16 กันยายน 2550 16:08 น.

**.. มหา'ลัย ... (เธอ)มาหาอะไร ..**

ต่อง (ต้อง) ksg



**..  เถลิงยุค สายลม ชมแสงแดด
       วงล้อมแวด แดกสุรา แจ่มราศี
       เบิ้ลรถโชว์ โรเล็กซ์ เทคโนโลยี
       ชุมนุมนี้ นามว่า มหาลัย..

**..  ถึงคราวยุค เสื่อมสิ้น แสวงหา
        ใครใคร่ค้า สวย-หล่อ ก็ค้าได้
        ใครใคร่หรู แฟชั่น นั้นตามใจ
        ใครใคร่ใคร่ เพลิดเพลิน เชิญสืบพันธุ์..

**..  ฉันร่าน ฉันมัน ฉันเว่อร์
        มหาลัย เพ้อเจ้อ เหมือนฝัน
       หน่วยกิต แลกเหงื่อ เพื่อลูกนั้น
       กระสัน โหยกลิ่น ปริญญา..

**..  ความรู้ล้นหัว  เอาตัวไม่รอด
       ทางใบ้มืดบอด  ไม่เห็นเป็นท่า
       ลืมเสียสละ  เพื่อนร่วมโลกา
       เกียรตินิยมไร้ค่า   ตราหน้าปัญญาชน..

**..  ฟ้าสีทอง อำไพ อยู่ไกลโพ้น
        อยากตะโกน กู่ร้อง ก้องสักหน
        ชีวิตเกิด เพื่อสิ่งใด ให้ใครยล
        ค่าของคน เธอนี้ มีเท่าไร..

    (  อย่าคิดแคบ แค่ตำรา มหาลัย
       คนยากไร้ ยังรอเกื้อ เอื้อแบ่งปัน ... )  

  
   ด้วยความหวังดี

ก.นพดล  รักษ์กระแส

ก.ประแสร์  ศิษยาพร

 ( วรรคที่สาม  ได้แรงบันดาลใจจากบทกวี เพลงเถื่อนแห่งสถาบัน ของอ.วิทยากร เชียงกูล  ที่ว่า  สุดท้ายให้กระดาษฉันแผ่นเดียว )
    

  **.. หลังจากที่ผมได้อ่านหนังสือ " ฉันจึงมาหาความหงอย" ของคุณไพบูลย์ วงษ์เทศ ที่ตีพิมพ์เมื่อคราวปี 2525 เป็นวรรณอำ สมพาสกรุงรัตนโกสินทร์ ปีที่ 200 ก็ชอบในลีลาการเขียนและวิธีการนำเสนอมาก จนอาจเรียกได้ว่า นี่เป็นแนวการเขียนอีกแนวก็ว่าได้......เป็นการที่คุณไพบูลย์อำเป็นนักเขียนชื่อดังหลายท่าน เช่น อ.วิทยากร เชียงกูล ( ฉันจึงมาหาความหมาย ) ก็ถูกอำเป็น วิทยากร กุนเชียง ( ฉันจึงมาหาความหงอย ) แทน 

  ผมอ่านไปได้สักระยะ จึงเกิดแรงบันดาลใจตามที่ได้อ่าน จึงตัดสินใจที่จะเขียนกวีนิพนธ์ขึ้นสักชุดหนึ่งและมันคงเป็น รวมบทกวีชุดแรกของผมด้วย เพราะผมไม่เคยเขียนบทกวีที่เป็นชุดมาก่อน โดยใช้ชื่อว่ารวมบทกวีชุด " วิสาสะนิยม" แปลง่ายๆว่า นิยมการถือวิสาสะ ถือความคุ้นเคย  วิจารณ์สังคมไปเรื่อยๆ ( ตามใจตน อิอิ )

  ในชิ้นแรกนี้ เป็นการตีแผ่ให้เห็นถึงสภาพสังคมที่อยู่ใกล้ชิดผมมากที่สุดคือ มหา'ลัย โดยผมได้รับอิทธิพลทางความคิดมากจากบทกวีของอ.วิทยากร เชียงกูลมานานแล้ว ( ก่อนจะเข้ามหา'ลัยเสียอีก ) บ่อยครั้งเข้าจนเหมือนกับว่าผมกลายเป็น " กบฏมหา'ลัย" เพราะผมไม่ชอบเห็นการที่หนุ่มสาวนิสิตนักศึกษาเมามันแต่ความสุขส่วนตน จนหลงลืมการเสียสละเพื่อสังคมส่วนรวม และด้วยประการนี้ผมจึงเป็นเด็กกิจกรรมมากกว่าที่จะเป็นเด็กเรียน และเห็นความสำคัญของประสบการณ์ชีวิตจริงมีคุณค่ามากกว่าการศึกษาถือจริงถือจังแต่ทางตำรา 

  สุดท้ายนี้ หวังว่าท่านผู้อ่านคงอภัยให้ผม หากกลอนในชุดนี้อาจดูหยาบกร้าน และถึงกึ๋นเกินไปกว่าจะใช้คำว่า " กวีนิพนธ์"  ขอขอบพระคุณ				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟต่อง (ต้อง) ksg
Lovings  ต่อง (ต้อง) ksg เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟต่อง (ต้อง) ksg
Lovings  ต่อง (ต้อง) ksg เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟต่อง (ต้อง) ksg
Lovings  ต่อง (ต้อง) ksg เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงต่อง (ต้อง) ksg