19 เมษายน 2550 18:40 น.
ถนปายี
มีอยู่วันหนึ่ง เพื่อนโทรมาปรึกษาเรื่องจะซื้อคอมใหม่ ด้วยความเข้าใจว่าผมเป็นนักศึกษาปริญญาโทด้านไอที น่าจะมีความรู้ด้านนี้ดี
แต่พอผมตอบกลับไปว่าให้ไปถามคนอื่นเถอะ เพราะตัวผมน่ะแสนจะโง่เรื่องคอมเลย อย่าว่าแต่จะให้คำปรึกษาว่าจะซื้อคอมรุ่นไหน สเป็คไหนดี แม้แต่จะให้ฟอร์แมทลงวินโดวส์เองก็ยังทำไม่เป็นเลย เพื่อนผมคนนั้นถึงกับประนามสถาบันการศึกษาที่ผมเรียนอยู่
อย่าเลยครับ! โทษผมคนเดียวก็พอแล้วที่ความรู้ในห้องเรียนไม่ช่วยอะไรเลย อย่าไปลงที่ครูบาอาจารย์หรือสถาบันการศึกษาให้เป็นบาปติดตัวผมเลยครับ
พอเพื่อนผมหายหงุดหงิดที่อุตส่าห์เสียตังค์โทรมาหาแต่ไม่ได้เรื่องอะไร มันก็ว่าเอาสเป็คคล้ายๆผมก็ได้ เพราะเคยมาที่บ้านผมและลองใช้แล้วเห็นว่ามันก็ยังใช้งานได้ดี ผมก็ตอบกลับไปว่า......
.....ไอ้เทคโนโลยีสารสนเทศพวกนี้น่ะ ซื้อปุ๊บก็ตกรุ่นปั๊บแล้ว เหมือนมือถือนั่นแหละ มีรุ่นใหม่ๆ เทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาตลอดจนเราไม่มีทางตามมันทันได้ หรือไม่งั้นก็ต้องบ้าซื้อเปลี่ยนใหม่ทุกๆ 3-4 เดือน
เพื่อนคนเดิมเลยถามกลับมาอีกทีว่าผมซื้อคอมมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เมื่อได้ยินคำถามนี้ผมได้แต่หุบปากเงียบ ชายตาเหลือบไปมองคอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะในระยะเอื้อมถึงจากจุดที่ผมนั่งคุยโทรศัพท์อยู่
มีเสียงพูด "ฮัลโหลๆ" ดังมาจากปลายสายซ้ำๆกัน คงนึกว่าที่เงียบเป็นเพราะสายตัดไปแล้ว ผมจึงต้อง "อือม์" ตอบกลับไปด้วยเป็นคำติดปาก แล้วสายโทรศัพท์ก็เงียบเสียงลงอีกครั้ง
เหมือนต่างฝ่ายต่างเล่นเกมส์ที่มีกติกาว่าใครออกปากพูดก่อนเป็นผู้แพ้ ทั้งผมและเพื่อนไม่มีใครยอมกล่าวอะไรออกมาอยู่เป็นนาน ที่ทำให้ผมยังมั่นใจได้ว่าคู่สนทนายังไม่ถึงกับสุดทนจนวางหูทิ้งไปแล้ว ก็เพราะผมยังได้ยินเสียงฟึดฟัดเมื่อปลายสายระบายลมหายใจออกมาด้วยความหงุดหงิด
ผมมองจอมอนิเตอร์ที่เปิดทิ้งเอาไว้ก่อนพูดกรอกหูโทรศัพท์ไปว่า "จะเอาชิ้นส่วนไหนล่ะ?"
