25 ธันวาคม 2551 11:11 น.
ตราชู
เรื่องสั้น: คอยคลื่นคืนฝั่ง
๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ วันนี้คือวันสุดท้ายที่สมาคมของเราจัดประชุมขึ้น ณ จังหวัดแห่งนี้ ถือเป็นวันท้ายสุดในการกินลมชมทะเลอันดามันของพวกเรา ถึงแม้หลายคน แน่หละ รวมผมเข้าไว้ด้วย จะอยากอ้อยอิ่งทิ้งเวลาให้เนิ่นนานออกไปอีก แต่ในเมื่อทางองค์กรสั่งให้กลับก็ต้องกลับ งานยังมีรอเราอยู่ งานซึ่งต้องสะสางให้เสร็จสิ้นก่อนสิ้นปี
เนื่องจากความหลงใหลในเสน่ห์หาดทรายสีทองกระตุ้นเร่งเร้า เราจึงลงไปลอยคอเล่นคลื่นตั้งแต่บ่ายจนเย็น พอพระอาทิตย์ลับแสง ก็กลับที่พักผลัดเสื้อผ้า พักผ่อนตามอัธยาศัย ผมพักร่วมกับเพื่อนอีกสองคน พรศักดิ์ กับ ประเสริฐ คนแรกต้องเรียกว่าซี้ปึ้ก เราเรียนมัธยม เรียนมหาวิทยาลัยแห่งเดียวกัน เข้าสมัครงานในสมาคมนี่พร้อมกัน ส่วนคนหลัง รู้จักกันในที่ทำงาน หากก็คุ้นเคยกันได้ไม่ยาก ผมเรียกพยางค์ท้ายของชื่อคนทั้งคู่จนชินปาก หลังอาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเสร็จ เราก็นั่งมองหน้ากัน คล้ายต่างฝ่ายต่างตั้งคำถามโดยสายตา จะทำห่าอะไรดีวะ ครั้นจะดูโทรทัศน์ ก็เบื่อละครน้ำเน่า เกมโชไร้สาระ อยากเล่นไฮโล เพื่อนอีกสองคนก็บ่นออดไม่ตกลง เพราะเพิ่งถูกกินเกือบหมดตูดเมื่อคืนวาน และแล้ว ความคิดผมก็แวบ ชวนศักดิ์กับเสริฐไปกินอาหารปักษ์ใต้สั่งลา ศักดิ์รับคำทันที ในขณะเสริฐขอตัว บอกว่าอยากนอนเล่นมากกว่า ผมกับศักดิ์จึงไปกันแค่สองคน
ใช้เวลาเดินเท้าไม่นานนักก็ถึงจุดหมาย ร้านอาหารใต้แห่งหนึ่งตั้งหันหน้าออกสู่ชายหาด เราเข้านั่งโต๊ะตัวที่ยังว่าง สั่งคั่วกลิ้งเนื้อ แกงเหลือง มากินกับข้าวร้อนๆ ศักดิ์ไม่ลืมสั่งเหล้าให้ตัวเองสองขวดใหญ่ เขาเป็นนักดื่ม คอแข็งอีกต่างหาก ส่วนผม น้ำเมาไม่แตะมาแต่ไหนแต่ไร เลยเมินเหล้าเสีย สักครู่ เราสองคนก็ได้กินข้าวเคล้าเสียงคลื่นสมใจอยาก ศักดิ์ดวดน้ำเปลี่ยนนิสัยแป๊บเดียวหมดขวด จึงมิน่าแปลกที่เขาสั่งสุราเติมเนืองๆ ยิ่งดื่ม ดีกรียิ่งกล้า เสียงพูดจาเอะอะไม่ผิดกับคอเมรัยโต๊ะอื่นๆ
แล้วจู่ๆ โดยผมไม่ทันตั้งตัว เขาก็พรวดลุกขึ้นยืน หลุดปากออกมาประโยคหนึ่ง เสียงอ้อแอ้ค่อนข้างเอ็ด
ไอ้เหี้ยเอ๊ย โผล่มาอีกแล้ว กูเหม็นหน้าชิบหาย พลางยกมือขึ้นชี้จอโทรทัศน์ซึ่งปรากฏภาพนายกรัฐมนตรีคนหล้าสุดฉายอยู่
มึงด่าใคร เอาล่ะซี พอขาดคำของเขา ชายคนหนึ่งผู้นั่งอยู่ยังโต๊ะฝั่งตรงข้ามก็ทะลึ่งโลดขึ้นยืน ทำท่าทำทางเอาเรื่อง คำถามกระโชกโฮกฮากนั้นฟังออกทองแดงบ่งความเป็นเจ้าถิ่น
