1 มีนาคม 2555 20:38 น.
ตะวัน
เธออย่ากลัวความมืดหม่นจนร้องไห้
เหตุมันเพียงเสียงใบไม้ได้พัดผ่าน
แค่เรไรมโหรีราตรีกาล
สะอื้นอ้อนก่อนเมฆกร้านจะผ่านมา
ใช่แหละฟ้ามันน่ากลัวอย่างทั่วถึง
ไกลและกว้างเกินแสงหนึ่งจะส่องจ้า
ดาวอวดแสงแรงเข้มเต็มนภา
เกินแสงเสี้ยวของจันทราจะส่องไกล
ป่าดงดิบกระพริบพรายปลายน้ำค้าง
เส้นทแยงแสงสว่างต่างวาบไหว
สุดแสงหนึ่งซึ่งอ่อนแสงหมดแรงไป
จะส่องส่งถึงตรงไหนคงไม่รู้
แต่ป่านี้มีฝันดีที่เธอฝัน
ใช่แหละทางบางครั้งมันไกลสุดกู่
ทางอาจล้า แต่เมื่อล้ม แล้วก้มดู
รอยเท้าเธอก็ยังอยู่มาสุดทาง
แสงพระจันทร์เคยกลั่นใจให้เธอกล้า
ออกตามฝันวันที่ฟ้าสีสว่าง
แค่วันนี้จันทร์หรี่แสงอ่อนแรงจาง
ก็ใช่ว่าฝันเธอร้างเสียเมื่อไร
ในความมืดอาจยืดเย็นเป็นระยะ
แต่แรงใจจะชนะทุกสิ่งได้
แค่ยิ้มสู้ฝันอีกเสี้ยวจะเกี่ยวใจ
เสี้ยวพระจันทร์ในวันใหม่จะเต็มดวง
ลมพัดแผ่วแนวใบไม้พรายน้ำค้าง
สะท้อนดาวที่พราวพร่างอยู่กลางสรวง
ป่าฝันนี้มีอยู่จริงหรือสิ่งลวง
รู้ด้วยการก้าวตามห้วงท่วงทำนอง
แค่เธอเชื่อเรื่องความฝันในวันหน้า
จันทร์จะจ้า ฟ้าจะพราว ดาวจะหมอง
ความน่ากลัวเป็นแค่บทการทดลอง
การก้มหน้าจับตามองของพระจันทร์
หริ่งเรไรร้องคำรามแค่ความคึก
ท้าความคิดจิตสำนึกคนช่างฝัน
เถิดสืบก้าว มันจะไกลแค่ไหนกัน
อย่าเสียชื่อเด็กดื้อรั้นวันผ่านมา
เธออย่ากลัวความมืดหม่นจนร้องไห้
เสี้ยวพระจันทร์ในวันใหม่ยังเติบกล้า
ฝันจะเข้มเต็มดวงได้ด้วยศรัทธา
การล่าฝันสักวันหน้าจะบริบูรณ์...
25 ตุลาคม 2554 00:53 น.
ตะวัน
ปลุกฉันตื่นขึ้นสักวันเมื่อฉันพร้อม
ทุกอารมณ์จะสมยอมความหอมหวาน
ฉันสัญญาเมื่อฟ้าผลัดรัตติกาล
หนึ่งนิทราจะลาผ่านไม่นานนี้
............................