"หา?" เพื่อนผมตอบกลับมาเป็นคำถามแล้วก็เงียบไปอีกรอบ
ผมรอคิดว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรต่อ แต่เมื่อมั่นใจว่าเกมส์ใครพูดก่อนเป็นคนแพ้กำลังจะเริ่มอีกยก ผมจึงชิงเป็นฝ่ายยอมแพ้เสียก่อนที่บทสนทนาด้วยความเงียบจะกินเวลายืดยาวออกไป
"ที่ถามว่าซื้อเมื่อไหร่ หมายถึงชิ้นส่วนไหนล่ะ? ถ้าเป็นแรมก็ซื้อตั้งแต่กลางปีที่แล้ว ฮาร์ดดิสเพิ่งมาใส่เพิ่มปลายปีก่อนแต่ตอนนี้ก็ใช้เกือบเต็มเนื้อที่แล้ว ล่าสุดก็ดีวีดีไร์ทเตอร์เมื่อต้นเดือนนี่เอง"
ใครใช้คอมพิวเตอร์มาสักระยะหนึ่งต่างก็ต้องมีประสบการณ์เดียวกับผมทั้งนั้น อย่างที่ว่ามาแล้วว่าเรื่องไอทีมันมีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาเร็วมาก ใช้ไปได้สักพักสเป็คคอมพิวเตอร์ของเราก็ชักจะช้าและอาจไม่รองรับโปรแกรมหรือฮาร์ดดิสตัวใหม่ๆซะแล้ว
ระบบประมวลผลที่เคยภูมิใจนักหนาว่าเร็วที่สุดในท้องตลาดแล้วก็ค่อยๆกลายสภาพเป็นเต่าติดสเก็ตไปในระยะเวลาไม่ช้านาน แม้จะไม่มีปัญหาเรื่องไวรัส ไฟช็อต หรือคอมแฮงค์ไปดื้อๆตอนเราใช้งานอยู่
ในที่สุด....ไม่ช้าก็เร็วมันก็ถึงเวลาที่เราจะต้อง "อัพ" สมองกล อุปกรณ์ไอทีที่พาเราท่องโลกแห่งไซเบอร์
บางคนเปลี่ยนซีพียูและการ์ดจอ เพิ่มแรมหรือฮาร์ดดิส เพื่อรองรับโปรแกรมหรือเกมส์ตัวใหม่ๆ บางคนถอดเมส์ตัวเก่าทิ้งทั้งที่ยังใช้งานได้ดีอยู่เพียงเพราะแค่อยากลองใช้เมาส์แบบไร้สายรุ่นล่าสุด ขณะที่บางคนเปลี่ยนคีย์บอร์ดเพราะตัวหนังสือบนแป้นพิมพ์เลือนลางไปตามความหนักหนาสาหัสในการใช้งาน
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์ไอทีที่ถูกออกแบบมาให้ง่ายต่อการถอดเปลี่ยนอะไหล่ ด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Plug & Play
เมื่อเพื่อถามผมขึ้นมาว่าผมซื้อคอมมาตั้งแต่เมื่อไหร่ผมจึงได้แต่อึ้งและไม่สามารถมีคำตอบให้ได้ในทันที ตลอดสิบปีที่ผมมีคอมพิวเตอร์ไว้ใช้เล่นเกมส์ ท่องเนต พิมพ์รายงานต่างเครื่องพิมพ์ดีด และดูแผ่นหนังแทนทีวี ผมได้ทำการ "อัพ" ทั้งชุดเล็กและชุดใหญ่ไปไม่น้อยกว่า 5-6 ครั้งแล้ว
มีเพียงมอนิเตอร์ขนาด 15 นิ้ว ซึ่งตัวโครงครั้งหนึ่งเคยเป็นสีขาวแต่ตอนนี้เหลืองซีดตามกาลเวลาเท่านั้นที่ยังเป็นเครื่องระลึกถึง "คอมตัวแรก" ของผมเมื่อครั้งกระโน้น
จะให้ผมตอบเพื่อนกลับไปได้ยังไงว่า...ผมซื้อคอมมาตั้งสิบปีแล้ว ทั้งที่ดีวีดีไรท์เตอร์ยังไม่หมดอายุประกัน แต่ผมก็พูดไม่ได้เช่นกันว่ามันเป็นคอมเครื่องใหม่ เพราะอะไหล่ส่วนใหญ่มีอายุเกินสองปีด้วยซ้ำ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมผมจึงได้แต่นิ่งเงียบเมื่อเพื่อนถามคำถามง่ายๆ แต่ตอบได้ยากเย็นเหลือเกิน
ที่ว่าตอบยาก เป็นเพราะเพื่อนคนนั้นถามคำถามเชิงปรัชญาอันลึกซึ้งโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว แถมมันยังเป็นข้อถกเถียงที่โต้แย้งกันนับพันปีจนถึงทุกวันนี้ก็ยังหามติเอกฉันท์เป็นที่พอใจของทุกคนไม่ได้ เพื่อนของผมกำลังถามหาอัตลักษณ์หรือ "ตัวตน" ของคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง ทั้งที่มันไม่มีอยู่จริง
คอมพิวเตอร์นั้นมีอยู่จริง ใครก็เถียงไม่ได้ มิเช่นนั้นผมจะใช้อะไรพิมพ์ข้อความเหล่านี้ หรือใช้อะไรทำบล็อคที่นี่ล่ะ แต่สิ่งที่ไม่มีอยู่จริงก็คือ "ตัวตน" ของคอมนั่นเอง
ลองพิจารณาดู....เราจะถือว่าอะไรคือคอมของผมเล่า? คีย์บอร์ดที่ผมใช้นิ้วจิ้มพิมพ์ตัวอักษรเหล่านี้? จอมอนิเตอร์ที่แสดงผลการทำงาน? ซีพียูซึ่งเปรียบเสมือนมันสมอง? สายบัสซึ่งทำหน้าที่ส่งกระแสไฟฟ้าไปเลี้ยงยังชิ้นส่วนน้อยใหญ่เช่นเดียวกับหัวใจ อะไรกันที่สามารถอ้างสิทธิ์ว่าคือ "คอมพิวเตอร์ของผม" ได้?