ก็ไอ้เหี้ยนั่น กับพรรคของมันน่ะซิ่ ศักดิ์ผรุสวาท หนอย สร้างภาพเก่งชะมัด คิดว่าคนเขาจะชอบมันทั้งประเทศหรือไง
มึงรู้ไหมว่า กำลังพูดที่ไหน ชายคนที่สองจากโต๊ะตรงข้ามยืนหน้าถมึงทึง นี่ภาคใต้ ถิ่นของประชาธิปัตย์โว้ย เขาประกาศก่อนถามกระด้างดุดัน มึงคนภาคไหนวะ สถานการณ์เริ่มตึงเครียด ผมเอื้อมมือไปฉุดศักดิ์ให้นั่งลง ห้ามให้สงบปาก แต่ปราศจากผล
กูคนอิสาน จะทำไม เพื่อนของผมสวนโต้ทันควัน ชายคนนั้นแบะปากเยาะหยาม
อ้อ พวกไอ้เหี้ย.... คำต่อมา คือชื่ออดีตนายกผู้กลายเป็นคนเร่ร่อนในปัจจุบัน ไง ไอ้ควาย แดกเศษหญ้าจากมันไปเท่าไหร่ล่ะ ไอ้หน้าโง่ มันส่งซากเดนมาให้ยัดห่าก็ยัด
ไอ้กรวย พูดหมาๆ กูไม่ได้รับอะไรของใครมาทั้งสิ้น กูมีปัญญา รู้อะไรถูก อะไรผิด ไม่เหมือนมึงหรอก รักพวกรักพ้องไม่ลืมหูลืมตา คราวนี้ ศักดิ์ชูนิ้วกลาง แจกอวัยวะเพศให้ อีกสามคนที่โต๊ะนั้นเลยลุกกันโครมคราม ห้าคนรวมเบ็ดเสร็จ ปรี่ดิ่งเข้ามายังโต๊ะเรา
ได้โปรด ได้โปรดเถิดครับ ผมละล่ำละลัก ยกมืออันสั่งดกๆขึ้นไหว้วิงวอน อย่ามีเรื่องกันเลย ผมขอโทษ ขอโทษแทนเพื่อนด้วยครับ มันเมา ขาดสติ ยกโทษให้มันด้วยครับ จากนั้น หันไปหาเพื่อน ศักดิ์ กลับห้อง แต่ ศักดิ์ยังไม่ยอมเลิก ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ยอมรา
ถ้าจะยกโทษให้ มันต้องขอโทษพวกกู ขอโทษประชาธิปัตย์ก่อน ชายคนแรกที่เขม่นศักดิ์ตวาดตั้งเงื่อนไขมา
ถุย โอย คุณพระคุณเจ้าช่วยทีเถิด จะทำอย่างไรดีเล่า ในเมื่อศักดิ์ถ่มน้ำลายให้อีกฝ่าย เรื่องมันจะจบง่ายๆหรือ อย่าหวังหละ เรื่องอะไรกูจะต้องขอโทษไอ้พรรคสถุล ใครๆก็รู้ มันหนุนหลังพวกยึดธรรมเนียบ พวกปิดสนามบิน พวกกบฏ ก่อการร้าย
แล้วทีพวกเสื้อแดงญาติมึงล่ะ สัตว์ อันธพาลป่วนเมือง ระยำ เจ้าของพื้นที่ล้งเล้งลั่น ไฟชักจะลุกลามใหญ่แล้วสิ ผมตัดสินใจในนาทีนั้น ฉุดกระชากลากถูศักดิ์ออกจากร้าน เขาอาละวาดขัดขืน แต่ความเมาทอนแรงลงครึ่งหนึ่ง ผมจึงหิ้วปีกเขาได้สำเร็จ แม้ทุลักทุเลพอสมควรก็ตาม เราออกมาจากแหล่งอันตรายนั่น ทว่า ห้าคนจากโต๊ะตรงข้ามแทนที่จะลงนั่งดื่มกินกันต่อ กลับไล่กวดเรามา ให้ตายเถอะ ผมอยากมีปีกบินเสียจริง จะได้กลับที่พักเร็วสมความต้องการ มีเพียงสองมือสองเท้า ต้องลากคนเมาวิ่งนี่ มันเหนื่อยสาหัสทีเดียว แถมยังเดินได้ช้าเหลือเกิน เราเดินได้เพียงสิบกว่าก้าวกระมัง พวกเขาก็ถลันเข้าถึง ว่องไวปานสายฟ้าแลบ ชายคนหนึ่งชักปืนพกขึ้น ผมร้อง อย่า เสียงหลง หาก อนิจจา....
เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง สามนัดซ้อนๆแผดปะทุ ในความรู้สึกของผม มันดังราวนรกถล่ม ศักดิ์หงายหลังตึง ชักกระตุกพราดๆทุรนทุราย ร้องโอดโอยกึกก้อง เลือดแดงสดจากขมับ กกหู ทะลักพลั่กๆมิผิดท่อประปาแตก ผมสั่นไปหมดทั้งตัว เย็นเฉียบทั่วร่าง ทว่า เหงื่อเจ้ากำแตกโซมชโลมโชกชุ่ม ก้มลงเขย่าเรียกชื่อเขาซ้ำๆ ทำอะไรไม่ถูกทั้งสิ้น ผู้คนในบริเวณนั้นแตกตื่นวิ่งพรูมาดู ส่งเสียงบอกกันขรม พลเมืองดีผู้หนึ่งปราดเข้าถึงร่างของคนเจ็บ
ผมจะขับรถพาเขาส่งโรงพยาบาลเอง เขาขันอาสาขึ้น ผมจึงเพิ่งได้สติ ช่วยเขาอุ้มร่างพรศักดิ์ไปขึ้นรถ
อึดใจต่อมา เราก็ถึงโรงพยาบาล แพทย์นำคนอาการโคม่าเข้าห้องฉุกเฉินโดยด่วน ผมรีบโทรศัพท์หาคุณกิตติ หัวหน้าหน่วยงานของเราอันเป็นหนึ่งในหน่วยย่อยของสมาคม แจ้งเรื่องร้ายของศักดิ์ให้ทราบ หลังจากนั้นอีกมิช้า คนทั้งสมาคมก็แห่กันมาเยี่ยม มาเยี่ยม และมาฟังข่าวเสียชีวิตของเขากับหู!
