17 สิงหาคม 2547 14:21 น.

รับจ้างทั่วไป // เรื่องสั้นที่สั้นจริงๆ

ถังแดง

รับจ้างทั่วไป
          ผมหันมองนาฬิกาบนฝาผนังห้อง เข็มวินาทีเลื่อนเป็นจังหวะ แต่ละวินาทีมันหมายถึงชีวิตผมค่อยๆลดน้อยถอยลงเหมือนเทียนไขที่ใกล้หมดไส้  ผมยกหูโทรศัพท์แนบฟัง มันยากที่จะพูดอะไรสักคำ 
	"ลูกเป็นยังไงบ้าง?" ผมถาม
	"ก็...สบายดีค่ะ  เขาถามหาพ่อบ่อยๆ " สุ่มเสียงเคลือในคอผ่านสายโทรศัพท์เข้าหูผม น้ำเสียงหวานเสนาะหูแม้มันจะเคลือๆไปบ้าง เพราะความเสร้าใจที่เก็บกดอยู่ในอารมณ์  ผมมีเวลาแค่ 15 นาทีเท่านั้น มันชั่งน้อยเสียเหลือเกินกับการได้พูดคุยกับสตรีผู้เป็นที่รัก
	"แล้วเธอสบายดีไหม? " ผมถาม
	"ค่ะ...ไม่ต้องห่วง นิดกับลูกดูแลตัวเองได้ "
	"ผมอยู่ที่นี่มา 1 ปี แล้ว  เขาคงโตแล้ว" ผมพูดถึงลูก
	ผมกับนิดอยู่กินด้วยกันมา 7 ปีเต็ม เราอยู่ห้องเช่าเล็กๆในกรุงเทพฯ เธอเป็นสาวโรงงานซึ่งพบรักกับผมที่สถานีรถไฟหัวลำโพง
ผมเจอเธอยืนชะเง้อคอยใครอยู่ที่จุดนัดพบสถานีรถไฟ ตอนนั้นเธอดูดีมาก ใส่เสื้อยืดรัดรูปสีน้ำตาล กางเกงยีนขาดๆแบบวัยรุ่น หน้าตาซื่อๆ แววตาสดใส บ่งบอกว่าเธอเป็นคนต่างจังหวัด ผมนั่งทานข้าวอยู่ร้านข้างๆ มองดูเธออยู่พักใหญ่  ดูท่าเธอจะรอนานมาก ผมเลยแสดงตัวเป็นพระเอกยกใหญ่