ไม่มีชิ้นส่วนไหนชิ้นส่วนเดียวที่สามารถ "เป็น" คอมพิวเตอร์ของผมหรือของใครๆได้ แต่เพราะมันประกอบและทำงานร่วมกันกับอุปกรณ์ชิ้นอื่นๆ นั่นแหละ "ความเป็น" คอมพิวเตอร์จึงเกิดขึ้น ต่อเมื่อเราแยกชิ้นส่วนออก ซีพียูรุ่นใหม่ล่าสุดก็เป็นได้แค่เศษเหล็กหรือที่จริงแย่กว่านั้นมันคือขยะอิเล็คทรอนิกส์ที่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมด้วยซ้ำ และจอมอนิเตอร์โดดๆตัวเดียวเป็นได้อย่างมากก็แค่ตู้ปลาเท่านั้นเอง
ชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์เหล่านี้จะยังคงเป็นคอมพิวเตอร์ได้ก็ต่อเมื่อมันประกอบและทำงานร่วมกันเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้โลกของเราจึง "ว่าง" จากตัวตน เพราะไม่ช้าก็เร็วองค์ประกอบต่างๆแม้แต่อวัยวะในร่างกายที่รวมกันเข้าเป็นตัวเรา ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงและแตกสลายไปพร้อมกับตัวตนที่มันสร้างขึ้น ไม่เว้นแม้แต่วิญญาณที่เราเชื่อว่าเที่ยงแท้
แม้แต่คอมพิวเตอร์ สิ่งประดิษฐ์ที่ทันสมัยที่สุดของมนุษย์ยุคใหม่ก็ยังยืนยันพระสัจธรรมที่พระพุทธองค์ทรงประกาศไว้กว่าสองพันปีก่อนว่า.....สรรพสิ่งทั้งที่เป็นรูปธรรม-นามธรรม ทั้งที่เราสัมผัสได้ด้วยกายและเข้ามากระทบเราในใจ ทั้งที่หยาบเหมือนพื้นผิวกรวดหรือละเอียดนุ่มเช่นปุยนุ่น ต่างก็มีคุณสมบัติ 3 ประการทั้งสิ้น กล่าวคืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
สิ่งต่างๆที่เราเห็น เราสัมผัส เราจับจองเป็นเจ้าของนั้น...มีอยู่จริง แต่มันจะ "เป็นจริง" อย่างที่เราเห็นแค่ชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น แล้วมันก็เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา(อนิจจัง)ถ้าเราเข้าไปยึดติดและพยายามฉุดรั้งให้มันคงเดิม ก็จะได้รับแต่แรงบีบคั้นเสียดแทงใจ(ทุกขัง)เพราะไม่มีอะไรเลยที่เป็นตัวเป็นตน(อนัตตา)อันแท้จริง
หลังจากที่พูดคุยกันด้วยเรื่องต่างๆให้พอหายคิดถึงกัน เพื่อนผมก็กระแทกหูวางโทรศัพท์ไปด้วยความขัดใจที่ผมไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้มากนัก ผมกลับมานั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ยังเล่นเปิดเนตค้างเอาไว้ แต่ด้วยสายตาที่ต่างออกไป..........
******************************************
อิมัสมิง สติ อิทัง โหติ
เมื่อมีสิ่งนี้ สิ่งนี้ย่อมมี
อิมัสสุปาทา อิทัง อุปัปชัชติ
เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
อิมัสมิง อสติ อิทัง น โหติ
เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ย่อมไม่มี
อิมัสสะ นิโรธา อิทัง นิรุชัฌติ
เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป
พุทธพจน์
18 เมษายน 2550 14:02 น.
