26 กันยายน 2552 11:36 น.
ตะวัน
เดินทางกลางเมืองอันเขื่องโข
แหกโซ่กรงกรอบที่ครอบขัง
หลายมือยื้อยุดจะฉุดรั้ง
หลายหน้าตาตั้งพลางก่นว่า
แต่เสียงเรียงกราดไม่อาจทัด
มุ่งฝ่าอาณัติการวัดค่า
เพราะทั่วหัวใจไร้ศรัทธา
สุดท้ายกลายว่าเป็นหมาขี้เรื้อน
เมืองกระเพื่อมเหลื่อมขอบกรอบความคิด
อารยะปะติดให้บิดเคลื่อน
วิถีชีวิตมันบิดเบือน
ถูกผิดอิดเอื้อนไม่เลื่อนที่
แท่นหูกผูกล้อทอวัฏจักร
หลอมเส้นเป็นชนักกักทางหนี
กฎกรอบครอบถิ่น - บ้าสิ้นดี!
เกลียดโลกใบนี้เสียที่สุด
แต่เหลือบมอง..
วนิพกร่ำร้องกลางกลองชุด
ณ ทางข้างถนนผู้คนหยุด -
โอบห้อมล้อมมนุษย์ผู้รุดบรรเลง
เขาปิดเปลือกตามาร่ำร้อง
ผุดดำทำนองรัวกลองเร่ง
เขาเปรียบเรียบเรียงด้วยเสียงเพลง
ใจฉันมันเคว้งละเลงลม
ไยเขาก้าวย่างอย่างอิสระ?
เหมือนไร้พันธะให้สะสม
ทั้งที่ชีวิตเหมือนติดหล่ม
นี่หรือ เรียกผมบังภูเขา?
วนิพกชกกลองร้องเพลงร่า
ทายท้า ฟ้า ฝน คน เขม่า
ดูเขาสุขใจไปถึงเหง้า
เหมือนเขาเข้าใจ - อะไรชีวิต
.........
ฉันแอบยิ้ม..
เขามองรอบริมส่งยิ้มสะกิด
คล้ายบอกคอกขังจะฝังทุกทิศ
หากมีชีวิตไม่คิดจะรับ
23 กันยายน 2552 22:38 น.
ตะวัน
เรียงเกล็ดเม็ดทรายจากสายน้ำ
หลอมหล่อก่อความตามรู้สึก
เพาะปลูกถูกผิด จิตสำนึก
ใส่ผลึกแก้วบางระหว่างฝัน
เม็ดทรายรายเรียงสายเสียงทราย
เป็นละอองความหมายผ่านสายกั้น
เป็นฉากจากวันไปสู่วัน
เป็นกรอบขอบฝันที่ฉันมี
หลอดแก้วสีฟ้า นาฬิกาทราย
ฉันเพียงเรียงรายสายวิถี
บ่มเพาะเจาะความตามวิธี
จนถึงจุดนี้ที่ต้องการ
มองตะวันผ่านวันไปอีกวัน
วันนี้ความฝันมันเริ่มด้าน
ในโลกเสรีที่เบ่งบาน
ความฝันอันตรธานผ่านเสรี
ในช่องร่องผาป่าคอนกรีต
มารยาจารีตได้ฉีดสี
ทับฉากรากเหง้าเป็นเถ้าธุลี
ผัดเปลี่ยนเวียนสีดรรชนีวัด
ลอยลมล่องไล้ในแสงสี
หลิ่วตาตามวิถีที่ปฏิบัติ
เรื่อยเปื่อย..เรื่อย..เรื่อย..เลื้อยเลาะลัด
ไปตามวิวัฒน์ที่พัฒนา
ดื้อรั้นดิ้นรนจนสะใจ
เบื่อแล้ว..แสงไฟในป่าช้า
จากมุมเหม็นอับขอกลับมา
สู่ฝันกลั่นค่าปัญญาชน
กลับมาหลอมใจไปกับฝัน
ตามเส้นแวง แสะตะวันที่หลั่นหล่น
ตามนิยาม ความฝันบรรพชน
ตามทรายสายชลวนเวลา
เปิดช่องกล่องครอบหากรอบแก้ว
เพื่อใช้เป็นแนวตามประสา
เม็ดทรายไหลเลื่อนเหมือนเลือนตา
มันหายกลายค่าแค่อากาศ
เหมือนฉันต่อฝันฉันไม่ติด
ในราวก้าวทิศที่ผิดพลาด
เวลาของฉันช่วงมันขาด
ความเดิมที่วาดขาดเส้นใย
จบแล้ว..วันนี้ไม่มีฝัน
ไม่มีปัจุบันให้เริ่มใหม่
นาฬิกาทรายมันหายไป
เวลา..ที่สร้างไว้..หายไปแล้ว