	"สวัสดีครับ รอญาติหรือครับ?" ผมเดินเข้าไปทัก  เธอหันควับมองผม สำรวจทั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วแสดงสายตาไม่ไว้วางใจ ก็เป็นธรรมดาใครจะไว้ใจคนแปลกหน้าในกรุงเทพฯได้ละ เธอไม่พูดมือหอบกระเป๋าถอยห่างผมไป สายตาเธอก็ยังสาดส่ายคล้ายจะหาญาติ 
	"เอ่อ...คุณครับผมคิดว่าคุณหน้าจะบอกประชาสมพันธ์ ให้เขาประกาศหาญาติคุณนะครับ"  ผมพูดและชี้ไปที่ ประชาสัมพันธ์  เธอหันมองตามนิ้วผม แล้วหันกลับมามองผมครู่หนึ่ง
	"ออ ...ขอบคุณค่ะ" เธอส่งยิ้มเป็นมิตรให้ผมทันที ว้าวงามแท้ๆ ผมคิดในใจ  ไม่ช้าเธอก็หาญาติเจอ ผมทำความรู้จักกับเธอและญาติเธอพักนึง แล้วก็ส่งเธอขึ้นรถญาติซึ่งเป็นป้าเธอ   
	"ขอบคุณมากนะค่ะ... สำหรับวันนี้" 
	"ไม่เป็นไรครับ ผมยินดีช่วย  แล้ว...." ผมเว้น "ไม่ทราบจะเจอกันอีกได้ไหม?" ผมถามโดยไม่อายเนื่องจากรู้สึกจิตใจมันลุกโพลงอย่างบอกไม่ถูก           "นี่ ค่ะเบอร์โทรบ้านป้าฉัน" เธอส่งกระดาษชิ้นเล็กให้ผมแล้วจากไป   กระดาษชิ้นเล็กแต่เป็นสิ่งที่วิเศษสุดสำหรับผม 
    ตั้งแต่นั้นผมโทรหาเธอประจำทุกวัน เราใกล้ชิดสนิทสนมและดอกรักก็บานเต็มที่  เราย้ายมาอยู่ด้วยกันที่ห้องเช่าเล็กๆแต่ก็สบายใจ และมีความสุขตามภาษาคนเงินน้อย ส่วนป้าของนิดก็ไม่ได้ว่าอะไร 
            นิดทำงานที่โรงผลิตตุ๊กตา ผมทำงานรับจ้าง  ซึ่งเธอก็คอยถามเป็นประจำว่าผมรับจ้างอะไร และผมก็ตอบว่ารับจ้างทั่วไป  จนวันหนึ่งตำรวจมาที่ห้องผม สอบถามนิดต่างๆเกี่ยวกับเรื่องของผมซึ่งตอนนั้นผมไม่อยู่  ดูเธอแตกตื่นและกระวนกระวาย อาจเป็นเพราะเธอตั้งท้องได้ 3 เดือนแล้วก็เป็นได้ ผมรักลูกและนิด แต่อย่างไรเสียทุกอย่างย่อมเป็นอย่างที่มันเป็น  เวลาเริ่มน้อยลงทุกที และมันคงใกล้จะจบลงแล้ว
	"นิด...ผมรักนิดและลูก  เพราะฉะนั้นจงอย่าเสียใจกับชีวิตของผม  แต่จงอยู่เพื่อลูก " น้ำตาเธอไหลอาบนองสองแก้ม ผมอยากจะเช็ดน้ำตาให้เธอแต่ กระจกปานใหญ่กั้นเราสองไว้ เราคุยกันผ่านโทรศัพท์ที่ทางเจ้าหน้าที่เตรียมเอาไว้เท่านั้น  ผมมองตาเธอครั้งสุดท้าย และวางหูโทรศัพท์ เข็มวินาทีเดินลงเวลาครบ 15 นาที
	"หมดเวลาเยี่ยม !" ผู้คุมที่ยืนอยู่ไม่ห่างผมประกาศ   ผมลุกขึ้นจากเก้าขี้  เสียงโซ่ซวนที่พันธนาการข้อเท้าและข้อมือลากกับพื้นดังเป็นจังหวะ ผมหันมองนิดผ่านกระจกใส เธอร่ำไห้อย่างน่าสงสาร  พรุ่งนี้ผมต้องถูกประหารชีวิต ข้อหาฆ่าคนตายโดยไตร่ตรองและเป็น 'มือปืนรับจ้าง' โดยไม่กันไว้เป็นพยาน				
20 กรกฎาคม 2547 14:34 น.

อัศวินม้าขาว...ฮิ้ๆๆๆๆ

ถังแดง

...มันชั่งเสียแย่จริงๆ...ที่ใครๆเขาว่าคนเราเมื่อคราวเคราะห์เข้าแล้ว  เรื่องเลวร้ายต่างๆมักชอบมาทับถมเราอยู่เรื่อยไป หรือจะเป็นพายุแห่งชีวิตซึ่งแม้แต่ที่จะเกาะยึดยังว่างเปล่า  แม้ช่วงเดียวที่มันเกิดขึ้นแต่มันก็ได้โบกธงแห่งชัยชนะอยู่เหนือจิตใจของผม  "มันเกิดขึ้นได้อย่างไร" นี่คือคำถามที่เป่าใส่หูผมอย่างแรง  ผมไม่มีวันรู้สาเหตุเลยว่าต้นตอแห่งเรื่องเลวร้ายทั้งปวงมันเริ่มเคลื่อนไหวรวมพลกลายเป็นกองทัพอันเกียงไกรทั้งแต่เมื่อใด ขุนพลน้อยๆอย่างผมจะต่อต้านสงครามสิบทิศได้เยี่ยงไร มันมีทางเดียวที่ผมทำได้ คือ แสดงอาการพ่ายแพ้อย่างหมดรูปและเสริมหยดน้ำตาของอ้ายขี้แพ้คนนี้ให้มันดู  มันช่างทุเรศนัยน์ตาอะไรเช่นนี้  ....ร้องขอซิ...ร้องขอด้วยความเวทนาให้สิ่งเลวร้ายทั้งหลายนั้นชื่นชม...เผื่อมันจะจากไป!... แต่ตอนนั้นเอง เสี้ยววินาทีเดียว ปรากฏอัศวินขี่ม้าขาวควบม้าฝ่ากองทัพใหญ่มาแต่เพียงผู้เดียวแล้วมาหยุดต่อหน้าผม สงครามที่สิ้นหวังอย่างนี้คงเป็นไปได้ยากที่จะชนะแต่... แสงสว่างจากเขาแม้จะเล็กน้อยแต่ช่างอบอุ่น ใบหน้าเธอค่อยๆ ผ่านออกมาจากความมืดมิด อัศวินผู้นั้นยื่นมือมาหาผม...เสื้อลายลูกม้ายเก่าๆกับผ้าถุงสีเทาที่ติดรอยน้ำยางพารา เผยชัดถึงคนคุ้นเคย...... " แม่ " .....แม...แฮะๆๆๆๆๆ..แฮๆ

