3 กรกฎาคม 2547 12:20 น.
ตะวันฉาย
ในที่สุด
ฉันก็มาพบตัวเองนั่งอยู่ที่โคนต้นไม้นั้นอีก
ภาพใบไม้อ่อนสีเขียวละมุนเคลื่อนเข้ามาในหัวอย่างเศร้าสร้อย
จากนั้นก็ค่อยๆกลายเป็นสีเขียวสดใส...แล้วก็แดงระเรื่อ
ในวูบนั้นเอง
ฉันรู้สึกถูกจู่โจมด้วยความเจ็บปวดที่ดิ่งลึกและเชือดเฉือนอย่างที่สุด
อย่างไม่รู้ตัว...
ฉันลุกขึ้นกอดต้นไม้ไว้แน่น
แล้วเกร็งสองมือจิกเล็บลงไปที่ลำต้นของมันอย่างทุรนทุราย
หยาดน้ำสีขาวข้นไหลรินมาตามร่องที่ถูกเล็บกรีด
ฉันจ้องมองอย่างตะลึงงัน...
เมื่อเหลือบมองเหนือขึ้นไปอีก
ฉันก็รู้สึกสะท้านไปทั้งร่าง
นั่นใบไม้น้อยของฉันไม่ผิดแน่ๆ...
ช่างเหมือนกับที่ฉันพบในวันแรก สีเขียวอ่อนละมุน
เส้นใยสยายอยู่ใต้ผิวใบละเอียดอ่อนเหมือนแก้มเด็ก
อา...ฉันดีใจเหลือเกิน
ฉันเขย่งเท้าขึ้น ค่อยๆบรรจงจูบแผ่วเบาที่ใบไม้นั้น
ครั้งนี้ริมฝีปากของฉันคงจะนุ่มนวลพอที่จะไม่ทำให้เกิดรอยช้ำขึ้นอีก
หยาดน้ำใสหยาดหนึ่งหยดลงกลิ้งไปมาอยู่บนผิวใบ...
มันเป็นหยาดน้ำตาของฉันเอง
ฉันจะไม่เช็ดมันอีก เพราะใบไม้น้อยต่างหากที่กำลังเช็ดน้ำตาให้กับฉัน
: ฤดูกาล
...สิ้นราตรีสีดำฟ้าคล้ำหมอง
อุษาผ่องเผยภาพขึ้นทาบสรวง
สาดแสงใสไล้ลูบจูบสิ่งปวง
ให้หายง่วงแล้วตื่นลุกขึ้นมา
น้ำค้างหย้อยอ้อยอิ่งอิงใบไม้
วิ่งล้อไล่เล่นแสงแห่งอุษา
ดอกไม้ปริปากแย้มแต้มขนตา
หมู่ดอกหญ้าร่ายรำระบำใบ
คลื่นน้ำใสไหลซบกระทบฝั่ง
เป็นเพลงฟังแว่วหวานกังวานไหว
หมู่ต้นไม้ต้องลมแผ่ร่มใบ
แกว่งกายไกวโบกฟ้าบนธาตรี
แมลงปอเกาะหินเลื่อมปิ่นรุ้ง
ผีเสื้อพุ่งอวดแพรแผ่ปีกสี
นกบินพรูโผผ่านม่านเมฆี
มดเดินรี่ลับตาหยั่งท้าทาย
นอนเอนพิงอิงพักหนุนตักหล้า
มองบนฟ้ารวบรวมหาความหมาย
คิดทบทวนธรรมชาติวาดลวดลาย
ถึงสุดท้ายตามวิถีของชีวัง
สายลมแผ่วกระซิบว่าเธออย่าท้อ
ต้องสู้ต่อตราบที่ยังมีหวัง
เมื่อมืดมิดปรากฏมาบดบัง
ส่องอีกครั้งตะวันฉายในสายตา...