ถนปายี
ท่านรัฐมนตรีศึกษาเดินเข้าไปในโรงเรียนอนุบาลประจำจังหวัด พร้อมคณะ มีทั้งอธิบดี ผู้ตรวจราชการกระทรวง และ ผอ.ประถมศึกษาจังหวัด ซึ่งนำท่านเข้าไปในห้องเรียนของชั้นอนุบาล 3 ที่เตรียมตัวขึ้น ป.1 ในปีถัดมา ผอ.โรงเรียนก็กล่าวแนะนำครูประจำชั้น
ท่านรัฐมนตรีบอกว่าจะขอให้ครูที่ติดตามมาจากกรุงเทพเป็นผู้ทดสอบความรู้เด็กเพื่อ จะดูว่าเด็กพร้อมที่จะขึ้นเรียน ป.1 ได้หรือไม่ เหตุที่ท่านไม่ให้ครูประจำชั้นทดสอบ เพราะเกรงว่าจะรู้กันกับเด็ก ครูผู้ติดตามเป็นผู้หญิง สวมแว่นหน้าตาดี หุ่นดี ท่าทางบอกชัดว่าเป็นนักเรียนนอก เธอชี้ไปที่เด็กชายน่าตาน่าสงสาร ขี้มูกเปื้อนร่องจมูกเป็นคราบ แล้วเธอก็พูดเสียงดังฟังชัดว่า
หนูลุกขึ้นซิจ๊ะ หนูชื่ออะไร ผม.. เด็กชาย ม้ง ครับ เด็กตอบเบาๆ หนูม้ง หนูตอบครูดังๆ นะจ๊ะ ครูเป็นผู้หญิง แล้วหนูล่ะเป็นอะไร
ผู้ชาย ครับ ตอบดังขึ้นแล้ว
เอาละ คำถามข้อ 1 ครูมีอะไรที่หนูไม่มี ตอบได้ไหม
เด็กชะงักนิดหนึ่ง แล้วตอบว่า แว่นตา ครับ .... ท่านรัฐมนตรีทำตาโต ครางฮือ
ถูกต้อง เก่งมาก ..เอานะทีนี้ ...ข้อ 2 อะไรที่เวลาหมามันทำ
มันยืนสามขา แต่ถ้าครูทำ ครูยืนทำก็ได้นั่งทำก็ได้ ท่านรัฐมนตรีทำตาโตกว่าเก่าอีก ขยับเน็คไทลงอีกเล็กน้อยเพื่อให้หายใจได้คล่อง
เช็คแฮนด์ครับ ด.ช.ม้งตอบเสียงดังกว่าเก่า เก่งมาก ถูกต้อง คุณครูตบมือ หัวเราะร่า
คราวนี้ข้อ 3 .....อะไรที่สะกดตัวหน้าด้วยสระเอ แล้วมีขีด ข้างบนขีดมีไม้ไต่คู้อยู่ แล้วตามด้วย..ดอเด็ก.. หนูต้องเติมตัวอะไรไปในช่องที่เว้นไว้ จะมีความหมายว่าของสองสิ่งกระทบกัน เด็กทำหน้างง รัฐมนตรีทำตาถลนออกมานอกเบ้า
ครูสาวเห็นเด็กงง หันหลังกลับคว้าชอล์คเขียนบนกระดานดำ
เขียนอย่างนี้ จ้ะ แล้วเธอก็บรรจงเขียนตัวโต
เ...็..ด
แล้วบอกว่า ที่หมายความว่า...ของสองสิ่งกระทบกัน...ตอบได้ไหมคะ? พอถึงตรงนี้ รัฐมนตรีดึงปมเน็คไทลงเกือบสุด ตาถลนเหลือกลาน เด็กน้อยตะโกนตอบ เสียงลั่นห้อง
เช็ดครับ ! ...เติม ช.ช้าง! อ่านว่า เช็ด เช็ด!! ครับพ้ม !!!
ถูกต้องๆๆ ถูกต้องที่สุดเลย...หนูเก่งมาก เก่งจริงๆ......
คราวนี้ข้อที่สี่ รัฐมนตรี กุมหัวใจตัวเอง โบกมือหยอยๆไป มา พอแล้ว พอแล้ว ทดสอบแค่นี้พอแล้ว รัฐมนตรีบอกเสียงสั่นระรัว
อธิบดีกรมสามัญที่ตามมาด้วยถามว่า เป็นไงครับท่าน ด.ช.ม้ง พอจะขึ้น ปอหนึ่งได้ไหมครับ
ให้ขึ้นปอแปดไปเลย !! ....ท่านรัฐมนตรีประกาศ อ้าว ! ทำไมถึงท่านให้พาสชั้นอย่างนั้นล่ะครับ !!
ท่านรัฐมนตรี มองหน้าอธิบดีกรมสามัญอย่างหดหู่ แล้วบอกเสียงเครือว่า ก็ที่ครูผู้หญิงเธอถามน่ะ..ผมตอบผิดทุกข้อเลย จะอะไรซะอีก !!!
18 เมษายน 2550 12:59 น.
ถนปายี
วันหนึ่งขณะที่นายจ้อนกำลังนั่งอยู่ในห้องเรียนคุณครูสาวสวยก็เอ่ยถามขึ้นมาว่า
"ถ้ามีนกสามตัวเกาะสายไฟอยู่ แล้วนายพรานก็ยิงนกตัวหนึ่งตกลงมา จะมีนกเหลือ
อยู่บนสายไฟกี่ตัว?"
นายจ้อนตอบว่า "ไม่มีเหลือเลยซักตัวครับ"
คุณครูสาวจึงเอ่ยขึ้นมาว่า "ผิดย่ะนายจ้อน ถ้ามีนกสามตัว ถูกยิงไปหนึ่งตัว จะ
เหลืออยู่กี่ตัว ตอบใหม่อีกทีซิ"
นายจ้อนยังยืนยัน "ไม่มีเหลือครับ"
คุณครูสาว "ผิดแล้วนะนายจ้อน เธอคิดยังไงของเธอน่ะ"
นายจ้อนจึงแถลง "ก็นายพรานยิงนก เสียงก็ดัง แถมยังมีนกตกไปตัวนึง นกตัวที่
เหลือก็บินหนีไปหมดสิครับ"
คุณครูสาว "อ้อ ชั้นเข้าใจละ นั่นไม่ใช่คำตอบที่ครูต้องการหรอกนะ แต่ว่าครูก็ชอบ
วิธีที่เธอคิด"
นายจ้อนได้ฟังคุณครูสาวอธิบายแล้วจึงเอ่ยขึ้นมาบ้างว่า "คุณครูครับ ผมมีคำถาม
จะถามคุณครูเหมือนกันครับ มีหญิงสาวสามคนกำลังนั่งกินไอติมแท่งอยู่ คนนึงเลีย
ไอติม อีกคนนึงดูดไอติม ส่วนคนสุดท้ายกัดไอติม คุณครูรู้มั้ยครับว่าคนไหนแต่ง
งานแล้วอ่ะครับ?"
