16 กรกฎาคม 2545 22:16 น.

ไดอารีของฉัน

ต้ยนุ้ย

ฉันรู้จักเขาในห้องๆ หนึ่ง บนโลกออนไลน์ 
ตอนนั้นฉันมีแฟนอยู่ในโลกของความเป็นจริง หากแต่เขามีแฟนอยู่ในโลกออนไลน์ 
แต่เราก็คุยกันบ่อยๆ แลกเปลี่ยนความรู้ในเรื่องการศึกษาต่อ และการใช้ชีวิต 
ในช่วงเวลาที่ฉันมีปัญหากับแฟน ฉันมักจะโทรไปหาเขาเพื่อขอความปรึกษา 
เขาก็มักจะบอกกับฉันว่าให้ใจเย็นๆ ปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ไข 
จนมันถึงวันหนึ่งที่ ฉันเห็นแฟนอยู่กับผู้หญิงคนอื่น 
ตอนนั้นฉันรู้สึกว่าฉันเหมือนถูกตบหน้า ฉันทำอะไรไม่ถูก นอกจากจะเดินออกมาเงียบๆ 
และโทรไปหาเขา เพียงเพื่อต้องการคุยกับใครสักคน ต้องการระบายเท่านั้นเอง 
หลังจากนั้นเราก้อคุยกันบ่อยขึ้น โทรหากันทุกวัน คุยกันทั้งๆ 
ที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน แต่ฉันก็รู้สึกว่า 
เขาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งของฉัน 
จนฉันแอบคิดไม่ได้ว่าเขาเข้ามาอยู่ในใจของฉันเกือบครึ่ง 

เมื่อครั้งที่เขามีเรื่องระหองระแหงกับแฟน เขามักจะโทรมาหาฉัน และมักถามฉันว่า 
ควรทำอย่างไรดี ฉันก็ได้แต่บอกเขาว่าใจเย็นๆ ทำให้ดีที่สุดแล้วกัน ทั้งๆ ที่ 
ในใจแล้ว ฉันอยากให้เขาเลิกกับแฟนแทบขาดใจ จนในที่สุดเขาก็เลิกกับแฟน 
และนั่นมันทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันเป็นเหมือนนางมารร้ายที่ทำให้เขาและแฟนต้องเลิกกัน 
เพราะว่าถ้าฉันกับเขาไม่คุยกัน ไม่สนิทกันมากกว่านี้ 
ก็คงจะไม่ทำให้เขาต้องเป็นอย่างนี้ หลักจากที่เขาเลิกกับแฟนแล้ว 
เขามักจะโทรหาฉันบ่อยขึ้น และโทรแทบทุกวัน จนมันทำให้ฉันรู้สึกว่า 
มีใครบางคนเฝ้ามองดูฉันจากที่แห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ไกลเหลือเกิน 
เป็นคนที่ฉันคิดว่าคงเอื้อมไม่ถึง แต่เขาก็คอยเป็นห่วงฉันอยู่เสมอ 

และวันหนึ่ง ฉันมีปัญหากับทางบ้าน ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว 
ฉันก็เป็นเด็กรักดีคนหนึ่ง ดูเหมือนไม่มีเรื่องที่ต้องนำมาคิดมากให้เปลืองสมอง 
แต่เมื่อความรู้สึกถูกกดดันมากขึ้น ทำให้ฉันทนไม่ได้ 
ฉันจึงขับรถออกจากบ้านทั้งน้ำตา ทั้งๆ ที่จุดหมายปลายทางของฉันยังมืดมน 
ฉันโทรศัพท์หาเขา เพียงเพื่อต้องการเพื่อน 
แค่ต้องการระบายว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับฉันเท่านั้นเอง 
ฉันรู้สึกว่าเขาตกใจมากที่ฉันร้องไห้ ฉันเล่าทุกอย่างให้เขาฟัง 
เขาบอกให้ฉันเข้าบ้าน เป็นผู้หญิงออกจากบ้านกลางคืนมันอันตราย 
เขาคุยกับฉันจนฉันรู้สึกดีขึ้น แต่มันก็แค่ช่วงเวลานั้นเท่านั้น 
ฉันตัดสินใจขับรถกลับบ้าน ไม่มีใครเฝ้ารอการกลับมาของฉัน 
นั่นมันทำให้ฉันน้อยใจมากขึ้น บวกกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น 
ทำให้ฉันตัดสินใจกินยาประชดชีวิตไปเกือบครึ่ง ฉันโทรหาเขาอีกรอบ 
บอกว่าฉันทำอะไรอยู่ ความรู้สึกตอนนั้น ฉันไม่ได้เรียกร้องความสนใจจากเขาเลย 
แต่ฉันคิดว่าเขาเข้าใจฉันในสิ่งที่เกิดขึ้น เข้าใจว่าฉันทำไปเพราะอะไร 
เขาโกรธฉันที่ฉันไม่รักชีวิต เขาบอกว่า ถ้าตอนนี้เขาอยู่ใกล้ๆ 
เขาคงจะอุ้มฉันไปโรงพยาบาลเพื่อล้างท้อง และคงไม่ปล่อยให้ฉันทำอะไรโง่ๆ 