ปล.วันแม่ใกล้ถึงแล้วขอให้ทุกท่านรักแม่เยอะๆ ตอนนี้ ขณะนี้แหละไม่ตเองรอ เวลาตักบาตรหรอก!  
     						
					กระทรวงการคลัง...พฤษาคม 2547				
16 กรกฎาคม 2547 13:48 น.

กระรี่-พับ

ถังแดง

//"กระรี่-พับ "
....รถเมล์กระป๋อง(รถเมล์เก่าๆ)สายนี้ข้าพเจ้านั่งประจำ ไม่ใช่เพราะชอบนั่งแต่เป็นสายเดียวที่พอจะสะดวกในการไปทำงานของข้าพเจ้า ริมข้างทางยังภาพเดิมๆให้เห็น  ผู้คนมากหมายเดินขวักไขว่สายตาเร่งรีบ ดูเหมือนความสุขจะไม่เห็นบนใบหน้าของพวกเขาเหล่านั้นเลย  ข้าพเจ้ามิได้หยั่งรู้ใจคนแต่เพราะโคนคิ้วที่วิ่งเข้ากระจุกตัวกัน พร้อมอารมณ์ที่ถ่ายทอดออกมานั้น เรารู้กันได้ด้วยสัญชาตญานมนุษย์ว่าเขาเป็นทุกข์  วันนั้นข้าพเจ้านั่งอยู่เบาะหลังสุดซึ่งเป็นที่ประจำย้ำรอยเดิม บัดนั้นเองสิ่งที่เห็นจนคุ้นตาคุ้นใจก็ปรากฏ "ผ่าง!" กระโปรงดำสั้นฟิตติดเนื้อสะโพก และขาอ่อนอันผ่องเป็นยองใย แถมผ่าข้างให้ง้างขาอันเรียวงามก็เคลื่อนย้ายมาใกล้วิถีสายตาข้าพเจ้า อกอีแป้นจะแตก เสื้อนักศึกษาคับรีดจนหน้าอกทะลักทะล้นถล่มทะลาย สายตาชายหมายปองของตกหล่นจากทรวดทรงองค์เอวเธอ เงาสีดำเป็นสองเส้นรวบจากทรวงอกพาดผ่านสองไหล่เซ็กซี่ได้ถ้วย  ข้าพเจ้าขบคิดอยู่นานว่าชุดแบบนี้มันเคยเห็นที่ไหน รวมทั้งผมสีทองที่เธอย้อมเป็นฝรั่งขี้นก ไม่นานก็คิดออก ใช่เลย!ถ้าติดเบอร์ที่หน้าอกแทนเข็มสถาบันเข้าหน่อยก็ชัดเลย 'กระรี่-พับ' โคตรอีดอกเธอแจ่มเสียไม่มี  เยี่ยมยอดเธอสามารถกระชากความหื่นที่ฝังรากลึกอยู่ในใจอ้ายแผนอย่างเราๆได้อย่างไร้ที่ติ แต่ดูสีหน้าเธอไม่ค่อยพอใจในอ้ายแผนทั้งหลายที่ล่วงล้ำล้วงลึกทางสายตา  อันนี้ก็แปลกอีก เธอแต่งตัวอลังการงานสร้างแบบนี้มาเพื่ออะไร เพื่อโชว์หรือเปล่า หรือว่าเพื่อความมั่นใจ แต่พอมีคนมองชื่นชมงานสร้าง เธอกลับไม่พอใจ...หนีบขาทั้งสองเข้าด้วยกัน มือดึงกระโปรงอันจ้อยร่อยลงเพื่อปิดขาอ่อนอันเรืองแสง...อีกดอกแท้ แล้วจะแต่งมาทำห่าเหวอะไรถ้าไม่อยากให้คนชื่นชมเนื้อดิบๆของเธอ  ถูกต้องบางครั้งการมองของผู้ชายอาจจะล้วงลึกมากกว่าที่เธอต้องการนำเสนอ แต่ก็ต้องทำใจหากเธอยังมีงานสร้างเช่นนี้ก็ย่อมมีผู้ชมหัวงูเป็นปรกติ เราดูการแต่งตัวของนักศึกษาปัจจุบันแน่นอนว่าหลายคนโดยเฉพาะท่านชายทั้งหลายนิยมชมชอบ แต่นั่นเป็นอัตรายอย่างยิ่งต่อนักศึกษาสาวเหล่านั้น เราดูข่าวข่มขืนซิ มีมากเหลือเกิน  มีหลายรูปแบบนับวันยิ่งระยำอัปรีย์ต่ำช้าขึ้นทุกที เพราะอะไร ส่วนหนึ่งคือการแต่งตัวของบรรดาสาวๆทั้งหลายที่บรรจงงานสร้างเรียกความหื่นได้อย่างแจ่มจ้า โดยเฉพาะชุดนักศึกษาที่คาดว่าจะคลายเป็นชุด กระรี่-พับ ไปโดยอัตโนมัติ อาจมีคนค้านว่านี่มันสมัยใหม่แล้วนะ จะไปใส่กระโปรงยาวๆเชยๆอยู่ได้อย่างไร หุๆ...ร่านเสียจริงๆ หากหล่อนไม่ให้เกียจต่อสถาบันหรือมหาลัยแล้วละก็ ลาออกไปเป็นกระรี่-พับ ยังจะดีกว่า อาชีพนั้นคงเหมาะกับอีดอกร่านอย่างเธอแล้วเป็นแน่แท้...