คุณครูสาวอึกอักไปชั่วครู่แล้วจึงตอบไปว่า "เอ่อ ครูคิดว่าอ่ะนะ คนที่ดูดไอติมใช่
มั้ย?"
นายจ้อนได้ทีจึงตอบไปว่า "ผิดครับครู คำตอบที่ถูกต้องคือคนที่สวมแหวนแต่ง
งานน่ะครับ แต่ผมชอบวิธีที่ครูคิดนะครับ"
*****************************************************
อีกเรื่องแล้วกัน
สเปรย์สุดฮา กับ 2 ตาหลาน
บ่ายแก่ๆ ในวันหยุดสุดสัปดาห์ หลานชายตัวจ้อยพาคุณตาไปเดินเล่นในสวน
หลานชาย: คุณตา..ดูนั่นสิฮะ
หลานพูดพลางเอามือชี้ไปที่ไส้เดือน
คุณตา: ก็แค่ไส้เดือนกำลังจะเลื้อยลงรู มีอะไรเรอะ?
หลานชาย: ตาเชื่อมั้ย ว่าผมน่ะจับเจ้าไส้เดีอนนี่ยัดลงรูได้นะ
คุณตา: (พูดอย่างยิ้มเยาะ) ตาว่า เจ้าทำไม่ได้ร้อก! ก็ตัวมันทั้งนิ่มทั้งลื่นอย่างนั้น
เจ้าจะจับมันใส่รูได้ยังไงล่ะ ... เอาเป็นว่า ถ้าเจ้าทำได้ตาจะให้ตังค์กินขนม 20 บาท
หลานชาย: แน่นะฮะ งั้นรอผมเดี๋ยว
พูดเสร็จเจ้าหลานชายก็วิ่งปรู๊ดดด... เข้าไปในบ้าน และอีก 5 นาทีต่อมาเจ้าหนูกลับมาพร้อมกับ สเปรย์แต่งผม ในมือ เมื่อมาถึงก็เล็งไปที่ไส้เดือนและฉีดไปเต็มแรง จนมันแข็งตัวเป็นเส้นตรง
หลานชาย: (หยิบไส้เดือนยัดลงรู) นี่ไงฮะตา ลงรูไปอย่างง่ายดาย
คุณตา: ยื่นเงินให้หลาน 20 บาท พร้อมทั้งหยิบสเปรย์แต่งผมกระป๋องนั้น เดินโขยกเขยกเข้าบ้าน
ครึ่งชั่วโมงต่อมา คุณตากลับมาหาที่สวนพร้อมยื่นเงินให้หลานอีก 20 บาท
หลานชาย: คุณตาให้เงินผมมาแล้วนี่ฮะ
คุณตา: ใช่ แต่นี่ของยายเค้าฝากมา
หลานชาย: ?!?
11 เมษายน 2550 12:59 น.
ถนปายี
** ความเดิมเมื่อตอนที่แล้ว ผู้เป็นมารดา อยากมีหลานสืบสกุล จึงเร่งเร้าให้ลูกชายแต่งงาน คราวแรกตั้งใจว่าจะไปขอผู้หญิงจากตระกูลหนึ่งมาให้ แต่ลูกชายซึ่งปฏิเสธที่จะแต่งงานแต่แรก กลับบอกถึงตระกูลของหญิงที่ตัวเองต้องการ
แต่เมื่อไม่สมใจ เพราะลูกสะใภ้คนนี้เป็นหมัน ไม่สามารถมีบุตรสืบสกุลได้ ผู้เป็นมารดาจึงคิดหาสะใภ้ใหม่ ข้างฝ่ายหญิงสะใภ้แอบล่วงรู้เรื่องนี้เข้า จึงมีความคิดว่า หากขืนปล่อยให้แม่สามีหาภรรยาน้อยมาให้สามีเอง ตัวเองจะตกที่นั่งเป็นนางทาสไป จึงคิดว่า เป็นผู้หาหญิงใหม่ให้สามีเองจะดีกว่า จึงไปหาผู้หญิงคนหนึ่งมาเป็นภรรยาน้อยให้สามี
เรื่องราวต่อไปจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามตอนที่ 2 ได้เลยครับ
9 เมษายน 2550 14:08 น.
ถนปายี
นับตั้งแต่ท้าวเทพาพฤกษ์จุติเป็นเทพเมื่อร้อยปีที่แล้ว และได้มาสถิตย์อยู่ ณ ยางนาต้นใหญ่ริมถนนหน้าวัดแห่งนี้ ท้าวท่านได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของชุมชนบนถนนสายนี้มาโดยลำดับ
เอื้องผึ้งกับเอื้องคำที่บานสะพรั่งอยู่รอบต้นยางใหญ่นั้นแต่ก่อนใช่ หามีไม่ ก็ เพราะพวกนักอนุรักษ์ต่างหากที่เอามันมามัดไว้ที่ต้นยางสองข้างถนนเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง แต่ก็มันเกาะเกี่ยวเกลียวกลมไปด้วยกัน จนดูคล้ายกับเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มันจะออกดอกสีเหลืองสะพรั่งให้คนได้ชื่นชมกันในหน้าร้อนอย่างตอนนี้ ช่วยขับสีสรรค์ของเทศกาลมหาสงกรานต์ให้ตระการตาขึ้น
เมื่อครั้งกระโน้น ถนนสายนี้เงียบสงบ สองข้างถนนเป็นทุ่งนากว้างสลับกับป่า ยังไม่มีสวนลำไยอย่างเดี๋ยวนี้ จะมีบ้านเรือนปลูกอยู่บ้างก็ห่างๆ ยามกลางคืนถนนทั้งสายมืดสนิทไม่มีคนเดินหรือรถราวิ่ง
ที่ท่านท้าวเลือกมาอยู่ ณ ต้นยางใหญ่หน้าวัดก็ด้วยศรัทธาที่จะได้เข้าไปฟังพระธรรมเทศนาในโบสถ์ทุกวันศีล และเพื่อเข้าฌานรักษามหาศีล อันจะยังให้องค์เองไปจุติ ณ ภพภูมิที่เหนือกว่านี้ โดยมีนิพพานเป็นความปรารถนาสูงสุด
ก่อนนี้ท้าวไทจะมีชื่ออย่างใดก็หาไม่ จนวันหนึ่งมีคนมานั่งขูดๆ ถูกๆ ที่เปลือกยางต้นนี้ แล้วอีกไม่กี่วัน ต่อมาพวกเขาก็มาสร้างศาลให้ที่โคนต้นยางใหญ่ เอาผ้าแพรสีต่างๆ มาผูกล้อมไว้ เขายังหาป้ายชื่อมาติดไว้ที่หน้าศาล ตั้งชื่อให้ท่านเป็น ท้าวเทพาพฤกษ์ และนับแต่นั้นมา ท่านเทพก็กลายเป็นจ้าวที่มีศาลและมีชื่อให้เขาเรียกกัน
มีคนเอาดอกไม้ธูปเทียนมากราบไหว้ที่ศาล ขอหวยบ้าง ขอให้พ้นเคราะห์พ้นทุกข์บ้าง บ้างก็เอาอาหารคาวหวานรวมทั้งเหล้าขาวเหล้าแดง มาบนถวายไม่เคยขาด แต่ท่านหาได้เสพเครื่องเซ่นเครื่องบนเหล่านี้ไม่ เพราะอิ่มอยู่แล้วด้วยทิพย์
วันนี้เป็นวันที่สามของมหาสงกรานต์ปีนี้ เป็นวันพญาวัน ! วันแห่งการเถลิงศกใหม่ ท่านท้าวเห็นมหาสงครามน้ำมาแล้วสองวัน เมื่อวานเป็นวันเนา ไม่เห็นมีใครมาขนทรายเข้าวัด และวันนี้ก็ไม่มีใครมาดำหัวท่านพระครู ไม่เหมือนดังแต่ก่อน เห็นแต่ผู้คนมาแออัดเล่นสาดน้ำกันบนถนนมากกว่าทุกปี
หม้ายผัวร้างวัยรุ่นย้อมผมแดงเพลิงใส่เสื้อรัดรูป จูงลูกชายตัวเท่าเมี่ยง ซึ่งถูกจับย้อมผมเป็นสีทอง ถือปืนฉีดน้ำไปยืนเบียดกระแซะข้างหนุ่มใหญ่ที่ ริมถนน หนุ่มกระทงพากันย้อมผมสีแดงบ้างทองบ้าง บางคนที่ใจถึงก็จะย้อมผมสลับสีให้เป็นสีธงชาติ พวกเขาพากันขี่รถมอเตอร์ไซค์ฉวัดเฉวียนอยู่ตามที่ๆ มีสาวๆ ยืนสาดน้ำกันอยู่ข้างถนน พยายามเสนอหน้าให้ถูกสาดน้ำ
บางบ้านที่อยู่ติดถนน ขนเครื่องขยายเสียงกำลังสูงมาเปิดเพลงฟังกันริม [Iถนนหน้าบ้านตั้งแต่วันแรก เขาหมุนปุ่มเร่งเสียงจนสุด แล้วคนในบ้านทั้งหนุ่มทั้งแก่ทั้งชายและหญิง ก็ขนเหล้าออกมากินกัน เขาถือแก้วน้ำเมาดีดดิ้น ร้องเพลงร่ายรำกันอย่างสนุก เสียงเพลงดังสะท้อนสะท้านขึ้นไปถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แม้องค์อินทร์ก็คงจะร้อนทิพย์อาสน์ !
