19 ธันวาคม 2550 09:12 น.
ตึ๋งหนืด
(ผมเขียนเรื่องนี้ขณะที่ผมนั่งบริเวณที่นอนของผม)
เช้านี้ความทรมานจากเมื่อคืนยังคงติดอยู่ในใจ ไม่ผ่านพ้นไปเหมือนทุกเช้า ผมยังคงร้องไห้กับเรื่องเดิมๆ กับความทรงจำของทุกอ้อมกอดของท่านกับผม ได้แต่นึกคับแค้นใจของตัวเอง ได้แต่ต่อว่าอะไรก็ไม่รู้ ...
ทำไมผมไมีมีเงินเพียงพอที่จะดูแลพ่อของผม หรือ ทำไมไม่มีรถสักคัน โอกาสักครั้งที่ผมจะพาพ่อของผมไปทานข้าว พาพ่อไปเที่ยวเหมือนที่ท่านได้ทำเหมือนผมเป็นเด็ก
เมื่อวานผมโมโหตัวเอง กับสถานการณ์ขณะผมเล่นกีตาร์เพื่อหาเงินค่าเทอม โมโหสังคม คนรอบข้างที่เค้าทำเหมือนผมไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้น บางรายก็เดินเหยียบซองกีตาร์ บางรายก็เดินข้าม ...และเค้าก็พลางมองดูผมด้วยสายตาประหนึ่งว่า "มึงมาทำบ้าอะไรตรงนี้ ไม่มีหน้าที่การงานอะไรจะทำหรือไง" แต่ในความเป็นจริงผมก็ไม่ควรคิดอย่างนี้ ทว่าความอดทนอันจำกัดของผมทำให้เรื่องง่ายแค่นี้ กลายเป็นเรื่องยากยิ่งจะทำใจ ก็แค่เห็นแววตาของเค้าเอง
ตอนนี้ หกโมงแล้ว ผมนั่งร้องไห้เพราะเสียงโทรศัพท์ของท่านหายไป ซึ่งกาลครั้งหนึ่งไม่นานมานี้ ท่าเคยโทรหาผมอย่างมากมาย ทั้งๆที่ขาของท่านหัก ทั้งที่ท่านป่วยมาก ระยะทางซึ่งแต่ก่อนเป็นแค่การเดินลงบรรไดหกขั้น กลับกลายเป็นการเดินทางมาโทรศัพท์ที่ต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพัน กระนั้นท่านก็ตัดสินใจอย่างไม่ลังเล ผมเชื่อในความรักของท่าน ทว่าเสียงโทรศัพท์นี้ได้ห่างหายไป ท่านคงไม่ไหวอย่างที่ท่านบอกผมจริงแล้วกระมัง โทรไปท่านก็ไม่รับ จะเป็นยังไงบ้าง ...
ท่าทางผมต้องกลับกรุงเทพแล้ว ...
ความทรมานดังกล่าวได้ถูกเพิ่มพูนขึ้นด้วยภาพของคนป่วยโรคไต ซึ่งเมื่อวันก่อนผมได้พบและได้เห็น ทุกคนต่างมีอาการเดียวกัน นั่นคือ หนาว เจ็บ ชา และทรมาน ผมสัมผัสจากแววตาของเขา
นึกแล้วแค้นใจตัวเองว่า
ทำไมแม้ผมอยากจะดูแลพ่อผมให้ดีที่สุดอย่างไรก็ไม่มีทาง ไม่มรทาง ที่จะดูแลท่านได้ดี เพราะตอนนี้ไม่มีเงิน แค่จะเรียน หรือเอาตัวรอดยังยาก....
แต่อีกนั่นแหละ นี่ชีวิตผมนี่ ชีวิตของผมซึ่งต้องก้าวต่อไป เหมือนที่เคยเดินผ่านมา ปลอบใจตัวเองว่ามันก็เหมือนที่เราเคยผ่าน แม้ข้างหน้าจะมืดมน แต่ไม่ถึงกับมืดมิด แล้ว...