						 ตอนเช้าสายๆ...รถเมล์สาย 44				
13 กรกฎาคม 2547 11:41 น.

เงาดาว

ถังแดง

เงาดาว
...แสงแดดยามสายที่จัดจ้าน กับเสียงแจ้วๆเหมือนแม่ค้าในตลาดของเจ้านกกระจอกตัวน้อยๆ ที่กำลังเสวนากันภาษานก คงเป็นเวลาป้อนอาหารเจ้าลูกน้อยที่อยู่ในรังตรงชายหลังคาบ้านของสองแม่ลูก  เสียงก๊อกแก๊กผสมเสียงเบียดของกระดานไม้ดังมาจากครัวในบ้านหลังน้อยนี้ 
           "ดาวเอ้ย!...เสร็จรึยัง...สายแล้วนะลูก เดี๋ยวไปเรียนไม่ทันนะ " เสียงหญิงวัยห้าสิบกว่าๆตะโกนจากหลังครัวบ้าน ด้วยน้ำเสียงเคลือๆในคอ  มะพร้าวห้าวที่ขูดไว้ในกระละมัง ชั่งขาวโพลนเหมือนหิมะที่อยู่บนยอดเขาทางขั้วโลกเหนือไม่มีผิด  เธอเตรียมไว้ทำขนมขายในวันนี้ชิดเป็นหม้ายผัวตายมาสามสิบกว่าปีแล้ว เธออาศัยอยู่กับลูกสาวที่บ้านเล็กๆท้ายซอยในเมือง ด้วยฐานะที่ไม่ค่อยจะดีนัก ดาวผู้เป็นลูกซึ่งเรียนอยู่มัธยมปลาย เธอต้องตื่นแต่เช้าเพื่อช่วยแม่ทำขนมก่อนไปโรงเรียนทุกวัน อันรายได้ที่มีก็พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องสองแม่ลูกเท่านั้น
            "เสร็จแล้วจ๊ะแม่!.."  เสียงสาวแรกรุ่น วัยพอดอกไม้แย้มบาน หน้าตาจิ้มลิ้มปากนิดฉมูกหน่อย ผิวนวลขาวเหมือนหยวกกล้วยถ้าไม่บอกก็ไม่มีใครเชื่อเป็นแน่ว่าเป็นลูกแม่ค้าขายขนม  ทรวดทรงองค์เอวบ่งบอกถึงวัยอันย่างก้าวแห่งความสาวของเธอ  
            "วันนี้กลับบ้านเร็วหน่อยนะลูกนะ..จะได้ช่วยแม่ขายขนม.. ช่วงนี้ขนมขายไม่ค่อยดีเลย...เพราะพิษเศรษฐกิจมันทำแท้ๆ "  แม่ชิดคุยมือพรางทำขนมไป เสริมกับใบหน้าอันไม่ค่อยสบายใจนัก
            ดาวเอ้ย! วันนี้ลูกซื้อถุงกระดาบที่ใช้ห่อขนมมาให้แม่ด้วยนะ ของเก่ามันหมดแล้ว
           จ๊ะแม่ ..เดี๋ยวหนูซื้อมาให้ รู้สึกว่าแถวร้านหน้าโรงเรียนจะมีขายนะ 
           " แม่ค่ะ แล้วหนูจะรีบกลับมาช่วยแม่ขายขนมนะ หนูไปล่ะนะแม่ หวัดดีจ๊ะแม่!"  ดาวจัดแจงใส่ถุงเท้ารองเท้าเสร็จสรรพ คว้ากระเป๋านักเรียนเดินออกจากบ้านด้วยความเร่งรีบ แม่ชิดมองดูดาวจากด้านหลัง หัวใจเธอเต้นผิดปกติเหมือนจะห่วงลูกมากกว่าทุกวัน เธอเดินออกมาหน้าบ้าน ทอดสายตาจนดาวเดินไปสุดปากซอย
  .. . ต้นมะขามใหญ่ยืนสง่าอยู่โดดเดี่ยวกิ่งก้านแผ่กว้างเป็นร่มเงาให้แก่บรรดารถจักยานยนต์รับจ้าง ที่นั่งจับกลุ่มสุมหัวกันมุงดูการดวลหมากรุกของมิตรสหายที่หน้าปากซอย แต่ชายร่างผอมสูงวัยกลางคน ไอ้เดช กับ ไอ้สิงห์ ปลีกตัวมานั่งห่างๆ สายตาของมันทั้งสองคนจับจ้องอยู่กับสาวน้อยแรกรุ่นที่กำลังรี่ออกไปยืนรอรถเมย์ใกล้ๆปากซอย
