15 กุมภาพันธ์ 2550 19:41 น.

วิถีละอ่อนเมือง...(เด็กหญิงผู้มีความสุข)

ถนปายี

ตั้งแต่อินท์เหลาเกิดมา บัวลาก็นึกน้อยใจอยู่หลายหน เพราะใครๆ ก็ดูจะเห่ออินท์เหลาเสียจริง คงจะเพราะอินท์เหลา เป็นเด็กชายตัวขาวจั๊วะ เนื้อแน่น แก้มอวบๆ นั้น ดูจะเป็นสีชมพูอยู่ตลอดเวลา ทั้งปู่และย่า ก็คอยเอาใจเสียจริง ตอนอินท์เหลา เริ่มเดินเตาะแตะนั้น อินท์เหลาก็เริ่มแย่งบัวลาเล่นสิกก้องก๋อกับพ่อ เสียแล้ว

          ตอนบัวลายังเล็กอยู่ เวลาจะเข้านอน ก่อนที่แม่จะกางมุ้งนั้น พ่อมักจะให้บัวลาเล่น สิกก้องก๋อ กับพ่อทุกคืน พ่อจะนอนหงาย แล้วยกเท้าทั้งสองข้างขึ้นมา แล้วแม่จะจับบัวลาไปนั่งตรงปลายเท้าพ่อ พ่อก็จะโยกปลายเท้าขึ้นลงๆ ตัวบัวลาก็เหมือนจะลอยอยู่ใน อากาศได้อย่างนั้นแหละ บางครั้งพ่อยกตัวบัวลาขึ้นสูงไปหน่อย บัวลากลัวตกก็กอดขาพ่อเสียแน่น พ่อจะร้องเพลงตามไปด้วยว่า

"สิกก้องก๋อ บ่าหลอก้องแก้ง บ่าแคว้งสุก ปลาดุกเน่า หัวเข่าป๋ม หัวนมปิ้ว ปิ๊ดจะหลิ้ว ตกน้ำแม่กวง จะลงตังใด จะลงตังนี้ ตกโต้ม!"

พอถึงคำว่า โต้ม แค่นั้นแหละ พ่อก็จะแกล้งเอียงไปทางซ้ายไม่ก็ทางขวา ให้บัวลาตกลงบนฟูก แล้วพ่อก็หัวเราะเสียงดัง บัวลาก็หัวเราะชอบใจด้วยความตื่นเต้น แหมก็ตอนที่พ่อเอียงตัวจะให้บัวลาตกลงมาน่ะ มันยังกะเรือบินร่อนแน่ะ บัวลาก็คิดไปยังงั้นเองแหละ เกิดมายังไม่เคยเห็นเครื่องบินเลย จะเห็นก็แต่ในทีวีที่ไปดูกันหน้าร้านเจ๊กเฮงในตลาดแค่นั้นเอง 

          บางทีพี่แก้วเมืองก็อยากจะเล่นด้วย ตอนนั้นพี่แก้วเมืองอายุสัก 8-9 ขวบก็เท่าๆ กับบัวลาในตอนนี้แหละ แต่พี่แก้วเมือง ตัวโตมาก พ่อบอกว่าถ้าให้พี่แก้วเมืองเล่นสิกก้องก๋อด้วยสงสัยหลังพ่อจะหัก แม่บอกว่าพี่แก้วเมืองน่ะเหมาะจะเป็นช้าง ให้บัวลาขี่ มากกว่า เพราะพี่แก้วเมืองตัวโต แข็งแรง ไม่รู้ว่าแม่จะพูดถูกใจพี่แก้วเมืองหรือยังไง พี่แก้วเมืองถึงได้ยิ้มแก้มแทบปริ แล้วก็ยอม ให้บัวลาเล่นขี่หลังช้างอย่างเต็มใจ ไม่บ่นสักแอะ

          เวลาช้างเดินมันจะเดินโคลงเคลง พี่แก้วเมืองทำเสียง โหน่งเน้งๆ ไปด้วย พี่แก้วเมืองเคยเห็นช้างจริงๆ หลายหน เพราะ ชอบเข้าป่าไปกับปู่ พี่แก้วเมืองเล่าว่าในป่าลึกๆโน่น เขาตัดไม้กัน มีช้างไปลากไม้ อยู่หลายตัว บัวลาฟังแล้วแทบเนื้อเต้นเพราะ ไม่เคยเห็นช้างจริงๆ เลยตั้งแต่เกิดมา เลยได้แต่ขี่ช้างแก้วเมืองอยู่อย่างนี้

