21 มกราคม 2545 13:12 น.
ตัวเล็ก
Life is nothing without friendship
เพื่อน ฉันไม่รู้หรอกว่าคนอื่นเค้าจะนิยามคำนี้กันอย่างไรบ้าง แต่สำหรับฉันมันไม่เคยมีความหมายตายตัวอะไรสักครั้ง บางวันเพื่อนฉันก็แปลงร่างเป็น คนรู้ใจ ที่เฮไหนเฮกัน บางวันก็นั่งปลอบโยนกันเวลาอีกคนกำลังร้องไห้ บางครั้งก็กลายเป็นเหมือนกระโถนที่ไว้ระบายอะไรต่อมิอะไรที่มันอัดอั้นตันใจให้กันฟัง ถึงแม้บางทีจะแค่รับฟังเฉย ๆ ก็ทำให้อีกคนรู้สึกดีขึ้นได้อย่างประหลาด บางทีเวลาเศร้า ท้อแท้ อย่างที่สุด แค่มีเพื่อนสักคนเข้ามาถามว่า ยังไหวอยู่ไหม แล้วนั่งอยู่เป็นเพื่อนกัน แค่นี้ ค่าของความเป็นเพื่อนก็งดงามสุดๆ จนหาคำนิยามไม่ได้แล้ว บางครั้งเพื่อนฉันก็เป็นเหมือนลมใต้ปีกที่คอยผลักดันให้กำลังใจกัน เป็นเหมือนศิราณี หรือบางทีก็กลายเป็นตู้ ATM ที่เปิดตลอด 24 ชม
ด้วยพื้นฐานของตัวเองเป็นคนขี้เหงา ถึงบางครั้งจะชอบที่จะอยู่คนเดียว คิดอะไรคนเดียว มีโลกเป็นของตัวเอง แต่ก็ไม่เคยปฏิเสธความรู้สึกต้องการเพื่อน ฉันว่าฉันเป็นคนโชคดี .. ที่ในโลกของความเป็นจริง ฉันได้เจอะเจอเพื่อนที่ทำให้ฉันรู้สึกและทำให้นิยามของคำว่าเพื่อนของฉันชัดเจนขึ้น
ด้วยการที่ว่า ฉันเองเป็นหนึ่งของคน IT มีชีวิตและหน้าที่การงานเกี่ยวข้องกับแวดวงของโลกไซเบอร์อยู่ตลอดเวลา เฉพาะฉะนั้น เพื่อนของฉันจึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่ เพื่อนข้างบ้าน เพื่อนสมัยเรียน เพื่อนในสนามบาส เพื่อนร่วมทำกิจกรรม ซึ่งรักบ้างไม่รักบ้าง ต่าง ๆ กันไป แต่ก็รู้สึกผูกพันธ์กัน อ้อ เกือบลืมเพื่อนอีกประเภท เพื่อนในวงการของธุรกิจ หน้าที่การงาน ..( ประเภทหลังนี่ ฉันจัดอยู่ในนิยามคำว่าเพื่อนของฉันเพียงไม่กี่คน โดยมากจะถูกจัดอยู่ในประเภทคนรู้จักซะมากกว่า ) ฉันยังมีเพื่อนอีกกลุ่มนึงที่จะกล่าวถึง .ซึ่งเป็นเพื่อนอีกกลุ่มที่เป็นเรื่องแปลกสำหรับตัวเองอยู่เหมือนกัน เพราะบางคนฉันไม่เคยเห็นหน้า มีบ้างที่ได้ยินเสียงเป็นครั้งครา เรารู้จักกันผ่านทางตัวหนังสือบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ตัวเก่ง แต่เราก็ผูกพันธ์กันได้อย่างประหลาด ใช่หล่ะ .. เพื่อนในโลกของไซเบอร์ เพื่อนในโลกของอินเตอร์เนต โลกที่ได้พบกับเรื่องราวมากมายหลากหลาย มีทั้งเรื่องราวจริงและไม่จริง โลกที่สามารถพูดคุยกับใครก็ได้ โลกที่ได้พบกับเรื่องราวมากมายหลากหลาย .. มีทั้งเรื่องจริงและไม่จริง .. โลกที่สามารถพูดคุยกะใครก็ได้ โลกที่ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่พูดคุยอยู่ด้วยตรงหน้า เป็นใครมาจากไหน .. แต่ฉันก็ใช้นิยามของคำว่าเพื่อนกับบางคน .. แล้วฉันก็รู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ แล้วฉันก็คิดว่ามีอีกหลาย ๆ คนที่รู้สึกอย่างฉัน
ฉันได้รู้จักเพื่อนคนนึงที่อยู่ห่างไกลกันตั้งครึ่งโลก ..ผ่านโลกของ Internet เมื่อ 8 ปีที่แล้ว ..ทุกวันนี้เรายังคุยกัน คุยกันตั้งแต่เค้ายังเป็นนักศึกษาอยู่ใน U จนเดี๋ยวนี้ เค้ามีลูกจนเข้าอนุบาลได้แล้ว .. ไม่เคยได้ยินเสียงกันสักครั้ง แต่เราก็ผูกพันธ์กันอย่างเพื่อน .. จนวันนึง เพื่อนคนนี้มาเมืองไทย พร้อม ๆ กับครอบครัว เราคุยกันเหมือนคนรู้จักกันมาเป็น 10 ปีทั้งที่เพิ่งเคยเห็นหน้ากันครั้งแรกมันก็น่าแปลกอยู่เหมือนกันนะ.