          "โอ้โอ...อีดาวมันยิ่งโตยิ่งสวยจริงๆว่ะ"   ไอ้เดชพูดสายตามองดาวที่ยืนรอรถด้วยสีหน้าอันบ่งบอกสันดานชั่วช้ามันได้อย่าชัดเจน
          "กูก็ว่างั้นละไอ้เดช ...แต่กูชวนคุยทีไร อีดาวไม่เคยคุยตอบสักครั้งเลย แถมมันยังไม่เคยนั่งมอเตอร์ไซรับจ้างที่นี่เลย บ้านมันก็อยู่ทั่งท้ายซอย มันเดินอยู่หลายปีแล้วนะเนี๊ยะ" ไอ้สิงห์พูดเอียงหน้าไปทางไอ้เดช
          "กูว่ามันต้องใช้ไม้เด็ดว่ะ " ไอ้เดชพูดเบาๆพร้อมมือลูบนวดลงริมปาก
          "น่าจะดีนะ...เด็กๆแน่นๆอย่างนี้ แถมขาวสวยอีกต่างหาก ถ้างาบสักครั้งจะไม่ลืมประคุณเลยว่ะ.แต่กูไม่ยากติดคุกเหมือนมึง!นี่ 
            มึงไม่ต้องห่วงหรอกไอ้สิงห์ กูจัดการได้  
            มึงติดคุกสามปี ยังไม่เข็ดอีกหรือว่ะ ไอ้เดช" 
	 "ก็คนมันเงี้ยนนี่หว้าทำไงได้.. นี่ถ้ากูปาดคออีผู้หญิงคนนั้นทิ้งเสียตั่งแต่วันนั้น กูคงไม่ต้องติดคุกข้อหาข่มขืนอยู่หลายปีหรอกโว้ย!" ไอ้เดชพูดกัดฟัน มันเคยมีคดีข่มขืนเมื่อห้าปีที่แล้ว  แต่ตอนหลังโดนตำรวจตามจับได้ที่บ้านเกิด เพราะพยานจำหน้ามันได้ดี รวมเบ็ดเสร็จต้องโทษแค่สามปี ตอนนี้มันออกมาจากคุกได้สามเดือนแล้ว  แต่สันดานมันยังไม่เปลี่ยนเลย โลกมักหยิบยื่นทั้งสิ่งดีและไม่ดีให้ชีวิตคนเราเสมอ และดาวสาวน้อยร้อยชั่งคนนี้ กำลังจะตกเป็นเป้าหมายไอ้สัตว์นรก ที่มันมีเพียงร่างกายเท่านั้นที่เป็นคน แต่หัวใจหยาบช้าหาที่เปรียบมิได้ 
       แสงตะวันเริ่มอ่อนแรง  แม่ชิดกำลังขายขนมอยู่แถวบ้านไม่ไกลไปจากปากซอยเข้าบ้านเท่าไรหนัก ข้างๆเป็นร้านแผงลอยขายกล้วยทอดของแม่สายใจ 
             "ขนมวันนี้ก็ตามเคย ขายไม่ออกอีกแล้ว..." แม่ชิดบ่นพึมพัม
             "เหมือนกันล่ะหว้า แม่ชิดเอ้ย! ฉันก็ขายไม่ค่อยได้เหมือนกัน ขาดทุนมาหลายวันแล้ว.." แม่สายใจพูดเสียงอ่อนถอนหายใจ 
            "เออ...แล้วดาวลูกแกล่ะแม่ชิด! วันนี้ไม่เห็นเลย...ปกติเย็นๆแบบนี้มันจะมาช่วยขายขนมด้วยไม่ใช่หร่อะ?.."
            "อืม...นี่ก็รออยู่เหมือนกัน ไม่รู้ทำไมมาช้าจังวันนี้ ปกติมันไม่เคยเหลวไหลเลยนี่นา แถมโรงเรียนก็ไม่ได้ไกล ผ่านสามป้ายรถเมล์นี่เอง หรือว่าไปหาซื้อของอยู่ก็ไม่รู้ " แม่ชิดพูดชะเงื้อมองไปตามข้างถนนอย่างเป็นห่วง
             "..เอ๋ ...แปลกนะวันนี้รถมันติดจังบนถนนสายนี้"  แม่สายใจบ่น