          แต่พออินท์เหลาเกิดมา ดูเหมือนใครๆ ก็จะแห่ไปสนใจน้องใหม่กันเสียหมด บัวลาเลยต้องตกกระป๋องไปชั่วคราว พอจะเล่น สิกก้องก๋อ พ่อก็บอกว่าให้อินท์เหลาเล่นก่อน บัวลาเป็นพี่ ต้องเสียสละให้น้อง บัวลาไม่เห็นอยากจะเป็นพี่เลยนี่นา แม้ว่าอินท์เหลา จะน่ารักยังไงก็เหอะ เล่นมาแย่งพ่อกับแม่ของบัวลา ไปครองเสียคนเดียว อย่างนี้ยอมไม่ได้

          บัวลานึกน้อยใจอย่างนั้นอยู่หลายปี แต่พออินท์เหลาเริ่มโตพูดจารู้เรื่องแล้ว ดูเหมือนว่าพ่อกับแม่ก็จะมีเวลาให้บัวลามากขึ้น เหมือนเดิม ตกเย็นพอกินข้าวกินปลาเสร็จ แม่จะชวนทุกคนไปนั่งเล่นที่ชานไม้กว้างนอกหลังคาบ้าน บางทีแม่ก็จะมีนิทานมาเล่า ให้ลูกๆ ฟังเหมือนกัน

          แม่ชี้ให้ดูดาวลูกไก่เจ็ดดวงบนฟ้า แล้วเล่าว่า ครั้งหนึ่งตากับยายยากจนมาก มีแม่ไก่ที่เลี้ยงไว้ เพิ่งฟักไข่ มีลูกไก่อยู่ 6 ตัว ตายายได้ข่าวว่าพระพุทธเจ้าจะเสด็จมาแถวบ้าน ตายายไม่รู้จะถวายอะไรดีเลยปรึกษากันว่าจะฆ่าแม่ไก่เพื่อทำอาหารถวาย พระพุทธเจ้า แม่ไก่ได้ยินก็ตกใจ เรียกลูกๆ มาหาแล้วบอกว่าพรุ่งนี้เขาจะเอาแม่ไปฆ่าแล้ว คืนนี้แม่จะได้อยู่กับลูกๆ เป็นครั้งสุดท้าย ขอให้ลูกๆ รักและสามัคคีกัน อย่าทะเลาะกัน ลูกไก่ก็ร้องไห้ทั้งคืน พอรุ่งเช้าตายายมาเอาแม่ไก่ไปฆ่าโยนเข้ากองไฟ ลูกไก่ทั้งหกตัว ก็กระโดดเข้ากองไฟตายตามแม่ ด้วยความรักแม่ถึงกับยอมอุทิศชีวิตตัวเองจึงทำให้ลูกไก่และแม่ไก่ได้ไปเกิดเป็นดาว อยู่บนฟ้าด้วย กันเจ็ดดวง

          บัวลาฟังแม่เล่าแล้วก็อดน้ำตาซึมไม่ได้ ถ้าใครมาเอาแม่ของบัวลาไปฆ่าแล้ว บัวลาจะอยู่ได้ยังไงนะ โอ้ยไม่เอาๆ บัวลาไม่คิด อะไรอย่างนี้อีกแล้ว เดี๋ยวบัวลาจะร้องไห้ ฟังแม่เล่านิทานอีกหลายเรื่องดีกว่า แม่มีนิทานมาเล่าเยอะแยะ ทั้งเรื่องจั๋นต๊ะฆาปูจี่ เต่าน้อยอองคำ หมาขนคำ บัวลาฟังแม่เล่านิทานไป ตาก็จ้องดูดาวที่กระพริบอยู่เต็มฟ้า แต่พอฟังไปฟังมา ดาวบนฟ้าก็ชักพร่ามัว แล้วก็ม่อยหลับไปตั้งแต่ เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

          พ่ออุ้มบัวลาแล้วจูงพี่แก้วเมืองเดินเข้าไปนอน ส่วนแม่อุ้มอินท์เหลาที่หลับไปก่อนบัวลาตั้งนานแล้ว พ่อจัดแจงให้บัวลานอน ตรงกลางกับอินท์เหลา แล้วพ่อกับแม่นอนขนาบคนละข้าง ส่วนพี่แก้วเมือง พ่อมีฟูกกับมุ้งให้นอนอยู่ใกล้ๆ กัน 