Life is nothing without friendship
ชีวิตคนเราจะไม่มีความหมายเลย ถ้าขาดเพื่อนที่รู้ใจ ในชีวิตหนึางมีเพื่อนสนิทสักคนก็พอแล้ว
ฉันเคยอ่านเจอในหนังสือ เล่มนึง เค้าบอกไว้ว่า .
การประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่เพียงแต่มุ่งเดินไปข้างหน้า ไม่สนใจสิ่งรอบตัว ไม่รับรู้ว่าคนรอบข้างจะเป็นอย่างไร และไม่มีเพื่อนสักคน
อายุ ไม่ได้เป็นส่วนประกอบจำเป็น เมื่อเราจะมีเพื่อนที่รู้จักและเข้าใจเราสักคน เราไม่ต้องพึ่งพาเพศ อายุ หรือ แม้กระทั่งการศึกษา
เพื่อนสนิทของเรา อาจจะเป็นคนที่อายุน้อยกว่าเราสัก 10 ปี 5 ปี และก็ไม่แปลกอะไรเลยถ้าเพื่อนรักของเราจะมีอายุห่างจากเราเป็นรอบ ๆ เพราะสาระสำคัญของมิตรภาพ มันอยู่ที่ความจริงใจ ความหวังดี ห่วงใย รับฟัง และให้อภัยกันและกัน .พร้อมจะตักเตือนเมื่อเพื่อนหลงทาง เดินทางผิด พลั้งเผลอ หรือ เลื่อนลอย
เพื่อนสนิทของเรา อาจเป็นกระเป๋ารถเมล์ .. คนขายกล้วยแขก เจ้านาย แม่บ้าน คนขายหมูปิ้ง หรือ ว่าพนักงานส่งเอกสาร .
เพื่อนสนิทของเราเป็นใครก็ได้ อยู่ในสถานะไหนก็ได้ ไม่ว่าจะเป็น ทอม ดี้ เกย์ ตุ๊ด หรือว่า เสือใบ ขอให้เค้ารักเรา .. พร้อมที่จะมอบความเข้าใจและรับฟังเรื่องราวของเรา มีแววตาที่อ่อนโยนให้เรา เป็นกำลังใจให้เพียงบีบมือเราเบา ๆ หรือ โอบกอดเราไว้ในวันที่เราหลงทาง .. แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว แค่นี้ก็มากว่ามากแล้ว
ความรักทุกชนิดยิ่งใหญ่ และความรักที่เพื่อนมีให้เพื่อนเป็นรักที่อมตะที่สุด
ฉันรักแม่ รักอย่างรักบุพกรี ก็ใช่ .. แต่บางครั้งแม่ของฉันก็เป็นเพื่อนกัน อยู่ใกล้ คุ้มครอง
ฉันอย่างพี่น้อง รักอย่างที่คนที่คลานตามกันมาก็ใช่ แต่บางหนที่พี่และน้องก็เป็นเหมือนเพื่อน คอยยิ้มให้เมื่อวันที่ฉันโชคดี
ฉันรักคนรัก รักอย่างคนที่ต้องการใช้ชีวิตร่วมกันก็ใช่ แต่บางคราวฉันก็ต้องการความเข้าอกเข้าใจ จับมือฉันไว้ในยามที่ฉันอ่อนแอ
ฉันไม่รู้หรอกว่าวันข้างหน้าความเป็นเพื่อนจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร แต่วันนี้ ฉันไม่อยากเปลี่ยนแปลงอะไร ปล่อยให้กาลเวลาทำหน้าที่ของมันอย่างดีที่สุด และฉันก็จะทำหน้าที่ของฉันอย่างดีที่สุดเช่นกัน
ขอให้มิตรภาพดี ๆ และความเป็นเพื่อนงดงามอยู่เสมอ ทางความรู้สึกของทุกคน
ด้วยรอยยิ้มเต็มแก้ม
ตัวเล็ก
----- ขอบคุณ ถ้อยคำบางส่วนจาก good song good feeling ------
21 มกราคม 2545 13:12 น.
ตัวเล็ก
สติกับความรัก!!!!