             "มันก็อย่างนี้แหละ ปกติมันก็ติดอยู่แล้ว ยิ่งเปิดเทอมใหม่ๆ เด็กนักเรียนก็เยอะ รถมันก็เยอะตาม"  แม่ชิดตอบ
....ตกค่ำแสงไฟสลัวในซอย ดึงดูดเจ้าแมลงน้อย ให้บินว่อนเข้าหาแสงไฟนวลจันทร์  ไอ้เดช กับ ไอ้สิงห์ นั่งซดสุรากันลำพังสองคน นัยน์ตาของพวกมันเคลิ้มจนได้ที่ ด้วยริษยาโรยหน้าเหล้าก็เป็นอันครบเครื่อง เนื่องจากเริ่มจะดึกแล้ว ผู้คนเริ่มหายความเงียบเข้าครอบงำ ยิ่งหยั่งลึกไปในซอยแสงสว่างยิ่งเลือนหายพ่ายแพ้ต่อราชินีแห่งรัตติกาล คืนนี้เห็นท่าไอ้เดชกับไอ้สิงห์คงมีแผนชั่วเป็นแน่
     	"ไอ้เดช มึงจะเอาจริงหรอว่ะ!...กูไม่อยากติดคุกนะโว้ย " 
    	"ไอ้ปอดแหก!...มึงจะกลัวอะไรว่ะคุกอ่ะ กูเคยไปอยู่มาแล้ว อีกอย่างเราจัดการมันเสร็จก็ฆ่าทิ้งโพงหญ้าไปเลยไม่มีใครรู้หรอก" ไอ้เดชกระซิเสียงแข็ง
    	"เอาก็เอาว่ะ มันขาวเสียขนาดนั้นกูจะทนได้ยังไง" ไอ้สิงห์กลืนน้ำลายเฮือก
สักพักก็มีเสียงเดินมาไม่ใช่ใครที่ไหน ดาวสาวน้อยลูกแม่ชิดนั่นเอง เธอเดินเอากระเป๋าพร้อมถุงกระดาษพับห่อขนมซุกไว้กับอก สายตาสาดต่ำไปมาเหมือนกลัวๆ  ไอ้เดชเห็นดาวเดินมาคนเดียวก็ได้โอกาส มันเดินเข้าไปหาดาวทันที ไอ้สิงห์ก็ไม่รอช้าตามไปติดๆ เหมือนเสือเจอเนื้อทราย ไม่วายจะตายเพราะเนื้อมือแห่งนักล่า
                      "ดาวจ๋า ทำไมวันนี้กลับค่ำจังล่ะจ๊ะ ให้พี่สิงห์กับพี่เดชไปส่งไหม?" ไอ้เดชพูดไม่ทันขาดคำมือมันเร็วนักไปจับแขนของดาวอย่างกำหนัด ดาวสะบัดมือพร้อมพละออกจากไอ้เดชทันที  ไอ้สิงห์เข้าข้างหลังและไม่รอช้า โผเข้ากอดดาวไว้แน่ ดาวดิ้นสุดแรงแต่ไม่ทันจะได้อ้าปากร้องขอความช่วยเหลือ กำปั้นไอ้เดช ก็จุกเข้าที่หน้าท้องของเธอเสียแล้ว
เธออ่อนแรงทันที ไอ้สิงห์กับไอ้เดชลากเธอเข้าไปในโพงหญ้าข้างซอยอันแสงไฟไม่อาจสาดส่องถึง ไอ้เดชลงมือถอดชุดนักเรียน ถกกระโปรงบานของสาวน้อยผู้อาภัพออก เหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางใจ  เธอหมดแรงต่อสู้ทุกๆทาง ได้แต่นอนน้ำตาไหลพรากอาบทั้งสองหน้าอันอ่อนเยาว์  จะร้องก็ร้องไม่ออกเพราะโดนหมัดไอ้เดชเข้าอย่างจังแถมมีอุ้งมือสัตว์ร้ายปิดปากแน่น
                  โอ...อีดาวมึงขาวสุดยอดจริงๆ...คืนนี้กูจะเป็นผัวมึง ฮ่าๆ..แล้วอย่าร้องนะมึงไม่งั้นกูปาดคอมึงทิ้งแน่ อีดาว... ไอ้เดชขู่พลางเปลือยกายร่างอันขาวโผลนของดาวจนเกลี้ยง