          เสียงสวดมนต์ของพ่อกับแม่ดังพึมพำสักครู่ก็เงียบลง บ้านทั้งหลังก็เงียบกริบ นานๆ ที จะได้ยินเสียงพ่อกรนดังมาแว่วๆ ส่วนบัวลานั้นหรือฝันว่าได้เข้าไปช่วยลูกไก่กับแม่ไก่ไม่ให้ถูกฆ่าตายเป็นอาหาร แล้วก็กระโดดไปช่วยจั๋นต๊ะฆาจี่ปูตัวน้อยสีเหลือง ในฝันนั้นบัวลารู้สึกว่าได้กลิ่นหอมของปูจี่ติดจมูกเลย ทีเดียว บัวลาคดข้าวมาจากไหนไม่รู้ แบ่งให้จั๋นต๊ะฆาจิ้มกินกับเนื้อปูที่ย่าง มาหอมๆ ชวนให้น้ำลายสอ 

          บัวลานอนหลับตายิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว กลิ่นนมจากตัวอินท์เหลาที่โชยมา เข้าจมูกก็ช่างหอมชื่นใจ เฮ้อ.ทำไมบัวลาถึงเป็น เด็กหญิงที่มีความสุขได้มากขนาดนี้นะ.				
15 กุมภาพันธ์ 2550 16:30 น.

วิถีละอ่อนเมือง...(แม่ค้าตัวจ้อย)

ถนปายี

สมัยบ่ะเก่าบ่ะก่อน แผ่นดินที่เรียกกันว่าล้านนา ยังไม่เจริญด้วยวัตถุมากมายเฉกเช่นปัจจุบัน วิถีชีวิตเรียบง่ายที่ผูกพันกับ ธรรมชาติคือวิถีชีวิตที่คุ้นเคยกันมาตั้งแต่อดีตกาล

          ละอ่อน หรือเด็กน้อยล้านนาในอดีตไม่ต้องรีบเร่งไปโรงเรียน ตั้งแต่เดินยังไม่แข็ง เหมือนในปัจจุบัน ละอ่อนหน้อย สมัยนั้นถ้าอายุไม่ถึงเกณฑ์เข้าโรงเรียน ก็จะอยู่กับบ้าน เล่นดิน เล่นทรายบ้าง ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ ตามแต่จะช่วยได้

          เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ที่เมื่อมองย้อนกลับไปในสมัยนั้นแล้วพบว่า มันมีการละเล่นมากมายให้เด็กให้เล่นกัน บางอย่างก็จำต่อๆ กันมา บางอย่างก็คิดขึ้น ประดิษฐ์ขึ้นใหม่ ใส่จินตนาการของ ตัวเองเข้าไปผสมผสาน 

          แต่ปัจจุบันนี้ การละเล่นต่างๆ เหล่านี้เริ่มเลือนหายไปแล้ว การเล่นขายครัวที่ใช้ใบไม้ แทนเงิน เก็บดอกผักปั๋งมาย้อมสี ให้เป็นน้ำหวาน ฉีกกาบกล้วยให้เป็นเส้นก๋วยเตี๋ยว กำลังถูกตุ๊กตาบาร์บี้และชายหนุ่มของเธอมาแทนที่ ปืนก้านกล้วย ม้าก้านกล้วย ก็ถูกรุกไล่ด้วยปืนพลาสติกจาก จีนแดง ยางรถถีบเก่าๆ ที่เคยเอามาตีล้อแข่งกันก็ถูกรถยนต์ของเล่นมาเบียดตกหายไปจากชีวิต ของละอ่อนล้านนาในปัจจุบันนี้เสียแล้ว

          บัวลา ละอ่อนล้านนาในอดีตจึงพาพี่ๆ เพื่อนๆ ในวัยเดียวกันมาทำความรู้จักกับละอ่อนในยุค IT เพื่อจะพาละอ่อน IT กลับไป สู่การละเล่นในอดีตของเด็กน้อยเมื่อครั้งที่คนในแผ่นดินนี้ยังสงบงามตามวิถีแต่โบราณ

                 .........................................................................