ความรัก ไม่เคยมีนิยามตายตัว หลายต่อหลายครั้งที่ความรักมักจะถูกตัดสินด้วยความรู้สึกมากกว่าเหตุผลและความถูกต้อง ความรักไม่เคยทำให้ใครเจ็บปวด แต่ที่มักจะทำให้เจ็บปวดเสมอ ๆ ก็คือ ความคาดหวัง หวังที่จะได้รับ หวังที่จะเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ มุมมองความรักของแต่ละคนคงจะแตกต่างกันไป บางคนมองความรักด้วยความรู้สึกเพียงอย่างเดียว ในขณะที่อีกคนมองความรักด้วยเหตุผล หรือ ด้วยความถูกต้องควรทำ คนบางคนทำทุกวิถีทางที่จะเหนี่ยวรั้งความรักและคนรักของตนไว้กับตัวโดยที่ไม่คำนึงถึงผลของความเจ็บปวดที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองหรือกับคนอื่น หลายต่อหลายคนหมกมุ่นอยู่กับการรักตัวเองจนลืมที่จะรักคนอื่น แต่คงไม่มีใครหรืออะไรมาตัดสินความรักของคนอื่นว่าผิดหรือถูกหรอก เพราะเมื่อเป็นเรื่องของความรักคนเรามักจะเห็นแก่ตัวเหมือน ๆ กันทุกคน
โดยส่วนตัวแล้วอยากให้คนใช้ความรักของตนอย่างมีสติ มีสติในการที่จะรัก และมีสติที่จะทนุถนอมความรักของตนไว้ มันมีหลาย ๆ ตัวแปรที่ทำให้เราต้องมีสติอย่างมากในการที่จะมีความรักกับใครสักคน . เรื่องของ รักซ้อน มันเป็นเรื่องปกติธรรมดาของมนุษย์ แต่มันคงไม่เป็นปัญหาอะไรถ้าคุณใช้สติของคุณในการบริหารความรัก มีเพลงอยู่เพลงหนึ่งได้ยินมานานแล้ว แต่ไม่เคยรู้หรอกว่าใครเป็นคนเขียนหรือใครเป็นคนร้อง จำเนื้อเพลงได้คร่าว ๆ ว่า
เขาคงรักเธอเหมือนกัน รักเพราะใกล้ชิดกัน ศิลธรรมคงกั้นไม่ไหว แต่รักที่เธอให้เขา รักนั้นเพื่ออะไร ครอบครัวเค้าอยู่กับใครถ้าเธอไปแย่งเค้ามา
หลายต่อหลายคนไปหลงรักคนที่เขามีเจ้าของเสียแล้วนี่สิ มันไม่ใช่เรื่องผิด เพราะความรักมันยากที่จะบังคับมัน มันคงไม่เหมือนคลิก mouse ที่ Yes หรือ No แล้วหัวใจคนเรามันจะทำตามได้อย่างง่าย ๆ อย่าริที่จะบังคับมันเลยมันไม่มีทางเป็นไปได้ ที่สำคัญก็มันรักไปแล้ว วิธีเดียวที่จะปลอดภัยทางความรู้สึกของเราก็คือ ให้รักอย่างมีสติรู้จักที่จะจัดเก็บมันไว้ให้ถูกที่ถูกทางซะ รู้ขอบเขตที่เราสามารถแสดงความรักของเราได้
แต่ที่น่าเป็นห่วงอีกประเภทนึงก็คือ บางคนที่มีเจ้าของอยู่แล้วแต่ยังไม่ละความพยายามที่จะมีรักใหม่ (ไม่รู้จะแรงไปไหม ถ้าจะใช้คำว่านอกใจ ) ยิ่งต้องใช้สติในการเอาชนะใจตัวเอง ดูเหมือนจะทำได้ง่าย แต่ก็พอจะเข้าใจนะว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ทุกคน แต่ก็เอาใจช่วยสำหรับคนที่กำลังเอาชนะใจตัวเองเพราะนั่นคงเป็นสิ่งที่ถูกต้องและควรทำที่สุดแล้ว เพราะอย่างน้อยคนที่อยู่เคียงข้างคุณก่อนหน้าที่คุณจะเจอคนที่ผ่านเข้ามาที่หลัง ก็คือคนที่คุณเลือกและเค้าก็เลือกคุณ เค้าไม่ได้มีความผิดในการนอกใจของคุณครั้งนี้เลยสักนิดเดียว สิ่งที่ตามมาจากการที่ใช้ความรักอย่างไร้สติ ก็คือการใช้ความรักของคนทำร้ายคนอื่น หรือแม้แต่ทำร้ายตัวคุณเอง
วันนี้จึงตั้งปฏิญาณกับตัวเองไว้ว่า จะพยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ให้ความรักของตัวเองทำร้ายใคร ( ถ้าไม่จำเป็น ..) รวมถึงจะไม่เอาความรักของตัวเองไปทำร้ายครอบครัวคนอื่นด้วย .
วันนี้ยังไม่รู้ว่าอีกหลายลี้ต่อไปของชีวิต จะตกหลุมรักใครอีกสักกี่หน
ด้วยรอยยิ้มเต็มแก้ม
ตัวเล็ก(ไผ่)
Oh !!! GOD .เขียนออกมาได้ไงเนี่ย แค่ข้อมูลดิบจากคำบอกเล่าของน้องที่รู้จักมักคุ้นคนนึงเพียงไม่กี่คำเองนะเนี่ย ..อืมมมมม. วันนี้ได้รับรู้เรื่องราวบางอย่างของคนรู้จักบางคน รู้สึกเสียความรู้สึกดี ๆ ไปเล็ก ๆ ( มันเกิดจากความคาดหวังในตัวคนอื่นอีกแล้วนะเนี่ย)
21 มกราคม 2545 12:57 น.
ตัวเล็ก
ร่ำสุรา เฮฮากะเพื่อนฝูง....
หลังจากไม่ได้เจอะเจอกันนานโข เพราะต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันทำงานทำการต่างมีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ..ไม่รู้เหมือนกันว่าวันนี้มันเป็นโอกาสอะไร รู้แต่ว่ามันเป็นคืนวันศุกร์ที่แสนเงียบเหงาและคิดถึงเพื่อนฝูงเป็นที่สุด ร้าน โอว์เล้ง ใช่หล่ะ โอว์เล้ง มังกรโบราญ ร้านของคนสนิทที่รู้จักคุ้นเคยกันมาแสนนาน ร้านนี้มักจะเป็นแหล่งรวมพลคนรักบรรยากาศของการร่ำสุราอย่างพวกเราเสมอ ๆ เฮ้อ!!!! ถ้าเข้าไปก็คงไม่เจอใครอยู่ดี ไม่ได้นัดใครไว้นี่หว่า . เอ้ย!!! ไม่เป็นไรน่า เข้าไปนั่งเสพบรรยากาศสักพัก แล้วค่อยกลับบ้าน . ว่าแล้วมือก็ไวอย่างสมองคิด เลี้ยวรถเข้าสู่ถนนที่คุ้นเคย แค่อึดใจก็พาตัวเองมาถึงร้านเก่า ร้านเดิมๆ ของเหล่าเพื่อนฝูง
ปิดประตูรถ เดินเข้าร้านด้วยความหวังว่าจะเจอะเจอกับเพื่อนฝูงสักคน เพี้ยง
เจอเจ้าของร้านเข้ามาทักทายอย่างคนคุ้นเคย
ไอ้ไผ่หายหน้าหายตาไปไหนมาวะเนี่ย
มันยุ่ง ๆ อะเฮีย ช่วงนี้
ก๊วนเรานั่งก๊งกันอยู่ 2 คนตั้งแต่หัวค่ำแนะ อยู่โต๊ะประจำนั่นแหละ
โอ้ ขอบคุณพระเจ้า ..คืนนี้คงเป็นคืนวันศุกร์ที่ไม่เงียบเหงาอีกแล้ว J
เอ้ย ไปไงมาไงวะ ไอ้ไผ่ ว่าจะไปจุดธูปเรียกหน้าร้านแล้วนะแก
เออ ให้มันได้อย่างนี้ดิ มากันก็ไม่มีชวนกันมั้ง
โทรไปบ้านแกเมื่อกี้ ป๊ะ บอกแกยังไม่กลับ โทรเข้ามือถือ แกก็ปิดนี่หว่า
เออ ๆ ยังไง ฉันก็มาถึงนี่หล่ะ
โซดา น้ำ เหมือนเดิม ใช่มะ ไอ้ไผ่
วันนี้ขอเป็น โค้กเย็น ๆ หล่ะกันวะ ไม่ค่อยอยากกินเหล้าวะ ช่วงนี้
ถึงว่าเมื่อกี้เฮียเล้ง เค้าบอกเหมือนกันว่า แกเปิดเหล้าไว้ขวดกินไปได้นิดเดียว แต่แกมาทีไร ก็สั่งแต่โค้กมากิน ฉันสองคนเลยเอามากินหล่ะ
เออ กินไปเหอะ บอกเฮียเค้าไว้เหมือนกันว่า ถ้าพวกแกมา ก็ให้เอามากินซะ แล้วให้เฮียเค้าโทรบอกด้วยจะได้มานั่งคุยด้วย
เฮ้ย หรือว่า มีใครห้ามแกกินเหล้าปะวะเนี่ย
จะแปลงร่างเป็นนางในฝันของใครหรือไงวะ
อย่างฉันเนี่ยนะ จะไปเป็นนางในฝันของใคร แกก็รู้นี่หว่า ใครจะคบฉัน เค้าต้องคบที่ตัวตนของฉัน อย่างนี้แหละ รับได้ก็รับ รับไม่ได้ก็บาย
เฮ้อ !! ฉันว่าแกต้องรีบไปจองหมู่บ้านคานทอง เฟสแรกไว้ก่อนเลยนะเนี่ย
เออน่า มันเรื่องของฉัน
อย่าเลยว๊าาาา ทำเก่งไปเหอะแกอะ . ระวังเหงาตายก่อนได้แต่งนะโว้ย
แผ่นดินนี้ถ้าไร้ชายที่พึ่งเชย ก็อย่ามีคู่เสียเลยจะดีกว่า
มามุขนี้ อีกแหละ ไอ้ไผ่เอ้ย
ไมวะ แกจะปิดตัวเองไปถึงไหน คนเก่าก็เลิกกันไปตั้งแต่ปีมะโว้หล่ะ ยังลืมไม่ได้อีกหรือไงวะ
ถ้าฉันคิดจะมีเมื่อไหร่ ฉันจะรายงานพวกแกเป็นคนแรก ๆ เลยดีมะ
เอ้ย แกไม่คิดจะมองพวก ๆ เดียวกันอย่างพวกฉันบ้างหรือ
มาเวรเลยไอ้นี่ พวกแกอะ ฉันอนุรักษ์ไว้เป็นเพื่อนวุ้ย เลิกคิดจะเป็นอย่างอื่นไปได้เลย
ฉันอุตส่าห์รอแกนะไอ้ไผ่
แกอย่ามาฟอร์มกะฉันเลย . ไม่มีใครเอาแกก็บอกเหอะ
ไอ้นี่ รู้ทันซะหมด
เอ้ย รู้กันยัง ไอ้ข่า จะแต่งงาน
จริงอะ ใครหลงผิดไปกะมันวะ
จริงดิวะ ฉันจะหลอกแกทำป๊ะอะไรหล่ะ ตังค์ก็ไม่ได้ แต่งกะน้องริน เด็ก วิท-ยา อะ แกจำได้มะ
เอ้ยนี่มันไม่ใช่สเปคมันเลยนี่หว่า อย่างไอ้ข่า มันต้อง เปรี้ยว ๆ เฉียว ๆ อย่างน้องรินอะ ดูเค้าดีงามเกินมันวะ
ปากแกเนี่ยนะ ไม่เคยเปลี่ยนจริง ๆ
มันว่าหญิงที่เอามาควงเล่น ๆ กะผู้หญิงที่เอามาเป็นแม่ของลูกมันผิดกัน
เออ ก็ดีใจไปกะมันด้วย ที่เจอคนดี ๆ แต่สงสารน้องเค้าวะ จะทนมันได้ปะวะ
ไอ้ข่า มันได้ยิน สงสัยแกโดนเตะ
แหม แกก็อย่าไปบอกมันดิ มันไม่ได้มีหูทิพย์ซะหน่อย
แล้วงานการ แกเป็นอย่างไงกันบ้างวะ
ก็เรื่อย ๆ วะ เป็นมนุษย์เงินเดือนนี่หว่า ก็งี้แหละ แล้วแกหล่ะ ไอ้ไผ่
ฉันหรอ เออ ก็ดีวะ แต่ว่าทำอีกซักพัก จะไปทำฟาร์มแล้ววะ
ไมวะ ..เงินเดือนตั้งเยอะ ไม่เสียดายหรือไงวะ
อยากทำอะไรเป็นของตัวเอง มั้งวะ เบื่อทำงานทำเงิน ให้คนอื่น เต็มทีหล่ะ กะว่า จะค่อย ๆ ทำไปอะ คงไม่ทำอะไรใหญ่โตหรอก แล้วก็รับ job ทำไปเรื่อย ๆ ด้วย เดี๋ยวความรู้มันไหลลงคลองหมด
เออ มีทางเลือกก็ดีวะ เบื่อเหมือนกัน วัน ๆ แม่งเจอแต่จอ สี่เหลี่ยม ๆ แต่ไม่รู้จะไปทำไร
เซ็งจัด ๆ อาจจะไปของานแกทำ
เออ ให้มันเป็นรูปเป็นร่างก่อน ค่อยว่ากัน
เอ้ย เดี๋ยวมีนา รวมกลุ่มขึ้นไปรีสอร์ทไอ้ไท กันดีกว่า
เออ ดี ๆ จะได้เจอะเจอกันบ้าง แม่งหายหัวกันไปหมดช่วงนี้
แหม เค้ามีครอบครัวกันหมดแล้ว อะไรจะอิสระ เสรี เหมือนพวกเราวะ
..
..
เอ้ย !!! ไผ่ นักดนตรี เลิกหล่ะ แกขึ้นไปเดี่ยวกีต้าร์ ร้องเพลงให้ฟังหน่อยดิ
เออ ๆ ไม่ได้ฟังแก ร้องเพลง เล่นกีต้าร์ นานแล้วว่ะ
สนับสนุน เชียวนะแก อย่าดีกว่าวะ เดี๋ยวแขกเฮียเค้าหนีหมด
เค้าคงชินแกแล้วหล่ะ ฉันว่า คราวก่อนโต๊ะอื่นมันยังขึ้นไปแจม กีต้าร์ กะแกเลยไม่ใช่หรือ
เอาเหอะวะ วันนี้มีแขกอยู่ไม่กี่โต๊ะ
ตาม สบายเลย ไผ่
อะ เฮีย เค้าเปิดช่องให้แกหล่ะ
แก อยากฟังเพลงไรหล่ะ
เพลงไร ก็ได้วะ ที่แก อยากร้องอะ
เอาก็เอาวะ เฮียขอ นุญาติ นะ
เออ เอาเลย เผื่อมีแมวมองมาเห็น จะได้มีน้องเป็นนักดนตรีกะเค้าบ้าง เอากีต้าร์เฮียไปเล่นก็ได้ปะ อยู่หลังเคาร์เตอร์ อะ เข้าไปหยิบเอาเองเลย
ขอบคุณเฮีย
..
.
ฝีมือ ยังไม่ตกนี่หว่า ยังเล่นกีต้าร์ อยู่เรื่อย ๆ หรือ วะ
อืมม ก็เล่นอะ รักมันนี่หว่า ถึงไม่มีโอกาสได้ศึกษามันจริงจัง ๆ ก็เหอะวะ สุขดี เวลาอยู่กะมัน
ถ้าตอนนั้นได้เรียนอย่างที่ตั้งใจ ปานนี้คงเป็นนักดนตรี ไปหล่ะ น่าสงสารฉันปะ
สงสารแก สงสาร หมา ดีกว่าวะไผ่
ไอ้นี่ เอาเพื่อนไปเปรียบกะหมาได้ไงวะ
ฉันแต่งเพลงไว้ให้พวกแกด้วย เหมือนสมัยที่ทำค่ายด้วยกันอะ
แกก็ทำ demo มาให้พวกฉันฟังบ้างดิ
เออ ๆ ไว้ว่าง ๆ ก่อน จะทำไว้เปิดตอนงานศพฉันด้วย
ดูมันพูด เดี๋ยวเตะ เปรี้ยงไปนอกร้านโน้นเลย
แล้วตอนนี้แกยังคิดอยากเขียนหนังสืออยู่อีกเปล่า .
ก็แค่คิดวะ แต่ฝีมือไม่ถึง .. อย่างว่า กะว่าจะเขียน ๆ ไว้รวมเล่มแจกในงานศพเอาให้พวกแกเอาไปไว้หนุนหัวกัน
ไอ้นี่ เดี๋ยวพ่อด่าให้ลืมทางกลับบ้านเลย
.
งานค่ายของชมรม ติดต่อแกมาบ้างปะวะ ฉันว่าจะไปช่วยน้องมันซะหน่อย
เออ ๆ ก็ว่าจะไป ดีนะเฟ้ย รู้สึกดีวะ น้องมันยังนึกถึง
น้องมันกระซิบ ฉันว่า จะเอาแกเป็นที่เคารพบูชา ในฐานะ ปู่ทวดของค่ายอะ ..
น้องมันว่า หรือ แกว่าไอ้ไผ่
ก็ว่าจะไปช่วยมัน ไประลึกถึงบรรยากาศเก่า ๆ
แล้วใกล้ ๆ ค่อยว่ากันอีกที ต้องดูงานก่อน แต่อยากไปวะ
แล้วเรื่องราว หลายต่อหลายเรื่องก็พรั่งพรู ผ่านบรรยากาศของการร่ำสุรา ที่อบอวนไปด้วยมิตรภาพ . นับจาก สี่ทุ่ม ห้าทุ่ม เที่ยงคืน ตีสอง
เอ้ย แล้วเจอกันใหม่
แกจะให้ฉันขับรถตามส่งแกไหมเนี่ยไอ้ไผ่ ในฐานะที่เป็นหญิง เดี๋ยวจะหาว่าพวกฉันไม่ดูแล
ไม่ต้องอะ ..ไม่งั้นฉันต้องขับรถไปส่งแกอีกรอบแน่เลย เป็นห่วงสวัสดิภาพของคนใช้ถนนร่วมกะแกว่ะ
แหม แกนี่ ฉันไม่ได้เมา แค่ มึน ๆ
เอ้ย ไผ่ แกกลับเหอะ เดี๋ยวฉันไปส่งมันเอง ..ปล่อยมันกลับคนเดียวเดี๋ยวไปมีเรื่องกะคนเก็บตังค์บนทางด่วงอย่างคราวก่อนอีก แล้วพรุ่งนี้ฉันค่อยมาเอารถ
เออ .. งั้นฉันกลับก่อนนะ
ขับรถดี ๆ นะโว้ย บอกป๊ะด้วยว่า .. ว่าง ๆ ฉันจะไปขอข้าวเย็นฟรี ๆ กิน
เออ แล้วจะบอกป๊ะให้
เฮ้ย !!!
อะไรของแกอีกวะ
ถามน้องแกด้วยว่าเมื่อไหร่ จะยอมใจอ่อนเป็นแฟนฉันซะที
มันฝากบอกฉันมาว่า ชาติหน้าวะ
เออ ๆ ถึงแล้วโทรบอกหน่อยนะโว้ย จะได้ไม่ต้องห่วง
ไม กลัวฉันขับรถชนเสาไฟบนถนนเพชรเกษมหรือไง
ก็เพื่อนอย่างแก มันไม่ได้หาได้ง่าย ๆ ตาม 7-11 นี่หว่า ต้องอนุรักษ์ ไว้ก่อน
เออ ฉันจะอยู่เป็นมิ่งขวัญ ของพวกแกไปอีกนาน ๆ
ไปหล่ะ ถึงบ้านแล้วจะโทรไป
.
ฉันขับรถกลับบ้านด้วยรอยยิ้ม มิตรภาพของพวกเราไม่ได้เปลี่ยนไปเลยให้ตายเถอะ นี่แหละน๊าาา ที่เค้าว่า ความรักของเพื่อนฝูงมันเป็นความรักที่ยั่งยืนเสมอ ..
ด้วยรอยยิ้มเต็มแก้ม
ตัวเล็ก
20 มกราคม 2545 00:57 น.
ตัวเล็ก
Diary สีน้ำเงิน
17 ม.ค. 2545
17:18:53
salen
mail forward
เมื่ออาทิตย์ก่อน ฉันได้รับพัสดุไปรษณีย์ที่ส่งมาจากเพื่อนคนนึง
เพื่อนซึ่งฉันทำเค้าหล่นหายไปกับกาลเวลานานพอดู
เกือบปีที่ไม่ได้เจอะเจอกันเลย
ครั้งสุดท้ายฉันรู้จากเพื่อนอีกคนเพียงว่า เค้าป่วยแล้วลาออกจากงาน
แล้วพาตัวเองหนีความวุ่นวายของสังคมเมืองกลับไปช่วยกิจการของของที่บ้านที่เกาะๆ
แห่งหนึ่งในจังหวัด ตราด...
ฉันแกะกล่องพัสดุฯ แล้วฉันก็ได้พบ Diary สีน้ำเงิน เล่มหนา
ที่ดูเหมือนผ่านการใช้งานมาอย่างหนัก
พร้อมกับข้อความที่เขียนด้ายปากกาเส้นเล็กๆ ว่า
สำหรับความรู้สึกที่ดี ของความเป็นเพื่อน พร้อมกับลายเซ็นของตัวเอง....
นี่มัน Diary ของฉันที่เคยเขียนไปได้เพียงครึ่งหน้าและได้ให้กับเพื่อนคนนี้ในวันหนึ่งที่ฉัน
ได้รับรู้เรื่องราวไม่สบายใจของเขา
และพบว่าที่เขาเล่าให้ฉันฟังมันไม่ใช่ความทุกข์ที่เค้าอยากจะระบายออกมาทั้งหมด..
ฉันเลยแนะนำให้เขาเขียนในสิ่งที่เขาอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้
และให้บรรยายมันลงใน Diary ของฉันเล่มนี้ แล้วบอกเขาด้วยว่า
ถ้าวันนึงที่เขาไว้ใจเพื่อนอย่างฉันเขาคงเล่าความทุกข์ของเขาทั้งหมดให้ฉันได้รับรู้
ฉันพลิกดู Diary สีน้ำเงินเล่มนี้อย่างคร่าวๆ จากหน้าแรกจนหน้าสุดท้าย...
ไม่หน้าเชื่อเพื่อนของฉันคนนี้เขียนมามันจนหมดทุกหน้า ...
ไม่บ่อยครั้งนักที่ฉันจะได้เห็นผู้ชายมานั่งเขียนอะไรมากมายอย่างนี้
..และในหน้าสุดท้ายฉันก็พบรูปของตัวเอง ที่ถูกแปรเปลี่ยนมาเป็นที่คั่นหนังสือ
กับข้อความหลังภาพที่ว่า หากเธอมองฉันผ่านมิตรภาพของความเป็นเพื่อน
ฉันก็คงเป็นได้แค่เพียงเพื่อน
ฉันพลิกกลับมาที่หน้าแรก ตั้งต้นอ่านมันอย่างตั้งใจ จากหนึ่ง เป็นสอง สาม และสี่
..ตามลำดับเรื่อยมา ... ฉันได้พบชื่อของตัวเองบ่อยครั้งใน Diary สีน้ำเงินเล่มนี้
เหมือนกับเป็นการเล่าสู่กันฟังของเพื่อนกับเพื่อน
เรื่องราวที่ฉันได้รับรู้จาก Diary
หลายต่อหลายครั้งทำเอาฉันนั่งน้ำตาซึม ...
ไม่น่าเชื่อนะ ผู้ชายแข็ง ๆ กระด้าง ๆ
ที่มักจะทำอะไรให้คนอื่นได้ยิ้มได้หัวเราะอยู่ตลอดเวลาจะเก็บเอาอะไรมาคิดได้มากมายอย่างนี้....
ฉันอ่านมันหน้าแล้วหน้าเล่า...
แล้วฉันก็พบว่าเพื่อนที่ฉันเคยคิดว่าฉันรู้จักเขามากพอดู
มาวันนี้ฉันกลับรู้สึกว่าฉันไม่ได้รู้จักในตัวตนของเขาสักเท่าไหร่เลย
ฉันสัมผัสเค้าได้แค่เพียงเปลือกนอกที่เค้าแสดงออกมาให้คนอื่นได้รับรู้เพียงแค่นั้น...
มีบางแง่มุมที่ไม่เคยได้รู้ ฉันก็ได้รู้
บางเรื่องที่ฉันลืมไปอย่างไม่ได้ใส่ใจก็กลับมาอยู่ในความทรงจำอีกครั้ง..
ฉันได้อ่าน Diary สีน้ำเงินเล่มนี้ได้มากพอดู ถึงได้รู้ว่า
สาเหตุที่เธอกลับมาอยู่ที่เกาะ มาช่วยกิจการที่บ้าน
เพราะอาการป่วยของเธอนั่นเอง
เธออยากกลับมาอยู่ใกล้ ๆ กลับมาดูแลแม่ของเธอในวาระสุดท้ายของตัวเอง
...หมอบอกเธอว่า โรคมะเร็งที่เธอเป็นอยู่มันจะทำให้เธอมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานนัก
เธอไม่กล้าแม้แต่จะบอกเรื่องนี้กับแม่ซึ่งทำงานหนักมาทั้งชีวิต
โดยที่ทั้งแม่และเธอไม่เคยได้รับการใส่ใจดูแลจากผู้เป็นพ่อเลย
..เธอกลัวแม่ของเธอรับไม่ได้ ..เธอไม่เคยบอกใครถึงสิ่งที่เธอเป็นอยู่
ทางบ้านรับรู้เพียงว่าเธอสุขภาพไม่ดี ....
ฉันนั่งนึกถึงแม่เธอที่เคยเจอะเจอเมื่อปีก่อน ผู้หญิงที่ดูเข้มแข็ง
แกร่ง อย่างไม่น่าเชื่อ
แม่เธอบอกเสมอว่าที่ท่านอยู่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะเธอ
เธอเป็นกำลังใจในการต่อสู้และการดำเนินไปของชีวิต.....
แม่เธอจะรับได้ไหม
ถ้าวันนึงรู้ว่า
กำลังใจของแม่กำลังจะจากไป...
ฉันรับรู้ถึงความเจ็บปวดที่เธอได้รับจากอาการข้างเคียงของโรคผ่านตัวหนังสือใน Diary สีน้ำเงิน
เธอเขียนไว้ว่า หลายต่อหลายครั้งที่เธอร้องไห้
และคิดถึงเพื่อนอย่างฉัน ยิ่งช่วงท้าย ๆ ของ Diary
ฉันได้เห็นชื่อของตัวเองบ่อยครั้งขึ้น
บ่อยมากจนรู้สึกว่าเวลานั้นเธอคงอยากให้ฉันอยู่ใกล้ๆ เธอจริง ๆ
แต่เธอไม่เคยโกรธที่ฉันห่างหายมาอย่างนี้ เธอบอกว่า
เธอรู้ข่าวคราวและความเป็นไปของฉันตลอดจากเพื่อนอีกคน
เธอรู้ว่าฉันเองก็มีเรื่องทุกข์ใจที่ต้องเผชิญอยู่เช่นกันเธอถึงไม่เคยเรียกร้อง
ที่จะให้ฉันไปอยู่ข้างเธอยามนี้....
ฉันอ่าน Diary สีน้ำเงินเล่มนี้จนจบ ข้อความท้าย ๆ ของ Diary
คล้ายจะเป็นการสั่งเสีย ..เหมือนเธอรู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นกับเธอ
และเธอกำลังต้องการเพื่อนสักคนในเวลานี้ และคน ๆ นั้นก็คือฉัน
หากเธอมองฉันผ่านมิตรภาพของความเป็นเพื่อน
ฉันก็คงเป็นได้แค่เพียงเพื่อน
แล้วฉันก็พบข้อความนี้อีกครั้ง มันเป็นข้อความสุดท้ายใน Diary
สีน้ำเงินเล่มนี้ ..ฉันอ่านมันจนจบ พร้อมกับปิดมันลงด้วยความรู้สึกผิด
นานแค่ไหนแล้วที่ฉันทำเพื่อนคนหนึ่งหายไปกับกาลเวลา
นี่ฉันเป็นเพื่อนชนิดไหนกันนี่
ยามที่เธอต้องการฉัน ฉันกลับห่างหายมาอย่างนี้
ฉันขอโทษ ขอโทษจริง ๆ ฉันสัญญา
พรุ่งนี้ฉันจะกลับไปเป็นเพื่อนที่ดีของเธอเหมือนก่อน กลับไปอยู่ข้างๆ
เธอยามที่เธอต้องการเพื่อนสักคน ....
แล้วพรุ่งนี้ฉันจะรีบไปหาเธอแต่เช้า
กลับไปทำหน้าที่ของเพื่อนที่พึงทำให้เพื่อน
...ฉันสัญญา เธอคงกำลังรอฉันอยู่ ....
วันนี้ฉันมาหาเธอที่บ้าน แต่สิ่งที่ฉันพบ ....
คือร่างของเธอที่นอนสงบนิ่งอยู่ตรงหน้า
...พบแม่ของเธอที่กำลังร้องไห้แทบขาดใจ
แม่โผเข้ากอดฉันเหมือนกำลังจะบอกว่า เธอไปแล้ว เธอจากไปแล้ว......
ฉันมาช้าไป
มาช้าไปจริง ๆ
ฉันมาไม่ทันลมหายใจสุดท้ายของเธอด้วยซ้ำ ...
แม่เธอเล่าให้ฉันฟังหลังจากงานศพของเธอผ่านไป ...
แม่บอกว่าเธอมักจะพูดคุยถึงเรื่องราวของฉันให้แม่เธอได้รับรู้เสมอ
...เมื่อไหร่ที่เธอรับรู้ว่าฉันกำลังทุกข์ก็ดูเหมือนเธอกำลังทุกข์ไปกับฉันด้วย..
แม่เคยบอกให้เธอมาหาฉันแต่เธอปฏิเสธ
เพราะเธอไม่อยากให้ฉันเห็นเธอในสภาพก่อนที่เธอจะจากไป
เธอกลัวว่าฉันจะเป็นห่วงเป็นกังวลไปกับเรื่องราวของเธอ
..แม่เธอบอกกับฉันว่าเธอห่วงฉันมาก แม้กระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิตเธอ
เธอยังบอกกับแม่ว่า
ถ้าฉันมาที่บ้าน แสดงว่าฉันคงไม่ค่อยสบายใจ รู้สึกแย่กับชีวิต
..ฉันถึงพาตัวเองมาหาทะเลมาหาเพื่อนอย่างเธอ
...เธอฝากให้แม่ดูแลฉันแทนเธอด้วย...
น้ำตาฉันยังคงอาบแก้ม ขอบคุณ ขอบคุณสำหรับทุก ๆ
ความห่วงใยที่เธอมีให้กันเสมอจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิตเธอทะเลหน้าบ้านเธอ
ที่ฉันเคยบอกว่า
เป็นทะเลที่สวยที่สุด วันนี้มันดูเศร้าไปถนัดตา
...หลับให้สบายเถอะเพื่อน
ฉันจะไม่มีวันลืมเพื่อนอย่างเธอไปได้เลย ..ฉันสัญญา...
วันนี้ฉันนั่งสำรวจตัวเองอีกครั้ง พร้อมกับถามตัวเองว่า
ฉันทำใครหล่นหายไปกับกาลเวลาอีกไหม ... แล้วถ้าฉันพบว่ามี
ฉันจะรีบกลับไปทวงถามให้เค้ากลับมาด้วยความรู้สึกดีๆ
และจะพยายามอย่างที่สุดที่จะรักษาเค้าไว้กับฉันตลอดไป
เพื่อนยังอยู่ในใจเสมอ
ตัวเล็ก
21 กันยายน 2544 10:01 น.
ตัวเล็ก
ดวงหน้าครุ่นคิดคำนึงไกล
ดวงตาหมองหม่นละห้อย
ริมฝีปากเผยอนิดๆราวสั่งความ
เจ็บช้ำครั้งนี้เพียงชีวิต
ตราจิตจวบจนโลกหน้า
รานร้าวแหลกสลายทรมา
ปิดตาสิ้นใจไป่ลืม
ชาติใดแม้ได้กำเนิด
อย่าเกิดหลงใหลได้ปลื้ม
เร้นกายหลีกไกลไป่คืน
ชมชื่นรักโรยโปรยดิน