ผมก็ยังร้องไห้และยิ้มต่อไป ไปแล้วนะครับ ไปทำหน้าที่ลูกที่ดีต่อ (พูดขณะเอามือปาดน้ำตา)
บันทึก 19/12/07 เวลาหกโมงเช้า ที่บ้านพัก
เรื่องนี้ผมเขียนตอนเช้า ขณะที่ผมนึกถึงเรื่องราวต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต และในขณะที่เสียงโทรศัพท์ของพ่อห่างหายไป ผมหวังว่าเรื่องนี้คงสะท้อนความจริงอะไรบางอย่าง อันที่จริงผมไม่ต้องกาคำปลอบใจ เพราะคำปลอบใจเดียวที่ผมต้องการคือโอกาสและทรัพยากรที่เพียงพอในการดูแลคุณพ่อของผม
16 ธันวาคม 2550 23:59 น.
ตึ๋งหนืด
วันนี้ผมมีโอกาสได้อ่านงานของ "เพื่อน" ท่านหนึ่ง ทราบว่าคงทุกข์ใจหลังจะเลิกกับคนที่เค้ารัก หรืออื่นๆในทำนองที่ว่า ความรักไม่สมหวัง ไม่สมประกอบ ไม่สมปรารถนา ไม่สมใจ และไม่สาสมความรู้สึก
ความรักนี่แปลกนะครับ ผมเห็นว่ามันเป็นทุนนิยมเข้าไปทุกวัน เรามองอย่างหนึ่งว่า เรามอบความรักให้ใครแล้วต้องได้กลับคืน นิดหน่อยก็ยังดี ราวกับว่าเราเปิดบริษัท ที่คาดหวังกำไรจากความรัก คาดหวังสิ่งตอบแทน คาดหวัง และคาดหวัง อย่างไม่มีสิ้นสุด
จรดปลายฟ้าอีกข้างหนึ่ง ความต้องการของเราไม่เคยพอเลยสักที แล้ว อวัยวะที่เรียกว่าความรักนี้ เมื่อไหร่มันจะเต้นเป็นจังหวะ
คนเรานี่แปลก ความรักไม่ได้ถูกจำกัดในกฎเกณฑ์ การตลาด หรือกฎเกณฑ์ทางเศรฐศาตร์ ที่มีดุลยภาพในสัมพันธ์ตายตัว หากแต่ในความรู้สึกนึกคิด ความรักในภาพของอวัยวะต้องทำงานถูกที่ ถูกแบบแผนที่มันควรจะเป็น
แล้วความรักทำงานแบบไหน ....
ผมคิดว่าความรักไม่มีเงื่อนไข ไร้ข้อจำกัด และไร้พรมแดน เป็นอิสระภาพทางความรู้สึก ที่ไม่ยึดติดกับอะไรทั้งปวด เพราะถ้ายึดมันจะไม่ใช่ความรักอีกต่อไป
อันที่จริงผมคิออย่างหนึ่งว่าความรักเปรียบเหมือนหัวใจ ที่เต้นอย่างเป็นจังหวะและทำงานอย่างสอดประสานกันกับอวัยวะอื่นๆ อย่างมีประสิทธิภาพ หัวใจเป็นอวัยวะมหัศจจรย์ ทำงานทั้งกลางวันและกลางคืน ทว่าทรงพลังเช่นนี้มิอาจอยู่นอกทรวงอก ...
ความรักทรงพลังเช่นนี้ต้องอยู่แบบไม่กฎเกณฑ์ ไม่อาจทำหน้าที่ผิดผิด อย่างที่มันควรจะเป็น ถ้าหัวใจเดินแทนขา อะไรจะเกิดขึ้น ใช่ ความทรมานอย่างแสนสาหัส เราจึงความระมัดระวังความรู้สึกของเราไม่ให้ไปขวางทางใคร เพราะคงไม่มีใครระมัดระวังตนเองได้ตลอด เราเองก็ต้องหมั่นตรวจตราความรู้สึก เดี๋ยวเค้าอาจจะเดินเหยียบได้
ผมอยากให้ใช้ความรักครับ รักอย่าที่เป็นความรัก มันจะสร้างความยิ่งใหญ่ให้วันคืนชีวิตของเรา สร้างทุกวินาที สร้างทุกความรู้สึก ....
ผมเชื่อย่างหนึ่งว่าถ้าหันกลับมามองสักครั้งว่าเรารักอย่างไร คงไม่เสียใจอย่างที่เป็น กลอนอกหักคงเปลี่ยนเป็นความชื่นใจ เพราะถ้าเธอไม่รักฉัน เราก็ยังมีกันและกันเพราะฉันรักเธอ
เป็นกำลังใจให้นะครับ กว่าผมจะมีวันนี้ก็ผ่านมานับไม่ถ้วนเจ็บมาแล้ว จำบ้างไม่จำบ้าง แต่ผมดีใจที่ได้ แบ่งปันเสี้ยวหนึ่งของประสบการณ์อันต้องเรียนรู้ต่อในวันข้างหน้าไปให้อ่านกัน ขอบคุณอีกครั้งนะครับที่เข้ามา แล้วจะเขียนมาให้อ่านอีกครับ ผมสัญญา
16 ธันวาคม 2550 22:29 น.
ตึ๋งหนืด
เมื่อก่อน ....
ผมอยู่แถวเยาราช เยาวราชเป็นย่านคนจีนที่เราเข้าใจ อันที่จริงต้องบอกว่า เป็นคนจีนซะส่วนใหญ่ เพราะนอกจากคนจีนแล้ว แขกเอย ฝรั่งเอย เค้าก็อาศัยอยู่ที่นี่ครับ
บ้านผมอยู่ซอยเลื่อนฤทธิ์ ต่อมาผมย้ายเข้าเมืองมาอยู่กับป่าป๊าที่เพลินจิต ย่านสุขุมวิท ผมโตขึ้น จำความได้ก็ที่นี่ ป่าป๊าเลี้ยงผมตั้งแต่ 10 เดือน พอ 2 ขวบเราก็ย้ายมาที่นี่
เรามีกันอยู่สองคนคุณแม่ของผม แยกทางกับคุณพ่อผมตั้งแต่ผมเจ็ดเดือน ผมจำได้ว่าผมวิ่งซนได้ทั้งวัน ป่าป๊าต้องคอยเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ผม ท่านดูแลผมทุกอย่าง ตั้งแต่เช้าจนดาวขึ้น
แล้วผมก็โตขึ้น...
ผมได้เข้าโรงเรียน มันเหมือนความฝันเพราะผมได้รู้จักคำว่าเพื่อนที่นี่ เหมือนผมได้รู้ตัวว่า นอกจากผมกับพ่อยังมีมนุษย์คนอื่นในโลก เพราะพ่อผมเค้าไม่ยอมให้ผมออกจากบ้าน ทั้งวันผมต้องอยู่แต่ในบ้าน มันเหงาและทรมาน ท่านไม่สามารถอยู่กับผมได้ตลอดทั้งวันเพราะต้องทำงาน ดังนั้นผมจึงอยู่คนเดียว
เรียนถึง ประถม ป่าป๊าไม่มีเงินจ่ายค่าเทอมให้ผม ค่าเทอมผมแพงทีเดียวเพราะเรียนโรงเรียนเอกชน ท่านต้องขายสมบัติ เช่น สร้อย แหวน นาฬิกา โดยสีหน้าของท่านออกแนวเก็บอารมณ์ ท่านถอนหายใจอย่างแผ่วเบาขณะที่ใบทวงหนี้ค้าเทอมมาเสียบหน้าบ้าน
ผมเข้าใจว่าการไม่มีค่าเทอมจ่ายมันคงประมาณว่าผมไม่ต้องไปโรงเรียน อันที่จริงผมก็ดีใจไม่น้อย ไม่ต้องตื่นเช้าแล้ว ....
พอมาทบทวนผมก็เกิดคำถามว่าทำไม ผมไม่มีแม่เหมือนคนอื่นๆ ที่โรงเรียนเค้าเรียกผมว่า ลูกไม่มีแม่ ก็จริง ไม่มีก็ไม่มี เวลาที่ผมทำผิด ครู ก็ว่าผมไม่มีพ่อแม่สั่งสอน ...
แต่เด็กผมเข้าห้องปกครองบ่อยเพราะเกเร ดื้อ หรืออะไรทำนองนี้ ผมชอบโทรไปแจ้ง 191 ว่าไฟไหม้โรงเรียน หรือสั่งพิซซ่า ให้อาจารย์ในโรงเรียนแบบเยอะๆ เล่นกันจนไปเลย ....
ผมก็เศร้าบ้างแต่ไม่บอกใคร ผมไปอยู่คนเดียว หลังห้องประจำ ไปอยู่คนเดียวตามที่ต่างๆที่เค้าไม่ตามผมไป ชิงช้าดูจะเป็นที่ปล่อยใจยามผมเหนื่อยล้า เมื่อครั้งยังเด็ก
โตขึ้นอีกหน่อย ...
ผมจบประถมมาอย่างยากเย็นเพราะไม่มีค่าเทอม แต่สุดท้ายป่าป๊าก็ยอมขายสร้อยเส้นสุดท้ายที่คุณปู่ผมทิ้งไว้ก่อนเสีย คราวนี้ผมเรียนโรงเรียนวัด เข้าไปก็ตื่นเต้น ผมไม่มีใครเซ็นเป็นผู้ปกครอง ป่าป๊าเอาแต่นั่งอ่านใบทวงหนี้ ทั้งวันไม่ยอมคุยกับใคร อันที่จริงหลังจากนั้นบ้านผมก็โดนยึด
ผมตีกับเพื่อนบ่อยมาก เรียกว่ามีเรื่องทุกวัน แต่ผมก็ไม่โดนยิงโดนแทง เหมือนเพื่อนๆคนอื่นๆ สุดท้ายผมก็เลิกตอนขึ้นมัธยมปลาย ผมกลับมาตั้งใจเรียน เพราะบ้านผมโดนยึด
เราสองพ่อลูกต้องเดินทางไปพักตามโรงแรมที่นั่นคืน ที่นี่คืน หาค่าโรงแรมไปเรื่อยๆ ขณะที่พ่อผมอ้อนวอนให้คนช่วยซื้อเหรียญเก่าๆ เพื่อประทังชีวิตเราสองพ่อลูก
ผมเรียนได้ที่สองของห้องมาตลอด ที่เหนึ่งเก่งมากแล้วมันก็เป็นเพื่อนคนเดียวของผมในโรงเรียนซะด้วย
ผมได้กลับมาเจอแม่เพราะคุณแม่ติดต่อกับป่าป๊า เราได้ย้ายมาอยู่ที่ลาดพร้าว ที่อยู่ปัจจุบัน ... บ้านแสนรก และแสนรักของผม
ปัจจุบัน
ผมเข้าเรียนที่มหาลัยแห่งหนึ่งที่ชลบุรี ผมทำงานเด็กเสริฟ ที่ร้านอาหาร เพื่อหาค่าเทอม ซึ่งป่าป๊าก็ชราลงและล้มป่วยเป็นโรคไต ผมมีหน้าที่ส่งตัวเองเรียนแล้วก็ส่งเงินให้ป่าป๊าทานข้าว ตามมีตามเกิด
จำได้ว่าผมไม่มีค่าเทอมตั้งหลายครั้ง พ้นสภาพนิสิตซ้ำแล้ว จนชินเหมือนเป็นเรื่องปกติ เคยตกใจมากๆ จนเดี๋ยวนี้สนิทสนมกับเจ้าพนังงานทะเบียน เพราะต้องไปขึ้นทะเบียนนิสิตใหม่ที่นั่น
ผมเคยเขียนจดหมายเรื่องของผมไปแป๊ะตามกระจกรถยนต์ ขอเงินเค้า จนมีเงินบริจาคเข้ามา สามหมื่นกว่าบาท ผมเลยได้เรียนจนตอนนี้ ผมอยู่ปี 4 และผมก็กำลังจะจบ
กำลังจะกลับไปเจอหน้าคุณพ่อที่รัก .... ผมซาบซึ่งใจกับเวลาทุกวินาทีของผม ในโลกของผมอาจไม่มีเงินมากนัก ทว่าผมกลับได้เห็น ได้เฝ้ามองทุกสิ่งที่เป็นไป รับรู้ว่าอะไรคือแรงบันดาลใจที่ผมก้าวต่อไป
ผมขอให้ท่านมีความสุขกับชีวิต ซึ่งบางครั้งอาจไม่เป็นดังใจ เราคงเลือกไม่ได้เสมอ แต่เราเลือกที่จะลุกขึ้น ต่อสู้กับโชคชะตาที่โหดร้าย แล้วไม่ว่ามันจะ
ทารุณสำหรับเราสักแค่ไหน ก็ไม่มีคำว่าเกินความพยายาม ผมเชื่อว่าสักวันเราคงไปพบกันในหนังสือของผมซักเล่มหนึ่ง ขอบคุณครับ ที่ติดตามงานผม แล้วเจอกันใหม่นะครับ
15 ธันวาคม 2550 16:26 น.
ตึ๋งหนืด
พ่อ ... ท่านดูแลผมมาตั้งแต่ 10 เดือน...
ในวัยเด็ก ผมยังพูดและเดินไม่ได้ แต่เท่าที่ไดยินมา ผมซนมากทีเดียว เที่ยวปีบป่ายเป็นลิงเป็นข้างกันเลยที่เดียว ไม่ง่ายนักที่จะเห็นผมยอมนอนดีๆ
ผมอยู่กับคนใช้ของป่าป๊า ที่รับหน้าที่ดูแลผม ป้อนข้าวป้อนนม ขณะที่ป่าป๊าในวัย 40 กับลังทำงานอยู่ชั้นสองของร้านขายผ้าห่มที่พำเพ็ง
หลังจากที่ท่านตัดสินใจ เอาผมไว้.... (ไม่ทำแท้ง)
ผมพูดได้ตอน 3 ขวบ ผมพูกราวกับนกแก้ว แถมนอนหลับน้ำลายยืด อันเป็นชื่อที่เรียกขานของทุกคนในครอบครัวว่า "ตึ๋งหนึด" ชื่อนี้ทำผมอายตลอดมา แหมใครจะหลับแล้วปาดน้ำลายตัวเองได้ล่ะ
ทุกวันหลังเลิกงาน ท่านต้องทำหน้าที่หนึ่งอย่างหนัก นั่นคือตอบบรรดาคำถามซ้ำๆซากๆของผม ผมจะถามเรื่องหนึ่งซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกว่าผมจะจำเรื่องนั้นขึ้นใจเลยทีเดียว อย่างเช่น
น่าน อายาย... (นั่นอะไร) แล้วท่านก็ตอบผมว่า เครื่องบินลูกเครื่องบิน... แบ้ว บ๋ม ขับ ด้าย ม้าย ฮับ ... (แล้วผมขับได้มั้ยครับ) ได้สิถ้าใจอยากขับจริงๆ ท่านก็ตอบผมอีก ผมก็ถามประมาณว่าเครื่องบินนี้มีกี่ขา แล้วมันเดินได้มั้ย .... มากมายทีเดียว ความช่างสงสัยของผม ท่านก็ตอบอย่างไม่รำคาญราวกับว่าท่านสะกดคำว่าเหนื่อยไม่เป็น ที่แหละมั้งที่เรียกว่าความรัก
ดูเหมือนท่านเป็นคนเดียวที่คุณกับมนุษย์ต่างดาวอย่างผมรู้เรื่อง
วันนี้ท่านถามผมเกี่ยวกับ "มือถือ" ขณะที่ผมกำลังอ่านหนังสือเล่มใหม่อย่างใจจดใจจ่อ ผมก็ตอบท่านด้วยความรำคาญ เหมือนเดิม ท่าก็เงียบแล้วก็กดมือถือต่อไป มือน่ะกดมือถือ แต่แววตาไม่ได้มองมือถือเลย ท่านคงเสียใจ คงนึกย้อนไปเมื่อครั้งผมเป็นเด็ก เด็กเจ้าปัญหาซะด้วย
เวลาผมได้สิ่งที่ผมไม่พอใจผมก็บอกว่าไม่ยุติธรรม แล้วไง ... ผมเคยยุติธรรมกับท่านหรือไม่ .... แล้วไง ผมต้องกลับมาทบทวนว่าที่ท่านพร่ำสอนผมมันมีค่ามากเพียงใด
ท่านมักจะบอกว่าท่านไม่ได้เรียนหนังสือ ท่านไม่ชอบเรียน ท่านไม่มีอะไรจะสอน แต่ทุกการตัดสินใจของท่าน ทุกครั้งที่ท่านเอาผ้าห่มของท่านห่มให้ผมเวลาที่ท่านและผมหนาว จนกลายเป็นความเคยชิน ทุกช้อนที่ท่านป้อนผม ทุกลมหายใจที่ท่านอยู่เพื่อผม มันคือการเรียนและปริญญาที่ล้ำค่ากว่าปริญญาใดๆในโลก เพราะมันคือโลกที่ผมอยู่ โลกแห่งความเป็นจริง ....
บันทึกของวันที่ 09/12/07
ที่บ้านลาดพร้าว
15 ธันวาคม 2550 15:53 น.
ตึ๋งหนืด
วันนี้เป็นวันที่ผมอยู่ที่บ้าน....
อากาศในวันนี้ค่อนข้างหนาวทีเดียว ท่านใส่เสื้อสองตัว เก่าๆโทรมๆของท่าน กระเป๋าเสื้อที่ขาดวิ้นของท่านทำให้ระลึกได้ว่ามันเก่ามากแล้ว นับตั้งแต่ยังเด็ก ไม่นึกเลยว่าเสื้อตัวหนึ่งจะใส่ได้นานขนาดนี้
ผมซื้อข้าวให้ท่านและพยายามที่จะไม่ให้ท่านทานอาหารที่ค้างหลายๆวัน เพราะท่านเชื่อว่าอะไรที่แช่เย็นแล้วมันต้องไม่เสีย เสมือนว่ามันเป็นสูตรตายตัว เพียงแค่แทนค่ามันจะได้คำตอบเดิม ท่านต่อว่าผมมากมายที่ขัดใจท่าน แต่เพื่อท่านแล้ว ผมทนได้ คงเหมือนกับที่ท่านทนเลี้ยงผมมา คราวนี้คงถึงคราวที่ผมจะอดทนคืนกลับให้ท่านบ้างแล้วล่ะ
เย็นๆ ....
ท่านนอนหลับไปอย่างมีความสุข สงบอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกับเมื่อคืน ผ้าห่มทำให้ระลึกว่า แต่ก่อนที่เราจะจนเช่นทุกวันนี้ เราเคยขายผ้าห่มมาก่อน วันนี้เรายังคงเหลือผ้าห่มเก่าจากที่ร้านให้เราห่มแก้หนาว ร้านของเราคงแก้หนาวให้ใครหลายคน คงมากมายทีเดียว
ผมนั่งจดบันทึกอยู่ตรงนี้ เตียงยุบๆ ที่ที่ท่านนั่งสูบบุหรี่เมื่อวาน แล้วก็วันก่อนๆในชีวิตของท่าน ผมจะเขียนทุกเรื่องเกี่ยวกับท่าน เพราะท่านทำให้ผมเป็นผม ให้คนมากมายที่เค้าอ่าน เค้าจะสังวรว่าโลกนี้มีคำว่าสาย
ดังนั้น
ผมปรารถนาเป็นอย่างยิ่งว่าใครก็ตามที่อ่านเรื่องของผม เค้าจะกลับไปกอด พ่อแม่ของเค้า แล้วบอกว่า ดีใจที่ยังไม่สาย เกินกว่าที่จะบอกรักท่าน
กลับไปตั้งใจเรียน ... ไปทำสิ่งที่ควรทำ ... ไปฝัน ... ไปเป็นสิ่งที่ใจมันอยากให้เป็น ....
เพราะเราเกิดมาเพื่อขัดเกลากัน ถ้าพ่อแม่ของเราท่านดีสมบูรณ์ ท่านคงอยู่สวรรค์ไปแล้ว เช่นเดียวกับเรา ถ้าเราดีสมบูรณ์เราคงอยู่สวรรค์ไปแล้ว ... ดังนั้น "เราเกิดมาเพื่อขัดเกลากัน"
สุดท้ายผมจะเขียนต่อไป ท่านใดที่รักคุณพ่อคุณแม่ของท่านอยู่แล้ว ผมขอขอบคุณทุกการตัดสินใจของท่าน ท่านจะเป็นแบบอย่างที่ผมจะเอาเยี้ยง ประพฤติปฏิบัติ น้อมนำด้วยความเคารพจากใจ ...
บันทึกวันที่ 10/12/07
ที่บ้าน ลาดพร้าว