ตำรวจจับมือปืนได้จากการสอบสวนพยานในที่เกิดเหตุ ผม ผู้รู้เรื่องราวโดยตลอด ถูกกันเป็นพยานด้วยคนหนึ่ง กว่าจะซักไซ้ไล่เลียงกันเสร็จก็ล่วงเข้ายามดึก ผมพากายอันกะปลกกะเปลี้ยกลับห้องพัก โผเผขึ้นเตียง ตั้งใจจะหลับ หลับ แล้วตื่นขึ้นมาเพื่อจะพบว่า ที่ผ่านไปเป็นเพียงแค่ฝันร้าย ศักดิ์ยังอยู่กับเรา แต่ ความจริงก็คือความจริง แม้ผมไม่อยากยอมรับก็จำต้องขืนใจรับมัน นัยน์ตาทั้งคู่แข็งค้าง คงจะค้างแข็งไปจนรุ่งเช้า
ประมาณหนึ่งนาฬิกาเศษ ประเสริฐยังหลับสนิท ผมลุกขึ้นจากเตียงนอน ก้าวเท้าออกนอกที่พัก ดุ่มเดินท่ามกลางราตรีวังเวงไปยังที่นั่น ชายหาด ใครรู้ใครเห็นเข้า อาจค่อนขอดว่าผมบ้าบอ อยากชมทะเลอะไรนักหนาในตอนดึกดื่น ชั่งประไร ในเมื่อมันเป็นความต้องการของผม ผนวกความโหยหาบางสิ่งบางอย่าง สักครู่ ก็ได้สัมผัสกับหาดทรายอ่อนนุ่ม ฟังสำเนียง ครืน ซู่ ครืน ซู่ ซึ่งเซาะซัดซุกไซ้ชายฝั่งผะแผ่ว สม่ำเสมอ ผมนั่งลง เหม่อมองม่านรัตติกาลมืดทึบเบื้องหน้า ฟังคลื่นเห่ครวญขานขับ แล้วปล่อยใจล่องลอยสู่ภวังค์ ชั่วขณะหนึ่ง จะโดยอุปาทานชี้นำหรือเปล่าก็สุดรู้ คลับคล้ายจะได้ยินเสียงร่ำไห้โหยหวนของคนจำนวนมากมายมหาศาล ฮือ ฮือ แว่วมากับสำเนียง ครืน ซู่ ครืน ซู่ นั่นด้วย ผมขนลุกเกรียว แต่ ยังไม่ลุกหนี เสียงนั้น ดั่งทรงพลานุภาพลึกลับ รั้งเหนี่ยว ฉุดชักผมไปสู่อดีต ถูกหละ อดีตอันไม่นานเลย
วันอาทิตย์ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ ใครบ้างจะคาดคิดว่า วันฟ้าสวยแดดส่องใส จะกลายเป็นวันมหาวินาศ ใครบ้างจะล่วงรู้ว่า แม่ธรณีขยับสะเทือน ณ เกาะสุมาตรา จะเขยื้อนสะท้านกว้างไกลไพศาลเกินประมาณประเมิน แผ่นดินไหว มหาสมุทรสะทึกสั่น ก่อคลื่นมหึมาถาโถมโครมครืนครื้นครั่น สูงเทียมฟ้าเทียมเมฆ เสกความวิบัติไปสู่หลายด้าวหลายแดน รวมถึง ประเทศไทย! ใช่... มันเป็นปฐมวาระที่สึนามิมาเยือนอันดามัน มาบดขยี้หัวใจคนไทยทั้งชาติ มาให้คนไทยดูเพื่อนร่วมแผ่นดินดับดิ้นดาษดาเหลือคณาคะเน ใช่แต่เท่านั้น นักท่องเที่ยวต่างชาติต่างภาษาก็ถูกพญามฤตยูผู้เยียบเย็นกลืนกินอย่างหฤโหด ปราศจากเมตตา ไร้ความปรานีกระแสน้ำตาบ่าถั่งหลั่งท้นล้นไทย ขณะกระแสน้ำใจก็เชี่ยวกล้า ไหลทยอยหนุนเนื่องประหนึ่งจะท้าทายพลังคลื่นยักษ์ ชาวไทยทั่วทุกทิศ ทุกภาค เทวิญญาณไปรวม ณ ภาคใต้ ไม่มีพวกเขา ไม่มีพวกใคร มีเพียงคนไทยพวกเดียว มีแรงช่วยแรง มีของบริจาคช่วยขนลำเลียงมิขาดตอน แต่ละวันๆ ข่าวคนตาย คนตาย คนตาย คนหาย คนหาย คนหาย ประดังมามิหยุด แหละเมื่อปริมาณซากศพเพิ่มพูนเรื่อยๆ ความต้องการอาสาสมัครช่วยกู้ช่วยเก็บ ตลอดทั้งจัดการงานสารพัดเกี่ยวเนื่องกับศพก็มีเพิ่มเป็นเงาตามตัว อีกเช่นกัน คนจากทุกภาคเร่งรุดลงใต้ ไม่มีพวกเขา ไม่มีพวกใคร มีเพียงคนไทยพวกเดียว