เมื่อประมาณยี่สิบกว่าปีก่อน ในหมู่บ้านชนบทเล็กๆแห่งหนึ่งในจังหวัดทางภาคเหนือ มีเด็กหญิง ตัวเล็กๆ คนหนึ่งเป็นที่รู้จัก ของทุกๆ คนในหมู่บ้าน ใครๆก็เรียกเด็กหญิงคนนั้นว่า บัวลา เธอเป็นเด็กหญิงอายุ 9 ขวบที่ตัวเล็กและผอมบาง บัวลามีพี่ชายหนึ่ง คนชื่อ แก้วเมือง อายุ 13 ปี พี่แก้วเมืองตัวโตกว่าบัวลาและแข็งแรงกว่าบัวลามากโข บัวลามีน้องชายอีกหนึ่งคนชื่อ อินท์เหลา อายุ เพิ่ง 5 ขวบกว่า อินท์เหลาหน้าตาน่ารัก ใครเห็นใครก็ชม แม่บอกว่าที่ให้ชื่อน้องว่า อินท์เหลา ก็เพราะว่าน้องหน้าตาน่ารัก โตขึ้นคงจะ หล่อเหลาเหมือนกับพระอินทร์ลงมาหล่อ มาปั้น มาเหลาให้กลมกลึง บัวลาฟังทีไรก็นึกน้อยใจทุกที ทำไมแม่ ไม่ปั้นให้บัวลาตัวโตกว่านี้ น่ารักกว่านี้บ้างนะ

          บัวลาตัวเล็กผอมบาง ผิวคล้ำ ป้าบัวคำข้างบ้านตัดผมให้บัวลาเสียตลก ผมหน้าม้าสั้นเต่อ ด้านข้างสั้นถึงติ่งหู ใครๆ เห็นก็หัวเราะ บัวลาอยากให้ผมยาวเร็วๆ จะได้มัดผมยาวเป็นพวง ผูกริบบิ้นเหมือนพี่ดวง พี่ไข่ในหมู่บ้าน ที่แต่งชุดนักเรียน ไว้ผมยาว ผูกผมไป โรงเรียนทุกวัน

          บัวลาเคยบ่นกับแม่ แม่ก็ได้แต่หัวเราะแล้วบอกว่าอีกหลายปีกว่าบัวลาจะโตเป็นสาวถ้าเมื่อไหร่ ที่บัวลายังไม่เลิกเล่นขายครัว บัวลาก็คงไม่ได้เป็นสาวกับเขาหรอก แต่..เอถ้าจะให้บัวลาเลิกเล่นขายครัวกับเพื่อนๆ บัวลาก็ไม่เอาเหมือนกัน ก็มันสนุกจะตายไป นี่นา ยิ่งวันเสาร์ วันอาทิตย์ พอบ่ายคล้อยมา แสงหล้าเพื่อนรักมาแอ่วที่บ้าน ก็ชวนกันลงไปเล่นที่ข่วงหรือลานหน้าบ้าน บัวลามีชุด เครื่องครัวชุดใหญ่ แม่บริจาคช้อนเคลือบสีน้ำเงิน สีเขียว 2-3 คัน พร้อมกับชามสังกะสีผุอีก 2-3 ใบ เอาไว้ให้บัวลากับแสงหล้าไว้เล่น ขายของ

          หน้าบ้านบัวลามีต้นหูกวางอยู่ต้นหนึ่ง บัวลาชอบไปเด็ดใบอ่อนของมันสีแดงๆ ที่ม้วนเป็นหลอดมาสมมุติว่าเป็นเนื้อหมู เอาไว้ ซอยใส่ก๋วยเตี๋ยวที่แสงหล้าฉีกใบตองเป็นริ้วๆ รอไว้แล้ว เครื่องปรุงก็ใช้ทราย ที่ร่อนไว้แล้วจากบ้านลุงเมือง ที่กำลังปลูกบ้านใหม่ นั่นแหละ หน้าบ้านลุงเมืองมีทรายกองโตทั้งที่ร่อนแล้วและยังไม่ได้ร่อน ทรายที่ร่อนแล้วมันละเอียดนุ่มมือ ไม่เหมือนทราย ที่ยัง ไม่ร่อน บางทียังมีสิ่งแปลกปลอมเหม็นๆ ซ่อนอยู่อีกต่างหาก

          บางครั้ง ถ้าเพื่อนอินท์เหลามาแอ่วที่บ้าน บัวลากับแสงหล้าก็จะเกณฑ์น้องๆ ให้มาเป็นคนซื้อ สตางค์ก็หาไม่ยาก เด็ดเอาใบ ลำไยที่ปลูกอยู่เต็มบ้านนั่นแหละมาใช้แทน ไม่ว่าจะเป็นเหรียญ 25 สตางค์ 50 สตางค์ ไปจนถึงเหรียญห้าบาท แบงค์สิบ แบงค์ร้อย ก็ใช้ใบลำไยแทนได้หมด แต่พี่แก้วเมืองเป็นคนซื้อมืออาชีพ เพราะมีธนบัตรที่ทำมาจากซองบุหรี่ทั้งสีเทา สีเขียว สีแดง เหมือนแบงค์ จริงๆ เป็นปึก พี่แก้วเมืองบอกว่าไปขอป้าปริกร้าน ขายของชำเก็บไว้ให้เวลาป้าขายบุหรี่หมดแล้ว น้องๆ แต่ละคนรอจะได้แบงค์ ที่ทำ จากซองบุหรี่ของพี่แก้วเมืองกันทุกคน เพราะมันดูเหมือนแบงค์จริงๆ แต่พี่แก้วเมืองก็ริบคืนทุก ทีเวลาเลิกเล่น พี่แก้วเมืองบอกว่า ถ้าไม่เก็บ เดี๋ยวอินท์เหลาจะเอาไปฉีกเล่น