นี่คือยามสายของวันพญาวัน วันสุดท้ายของ ปี๋ใหม่เมือง ประเพณีอันยิ่งใหญ่ที่สืบทอดกันมานับร้อยปี ท่านท้าวมองสิ่งที่แปรเปลี่ยนไปอันเป็นอนิจจังนี้อย่างไม่ยินดียินร้าย!
รถกระบะนับร้อยๆ บรรทุกหนุ่มสาวเต็มคัน วิ่งผ่านไปผ่านมาอยู่ใต้ต้นยางใหญ่ที่ท่านเทพสถิตย์อยู่ บางคันมีสาวงามนั่งคู่คนขับ คอยปรนนิบัติรินเหล้ารินเบียร์ให้คนที่ถือพวงมาลัยรถ
พวกเขาเอาถังน้ำใหญ่ใส่รถมาด้วยสำหรับตักน้ำสาดสู้กับรถที่ขับสวนมา หรือกับพวกที่ยืนจับกลุ่มถือถังน้ำรอสู้อยู่ข้างถนน บางคนมีกระบอกฉีดน้ำติดมาด้วย เขาจะฉีดน้ำสวนเข้าไปในกลุ่มคนที่สาดน้ำสู้กับเขา และฝ่ายนั้นก็ต้องรีบเอามือปิดหน้า หรือหันหลังให้กับสายน้ำกำลังสูง ก่อนที่มันจะกระฉูดเข้าลูกนัยน์ตาจนพลัดหลุดออกมา
สองข้างถนน หนุ่มสาวหลายกลุ่มยืนถือกระป๋องน้ำเรียงรายกันอยู่อย่างไม่ย่อท้อ คอยสาดน้ำเข้าใส่รถกระบะหรือมอเตอร์ไซค์ที่ขับผ่าน แต่หนุ่มบางคนก็จ้องที่จะสาดน้ำเจาะจงเข้าไปตรงหัวเทียนของรถมอเตอร์ไซค์เพียงอย่างเดียว เขาจะดีใจถ้ารถคันนั้นเครื่องดับลงด้วยฝีมือของเขา
ท่านท้าวมองไปที่สาวน้อยรุ่นกระเตาะสองคนที่ขี่มอเตอร์ไซค์ซ้อนกันมา สองเธอใส่เสื้อเกาะอกสีขาววาบหวามและเปียกโชก รถของเธอต้องหยุดเมื่อถึงด่าน ซึ่งหนุ่มน้อยผมทองกลุ่มหนึ่งยืนดักอยู่ พวกหนุ่มๆ กรูกันเข้าห้อมล้อมรถเอาไว้ คนหนึ่งยกกระป๋องน้ำใบใหญ่ขึ้น แล้วเทน้ำโครมลงบนหัวสองสาวจนหมดทั้งกระป๋อง คนที่ซ้อนท้ายมาถึงกับสำลัก อีกสองหนุ่มเอาแป้งดินสอพองเข้าลูบแก้มให้สองเธอ
คนหนึ่งใจอารีกว่าเพื่อน เขาล้วงมือเข้าไปในเสื้อเกาะอกบางเฉียบของสาวน้อยที่เป็นคนขี่รถ เอาดินสอพองลูบเคล้าเต้ากระเตาะให้สาวเจ้าคลายร้อน ! เฉลิมฉลองวันพญาวัน ท้าวท่านหลับตาลงแล้วทำใจให้เป็นอุเบกขา
เสียงหวีดร้องของสาวน้อยคนที่ถูกดินสอพองลูบเต้าดังก้อง ทำให้ท้าวเทพาพฤกษ์ลืมตา ! แต่ท่านกลับเห็นสาวน้อยคนนั้นสรวลระริก หนุ่มน้อยยังไม่ละมือออกจากเสื้อบางแนบเนื้อตัวนั้น.
ครั้นหนำใจกันแล้วทั้งสองฝ่าย สาวน้อยคนที่ขี่รถก็บิดคันเร่งมอเตอร์ไซค์ พาเต้ากระเตาะแรกแย้มเข้าลุยสู้กับกลุ่มหนุ่มด่านต่อไป พวกนั้นกำลังเตรียมดินสอพองถูมือรออยู่แล้ว !