ตกกลางคืนร่างกายของฉันเริ่มมีปฏิกิริยาเพิ่มขึ้น เริ่มกระสับกระส่าย 
ภายในร่างกายเริ่มปั่นป่วนและเริ่มรู้สึกว่าฉันกำลังจะตายใช่ไหม 
ฉันเริ่มคิดถึงแม่ คิดถึงน้องชาย คิดถึงพ่อ คิดถึงเพื่อน และคิดถึงเขา 
ฉันอาเจียนไปเป็นสิบๆ รอบ จนฉันแน่ใจว่า ฉันอาจจะไม่ตาย 
เพราะว่าเคยอ่านหนังสือว่า การกินยาฆ่าตัวตาย ต้องทำให้อาเจียนออกมา 
และกินนมเยอะๆ จะบรรเทาลงได้ วินาทีนั้น ฉันคิดว่า ตัวฉันเองไม่ตายแล้วล่ะ 

ฉันลากสังขารไปเปิดตู้เย็น เพื่อหานมสด แต่ฉันก็ไปไม่ไหว เริ่มตาลาย 
ฉันจึงตัดสินใจตะโกนเรียก แม่ ทั้งๆ ที่ตะโกนแทบไม่ไหว แม่ออกมาหาฉัน 
และตกใจในสภาพที่เห็น เพราะว่าฉันร้องไห้ ร่างกายฉันเริ่มดิ้น แม่มองไปข้างๆ 
เห็นขวดยาตกอยู่ แม่เริ่มร้องไห้ และบอกกับฉันว่า คิดอะไรโง่ๆ 
แม่จะพาฉันไปโรงพยาบาล แต่ฉันทักท้วงเอาไว้ เพราะคิดว่าคงไม่เป็นไรแล้ว 
เพียงแต่ร่างกายต่อต้านเท่านั้นเอง แม่เอานมสดมาให้ฉันกินเป็นลิตร 
ฉันเริ่มอาเจียนอีกหลายครั้ง จนแม่เริ่มสบายใจว่าคงไม่เป็นไรแล้ว 
แม่นั่งเฝ้าฉันทั้งคืน แม่ลูบหัวแล้วบอกฉันว่า อย่าทำอย่างนี้อีก ไม่มีพ่ออยู่ 
เราก็อยู่กันได้นี่นา ถ้าหนูเป็นอะไรไปแล้วแม่จะอยู่อย่างไร 
ฉันเริ่มร้องไห้อีก ร้องไห้เวทนาตัวเองที่ทำอะไรโง่ๆ 
ร้องไห้ที่ทำให้แม่ไม่สบายใจ และเป็นครั้งแรกที่แม่ร้องไห้เพราะฉัน 
และตั้งแต่ครั้งนั้น ฉันสัญญากับแม่ว่าจะไม่ทำให้แม่เสียใจอีก 

เขาโทรมาหาฉันแทบทุกชั่วโมง ถามถึงอาการที่เกิดขึ้น 
จนเขามั่นใจว่าฉันคงไม่เป็นอะไรแล้ว ฉันรู้สึกว่าเขาเอาใจใส่ฉันมากขึ้น 
เขามักจะถามถึงอาการค้างเคียงที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ เขาบอกให้ฉันดื่มน้ำเยอะๆ 
ดื่มนมเยอะๆ เขาทำให้ฉันรู้สึกว่า ฉันเป็นคนพิเศษของเขา 
คนที่เขาต้องดูแลปกป้อง แต่ว่าฉันกับเขาอยู่บนโลกออนไลน์ 
มันเป็นไปไม่ได้ที่ฉันและเขาจะคบกัน โดยที่ไม่เจอหน้ากัน 
เขาบอกให้ฉันเข้ามาหาทำงานในกรุงเทพฯ เพื่อที่จะได้อยู่ใกล้กัน 
ฉันก็ได้แต่บอกเขาว่า ฉันไปไหนไม่ได้หรอก ฉันทิ้งบ้าน ทิ้งแม่ 
ทิ้งถิ่นเกิดไปไหนไม่ได้ กรุงเทพฯไม่ใช่อนาคตของฉัน อนาคตของฉันคือที่ๆ ฉันอยู่ 

เขาบอกว่าจะมาหาฉัน ฉันบอกเขาว่า ฉันไม่สวยอย่างที่คิดหรอกนะ 
ในรูปกับตัวจริงมันคนละเรื่องกัน เขาบอกว่า หน้าตาไม่สำคัญเท่าจิตใจดีหรอก 
ฉันรู้ว่าเขาคงพูดปลอบใจตัวเอง แต่ฉันก็คิดว่า มันก็ดีเหมือนกันนะ คุยกันมานาน 
หมดค่าโทรศัพท์ก็ไม่น้อย มาเจอกันก็ดี จะได้รู้ว่าเขาและฉันมีนิสัยอย่างไร 
จะคบกันได้มั้ย ? แต่ฉันก็ไม่ได้คาดหวังไว้ว่าเขาจะต้องมาเป็นแฟนฉัน 
เพราะถึงเป็นแฟนกันไม่ได้ เราก็เป็นเพื่อนกันได้ ไม่มีอะไรจะต้องสูญเสียเลย 
ดีซะอีกที่จะได้มีเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งไว้เป็นความทรงจำในชีวิต 

