนสง่าอยู่โดดเดี่ยวกิ่งก้านแผ่กว้างเป็นร่มเงาให้แก่บรรดารถจักยานยนต์รับจ้าง ที่นั่งจับกลุ่มสุมหัวกันมุงดูการดวลหมากรุกของมิตรสหายที่หน้าปากซอย แต่ชายร่างผอมสูงวัยกลางคน ไอ้เดช กับ ไอ้สิงห์ ปลีกตัวมานั่งห่างๆ สายตาของมันทั้งสองคนจับจ้องอยู่กับสาวน้อยแรกรุ่นที่กำลังรี่ออกไปยืนรอรถเมย์ใกล้ๆปากซอย
"โอ้โอ...อีดาวมันยิ่งโตยิ่งสวยจริงๆว่ะ" ไอ้เดชพูดสายตามองดาวที่ยืนรอรถด้วยสีหน้าอันบ่งบอกสันดานชั่วช้ามันได้อย่าชัดเจน
"กูก็ว่างั้นละไอ้เดช ...แต่กูชวนคุยทีไร อีดาวไม่เคยคุยตอบสักครั้งเลย แถมมันยังไม่เคยนั่งมอเตอร์ไซรับจ้างที่นี่เลย บ้านมันก็อยู่ทั่งท้ายซอย มันเดินอยู่หลายปีแล้วนะเนี๊ยะ" ไอ้สิงห์พูดเอียงหน้าไปทางไอ้เดช
"กูว่ามันต้องใช้ไม้เด็ดว่ะ " ไอ้เดชพูดเบาๆพร้อมมือลูบนวดลงริมปาก
"น่าจะดีนะ...เด็กๆแน่นๆอย่างนี้ แถมขาวสวยอีกต่างหาก ถ้างาบสักครั้งจะไม่ลืมประคุณเลยว่ะ.แต่กูไม่ยากติดคุกเหมือนมึง!นี่
มึงไม่ต้องห่วงหรอกไอ้สิงห์ กูจัดการได้
มึงติดคุกสามปี ยังไม่เข็ดอีกหรือว่ะ ไอ้เดช"
"ก็คนมันเงี้ยนนี่หว้าทำไงได้.. นี่ถ้ากูปาดคออีผู้หญิงคนนั้นทิ้งเสียตั่งแต่วันนั้น กูคงไม่ต้องติดคุกข้อหาข่มขืนอยู่หลายปีหรอกโว้ย!" ไอ้เดชพูดกัดฟัน มันเคยมีคดีข่มขืนเมื่อห้าปีที่แล้ว แต่ตอนหลังโดนตำรวจตามจับได้ที่บ้านเกิด เพราะพยานจำหน้ามันได้ดี รวมเบ็ดเสร็จต้องโทษแค่สามปี ตอนนี้มันออกมาจากคุกได้สามเดือนแล้ว แต่สันดานมันยังไม่เปลี่ยนเลย โลกมักหยิบยื่นทั้งสิ่งดีและไม่ดีให้ชีวิตคนเราเสมอ และดาวสาวน้อยร้อยชั่งคนนี้ กำลังจะตกเป็นเป้าหมายไอ้สัตว์นรก ที่มันมีเพียงร่างกายเท่านั้นที่เป็นคน แต่หัวใจหยาบช้าหาที่เปรียบมิได้
แสงตะวันเริ่มอ่อนแรง แม่ชิดกำลังขายขนมอยู่แถวบ้านไม่ไกลไปจากปากซอยเข้าบ้านเท่าไรหนัก ข้างๆเป็นร้านแผงลอยขายกล้วยทอดของแม่สายใจ
"ขนมวันนี้ก็ตามเคย ขายไม่ออกอีกแล้ว..." แม่ชิดบ่นพึมพัม
"เหมือนกันล่ะหว้า แม่ชิดเอ้ย! ฉันก็ขายไม่ค่อยได้เหมือนกัน ขาดทุนมาหลายวันแล้ว.." แม่สายใจพูดเสียงอ่อนถอนหายใจ
"เออ...แล้วดาวลูกแกล่ะแม่ชิด! วันนี้ไม่เห็นเลย...ปกติเย็นๆแบบนี้มันจะมาช่วยขายขนมด้วยไม่ใช่หร่อะ?.."