ยังมีอีกหลายด่านที่เธอทั้งสองจะต้องฝ่าออกไปให้พ้น ! ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก จะไหวฤๅ ? ลูกเอ๋ย ! แล้วท้าวท่านก็รีบเรียกจิตกลับเข้าสู่อุเบกขา ปลงกับภาพที่เห็นแล้วก็แผ่เมตตาให้
มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งแฉลบล้มลง เมื่อหนุ่มผมสีม่วงคนขี่โดนน้ำทั้งถังสาดสวนเข้าเต็มหน้า ใบหน้าหล่อเหลา ซึ่งถูกประไว้ด้วยแป้งหอม ไถลไถเถือกไปกับพื้นถนนยางมะตอย จนมองเห็นกระดูกขาวเว่อที่โหนกแก้มข้างหนึ่ง ผู้คนพากันเข้าห้อมล้อมช่วยเหลือ ลากเขาเข้าไปนั่งพิงโคนต้นยางใหญ่ข้างศาล หาหยูกยาใส่ให้ตามมีตามเกิด รอรถพยาบาลที่จะมารับไปโรงหมอ
ที่เจ็บก็เจ็บกันไป มีบ้างที่ตายไป ที่อยู่ก็สาดน้ำกันอย่างสนุกสนานต่อไป ฉลองมหาสงกรานต์ ! ท่านท้าวเห็นสรรพสิ่งที่กำลังเป็นไปบนถนน มโนสำนึกแห่งความเป็นเทพผู้เคร่งศีลบอกองค์เองว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม !
มวลมนุษย์ที่คลาคล่ำอยู่บนถนนสายนี้เริ่มบางลงเมื่อบ่ายคล้อย ต่างก็อ่อนล้ากับสงครามน้ำที่สู้กันมาสุดฤทธิ์ พวกที่อยู่ตามริมถนนหลายคนกลับเข้าไปในบ้าน เด็กๆ บางคนเริ่มหนาวสั่นกลางแดดกล้า เขาและเธอจับไข้ เพราะกรำน้ำกรำแดดติดกันมาแล้วหลายเพลา
หนุ่มไก่อ่อนวัยสิบห้าที่เพิ่งจะหัดกินเหล้าเป็นครั้งแรก นอนฟุบหน้าจมกองอาเจียนของตนเองอยู่บนรถกระบะที่ตระเวนเล่นน้ำกันมาตั้งแต่เช้า สงครามน้ำในวันพญาวันของปีนี้ใกล้จะถึงเวลาสิ้นศึกในอีกไม่ช้านี้แล้ว
มืดแล้ว ! ถนนทั้งสายมีรถวิ่งบางตาลง แต่ก็ยังนองเจิ่งไปด้วยน้ำ ไฟริมถนนหน้าวัดเปิดขึ้น แสงสลัวของมันส่องมาถึงศาลที่โคนต้นยางใหญ่ หนุ่มสองคนเดินโซเซมาตามริมถนน ถึงต้นยางใหญ่ที่ท่านเทพสถิตย์อยู่ หมอเมาไม่เป็นคนมาตั้งแต่วันวาน จำแทบไม่ได้แม้แต่ชื่อตัวเอง แล้วเขาก็หยุดลงตรงโคนต้นยาง
คนหนึ่งเอามือทั้งสองข้างเท้ายันต้นยางไว้ ก้มหน้าลงแล้วก็โก่งคอ สิ่งที่อยู่ในกระเพาะอาหารขย้อนทะลักออกมาจากปากเป็นระลอก ราดรดที่โคนยางใหญ่ บางส่วนรดลงบนเกือกข้างหนึ่งของตัวเอง อีกคนหนึ่งเดินตุปัดตุเป๋เข้ามาที่ศาล เขาถ่างขาออก และใช้ความพยายามอยู่นานจึงรูดซิบกางเกงออกได้ แล้วก็ยืนโยกเยก แอ่น รดลงไปที่เสาของศาลนั้น ปากร้องด่าท้าทายให้จ้าวมาหักคอ !
ท้าวไท้มองดูหนุ่มเหน้าทั้งสอง แล้วมองดูศาลที่คนอื่นมาสร้างให้ ตอนนี้เสาของมันเปียกโชกด้วยน้ำมูตของหนุ่มคนนั้น ท่านดูป้ายชื่อที่คนอื่นตั้งให้อีกเหมือนกัน โทสะแม้แต่น้อยนิด แม้เพียงเศษเสี้ยวของเมล็ดงาก็มิได้กรายกล้ำเข้าสู่มโนสติ ท้าวเธอแน่วแน่อยู่กับอุเบกขา แล้วก็แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ทั้งมวล
จิตท่านเทพโปร่งใสและสงบนิ่ง ! สงบยิ่งกว่าวันใดๆ ในตลอดเวลาร้อยปีที่ผ่านมา เข้าสู่จตุตถาฌานโดยแท้ ดังน้ำบ่อน้อยที่ใสสะอาดบนยอดดอยสูง ซึ่งใสเสียจนมองเห็นกรวดทรายที่ก้นบึ้งได้ ท้าวไท้รู้ด้วยองค์เองว่า ณ วันพญาวันในวันนี้ ท่านกำลังจะย้ายไปสู่โลกุตระภพแล้ว ด้วยมหาศีลที่เพียรรักษามานานO