เขาคงค่อนข้างผิดหวัง ว่าฉันไม่เป็นอย่างที่คิด ฉันไม่ใช่คนสวยสะดุดตา 
และฉันก็ไม่ใช่คนเรียบร้อยอย่างที่เขาต้องการ ฉันเริ่มผิดหวังในตัวเขา 
ผิวหวังที่เขาคาดหวังในตัวฉัน ผิดหวังที่เขาดูถูกความรู้สึกของตัวเขาเอง 
ผิดหวังที่ใจเขาไม่กว้างพอสำหรับคำว่าเพื่อน เพราะฉันรู้สึกว่า 
มิตรภาพระหว่างเพื่อนมันจะยั่งยืน และ เนิ่นนานกว่า 
แต่เขาก็ไม่ได้คิดมุมเดียวกับฉัน เขาคาดหวังในชีวิตเกินไป 
แต่ฉันก็ไม่โกรธเขาหรอก 
กลับต้องขอบคุณเขามากกว่าที่เขาได้มาทำให้ชีวิตช่วงหนึ่งของฉันมีคุณค่า 
เขาทำให้ฉันคิดอะไรได้มากขึ้น และเขาก็ทำให้ฉันเข้าใจคนโลกออนไลน์ได้ดีกว่าเดิม 
แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ฉันเกลียดโลกไซเบอร์หรอกนะ 
เพียงแต่มุมมองของโลกออนไลน์กับโลกของความเป็นจริงมันต่างกันเท่านั้นเอง				
16 กรกฎาคม 2545 22:05 น.

ยากจะอธิบาย

ต้ยนุ้ย

ชายคนหนึ่งนั่งหน้าเศร้าอยู่ในบาร์ 
พอดีมีคนรู้จักแวะเข้ามาเห็นจึงทักทายอย่างเป็น ห่วงว่า 

เฮ้ ทำไมมานั่งเหงาอยู่คนเดียวล่ะ มีเรื่องอะไรเหรอ 
ชาวนาส่ายหน้าแล้วตอบว่า 
บางครั้งบางเรื่องก้อไม่อาจอธิบายได้ 
มีเรื่องอะไรนักหนา เล่าให้ผมฟังสิ ชายมาใหม่ นั่งลงใกล้ๆ 

เมื่อเช้าผมนั่งรีดนมวัวอยู่ดีๆ พอนมวัวใกล้เต็มถัง 
ไม่รู้วัวมันเป็นอะไรขึ้นมา มันยกเท้าซ้ายเตะถังล้มคว่ำหมด 
เอ ฟังดูก้อไม่น่ามีอะไรมานี่นา 
บางครั้งบางเรื่องก้อไม่อาจอธิบายได้ ชาวนาตอบ 

ถ้างั้น เกิดอะไรขึ้นอีกล่ะ 
ผมก้อเลยมัดขาซ้ายมันไว้ กับเสาด้านซ้าย แล้วผมก้อรีดนมมันต่อ 
พอใกล้จะเต็มถัง มันก้อ ยกเท้าขวาเตะถังล้มลงอีก 
อีกแล้วเรอะ ชายที่ได้ฟังหัวเราะ 
แล้วคุณทำไงต่อล่ะ 
บางครั้งบางเรื่องก้อไม่อาจอธิบายได้ ชาวนาตอบ ก่อนที่จะเล่าต่อ 

ผมก้อเลยมัดขาขวามันไว้กับเสาด้านขวา 
แล้วหลังจากนั้นล่ะ 
ผมก้อรีดนมมันต่อ พอใกล้เต็มถังอีก 
 มันก้อใช้หางปัดถังล้มลง 
ฮืม... ชายผู้นั้นพยักหน้า หงึกๆ 
บางครั้งบางเรื่องก้อไม่อาจอธิบายได้ ชาวนาบอกอีก 

แล้วคุณทำไงต่อล่ะ 
ผมหาเชือกไม่ได้ เพราะใช้หมดไปแล้ว ผมก้อเลยถอดเข็มขัดออก 
แล้วคล้องหางมันไว้กับคาน 
นาทีนั้นเอง กางเกงผมก้อหลุดลงกองกับพื้น แล้วเมียผมก้อเดินเข้ามาพอดี 
คุณว่ามั๊ย บางครั้งบางเรื่องก้อไม่อาจอธิบายได้				
16 กรกฎาคม 2545 21:59 น.

ข้อคิดในการดำเนินชีวิต

ต้ยนุ้ย

1. อย่าทำลายความหวังของใครเพราะเขาอาจเหลืออยู่แค่นั้นก็ได้ 

2. เมื่อมีคนเล่าว่าตัวเขามีส่วนในเหตุการณ์สำคัญอะไรก็ตามเราไม่ต้องไปคุยทับปล่อยเขาฟุ้งไปตามสบาย 

3. รู้จักฟังให้ดี โอกาสทองบางทีมันก็มาถึงแบบแว่ว ๆเท่านั้น 

4. หยุดอ่านคำอธิบายสถานที่ทางประวัติศาสตร์ซึ่งอยู่ตามริมทางเสียบ้าง 

5. จะคิดการใดจงคิดการให้ใหญ่ ๆเข้าไว้แต่เติมความสุขสนุกสนานลงไปด้วยเล็กน้อย 

6. หัดทำสิ่งดี ๆให้กับผู้อื่นจนเป็นนิสัยโดยไม่จำเป็นต้องให้เขารับรู้ 

7. จำไว้ว่าข่าวทุกชนิดล้วนถูกบิดเบือนมาแล้วทั้งนั้น 

8. เวลาเล่นเกมกับเด็ก ๆ ก็ปล่อยให้แกชนะไปเถิด 

9. ใครจะวิจารณ์เรายังไงก็ช่าง ไม่ต้องไปเสียเวลาตอบโต้

10. ให้โอกาสผู้อื่นเป็นครั้งที่ สองแต่อย่าให้ถึงสาม

11. อย่าวิจารณ์นายจ้างถ้าทำงานกับเขาแล้วไม่มีความสุขก็ลาออกซะ

12. ทำตัวให้สบาย อย่าคิดมาก ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแล้วอะไร ๆ มันก็ไม่ได้สำคัญอย่างที่คิดไว้ทีแรกหรอก

13. ใช้เวลาน้อย ๆ ในการคิดว่า ใคร เป็นคนถูกแต่ใช้เวลาให้มากในการคิดว่า อะไร คือสิ่งที่ถูก

14. เราไม่ได้ต่อสู้กับ คนโหดร้าย แต่เราต่อสู้กับ ความโหดร้าย ในตัวคน

15. คิดให้รอบคอบก่อนจะให้เพื่อนต้องมีภาระในการรักษาความลับ

16. เมื่อมีใครสวมกอดคุณ ให้เขาเป็นฝ่ายปล่อยก่อน

17. ยอมที่จะแพ้ในสงครามย่อย ๆ เมื่อการแพ้นั้นจะทำให้เราชนะสงครามใหญ่

18. เป็นคนถ่อมตนคนเขาทำอะไรต่ออะไรสำเร็จกันมามากมายแล้วตั้งแต่เรายังไม่เกิด

19. ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้ายเพียงใด...สุขุมเยือกเย็นเข้าไว้

20. อย่าไปหวังเลยว่าชีวิตนี้จะมีความยุติธรรม

21. อย่าให้ปัญหาของเราทำให้คนอื่นเขาเบื่อหน่ายถ้ามีใครมาถามเราว่า เป็นยังไงบ้างตอนนี้ ก็บอกเขาไปเลยว่า สบายมาก

22. อย่าพูดว่ามีเวลาไม่พอ เพราะเวลาที่คุณมีมันก็วันละยี่สิบสี่ชั่วโมง เท่า ๆกับที่ หลุยส์ ปาสเตอร์ , ไมเคิลแอนเจลโล , แม่ชีเทเรซา, ลีโอนาร์โด ดา วินชี, ทอมัส เจฟเฟอร์สัน หรืออัลเบิร์ต ไอสไตน์ เขามีนั่นเอง

23. เป็นคนใจกล้าและเด็ดเดี่ยว เมื่อเหลียวกลับไปดูอดีตเราจะเสียใจในสิ่งที่อยากทำแล้วไม่ได้ทำมากกว่าเสียใจในสิ่งที่ทำไปแล้ว

24. ประเมินตนเองด้วยมาตรฐานของตัวเอง ไม่ใช่ด้วยมาตรฐานของคนอื่น

25. จริงจังและเคี่ยวเข็ญต่อตนเอง แต่อ่อนโยนและผ่อนปรนต่อผู้อื่น

26. อย่าระดมสมอง เพราะไอเดียดี ๆ ใหม่ ๆ และยิ่งใหญ่จนสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ ล้วนมาจากบุคคลที่คิดค้นอยู่แต่เพียงผู้เดียวทั้งสิ้น

27. คงไว้ซึ่งความเป็นคนเปิดเผย อ่อนโยน และอยากรู้อยากเห็น

28. ให้ความนับถือแก่ทุกคนที่ทำงานเพื่อเลี้ยงชีพ ไม่ว่างานที่เขาทำนั้นจะกระจอกงอกง่อยสักปานใด

29. คำนึงถึงการมีชีวิตให้ กว้างขวาง มากกว่าการมีชีวิตให้ ยืนยาว

30. มีมารยาทและอดทนกับคนที่สูงวัยกว่าเสมอ คุณทำอย่างนั้นอยู่หรือเปล่า?				
16 กรกฎาคม 2545 21:53 น.

่คำสอนจากอากง

ต้ยนุ้ย

.....กาลครั้งหนึ่ง.....เมื่อไม่นานมานี้..... 

.....มี..อากง..แก่ๆ...อยู่คนนึ่ง...อยากจะสอนข้อคิดอะไรบางอย่างให้หลานๆ...ตามปะสาคนแก่.... 

.....อากง...จึงเรียกหลานๆทั้งสี่มานั่งล้อมโต๊ะสี่มุม....แล้วบอกหลานทั้งสี่ว่า 
เอาล่ะหลานๆ..ตอนนี้หลับตา..นะ..หลับตา..... 

.....พอหลานๆหลับตา...อากง...ก็เดินเข้าไปห้องเก็บของ...แล้วหยิบโคมไฟเก่าๆมาอันนึ่ง... 
.....อากง...เปิดฝาครอบ...จุดไฟ...แล้วปิดฝาครอบ..... 
.....แล้ว...อากง...ก็บอกหลานทั้งสี่...ว่า... 
ลืมตาขึ้น..แล้วบอก...อากง...ซิว่าโคมไฟสีอะไร...? 

....เด็กทั้งสี่ลืมตาขึ้น....ตอบไล่ๆกัน....ตอบไม่เหมือนกัน...และเริ่ม...ทะเราะกัน.... 

....คนที่นั่งด้านนึ่งบอกว่า...สีแดง...อีกด้านนึ่งบอกว่า...เขียว...สีเหลือง...และน้ำเงิน....ตามลำดับ.... 
....ทั้งสี่ทะเราะกันพักนึ่ง....ก็มีเด็กคนนึ่งถาม...อากง...ว่า...... 
....อากง....ทำไมของอย่างเดียวกัน...มีตั้งหลายสี........... 
อากง...ก็เลยบอกว่า...เดี๋ยวนะ...อากง...จะทำอะไรให้ดู.... 

....อากงเดินมาที่โต๊ะ...หยิบฝาครอบแล้วหมุนให้ดู...ปรากฎว่า.... 

....ฝาครอบสี่ด้าน....สี่สี...แดง...เหลือง...เขียว...น้ำเงิน... 

....หลังจากนั้น...อากง...ก็บอกว่า....เอ๊าตอนนี้บอกอากงซิ...โคมไฟสีอะไร...? 
....หลานๆ....ตอบเหมือนกันคือสีของเปลวไฟ..... 
อากง..เลยบอกว่า...เอาล่ะหลาน...อากง..ถามอะไรชักสองข้อนะ.... 
ข้อที่..1.....เมื่อสักครู่นี้....ครั้งแรก...ไครผิด.... 
......หลานตอบว่า....ไม่รู้..... 
อากง...บอกว่า....รึว่า...อากง..ผิด........ 
อากง...เลยบอกอีกว่า...ฟังนะ..เจ้าทั้งสี่..นั่งอยู่ในที่เดียวกัน.... 
......มองของ อย่างเดียวกัน...ในเวลาเดียวกัน...ยังเห็นไม่เหมือนกันเลย..... 
ทำไม..? ทำไมถึงไม่มีใครผิดล่ะ.... 

อากง..เลยบอกว่า...ก็เพราะคนทุกคนมองจากมุมมอง...ของตัวเอง...เห็นในสี่งที่ตัวเองเห็น 

....แต่..ถ้าเจ้าอยากเข้าใจว่าทำไมคนอื่นเห็น...อย่างที่เขาเห็น...เจ้าก็เดินไปมองที่มุมของเขา 
....แล้วเราก็จะเห็นอย่างที่เขาเห็น.... 

แต่ถ้าลองนึกภาพนะ....เจ้าทั้งสี่...นั่งอยู่ที่เดียวกัน...มองของอย่างเดียวกัน...ไนเวลาเดียวกัน 
...ยังเห็นไม่เหมือนกันเล๊ย.... 
ในอนาคต....เวลาที่อยู่ในสังคม...เป็นไปได้มั๊ย... 
คน..ก็มองสี่งต่างๆ....ไม่เหมือนกัน...... 
เพระฉนั้น....เวลาที่คนคิดไม่เหมือนเรา....ใครผิด... 

ในอนาคตนะ...เวลาที่เจ้าคิดไม่เหมือนคนอื่น....อย่าไปโกรธว่าเขาผิด...อย่าไปกลัวว่า...ตัวเองผิด.... 

เพราะคนแต่ละคน...ก็เห็นสี่งต่างๆ...จากขอบข่ายประสบการณ์และสี่งแวดล้อมของตนเอง.... 

แต่ถ้าเจ้าอยากเข้าใจว่า...ทำไมคนอื่นถึงคิดแบบนั้น....เจ้าก็เดินไปมุมของเขา....และเมื่อเจ้า 

ยอมเข้าใจคนอื่น....อาจเป็นไปได้ว่าคนอื่นก็อาจจะยอมที่จะเดินมา....และเข้าใจเจ้า..... 

คำถามที่...2 อากง..บอกว่า....ที่เห็นครั้งแรกกับครั้งหลัง....เป็นของอย่างเดียวกันมั๊ย? 
......หลานบอกว่า....อย่างเดียวกัน..... 
แล้วเห็นเหมือนกันมั๊ย....?....ครั้งแรกเห็นอะไร...? 
......หลานตอบว่า...ฝาครอบ....และครั้งหลังเห็นเปลวไฟ.... 
อากงเลยบอกว่า....หลานๆเอ๊ย... 

ในอนาคตถ้าเลือกได้นะ...อย่ามองสี่งต่างๆ...เพียงแค่ที่เห็น...จงเข้าใจสี่งต่างๆ...อย่างที่เป็น 
คำเล่าจากผู้แต่งหนังสือ เพียงเพื่อกำลังใจ				
16 กรกฎาคม 2545 21:41 น.

บันทึกของ...เธอ

ต้ยนุ้ย

บนรถเมล์ 

ตัวหนังสือสามารถบอกเล่าเรื่องราวความเป็นไปได้ดีกว่าคำพูดมากมายนัก 
จึงไม่น่าแปลกที่ฉันจะหลงใหลในเสน่ห์ของตัวอักษรมาหลายปีดีดักแล้ว 

ฉันมักจะเรียกตัวเองว่า คนเขียนหนังสือ อยู่เสมอไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกันคงเพราะว่าฉันเขียนหนังสือไม่ดีพอที่จะเรียกตัวเองว่ากวี ได้ล่ะมั้ง 
โลกของตัวอักษรสวยงามนัก แค่มีปากกาสักด้าม เศษกระดาษสักแผ่น 
และมีเขาคนนั้นเป็นพระเอกของเรื่องสักคนก็คงเพียงพอ 
เรื่องราวความรักของฉันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ 
รู้เพียงแต่ว่าในสมุดบันทึกประจำวันของฉัน 
มีชื่อเขาตั้งแต่วันมอบตัวทีเดียว 

คงเพราะความบังเอิญที่ทำให้เราสองคนมักจะได้ทำอะไรด้วยกันเสมอ 
ได้เล่นละครด้วยกัน 
ได้นั่งคู่กันในห้องทดลองวิทยาศาสตร์ 
หรือแม้กระทั่งไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยครั้ง 
แต่เรากลับไม่ได้ใกล้ชิดกันเท่าที่ควร 
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม 
จนวันหนึ่ง 

มีนอยากวาดรูปเหรอ เราสอนให้ก็ได้นะ 

นี่แหล่ะประโยคสำคัญที่ทำให้เราสองคนได้มีโอกาสใกล้ชิดกันมากขึ้น 
เขารีบกระวีกระวาดไปหากระดาษกับดินสอมาวางไว้ตรงหน้าฉัน 
ไม่รู้ว่าวิญญาณครูไปสิงอยู่กับชายคนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน 
เขาลากเส้นเป็นตัวอย่างแล้วให้ฉันลองทำตามไปช้าๆ 
ลมที่พัดแรงทำให้ผมของฉันปลิวจนยุ่งไปหมด 

ขอโทษนะ 

เขาพูดแล้วเอื้อมมือมาหยิบปอยผมของฉันที่ปลิว 
เพื่อเหน็บหูของฉันไว้อย่างเดิม 

ขอบคุณนะเฟิร์ส ฉันพูดเขินๆ 

ใบหน้ากลายเป็นสีแดงระเรื่อ 
เขายิ้มบางๆเหมือนกับจะบอกว่าไม่เป็นไร 
หลังจากทนนั่งดูฉันลากเส้นที่ดูไม่ได้เอาเสียเลยมาเป็นเวลานาน 
เขาก็ลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจแล้ว 
ส่ายหน้าไปมาอย่างหดหู่ 

แย่กว่าเราตอนฝึกวาดใหม่ๆซะอีก 
เขาทำท่าทางเหมือนครูที่กำลังดุนักเรียนอยู่ยังไงยังงั้น 

ก็คนมันไม่เก่งนี่นา 
ไม่ต้องสอนก็ได้นะ ฉันบ่นเบาๆแล้ววางดินสอลงแรงๆ 
เอาเหอะฝึกต่อไปละกันฮะ 

วาดรูปน่ะไม่ยากหรอกถ้ามีคนสอนดีๆอย่างเรา 
เขาบอกยิ้มๆ 

ฉันส่ายหน้ากับความหลงตัวเองของเขาหลงตัวเองจริงๆนะนายเฟิร์สจอมเก๊ก 
เราสนิทกันมากขึ้นทุกทีสนิทท่ามกลางเสียงแซวและวิพากษ์วิจารณ์ของเพื่อนที่ 
ไม่เว้นแม้แต่ในคาบเรียนสวีทกันจังเลยคู่นี้ 
เสียงเพื่อนๆที่ดังมาจากด้านหลังห้องทำให้ฉันต้องวางดินสอลงอายๆ 

เฮ้ย! เธออย่าแซวซิ 
เราไม่ได้คิดอะไรอย่างนั้นสักหน่อย เฟิร์สแก้ตัวให้ 

เพื่อนๆทำสีหน้าไม่เชื่อ 
แต่พอเห็นหน้าตาเอาเรื่องของฉันก็เลยจำใจต้องสงบปากสงบคำแล้วเดินหนีไปคุยกันที่ 
อื่นแทน 

ช่างเขาเหอะ 
ฉันพูดเบาๆแล้วก้มหน้าก้มตาวาดรูปต่อไป 

มีนเรามีอะไรจะบอก เขาพูดท่าทางเขินๆ 
อารายเหรออออ 
ฉันเงยหน้าขึ้นมองแล้วพูดลากเสียงยาว 

เราชอบผู้หญิงคนหนึ่งนะ 
สีหน้าอายๆของเขาทำให้ฉันแอบหวังอยู่ลึกๆว่านี่ 
คงจะเป็นวิธีการบอกรักทางอ้อมของเขา แต่. 

คนนั้นไง 
ว่าแล้วเขาก็ชี้ไปที่เพื่อนร่วมสถาบันคนหนึ่งที่หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู 
ฉันหันไปยิ้มล้อ 
บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมไม่รู้สึกเสียใจอะไรเลยจนนิดเดียว 
อาจจะเป็นเพราะว่าฉันไม่เคยหวังให้เขามารัก 
แค่รู้สึกรักเขาอยู่ฝ่ายเดียวก็พอ 

เสียงออดบอกเวลาเลิกเรียนดังขึ้น 
ฉันวางดินสอลงโดยอัตโนมัติ เรากลับแล้วนะ ฉันบอกเบาๆ 
ขอบคุณสำหรับการสอนวาดรูปและทุกๆอย่างนะ 
มีนพูดเหมือนสั่งลาเลย เขาพูดติดตลก 
อย่างกับเราจะไม่ได้สอนมีนอีกอย่างนั้นแหละ ใครจะไปรู้ล่ะ 
ชีวิตมันไม่แน่หรอกเฟิร์ส ฉันพูดทีเล่นทีจริง 
แล้วเดินไปปิดกระจก 
และประตูห้องเรียน เขาเดินมาช่วยอีกแรงหนึ่ง 

วันเสาร์เจอกันที่เรียนพิเศษแล้วกันนะ บ๊ายบาย 
เขาบอกลาแล้วโบกมือให้ 
ฉันยิ้มรับแล้วโบกมือตอบไป กลับบ้านดีๆนะจ้ะหนูมีน 
เสียงตะโกนของเขาที่ดังตามหลังมา 
ทำให้ฉันแอบอมยิ้มบางๆอย่างมีความสุข 
ฉันนั่งคิดถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นระหว่างฉันกับเขานับตั้งแต่วันแรกที่รู้ 
จักกัน ตลอดเส้นทางกลับบ้าน 
ไม่เคยคิดเลยว่าผู้ชายที่แสนจะธรรมดาคนนี้จะกลายมาเป็นคนสำคัญของหัวใจ 
ถึงจะรู้ว่าเขามีคนที่เขาชอบอยู่แล้ว 
แต่นั่นก็ไม่สำคัญอะไรเพราะฉันก็ยังคงมีความสุขที่จะรักเขา 
ที่จะได้เห็นรอยยิ้ม 
ได้ยินเสียงหัวเราะของเขา 
มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับฉันคนนี้แล้ว 
ฉันหยิบภาพเหมือนของฉันที่เขาวาดให้ตอนวันเกิดขึ้นมาดู 

สุขสันต์วันเกิดนะครับ 
ฉันยังจำเสียงใสๆของเขาที่บอกตอนเช้าตรู่ในวันสำคัญของฉัน 
มีความสุขมากๆนะครับมีน 
รอยยิ้มจริงใจของเขาในวันนั้นยังบันทึกอยู่ในความทรงจำของฉันเสมอมา.ไม่เคยลบเลือน 

โครมมมมมมม!!!!!! เสียงดังขึ้นที่ถนนสายหนึ่ง 
บรรดาไทยมุงต่างพากันมามุงดูเหตุการณ์รถคว่ำ 
ร่างของหญิงสาวคนหนึ่งถูกหามออกมา 
กระดาษวาดเขียนตกลงมาจากมือที่เปียกชุ่มไปด้วยเลือดของเธอ 
ชายแก่คนหนึ่งหยิบขึ้นมาดู 
เห็นหยดเลือดเปรอะไปทั่วแผ่นกระดาษนั้น 
แต่ก็พอจะมองเห็นลางๆ ว่าเป็นภาพวาดของหญิงสาวที่กำลังยิ้มสดใสในชุดนักเรียนโรงเรียนมัธยมปลายชื่อดัง 
มีลายมือที่เขียนไว้ใต้ภาพอย่างสวยงามว่า 

เพียงความทรงจำเฟิร์ส 

ชายแก่คนนั้นทิ้งภาพไว้ที่เดิมอย่างไม่ใคร่สนใจใยดีนัก 
ลมเริ่มพัดกระหน่ำแรงขึ้นเรื่อยๆ 
จนทำให้กระดาษแผ่นนั้นปลิวตกลงไปบริเวณลำคลองริมถนนและค่อยๆจมหายลงไปใต้ผืนน้ำนั้น 

ผมได้สมุดเล่มนี้มาจากเพื่อนสนิทของเธอ 
ผมเลยขอเขียนเรื่องนี้ให้จบด้วยมือของผมแทน 

เมื่อเช้าวันเสาร์ที่ผ่านมา 
ผมไปเรียนพิเศษก็นึกแปลกใจอยู่ตะหงิดๆว่าทำไมเธอถึงไม่มาเรียน 
เพราะปกติเธอไม่ใคร่จะชอบหยุดเรียนนัก 
ก็บังเอิญผมไปพบเพื่อนสนิทของเธอเข้าพอดิบพอดี 

เฟิร์สรู้เรื่องมีนหรือยัง 
เขาถามผมทันทีที่พบกัน 
สีหน้าของเขามีแววเศร้าๆปรากฏอยู่ ตาก็ดูบวมแดงผิดปกติ 
ยังครับ มีนทำไมเหรอ ผมถามยิ้มๆ 
เธอก็คงไม่สบายแต่อาจจะหนักหน่อยถึงยอมขาดเรียนวันนี้ผมคิด 

มีนรถคว่ำ 
ตอนนี้อยู่ห้อง ICU โรงพยาบาล. เขาบอก 

ผมอึ้งไปสักพักใหญ่ๆ 
พอได้สติอีกทีก็มายืนอยู่หน้าห้อง ICU 
โรงพยาบาลแห่งหนึ่งข้างๆเพื่อนสนิทของเธอคนเดิม 
เขาจัดการเป็นธุระไถ่ถามพยาบาลถึงเตียงของเธอเพราะไม่เห็นเธออยู่ที่เตียงเดิม 

เสียใจด้วยนะคะ คุณมีนาหัวใจล้มเหลวเมื่อ 15 
นาทีที่แล้วค่ะ 
หูผมอื้อไปหมดจนไม่ได้ยิน 
เสียงพยาบาลที่พูดอธิบายเรื่องราวต่อจากนั้น 
ถ้าจะถามผมว่าวินาทีนั้นผมรู้สึกเช่นไร 
ผมก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน 
รู้เพียงแต่ว่าน้ำตาลูกผู้ชายไหลออกมาท่วมใบหน้าของผมตั้งแต่ได้รับรู้ว่า 
เธอจากไปแล้ว .... 

.......... 

ผมอ่านบันทึกเล่มนี้หลังจากที่ร่างของเธอฌาปนกิจเสร็จเรียบร้อยแล้ว 
ผมเพิ่งรู้ว่าเธอรักผม 
แต่ทำไมเธอถึงไม่รู้เลยว่าคำพูดที่ผมพร่ำบอกกับเธออยู่บ่อยครั้งว่า 

รักกับชอบแตกต่างกัน 
มันคือสิ่งที่ผมอยากให้เธอรับรู้ 
ผู้หญิงคนที่ผมเคยชี้ให้เธอดูคือคนที่ผมชอบ 
แต่ผู้หญิงคนที่ผมรักคือ 

เธอคนนี้ 

เธอคนที่เข้าใจและเป็นกำลังใจให้ผมอยู่เสมอ 
เธอจากไปอย่างไม่มีวันกลับทั้งๆที่ยังไม่รู้เลยว่าผมคิดอย่างไรกับเธอ 
ถ้าผมสามารถขอพรวิเศษใดๆได้ 
ผมอยากจะขอแววตาคู่นั้นที่เคยจ้องมองผมด้วยความรู้สึกดีๆอยู่เสมอ 
รอยยิ้มที่เคยมีให้เวลาผมท้อแท้ 
เสียงหัวเราะที่เคยทำให้โลกทั้งโลกดูสดใส 

ผมอยากจะขอให้เธอกลับคืนมา 

เธอคือรักครั้งแรกของผม 
อาจต้องใช้เวลามากสักหน่อยในการทำใจว่า 
ต่อจากนี้จะไม่มีเธออยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว.... 
ไม่มีคนที่เข้าใจและคอยห่วงใยผมตลอดมา 
แต่ผมรู้เสมอว่าเธอจะคอยจ้องมองผมอยู่ห่างๆเหมือนอย่างเคย 
เพราะนั่นคือสิ่งที่เธอเรียกมันว่าความสุข 
และเธอจะรอผมอยู่ ณ ที่แห่งนั้น 
ตรงดินแดนแห่งความรักที่สร้างไว้สำหรับเราเพียงสองคน 
สักวันผมจะไปหาเธอ 

หลับให้สบายนะครับมีน 
หลับตาเถอะนะแล้วเราก็จะพบกันอาจเป็นเพียงฝันก็พอใจ 
หลับตาเถอะนะถึงตัวเราจะแสนไกลห่างกันเพียงไหนก็ใกล้เธอ 

ชีวิตขีดเส้นทางไว้ให้เราเจอกันขีดทางที่ผกผันให้มีวันห่างไกล 
หลับตานานนานคิดถึงวันเก่าจะยังมีเราสองคนหลับตาเถอะนะคนดี				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟต้ยนุ้ย
Lovings  ต้ยนุ้ย เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟต้ยนุ้ย
Lovings  ต้ยนุ้ย เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟต้ยนุ้ย
Lovings  ต้ยนุ้ย เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงต้ยนุ้ย