"อืม...นี่ก็รออยู่เหมือนกัน ไม่รู้ทำไมมาช้าจังวันนี้ ปกติมันไม่เคยเหลวไหลเลยนี่นา แถมโรงเรียนก็ไม่ได้ไกล ผ่านสามป้ายรถเมล์นี่เอง หรือว่าไปหาซื้อของอยู่ก็ไม่รู้ " แม่ชิดพูดชะเงื้อมองไปตามข้างถนนอย่างเป็นห่วง
"..เอ๋ ...แปลกนะวันนี้รถมันติดจังบนถนนสายนี้" แม่สายใจบ่น
"มันก็อย่างนี้แหละ ปกติมันก็ติดอยู่แล้ว ยิ่งเปิดเทอมใหม่ๆ เด็กนักเรียนก็เยอะ รถมันก็เยอะตาม" แม่ชิดตอบ
....ตกค่ำแสงไฟสลัวในซอย ดึงดูดเจ้าแมลงน้อย ให้บินว่อนเข้าหาแสงไฟนวลจันทร์ ไอ้เดช กับ ไอ้สิงห์ นั่งซดสุรากันลำพังสองคน นัยน์ตาของพวกมันเคลิ้มจนได้ที่ ด้วยริษยาโรยหน้าเหล้าก็เป็นอันครบเครื่อง เนื่องจากเริ่มจะดึกแล้ว ผู้คนเริ่มหายความเงียบเข้าครอบงำ ยิ่งหยั่งลึกไปในซอยแสงสว่างยิ่งเลือนหายพ่ายแพ้ต่อราชินีแห่งรัตติกาล คืนนี้เห็นท่าไอ้เดชกับไอ้สิงห์คงมีแผนชั่วเป็นแน่
"ไอ้เดช มึงจะเอาจริงหรอว่ะ!...กูไม่อยากติดคุกนะโว้ย "
"ไอ้ปอดแหก!...มึงจะกลัวอะไรว่ะคุกอ่ะ กูเคยไปอยู่มาแล้ว อีกอย่างเราจัดการมันเสร็จก็ฆ่าทิ้งโพงหญ้าไปเลยไม่มีใครรู้หรอก" ไอ้เดชกระซิเสียงแข็ง
"เอาก็เอาว่ะ มันขาวเสียขนาดนั้นกูจะทนได้ยังไง" ไอ้สิงห์กลืนน้ำลายเฮือก
สักพักก็มีเสียงเดินมาไม่ใช่ใครที่ไหน ดาวสาวน้อยลูกแม่ชิดนั่นเอง เธอเดินเอากระเป๋าพร้อมถุงกระดาษพับห่อขนมซุกไว้กับอก สายตาสาดต่ำไปมาเหมือนกลัวๆ ไอ้เดชเห็นดาวเดินมาคนเดียวก็ได้โอกาส มันเดินเข้าไปหาดาวทันที ไอ้สิงห์ก็ไม่รอช้าตามไปติดๆ เหมือนเสือเจอเนื้อทราย ไม่วายจะตายเพราะเนื้อมือแห่งนักล่า
"ดาวจ๋า ทำไมวันนี้กลับค่ำจังล่ะจ๊ะ ให้พี่สิงห์กับพี่เดชไปส่งไหม?" ไอ้เดชพูดไม่ทันขาดคำมือมันเร็วนักไปจับแขนของดาวอย่างกำหนัด ดาวสะบัดมือพร้อมพละออกจากไอ้เดชทันที ไอ้สิงห์เข้าข้างหลังและไม่รอช้า โผเข้ากอดดาวไว้แน่ ดาวดิ้นสุดแรงแต่ไม่ทันจะได้อ้าปากร้องขอความช่วยเหลือ กำปั้นไอ้เดช ก็จุกเข้าที่หน้าท้องของเธอเสียแล้ว
เธออ่อนแรงทันที ไอ้สิงห์กับไอ้เดชลากเธอเข้าไปในโพงหญ้าข้างซอยอันแสงไฟไม่อาจสาดส่องถึง ไอ้เดชลงมือถอดชุดนักเรียน ถกกระโปรงบานของสาวน้อยผู้อาภัพออก เหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางใจ เธอหมดแรงต่อสู้ทุกๆทาง ได้แต่นอนน้ำตาไหลพรากอาบทั้งสองหน้าอันอ่อนเยาว์ จะร้องก็ร้องไม่ออกเพราะโดนหมัดไอ้เดชเข้าอย่างจังแถมมีอุ้งมือสัตว์ร้ายปิดปากแน่น