ไอ้สิงห์กับไอ้เดช ผลัดกันทำระยำอัปรีย์  เหมือนจะย่ำยีดอกไม้ที่เพิ่งผลิบานให้แหลกลงคามือ  เที่ยงคืนดึกสงัดไม่มีแม้แต่เงาดาวดวงใจของแม่ชิดโผล่มาให้เห็น  เธอชะเง้อมองหาลูกอันเป็นดวงใจหนึ่งเดียวอยู่นาน จนไม่มีวี่แววว่าจะกลับมา เธอเริ่มน้ำตาคลอเบ้า จะไปตามหาก็ไม่รู้จะหาที่ไหน จะไปแจ้งตำรวจก็ดึกมากแล้ว หากลูกกลับมากลัวจะไม่เห็น เธอนั่งรอลูกสาวอยู่หน้าบ้านตั่งแต่ตอนค่ำ มองดูเจ้านกกระจอกในรังก็ยังมีลูกให้เห็น แต่ลูกสาวเธอล่ะยังไม่โผล่มาเลย ด้วยความเหนื่อยหล้าทั้งกายทั้งใจ แม่ชิดเผลอนั่งหลับพิงฝาหน้าบ้านจนถึงเช้า 
                    "แม่ชิดๆ!  ตื่นเร็วเข้า!" เสียงแม่สายใจแม่ค้าขายกล้วยทอด  วิ่งกะหืดกระหอบมาแต่เช้า  แม่ชิดตกใจผวาตื่นทันที เธอแทบลืมไปว่ามาหลับอยู่ตรงนั้นได้อย่างไร
                    "มีเรื่องอะไรหรอแม่สายใจ? " แม่ชิดถามเสียงสั่น
                    "คือ...คือ...ตำรวจเขาตามหาบ้านแม่ชิดอยู่ เขาว่าจะมาหาญาติของนางสาว ดาวทิพย์แนะ!" แม่ชิดได้ยินดังนั่นก็สะดุ้งทันที ใจเธอสั่นระรัว ในใจเธอหวังว่าขออย่าเป็นดั่งที่เธอคาดคิดเลย
                    "แล้วเขาตามหาฉันทำไมหรอ? หรือว่า...ดาวลูกฉัน.." แม่ชิดถามอย่างร้อนใจ
                    "คืออย่างนี้ แม่ชิดทำใจดีๆนะ ฉันจะเล่าให้ฟัง ตำรวจเขาบอกฉันว่า มีเด็กนักเรียนหญิงโดนรถยนต์ชนเสียชีวิตเมื่อเย็นวานนี้  ที่หน้าร้านขายของ ไม่ไกลจากโรงเรียนสักเท่ารัย ในมือเธอถือถุงกระดาษที่ไว้ห่อขนมมากหมาย ตำรวจตรวจสอบดูปรากฏว่า ชื่อ นางสาวดาวทิพย์ มีใจ  มันก็คือ ยายดาวนั่นไงแม่ชิด!  "  แม่ชิดได้ยินดังนั้นเหมือนโลกหยุดนิ่ง หัวใจเธอแทบสลายเมื่อหัวใจดวงเดียวที่มีอยู่ของเธอ ได้จากเธอไปอย่างไม่มีวันกลับ
                     โอ...ดาวลูกแม่...อือ...อือ...ๆ  เธอร้องไห้เหมือนน้ำตาจะเป็นสายเลือด จนเป็นลมพับไปกับที่ 
 ไม่กี่ชั่วโมงด้านไอ้สิงห์รู้ข่าวเข้า เลยวิ่งรี่คาบไปบอกไอ้เดช ทันที 
                     หา....อีดาวมันตายแล้วหรอไอ้สิงห์ กูกับมึงขื่มขืนมันเฉยๆเสร็จแล้วมันก็นอนอยู่ที่โพงหญ้านี้นี่นา กูไม่ได้ฆ่ามันสักหน่อยนิ! 
                      ออ..ซิว่ะ เขาว่ามันโดนรถชนตายตั่งแต่เย็นวานนี้แล้วโว้ย!  แล้วไอ้ที่เราเจอเมื่อคืนมันอีดาวนี่หว่า โดนเข้าแล้วไหมล่ะไอ้เดชเอ้ย! ไอ้สิงห์กับไอ้เดชหน้าซีดเผือด รีบวิ่งไปที่โพงหญ้าที่มันข่มขืนดาวเมื่อคืน แต่แล้วมันไม่มีแม้แต่รอยหมาเดิน ไอ้เดชกับไอ้สิงห์หันมาสบตาพร้อมกัน........
							