          ส่วนแสงหล้าคนงาม ผิวขาวเหมือนหยวก ชอบขายขนมครกมากกว่าใคร พื้นดินที่เป็นมุมประจำของแสงหล้าจะเป็นหลุมๆ เต็มไปหมด เพราะแสงหล้าจะใช้ช้อนขุดให้เป็นหลุม แล้วเอาดินผสมน้ำพอเหลวเทลงไปในหลุมเหมือนเวลาหยอดขนมครก แล้วใช้ ทรายละเอียดสีขาวที่ทางเหนือเรียกว่า ทรายมุก โรยลงไปเหมือนน้ำกะทิราดหน้า ใครๆ ก็ว่าแสงหล้าท่าทางทะมัดทะแมงเหมือน แม่ค้าขายขนมครกจริงๆ

          ส่วนอินท์เหลาจอมซน ชอบไปเก็บลูกผักปั๋งสุกสีดำๆ มาละลายน้ำ จะได้น้ำสีม่วงอมชมพู อินท์เหลาบอกว่าใช้เป็นน้ำหวาน ดื่มเวลากินก๋วยเตี๋ยวของบัวลาเสร็จแล้ว หรือหลังกินขนมครกของแสงหล้า

          วันไหนถ้าพี่แก้วเมืองใจดีขึ้นมาก็จะปีนต้นมะม่วง หรือหากขี้เกียจก็จะใช้หนังสะติ๊กยิงผลมะม่วง หน้อยหรือมะม่วงขบเผาะ หล่นปุๆ มาให้น้องๆ สับทำอาหาร แต่พอเห็นพี่แก้วเมืองเช็ดผลมะม่วงกับกางเกงขาสั้นสีตุ่นๆ แล้วกัดกร้วมๆ นั้นแล้ว ทุกคนก็เลย ไม่ยอมเอามะม่วงไปเล่น สู้เอามากินดีกว่า อร่อยกว่ากันเยอะเลย

          บัวลากับแสงหล้าเล่นเป็นแม่ค้าขายข้าวขายขนมกันจนเย็น แม่ของแสงหล้าตะโกนข้ามรั้วมาว่า ให้แสงหล้ากลับบ้านไปช่วย ทำอาหารได้แล้ว เด็กๆ จึงต้องสลายตัวกันโดยปริยาย บัวลาและแสงหล้าเก็บอุปกรณ์ข้าวของไว้ในลังที่อยู่ใต้ถุนบ้าน แล้ววิ่งตื๋อ ไปหาแม่

          บัวลาช่วยแม่ก่อไฟควันโขมง กลิ่นไม้เกี๊ยะผสมปนเปไปกับ กลิ่นถ่านที่เริ่มจะติดไฟคลุ้งทั่ว ครัวไฟ หลังบ้าน อีกไม่นาน กลิ่นข้าวใหม่ที่แม่นึ่งก็จะส่งกลิ่นหอมไปถึงบ้านแสงหล้าเลยทีเดียว แม่ของบัวลาทำอาหารอร่อย โดยเฉพาะแกงแคกับแกงโฮะนั้น ลือไปหัวบ้านท้ายบ้านเลยทีเดียวว่า ฝีมือแม่ไม่มีใครเทียม บัวลาก็อยากจะทำอาหารเก่งๆ อย่างแม่บ้าง แต่ยังทำไม่ได้ซักที ก็เลย อวดฝีมือเวลาเล่นขายครัวเท่านั้นเอง

          บัวลาเลยฝันไว้ว่าสักวันหนึ่งบัวลาจะทำอาหารให้อร่อยไม่แพ้แม่เลยทีเดียว


............................................................................................................

น่าจะมีตอนต่อไปแหม คอยซักกำเน้อครับ				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟถนปายี
Lovings  ถนปายี เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟถนปายี
Lovings  ถนปายี เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟถนปายี
Lovings  ถนปายี เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงถนปายี