16 มิถุนายน 2550 21:24 น.
ต่อง (ต้อง) ksg
**.. วิพากษ์บทกวี ..**
จนมาถึง ณ วันนี้ วงการวรรณกรรมไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในซีกของวรรณกรรมร้อยกรองเริ่มมีความคึกคักขึ้นมาเป็นระยะ แต่คงแปลกที่ว่าการตื่นตัวครั้งนี้มิได้ปรากฏตามแผงหนังสือเหมือนแต่ก่อน แต่กลับมาปรากฏบนโลกไอที ไซเบอร์ หรืออินเตอร์เน็ตตามแต่ใครจะเรียกขาน ความแปลกต่อมาคือร้อยกรองที่อยู่ในโลกไซเบอร์เหล่านี้ถึงจะมีมากมายจนจินตนาการได้ว่า ถ้านำร้อยกรองในเว็บไซด์หนึ่งๆที่โพสลงเพียงอาทิตย์เดียวมารวมเล่มแล้วก็น่าจะรวบรวมได้หลายเล่มเลยทีเดียว แต่ก็เกิดคำถามว่า ผลลัพธ์ที่เราได้คือปริมาณหรือคุณภาพ? ................ อดีตที่ผ่านมาผลผลิตทางความคิดที่ถูกกรองออกมาเป็นผลงานวรรณกรรมแม้จะไม่กลาดเกลื่อนแต่ก็พร้อมด้วยเนื้อหาสาระ สำนวน ศิลป์และศาสตร์ กลับกันในปัจจุบันผลผลิตของวรรณกรรมแพร่สะพัดอย่างล้นหลามจนจับเนื้อหาสาระ สำนวน ศิลป์และศาสตร์แทบไม่เจอ บางคราวผู้แต่งก็เพียงจับคำยัดๆลงไปในผังฉันทลักษณ์แล้วก็อุปทานไปว่านี่คือ บทกวี บางคนก็กล่าวว่าบทกวีไม่ถูกฉันทลักษณ์ก็ไม่เป็นไร เพี้ยนขนาดไหนก็ไม่ว่ากัน ขอให้มีความรักและศรัทธาต่อผลงานก็พอหรือที่มักเอ่ยอ้างว่าตนเองมี หัวใจกวี มันออกจะดูสวยหรู ดูดี แต่มันจะต่างอะไรกับความมักง่ายและมันก็คือการทำลายวงวรรณกรรมเสียเอง เพราะถ้าหากทุกคนคิดแต่เพียงเขียนอะไรก็ได้ ถูกๆผิดๆช่างมัน แล้วก็เอาคำว่า หัวใจกวี มาเป็นเกราะกำบังตัวเอง ป้องกันการวิพากษ์วิจารณ์ อนาคตของร้อยกรองไทยคงต้องนับถอยหลังมากกว่านับวันที่เดินไปข้างหน้า
ความแปลกประการต่อมา คือ การที่ผู้แต่งมักพยายามสรรคำที่เลิศเลอ สวยงามมาใส่ในแต่ละวรรคจนบางครั้งก็หลงลืมไปว่าคำที่ใส่ผิดความหมายอย่างรุนแรง บางคำไม่รู้ความหมายอย่างแท้จริงแค่เพียงคุ้นหูว่าน่าจะมีความหมายเช่นนี้ คุ้นหูว่าน่าจะมีความหมายเช่นนั้น เพียงแต่ น่าจะ น่าจะ สุดท้ายสิ่งที่ได้ ก็น่าจะ....ไม่เรียกว่าบทกวี เช่นกัน การเลือกใช้คำที่สวยงามไพเราะนี้ถ้าหากตรงตามบุคลิกของผู้แต่งอยู่แล้วก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร คำเหล่านี้จะออกมาเองตามความถนัดของตน แต่ถ้ามันไม่ใช่บุคลิกเรา แต่เราก็พยายามจะมี-เป็นอย่างนั้นให้ได้ เราขาดความเป็นตัวเองไปหรือเปล่า ? ..............
สุดท้ายนี้ความแปลกที่สุด คือ การที่เราๆท่านๆ รวมถึงผมเองก็ตาม มักจะไม่ยอมรับตัวเองว่าเป็นกวี ผลงานที่เขียนไม่เรียกว่าบทกวี แต่จะบอกว่าตนเองเป็นเพียงนักกลอน สิ่งที่เขียนคือบทกลอนธรรมดาๆชิ้นนึง แต่ในใจลึกๆบางครั้งก็ยอมรับว่าตัวฉันนี่แหละคือกวีคนนึง อันที่จริงเราไม่อาจหนีความจริงได้หรอกครับ ใครจะกล่าวว่ากวีต่างจากนักกลอน บทกวีไม่เหมือนบทกลอน ผมไม่ค่อยจะมั่นใจเท่าไหร่ เขาจะบอกว่ากวีต้องมีจิตวิญญาณในการเขียนบทกวี แล้วผมจึงสงสัยว่าแล้วนักกลอนเราๆท่านๆที่เขียนกลอนออกมาไม่ได้มีจิตวิญญาณหรือความรักในวรรณกรรมหรอกหรือ ....... กวีก็คือนักกลอน นักกลอนก็คือกวี ............ บทกวีก็คือสิ่งเดียวกับบทกลอน บทกลอนก็คือสิ่งเดียวกับบทกวี .............. เพียงเท่านี้เองครับ ไม่ต้องนิยามากมาย ไม่ต้องยกเอาอุดมการณ์ จิตวิญญาณ หรือศรัทธามายืนยันตอกย้ำกันให้ยืดยาว เพราะสุดท้ายแล้วทุกคนทราบกันดีว่า เราก็รักบทกวีกันทุกคน
วิพากษ์บทกวีชิ้นนี้ เขียนขึ้นมามิใช่เพื่อกระทบผู้ใดผู้หนึ่ง แต่ต้องการสะท้อนความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในปัจจุบันวันนี้ของวงการร้อยกรองไทย เขียนมาจากความรู้สึกลึกๆของผู้เขียนเอง อย่างน้อยที่ผู้เขียนเขียนออกมาได้เช่นนี้ก็เป็นการบอกเป็นนัยว่า ผู้เขียนก็เคยเป็นแบบนี้มาก่อน จะต่างอะไรกับ การดูละครแล้ว( ผม )ก็ย้อนดูตัวเอง
ขอขอบพระคุณ ( ในทุกความคิดเห็นมา ณ ที่นี้ครับ )
ด้วยความหวังดี
ก.นพดล รักษ์กระแส
ก.ประแสร์ ศิษยาพร