โอ...อีดาวมึงขาวสุดยอดจริงๆ...คืนนี้กูจะเป็นผัวมึง ฮ่าๆ..แล้วอย่าร้องนะมึงไม่งั้นกูปาดคอมึงทิ้งแน่ อีดาว... ไอ้เดชขู่พลางเปลือยกายร่างอันขาวโผลนของดาวจนเกลี้ยง
ไอ้สิงห์กับไอ้เดช ผลัดกันทำระยำอัปรีย์ เหมือนจะย่ำยีดอกไม้ที่เพิ่งผลิบานให้แหลกลงคามือ เที่ยงคืนดึกสงัดไม่มีแม้แต่เงาดาวดวงใจของแม่ชิดโผล่มาให้เห็น เธอชะเง้อมองหาลูกอันเป็นดวงใจหนึ่งเดียวอยู่นาน จนไม่มีวี่แววว่าจะกลับมา เธอเริ่มน้ำตาคลอเบ้า จะไปตามหาก็ไม่รู้จะหาที่ไหน จะไปแจ้งตำรวจก็ดึกมากแล้ว หากลูกกลับมากลัวจะไม่เห็น เธอนั่งรอลูกสาวอยู่หน้าบ้านตั่งแต่ตอนค่ำ มองดูเจ้านกกระจอกในรังก็ยังมีลูกให้เห็น แต่ลูกสาวเธอล่ะยังไม่โผล่มาเลย ด้วยความเหนื่อยหล้าทั้งกายทั้งใจ แม่ชิดเผลอนั่งหลับพิงฝาหน้าบ้านจนถึงเช้า
"แม่ชิดๆ! ตื่นเร็วเข้า!" เสียงแม่สายใจแม่ค้าขายกล้วยทอด วิ่งกะหืดกระหอบมาแต่เช้า แม่ชิดตกใจผวาตื่นทันที เธอแทบลืมไปว่ามาหลับอยู่ตรงนั้นได้อย่างไร
"มีเรื่องอะไรหรอแม่สายใจ? " แม่ชิดถามเสียงสั่น
"คือ...คือ...ตำรวจเขาตามหาบ้านแม่ชิดอยู่ เขาว่าจะมาหาญาติของนางสาว ดาวทิพย์แนะ!" แม่ชิดได้ยินดังนั่นก็สะดุ้งทันที ใจเธอสั่นระรัว ในใจเธอหวังว่าขออย่าเป็นดั่งที่เธอคาดคิดเลย
"แล้วเขาตามหาฉันทำไมหรอ? หรือว่า...ดาวลูกฉัน.." แม่ชิดถามอย่างร้อนใจ
"คืออย่างนี้ แม่ชิดทำใจดีๆนะ ฉันจะเล่าให้ฟัง ตำรวจเขาบอกฉันว่า มีเด็กนักเรียนหญิงโดนรถยนต์ชนเสียชีวิตเมื่อเย็นวานนี้ ที่หน้าร้านขายของ ไม่ไกลจากโรงเรียนสักเท่ารัย ในมือเธอถือถุงกระดาษที่ไว้ห่อขนมมากหมาย ตำรวจตรวจสอบดูปรากฏว่า ชื่อ นางสาวดาวทิพย์ มีใจ มันก็คือ ยายดาวนั่นไงแม่ชิด! " แม่ชิดได้ยินดังนั้นเหมือนโลกหยุดนิ่ง หัวใจเธอแทบสลายเมื่อหัวใจดวงเดียวที่มีอยู่ของเธอ ได้จากเธอไปอย่างไม่มีวันกลับ
โอ...ดาวลูกแม่...อือ...อือ...ๆ เธอร้องไห้เหมือนน้ำตาจะเป็นสายเลือด จนเป็นลมพับไปกับที่
ไม่กี่ชั่วโมงด้านไอ้สิงห์รู้ข่าวเข้า เลยวิ่งรี่คาบไปบอกไอ้เดช ทันที
หา....อีดาวมันตายแล้วหรอไอ้สิงห์ กูกับมึงขื่มขืนมันเฉยๆเสร็จแล้วมันก็นอนอยู่ที่โพงหญ้านี้นี่นา กูไม่ได้ฆ่ามันสักหน่อยนิ!