                              มีนาคม 2547				
9 กรกฎาคม 2547 11:45 น.

เพลงชีวิต

ถังแดง

...เสียงซอบรรเลงเพลงอันไพเราะที่หวานซึ้งและอ่อนนุ่มชุ่มลึก แว่วมาตามสายลมที่ถูกปัดป้องด้วยผู้คนที่ขวักไขว่ แม้จะกระทบกับเหงื่อไคลแต่ความหวานของซุ่มเสียงซอนั้นไม่เจือจางลงแม้แต่น้อย ...เหตุไฉนเสียงซอจึงซ่อนไว้ซึ่งเสี้ยนแห่งความทุกข์ที่เสียดแทงหัวใจผูคนที่เดินผ่านอยู่เป็นระยะๆ ทุกหยดน้ำเสียงของซอที่ตีเกลียวร้อยรัดมากับสายลมช่างมหัศจรรย์นัก รือผู้เล่นเส้นสายนั้นจะจงใจถ่ายทอดอารมณ์ในข้นบึงหัวใจออกมาด้วยเสียงซอ.. ไม่นานเสียงกระทบของเหรียญที่ร่วงหล่นลงในกระป๋องเก่าๆก็ดังขึ้นเป็นจังหวะ   ยิ่งเร่งร้าวเสียงซอให้หนักแน่นขึ้นเหมือนไฟที่ได้ฟืน  บทเพลงหวานซึ้งประหนึ่งวิทยาธรณ์บรรเลงใยจึงกลับกล่อมผู้คนอยู่บนทางเท้า อีกทั้งผู้เล่นเส้นสายนั้นเล่า..เขาแค่..วณิพก .

		กรกฏาคม...ถนนสายหนึ่งในกทม.				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟถังแดง
Lovings  ถังแดง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟถังแดง
Lovings  ถังแดง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟถังแดง
Lovings  ถังแดง เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงถังแดง