29 พฤศจิกายน 2552 22:17 น.
ตั ว เ ล็ ก
ฉันเป็นแค่กวีที่ไร้รัก
มิใช่นักกวีที่มีฝัน
ใช้ความเหงานำทางในบางวัน
และก็เป็นเช่นนั้นเสมอมา
บทกวีหล่อเลี้ยงเพียงแค่นั้น
มิได้หวังรางวัลหรือคุณค่า
หากเธอเก็บตัวอักษรซ่อนนัยตา
ขอให้คิดเสียว่าเพียงอาภรณ์
เพราะมันอาจงดงามกว่าความจริง
ด้วยเป็นสิ่งประดับสลับถอน
เมื่อไร้มือก็หมดงามสิ้นนามกลอน
ฉันนิ่งนอนเธอก็หน่ายกลับกลายไป
วิถีทางเธอยังสะพรั่งอยู่
ในรับรู้ไฟฝันแห่งวันใหม่
ฉันมีค่าเป็นความหลังที่ฝังใจ
ไม่หวังมีชีวิตใหม่ได้อีกครั้ง
ฉันก็เหมือนต้นไม้ที่ตายแล้ว
อย่าถางแผ้วถอนรากฝากความหวัง
ฉันสิ้นเสียงจะส่งสายและพ่ายพัง
ขอเธอยั้งเพื่อรับรู้ ดูฉันตาย
28 พฤศจิกายน 2552 23:45 น.
ตั ว เ ล็ ก
ฉันมีตัวตนอยู่ตรงนี้
บนแผนที่ไร้ทางร้างจุดหมาย
มีรอยย่ำเหยียบวาดเหนือหาดทราย
ใต้รองเท้าเปล่าดายของวันวาน
ฉันมีตัวตนอยู่ตรงนั้น
ในกระจกความฝันแห่งวันผ่าน
เป็นก้อนกรวดภายใต้ดอกไม้บาน
มีรอยยิ้มในม่านน้ำตานอง
ฉันมีตัวตนอยู่ตรงนี้
ในแสงสีสงบงามความเศร้าหมอง
เป็นดวงตาบอดใบ้เมื่อใช้มอง
มีเสียงร้องร้างไร้ใครได้ยิน
ฉันมีตัวตนอยู่ตรงไหน
บนท้องฟ้า หาดทราย หรือก้อนหิน
ดวงดอกไม้ กาลเวลา น้ำตาริน
จะยอมให้เธอกลืนกินจนสิ้นใจ
เธอมีตัวตนอยู่ตรงนั้น
ในสายลมสงบงันไม่เคลื่อนไหว
บนลานกว้างฉันจ่อมจมสายลมไกว
กล่อมดวงใจสู่ฝันนิรันดร
21 พฤศจิกายน 2552 23:00 น.
ตั ว เ ล็ ก
ฤดูกาลฝนดาวกี่คราวใด
ยังมีไหมอุ่นไอในลมหนาว
เป็นเชื้อเพลิงแห่งฝันอันสกาว
สักชั่วครั้งชั่วคราวให้ชื่นใจ
แม้เปล่งแสงระยิบชั่วพริบตา
ก่อนดิ่งคว้างจากฟ้าลงมาใกล้
แผ่นดินต่ำก็สูงค่ามาครึ่งใจ
และมียิ้มสดใสได้เหมือนฟ้า
น้ำตาดาวหลั่งรินให้ดินรับ
ดินจะซับความทุกข์ยากให้มากกว่า
ปลอบประโลมเช็ดคราบอาบน้ำตา
ให้เธอกลับไปบนฟ้าอีกคราครั้ง
ขอเธอจงจากไปไม่หวนกลับ
ขอฉันนับคืนร้างอยู่ข้างหลัง
บนผืนโลกต่างฟ้าเมฆมาบัง
ฉันก็ยังพูดจาภาษาดิน
ฤดูกาลฝนดาวอีกคราวครั้ง
หวังฉันหวังเราไม่พบเราจบสิ้น
ดาวดวงเดิมอย่าทอนค่ามาสู่ดิน
เธอเจ็บช้ำและฉันชินครั้งเดียวพอ
ประดับดินด้วยฝุ่นเจือเมื่อดาวหาย
แต้มฝุ่นพรายให้พราวค่านัยตาต่อ
อุ่นแสงดาวโปรยปันอันลออ
ขอฉันขอฝันในฝุ่นอุ่นกว่าดาว
(อุ่นแสงดาวไม่ถึงดินถิ่นที่รอ
ขอฉันขอน้ำตาหนุนอุ่นกว่าดาว)