ออ..ซิว่ะ เขาว่ามันโดนรถชนตายตั่งแต่เย็นวานนี้แล้วโว้ย! แล้วไอ้ที่เราเจอเมื่อคืนมันอีดาวนี่หว่า โดนเข้าแล้วไหมล่ะไอ้เดชเอ้ย! ไอ้สิงห์กับไอ้เดชหน้าซีดเผือด รีบวิ่งไปที่โพงหญ้าที่มันข่มขืนดาวเมื่อคืน แต่แล้วมันไม่มีแม้แต่รอยหมาเดิน ไอ้เดชกับไอ้สิงห์หันมาสบตาพร้อมกัน........
มีนาคม 2547
9 กรกฎาคม 2547 11:45 น.
ถังแดง
...เสียงซอบรรเลงเพลงอันไพเราะที่หวานซึ้งและอ่อนนุ่มชุ่มลึก แว่วมาตามสายลมที่ถูกปัดป้องด้วยผู้คนที่ขวักไขว่ แม้จะกระทบกับเหงื่อไคลแต่ความหวานของซุ่มเสียงซอนั้นไม่เจือจางลงแม้แต่น้อย ...เหตุไฉนเสียงซอจึงซ่อนไว้ซึ่งเสี้ยนแห่งความทุกข์ที่เสียดแทงหัวใจผูคนที่เดินผ่านอยู่เป็นระยะๆ ทุกหยดน้ำเสียงของซอที่ตีเกลียวร้อยรัดมากับสายลมช่างมหัศจรรย์นัก รือผู้เล่นเส้นสายนั้นจะจงใจถ่ายทอดอารมณ์ในข้นบึงหัวใจออกมาด้วยเสียงซอ.. ไม่นานเสียงกระทบของเหรียญที่ร่วงหล่นลงในกระป๋องเก่าๆก็ดังขึ้นเป็นจังหวะ ยิ่งเร่งร้าวเสียงซอให้หนักแน่นขึ้นเหมือนไฟที่ได้ฟืน บทเพลงหวานซึ้งประหนึ่งวิทยาธรณ์บรรเลงใยจึงกลับกล่อมผู้คนอยู่บนทางเท้า อีกทั้งผู้เล่นเส้นสายนั้นเล่า..เขาแค่..วณิพก .
กรกฏาคม...ถนนสายหนึ่งในกทม.
8 กรกฎาคม 2547 15:05 น.
ถังแดง
...ขอออกตัวว่าบทความนี้หนักและแรง เนื่องจากเป็นงานเขียนในสไตล์ตัวเอง เนื่องด้วยไม่ต้องการปรุงแต่งให้เสียรสชาติบาดคอ...
//"ตาชั่งเก่ากับเราแกล้งโง่"
"ผลไม้สดๆหวานๆจากสวนจ้า..." นี่คงเป็นเสียงที่คุ้นหูมากหากคุณเคยเดินเข้าไปในตลาดสดโซนผลไม้ อันนี้ขอเน้นๆแต่โซนผลไม้ เพราะข้าพเจ้ามีความคับแค้นใจเป็นอย่างยิ่งและเจอเป็นประจำกับพฤติกรรมอันคลุมเคลือของแม่ค้าขายผลไม้ วันนั้นข้าพเจ้าเข้าไปในตลาดสด บรรยายกาศตลาดสดแท้ๆ คิดว่าวันนี้จะมาซื้อส้มกินซะหน่อย สายตากวาดแกว่งด้วยแรงแห่งความกระหายที่จะกิน เจอแล้ว!ข้าพเจ้าเดินเข้าไปหน้าร้านขายส้มซึ่งมีแม่ค้าอ้วนๆ แต่ปากไม่มีไขวเหมือนในละครนะ ส้มกองโตโอ้โอ๋เหลืองจ๋อยเลย มองไปที่ป้ายราคา "1 โล 30 2 โล 50 " อะไรหว่า! ข้าพเจ้าคิดในใจว่า "กูจะซื้อกิโลเดียวหรือสองกิโลดี" ก็ดูซิขนาดป้ายราคายังแสดงให้เห็นถึงความฉลาดหรือความร้ายกาจอย่างคมคริบแล้ว เพราะฉนั้นลูกค้าอย่างเราต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็ว "เอากี่โลจ๊ะหนุ่ม 2 โลไปเลยไหม" นั่นกูยังไม่ทันอ้าปากคุณเธอสรุปรวบยอดเลย เป็นหลักจิตวิทยาขั้นพื้นฐานเลยเชียวล่ะ เพราะหากลูกค้าคนไหนไม่มั่นใจในตัวเองเป็นอันเสร็จ และข้าพเจ้าก็เช่นกัน "ครับ" นั่นคือคำเดียวที่ข้าพเจ้าพูดอย่างพะหืดพะอม เพราะปฏิเสธก็ไม่ทันเสียแล้วหล่อนสาระแนเอาส้มใส่ถุงให้ตั้งแต่ข้าพเจ้ายังไม่อ้าปากสุดยอดเลย! และแล้วหล่อนก็เอาส้มขึ้นตาชั่ง เวรเลย!อีดอกหลอกกูรึเปล่าส้มไม่กี่ลูกมันจะถึงสองกิโลได้ไง ประทานโทษตาชั่งเธอดูไม่ออกเลยว่ามันจะมีขีดความสามารถที่จะกระดิกเข็มได้เลย เพราะสนิมจับจนขยับแทบไม่ได้แล้ว และความวิตกของข้าพเจ้าก็เป็นจริง เข็มไม่เลื่อน "สองโลจ๊ะหนุ่ม" แม้ค้าหน้าหมูเอาส้มขึ้นชั่ง หรือ เรียกว่ากระแทกบนตาชั่งหนึ่งที แล้วส่งให้ข้าพเจ้า งงครับเหมือนไก่ตาแตกเลย กูไม่เห็นเข็มมันจะก็ดิกเลยแล้วมันสองกิโลได้เยี่ยงไร ข้าพเจ้าไม่รอช้าตามภาษาคนเกลียดความอยุติธรรม ทักท้วงทันที
"พี่ครับไม่เห็นตาชั่งหมุนเลย...แล้วผมจะรู้ได้ยังไงว่ามันสองโล"
"ออ...มันหมุนอยู่ด้านหลังน้อง...พี่ดูให้แล้วเรียบร้อยจ๊ะ"
อีเวรพูดมาได้! ตาชั่งที่หมุนมันหันไปทางมันแล้วส่วนฝั่งที่เสียหันมาทางกู นี่คือความจงใจอย่างด้านหนาหรือเปล่า แล้วตาชั่งที่ดีๆทำไมมันไม่ใช้หรือจนเกินไปไม่มีปัญญาซื้อ อันนี้ก็ไม่น่าใช่ และแล้วข้าพเจ้าก็แจ้งใจเมื่อหันมองร้านผลไม้อื่น โป๊ะเจ๊ะ!..."ใช่เลยมันโกงกู" ข้าพเจ้าอุทานในใจ ภาพที่เห็นคือไม่ว่าร้านไหนๆก็ใช้ตาชั่งรุ่นคุณปู่ทั้งนั้น ข้าพเจ้านึกออกทันทีว่านี่คือวิธีทางการตลาด เพื่อไม่ให้ลูกค้ารู้น้ำหนักที่แท้จริง ร้ายกาจมากแม่ค้าจบการศึกษาไม่ถึง ป.6 มาหลอกเด็กวิศวกรรมด้วยเทคนิคอันเฉียบขาด ซึ่งหากบวกกับสันดานด้านหนาของหล่อนแล้วคงยากที่จะรับมือ หึๆ..อีกดอกเธอทำได้แสบมากแสแสร้งแกล้งใช้ตาชั่งควายๆ "เอาละเราจะแกล้งโง่สักวัน" วันนั้นข้าพเจ้าเดินรี่ออกมาจากตลาดสดเหมือนหมูที่โดนเชือดนิ่มๆอย่างไร้ทางต่อสู้ สิ่งที่ได้คือส้มสองกิโลที่ฝากความทรงจำว่า "ไอ้โง่!มึงโดนกูหลอกแล้ว" มันก้องอยู่ในหูมันฝังอยู่ในใจ.... โลกทุกวันนี้เราต้องใช้ความด้านเข้าสู้มิฉะนั้นอาจคลายเป็นหมูที่ถูกเชือดไปสองกิโลเช่นข้าพเจ้า....
มิถุนายน...ร้านขายผลไม้ (มีนบุรี)