เหมือนภาพฝันมันเลือนพร่าจากหน้าต่าง
และปิดตายปลายฟ้ากว้างหมดทางหนี
ยินเพียงเข็มนาฬิกาวินาที
ที่เดินดั้นกระชั้นถี่ไร้ชีวิต
เป็นฝันร้ายที่กลายพันธุ์เป็นฝันลึก
ก่อตัวตามความรู้สึกสำนึกผิด
ดาวกระพริบ ได้ริบหรี่ที่ละนิด
ราวปกปิดเรื่องโกหกตลกร้าย
คล้ายค่ำคืนได้กลืนกินจิตวิญญาณ
และสายลมอุดมการณ์ได้ผ่านหาย
เสพย์ซับซากกากคืนเปลี่ยวอย่างเดียวดาย
ขุดหลุมฝังหลังความตายใต้ดวงดาว
ผ่านมาไกลไม่รู้ตัวกลัวหรือกล้า
ไล่ตามห้วงภาพลวงตามากี่หนาว
รู้ทั้งรู้อยู่ในฝันอันยืดยาว
แต่ไม่พร้อมจะกลับก้าวสู่ความจริง
ฉันเป็นเพียงคนหลงทางกลางความฝัน
ทิ้งโลกแห่งแสงตะวัน ทิ้งทุกสิ่ง
หาโลกครอบกรอบกะลามาพักพิง
นานจนว่า ไม่กล้าทิ้งกะลานี้
เธอคือใครในความรักที่ฉันรู้
คือแสงสีที่คงอยู่อย่างคงที่
เธอคงคอยอย่างเต็มล้ามาเต็มที
รอคนที่ตาบอดสีจะเปิดตา
ดาวระโยงโรงละคอนฟ้าอ่อนไหว
ฉันอยากเชื่อเรื่องแสงไฟในโลกหน้า
หากเธอรอ ฉันร้องขอแค่เวลา
วันที่กล้า สบตาฟ้า-จักรวาล
ปลุกฉันตื่นขึ้นสักวันเมื่อฉันพร้อม
ฉันอยากตื่นขึ้นในห้อม ห้วงความหวาน
คืนดาวพรายสายลมพัดรัตติกาล
หวังว่าหนึ่งราตรีนานไม่เกินนี้...
10 ตุลาคม 2554 04:17 น.
ตะวัน
เหมือนมันร้องดังก้องกึกอย่างคึกคัก
แม้ว่าผ่านการผ่อนพักรักวัยหวาน
เสียงดนตรีบทกวีที่เนิ่นนาน
ก้องกังวานมาตอนไหนไม่รู้ตัว
ท่วงทำนองของความฝันในวันก่อน
ยังสะท้อนภาพอ่อนไหวอยู่ในหัว
วันสบตา มือกุมใกล้ ใจสั่นรัว
วันที่กล้า วันที่กลัว วันที่ไกล
ความทรงจำทำฉันยิ้มเมื่อมันย้อน
ยังหอมกรุ่นฝุ่นตะกอนที่อ่อนไหว
ความจำสั้นที่ฉันคิดว่าปิดไป
เปิดขึ้นใหม่ในเพลงเก่าภาพเหล่านั้น
ดารารายร่ายระบำตอนย่ำรุ่ง
ยิ้มต้อนรับฟ้าวันพรุ่งรุ้งความฝัน
ข่มตาขืนฝืนสบตาฟ้าพระจันทร์
ฉันอยากฟังเพลงเหล่านั้นไม่อยากนอน
ลมทอสายจากปลายทางที่ห่างหาย
เหมือนความฝันอันมากมายได้พัดย้อน
เด็กคนนั้น ความคิดนั้น ฝันบางตอน
ความเป็นฉันในวันก่อนที่ซ่อนตัว
ปรากฎตัวขึ้นช้าๆอย่างซ้ำๆ
ในทำนองของความจำสีสลัว
ฝันสวยงามความรักแรกที่แตกตัว
ยิ้มปลอบขวัญวันน่ากลัวที่แปลกทาง
เมื่ออักษรที่ซ่อนอยู่พรั่งพรูขึ้น
บทกวีสีทะมึนก็เปิดกว้าง
บนแดนไกล คนใจเสาะ คืนเปราะบาง
กลับยิ้มกล้ามาได้บ้างอย่างจงใจ
เธอคือรักในครั้งแรกที่ฉันรู้
คือฝันดีสีชมพูที่อยู่ใกล้
คือบทกลอนอักษรหวานที่ผ่านไป
แล้วผ่านมาพบกันใหม่เมื่อไม่พร้อม
แต่อย่างน้อยเราก็รู้ว่าเรารัก
มีหลายสิ่งให้พิงพักให้ห่มห้อม
มีฝันโชยให้โบยบินอย่างยินยอม
มีความรักมาโอบล้อมให้อุ่นใจ
ขอบคุณเธอที่ผ่านตามาทายทัก
ยินดีที่ได้รู้จักรักครั้งใหม่
เป็นความรักที่งดงามกว่าความใด
รักที่ไร้ใครเข้าใจนอกจากเรา...
29 พฤษภาคม 2554 01:46 น.
ตะวัน
หรือเราจะยอม...
ให้บ้านเมืองถูกปิดล้อม ปิดเผา
ไม่ดั่งใจก็ยึดย่ำ ชำเรา
ถือเอา กฎกู อุดมกู
หรือเราจะปล่อยอันธพาลยึดบ้านเมือง
ตามยถา ตามเรื่องบ้านเมืองสู
เราคือผู้อยู่อาศัยได้แต่ดู
หลับตาพริ้มหน้ายิ้มสู้ เรื่องพรรค์นั้น
หรือเราจะเห็นเป็นเรื่องตลก
ปล่อยคางคกตีหน้าเศร้าเล่าความฝัน
ปล่อยนักเลงขู่จะเผาเรารายวัน
ยึดบ้านเมืองเป็นประกันอย่างมันคิด
หรือเราจะไม่สนใจขาวหรือดำ
นิรโทษเวรกรรมคนทำผิด
หากช้างตายหนึ่งตัว เอาบัวปิดมิด
แล้วไหนล่ะ...ความศักดิ์สิทธิ์ ของกฎหมาย
หากเรายอมเรื่องพรรค์นี้ ในวันนี้
นอนหลับทับ สิทธิ์ที่มี อย่างมักง่าย
เดินไปหาดาบหน้าฆ่าตัวตาย
ปู่ ย่า ตา ยาย คงร่ำร้อง
. . . .
บรรพบุรุษเราคงน้ำตานอง
เสียแรงปกป้องแผ่นดินไทย
1 มีนาคม 2554 18:20 น.
ตะวัน
(1)
วันนั้น...ฉันเด็ก ฉันเล็กนัก
สมองมีหยักไว้พักผ่อน
มีฟ้าเป็นโครงโรงละคร
มีเมฆเคลื่อนย้อนให้นอนนับ
ฉันคิดว่าฟ้าได้อ้าแขน
เรียกฉัน ออกจากแดน มืดอับ
นางฟ้านับหมื่นยืนต้อนรับ
มือน้อยกางขยับ...ฉันอยากเป็นนก
จารีตขีดคั่นฝันมนุษย์
การบินจะสิ้นสุดการโกหก
ปลดแอกจากใจที่ไหววก
ปีกบางกางปกอารยะ
ฉันเชื่อ ความจริง สิ่งสูงสุด
มนุษย์ไขว่คิดอิสระ
หากฉันบินไปให้ไกลซะ
ฉันจะ เอาชนะทุกความทุกข์
(2)
วันหนึ่ง...ถึงวัน ฉันเติบใหญ่
ฉันแสวงแรงใจไขว่ความสุข
ฝันไฟวัยรุ่นมันกรุ่นชุก
ฉันรักความสนุกในวันนั้น
ฟ้านี้เปิดกว้างให้กางปีก
โลกซีกอีกทางเกินขวางกั้น
สบตาฟ้ากว้างอย่างรู้กัน
ฉันตามความฝันของฉันแล้ว
ฉันมองท้องฟ้าใต้ฝ่าเท้า
ก้อนเมฆวันเก่าเดินเข้าแถว
ปรบมือต้อนรับซับแสงแพรว
ที่ตะวัน ระบายแนว ตลอดทาง
ฉันบินด้วยใจที่ไฟกล้า
มองฟ้าจากฟ้ามาข้างล่าง
ฟ้าไม่ใหญ่ เกินปีก จะฉีกกาง
โลกไม่กว้าง เกินปีกบาง จะบินไป
(3)
วันนี้...ที่ปีก ฉันเติบกล้า
ฉันกลับเห็นฟ้าในมุมใหม่
มองโลกใบเก่าอย่างเข้าใจ
รู้แล้วทำไมนกจึงบิน
ทะเลฟ้านภากว้างนกกางปีก
ใช่เพียงเลี่ยงหลีกไปอีกถิ่น
มันบิน มันล้า มันหากิน
จากฟ้าสู่ดินอยู่ร่ำไป
มันใช้ชีวิตรับผิดชอบ
มันอยู่ในกรอบขอบฟ้าใหญ่
เลี้ยงลูกทำรังอย่างตั้งใจ
อิสระคืออะไรไม่เคยรู้
ผีเสื้อแมลงปอก็เช่นนั้น
แตกต่างกับฉันที่เป็นอยู่
กว่าฉัน จะเปิดตา ออกมาดู
ก็บินไกล จนกู่ไม่กลับแล้ว!