ช่วงเวลานั้น ผมยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย รับฟังข่าวสารด้วยจิตใจหดหู่ห่อเหี่ยว บริจากเสื้อผ้า อาหารไปเท่าที่พอจะช่วยเหลือได้ ซึ่งก็เป็นการกระทำเช่นเดียวกับเพื่อนๆส่วนใหญ่นั่นแหละ มีบางคนใจกล้า อาสาไปช่วยเก็บศพ หนึ่งในคนกล้าของกลุ่มเราก็คือพรศักดิ์ เขาตัดสินใจลงมายังจังหวัดแห่งนี้ อันเป็นหนึ่งในหกจังหวัดที่ประสบภัย
มึงไม่กลัวผีหรือไงวะศักดิ์ ศพเยอะนะโว้ย ผมถามกึ่งสัพยอก
เฮ้ย กูไปช่วยเขา ให้เขากลับบ้าน พบญาติ เขาไม่หลอกหรอก ว่าแต่มึงเถอะ ไม่ไปบ้างหรือ
ไม่หละ กูบอกตรงๆ ยังแหยงๆอยู่ ผมปฏิเสธ แล้วกระเซ้าต่อ ไม่น่าเชื่อนะ คนเลือดร้อนอารมณ์ร้ายอย่างมึง รู้จักทำบุญกับเขาด้วยเว้ย
มึงอย่าทำเล่นไป เขามีสีหน้าท่าทางขึงขังแข็งขัน เรื่องใหญ่ขนาดนี้ กูทนเฉยไม่ได้หรอก แรงกูมี ช่วยเขาได้ก็ช่วยเต็มที่ มึงไม่เปลี่ยนใจแน่นะ
คงไม่
งั้น กูไปหละ กลับมาจะเล่าให้ฟัง
มันคือภารกิจยิ่งใหญ่ในชีวิตคนเล็กๆอย่างพรศักดิ์ ภายหลังจากเขากลับจากต่างจังหวัด ก็มาเล่าให้เราฟังอยู่หลายวัน ความภาคภูมิปรากฏชัดในกังวานเสียง อากัปกิริยา แววตา ฯลฯ สิ่งที่เขาประกอบ มิใช่งานอันมีผลตอบแทนเป็นเงินตรา หาก ตรึงตราในคุณค่าของความเป็นมนุษย์ งดงามเลิศล้ำตามหลักมนุษยธรรม
โอ้โฮ ตรงที่ถูกคลื่นซัดนะ มันกวาดเสียยับ บางแห่งเตียนโล่ง มองไม่ออกเลยว่าเคยเป็นที่ตั้งของอะไรมาก่อน เป็นส่วนหนึ่งในคำบรรยายของเขา ศพงี้ กองเป็นภูเขาเลากา คนลงไปงมเก็บเขาขนมาเรื่อย เดี๋ยวขน เดี๋ยวขน ได้มาก็เอาไปไว้วัด รอญาติมาตาม บางคนนะ กอดลูกอยู่กับอก พอคลื่นกระแทกตูม ลูกปลิวไปเลย เขาตามหาจนมาเจอศพ พอเจอ ก็ร้องไห้โฮ สลบลงตรงนั้น กูเห็นแล้วน้ำตาไหลพราก บางคนก็ตายเพราะมัวห่วงญาติ ห่วงเพื่อน พวกมึงเอ๊ย กูฟัง กูเห็น ทรมานความรู้สึกสุดๆ ศพนักท่องเที่ยวก็เพียบ ชาวต่างชาติเดินกันควั่ก เสียงร้องไห้ดังทั่วทั้งเมือง
ตกลง มึงลงไปเก็บศพกับเขาไหมวะ คนหนึ่งในกลุ่มเราอยากรู้ พวกเราก็อยากฟัง
ก็อยากจะทำ แต่ มูลนิธิที่ชำนาญเขารับไปแล้ว มันต้องมีหลักการงม ไม่ใช่โดดน้ำแล้วลากขึ้นมาได้เลยเสียเมื่อไหร่ กูไปช่วยเขาบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับศพ รายละเอียดต่างๆน่ะ ได้ดูศพชิดๆเชียว
มึงดูผอมลงนะ งานหนักสิท่า อีกคนตั้งข้อสังเกต
เออ เจ้าตัวยอมรับ กินอะไรไม่ลงว่ะ ตอนแรกเจอศพอืดพองบวมฉุ ส่งกลิ่นคลุ้ง กูแทบสำลัก พอชักจะชิน ก็เศร้าสลดจนไม่อยากกลืนข้าว ทั้งๆที่ข้าวปลาเหลือเฟือ ของบริจากนับไม่ไหว กูได้ซึ้งน้ำใจคนไทยแบบเต็มๆก็หนนี้แหละว่ะ ขอความช่วยเหลืออะไรได้หมด กูกล้าประกาศเลย คนไทยรักกันที่สุดในโลก
คนไทยรักกันที่สุดในโลก ประโยคของเขา ณ บัดนี้ กระท้อนกลับไปกลับมาอึงคะนึงในมโนนึกของผม โอ... ผมครางในอก เพียงสี่ปี ความรักกันของคนไทยก็ปรวนแปร แบ่งกันเป็นฝักฝ่าย เป็นภาคส่วน ใช่หรือเปล่า.... เพราะคลื่นลมปากของคนไม่กี่คน สาดซัดกัดกร่อนฝั่งใจของคนไทยจนแทบทรุดทลาย พัดพาเอาความสามัคคีกลมเกลียวเหนียวแน่นไปจากดวงจิต ปันเป็นพวกมึง ปันเป็นพวกกู ไม่เหลือแล้วหมู่คนไทยพวกเดียว ใช่หรือไม่?... คลื่นโมหันธ์ ทำให้คนไทยบางคนบันดาลโทสะ ถึงขนาดฆ่ากันตาย ยึดถือพวกมึง ยึดถือพวกกู ไม่เหลือแล้วหมู่คนไทยพวกเดียว โอ... ผมคร่ำครวญ ปวดร้าวบาดลึก อีกเมื่อไรหนอ คลื่นความรักจะหวนคืนฝั่งใจไทยทุกคน หรือ จะต้องรอให้สึนามิกลับมากระหน่ำอีกครา เสียวปลาบกับความคิดนี้ โปรดเถอะ โปรดอย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย
ผมยังคงนั่งใจลอยตรงตำแหน่งเดิม อีกไม่กี่วันก็จะปีใหม่ จะมีใครบ้างไหมนะ นึกถึงสี่ปีก่อน หรือมัวเพลิดเพลินกันจนลืมไตร่ตรอง หรือยังแบ่งแยกกันอยู่จนลืมตริตรึก ผมควรจะขอพรปีใหม่สักข้อ ขอต่อเทพธิดาประจำมหาสมุทรที่นี่ มือทั้งสองข้างยกขึ้นกระพุ่มพนม พึมพำภาวนา ขอคลื่นสมานฉันท์ คลื่นไมตรี คลื่นมิตรภาพ คลื่นภราดร กลับคืนสู่ฝั่งใจไทยโดยเร็วเทอญ คำอธิษฐานจบลง และกลืนหายไปกับทำนองเพลง ครืน ซู่ ครืน ซู่ ซึ่งประเลงกล่อมอันดามันอยู่เรื่อยไป ชั่วนิจนิรันดร์
(๒๑ ถึง ๒๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑)
หมายเหตุ
๑. ข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับการเก็บศพ ผมสรุปจากการรับฟังหนังสือเสียง บันทึกสึนามิ: เราจะพาเขากลับบ้าน ของ แพทย์หญิง คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ครับ
๒. ข้อความโต้เถียงระหว่างพรศักดิ์ กับคนโต๊ะตรงข้าม ผมเขียนขึ้นเพื่อฉายภาพความแตกแยกที่ยังไม่ประสานรอยเท่านั้นครับ มิมีเจตนาลบหลู่ ดูหมิ่น เหยียดหยาม ล่วงเกิน ความคิด ความเชื่อ ความเห็น ของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดทั้งสิ้น หากมีข้อความใดก่อความระคายเคืองแด่ท่าน ผมกราบขอขมาท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับผม