25 กรกฎาคม 2549 14:16 น.
ตราชู
เค้าของเมฆทะมึนมหึมา เริ่มก่อตัวพยับครึ้มขึ้นแล้วในใจเรา จงจิตราคงพูดน้อยเช่นเคย ผมเองก็นิ่งไปด้วย หาก ความนิ่งของผม สุมแน่นด้วยความเคร่งขรึม เคร่งเครียด วันต่อๆมา ผมเล่นกับลูกอีก โดยชวนให้ดูนั่น ดูนี่ หวัง หวัง แหละก็หวังว่า ลูกจะมีปฏิกิริยาตอบสนองบ้าง ผลที่ได้รับ ทำให้ใจฝ่อลงทุกครั้ง ลูกได้ยินผมพูด หันหน้ามาทางเสียงได้ แต่ดวงตามิได้แสดงว่าจะแลเห็นสิ่งซึ่งผมชี้ชวนให้ดูเลย ลูกเป็นอะไร? ลูกเป็นอะไร? ลูกเป็นอะไร?
เมื่อยังไม่รู้คำตอบ ปมปัญหาก็ยิ่งผูกเขม็ง ผมเริ่มใช้น้ำเมาเข้าช่วยดับความกลัดกลุ้ม ขณะรินเหล้าลงแก้ว ใจก็นึกวาดภาพนายธนาคารหนุ่ม แต่งชุดสูทแสนสง่า นั่งทำงานบนเก้าอี้อันมีพนักพิงอ่อนนุ่ม นี่แหละ ธงทิวของผมธงทิว ผู้จะนำความมั่งคั่งประดามีมาสู่สกุลธนานิยม
คุณ พอเถอะคะ ดึกแล้ว ไปนอนเถอะ อย่าดื่มอีกเลย ภรรยาพยายามห้าม แต่ ผมยังคงรินเมรัยเติมลงในแก้วอีก
ลูกของเรา อนาคตเศรษฐีใหญ่ ผมพล่ามซ้ำแล้วซ้ำเล่า คุณได้ยินไหม เขาจะต้องเป็นนายธนาคาร เขาจะต้องร่ำรวยกว่าใครๆ
คะ คะ ฉันเชื่อเช่นนั้นเหมือนกัน เธออนุโลมตาม ลูกต้องไม่เป็นอะไรแน่ๆ คุณสบายใจเถอะนะคะ เดี๋ยวนี้ หมอเขาเก่งออก เดี๋ยวพาลูกกลับไปหาหมออนุวัฒน์ไม่กี่ครั้งก็หาย
ต้องหาย ต้องหาย ผมส่งเสียงดังอ้อแอ้ลิ้นคับปาก เรามีเงิน จะหมดเงินเท่าไหร่ก็ไม่ว่า แต่ลูกต้องหาย ต้องหาย
จงจิตราพยุงผมไปนอน ผมพยายามข่มตาให้หลับ ภวังค์ห้วงสุดท้ายก่อนจะผลอยไปเพราะความเพลีย ยังได้ยินเสียงงึมงำของตัวเอง
ลูกผมคือนายธนาคารใหญ่
ถ้าหมออนุวัฒน์ยังจำความรู้สึกเร่าร้อนซึ่งแสดงออกทางสีหน้าของผม ขณะเมื่อรู้ว่า จงจิตราต้องผ่าตัดในครั้งนั้นได้ ครั้งนี้ เมื่อผมอุ้มธงทิวกลับมาหาเขา เขาย่อมเปรียบเทียบได้ดีว่า ผมอึดอัด กลัดกลุ้มสุมอกยิ่งกว่าครั้งนั้นหลายเท่านัก
ไหน ไหนละ ที่หมอเคยบอกลูกผมร่างกายสมบูรณ์ทุกประการ ผมเล่นงานเขาเป็นประโยคแรกในทันทีที่พบหน้ากัน อีกฝ่ายยิ้ม ยิ้มอย่างเคยเป็น เยือกเย็น อ่อนโยน เพียงแต่ยามนี้ ผมมองรอยยิ้มของเขาเหมือนมองตัวละครสักตัวหนึ่ง ซึ่งกำลังแสดงมายาตบตาผมอย่างน่าเคียดแค้นที่สุด ทั้งยัง ฮึ่ ตอแหลแก้ตัวว่าตอนแรกตรวจดีแล้ว พร้อมอ้างเหตุผลมาปลอบอีกว่าอาการเจ็บป่วยเป็นเรื่องพญากรได้ยาก อีกอย่าง ลูกผมคลอดก่อนกำหนด ย่อมจะต้องไม่สบายง่ายเป็นธรรมดา
คุณอย่าวิตกเลยครับ ในเมื่อหมอดูแลธงทิวมาตั้งแต่ต้น หมอก็จะต้องรับผิดชอบ ช่วยเหลือเขาจนสุดความสามารถ เขาสัญญา
อย่าโกหกผมอีกละ ถ้าลูกเป็นอะไร ผมจะเอาเรื่องหมอ ผมประกาศคาดโทษ พลางจ้องประสานตากับเขาเขม็ง เขารับคำ ก่อนจะอุ้มธงทิวไป
อันเนื่องจากหมออนุวัฒน์เป็นสูตินารีแพทย์ เรื่องระบบสายตาจึงมิใช่ทางถนัดของเขา ธงทิวถูกส่งต่อไปยังหมอชัยชาญ จักษุแพทย์มือหนึ่งของโรงพญาบาล หมอนำเขาเข้าสู่ห้องตรวจ มีผมกับภรรยายืนดูอยู่ทุกระยะ เวลาผ่านไป ผ่านไป ผ่านไป ผมเฝ้ามองเข็มนาฬิกาบนผนังห้องตรวจเดินติ๊ก ติ๊ก ด้วยความรู้สึกเหมือนคนถูกกดให้จมน้ำอย่างช้าๆ จมลึกลง ลึกลงทุกที การตรวจดำเนินตามขั้นตอน ตามลำดับ กระทั่งในที่สุด หมอก็เงยหน้าขึ้น
21 กรกฎาคม 2549 10:09 น.
ตราชู
จง คุณเป็นอย่างไรบ้าง ผมรีบก้าวเท้าไปหาเธอ จงจิตรายังคงยิ้ม แม้สรีระภายนอกจะยังอิดโรย หาก กำลังใจอันเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ ทำให้เธอไม่เคยโอดครวญ หรือพร่ำบ่นต่อความเจ็บปวดสักคำเดียว
ไม่เป็นไรแล้วคะ สำเนียงตอบถึงจะแผ่วเบาก็ฟังจับกระแสความได้หมด คุณดูลูกเถิด นี่ไงคะ ลูกของเรา
ผมก้มลงมองร่างหนึ่งซึ่งอยู่เคียงข้างเธอ ฉับพลันก็ต้องยืนตะลึงนิ่งขึงไปในบัดดล
กระจ้อยร่อย เล็กเพียงนิดเดียว ลำตัวถ้าวัดตั้งแต่หัวจรดเท้าเห็นจะไม่ถึงศอก ดวงหน้าแทนที่จะสดใสกลับเซียวซีด ซีดราวดอกไม้กลีบเฉา เช่นเดียวกับผิวกายซึ่งแลแทบไม่ปรากฏสีเลือดฝาด หน้าท้องแบนแฟบ ผ่ายผอมเหลือเกิน ผอม และแบบบางจนผมไม่กล้าจะแตะต้อง เพราะเกรงกลัวว่า กระดูกทุกชิ้นจะหักลงทันทีที่ถูกมือสัมผัส
นี่หรือลูกของเรา ผมพึมพำเบาๆคล้ายคนละเมอนิ่งงันอยู่ในอิริยาบถเดิมปานต้องมนต์สาป ระหว่างนั้น มีเสียงออกอุทานต่างๆจากญาติๆทั้งหลาย แต่ใครร้องว่าอย่างไรบ้าง ผมไม่สนใจเอาเสียเลย
แกเพิ่งคลอด ซ้ำคลอดก่อนกำหนดเสียด้วย ก็เป็นอย่างนี้แหละคะ ผมคิดว่า นั่นคือคำปลอบโยนของคู่ชีวิตซึ่งเธอเก็บงำความหวั่นไหวได้เป็นเยี่ยมเสมอ ผมไม่มีวาจาใดจะโต้ตอบ นอกจากเสียงอันอึงอลวนเวียนกลับไปกลับมาในความคำนึงแต่ประโยคเดียว คือ จะรอดไหม? จะรอดไหม? จะรอดไหม?
ดังนั้น เมื่อหมออนุวัฒน์ ผู้ทำคลอดให้จงจิตราเข้ามาเยี่ยมอาการของผู้ป่วย คำถามนี้จึงผ่านจากปากผมสู่เขา คุณหมอยิ้ม ยิ้มอ่อนโยนอบอุ่น พร้อมกับถ้อยคำให้กำลังใจ แหละน้ำเสียงนุ่มนวล
รอดแน่นอนครับ พวกเรา ผมหมายถึงหมอทุกคน จะช่วยดูแลเขาเอง
ฝากคุณหมอด้วยครับ ช่วยลูกเราด้วย เขาคือความหวังของพวกเราทุกคน ผมวิงวอนเสียงแผ่วต่ำ
เพื่อบำรุงสุขภาพของเด็กให้แข็งแรง เจริญเติบโตได้ต่อไป ทางเราขออนุญาต นำเด็กเข้าสู่ตู้อบนะครับ โดยจะมีหมอ มีพญาบาล คอยเฝ้าอยู่ใกล้ชิดทุกระยะ ผมขอยืนยันอีกครั้งครับ ว่าเด็กจะปลอดภัย
นับตั้งแต่นั้น เรื่อยมาเป็นเวลาสามเดือน ผมเปรียบโรงพญาบาลเสมือนเรือนพักอาศัย เลิกงานยามใด จะต้องมานอนค้างคืน เฝ้าดูลูกด้วยดวงใจห่วงใยเปี่ยมล้น ธงทิวตัวเล็กๆ อยู่ในตู้อบครบกำหนดแล้ว ทางโรงพญาบาลจึงนำเขาออกมาส่งให้จงจิตราอุ้มประคองอย่างแสนถนอมในอ้อมแขน
ลูก ไม่เป็นอะไรแน่นะคะ เธอขอความเชื่อมั่นจากหมอ
สุขภาพสมบูรณ์ครับ หมออนุวัฒน์นั่นแหละ รับประกัน ตอนโตๆ จะอ้วนท้วนเสียด้วยซ้ำ หน้าตาหล่อเหลา ถอดพิมพ์พ่อแม่มาอย่างละเท่าๆกันเลย ชื่อก็เพราะด้วย ธงทิว
เมื่อธงทิวกลับมาอยู่บ้านธนานิยม เราก็ต่างช่วยกันประคบประหงมเขาตลอดเวลา ในยามที่ผมกับภรรยาออกไปทำงาน ประยงเป็นคนช่วยเป็นหูตา เอาใจใส่เจ้าตัวน้อย ซึ่งเราเรียกว่า ทิว ด้วยความเอ็นดู ทิวเลี้ยงง่าย กินแล้วก็นอน ไม่ค่อยงอแง (อาจเพราะเอาแต่หลับก็ได้) พ่อแม่กลับจากทำงานก็ตื่นขึ้นมาอ้อแอ้ให้ชื่นฉ่ำจิต ไม่นานก็หลับปุ๋ยไปอีก อันเนื่องจากผมไม่มีเวลาสังเกตลูกนัก จึงไม่อาจค้นพบความผิดปกติของเขา จนกระทั่ง คุณแม่ผมท่านมาเยี่ยมหลานในวันหนึ่ง ท่านออกปากกับผมว่า
ธง ลูกเอ็งท่าจะมีอะไรพิกลเสียแล้วหละ
ยังไงครับ แม่
อ้าว ท่านออกอุทาน ไม่เคยเอาใจใส่ลูกบ้างหรือ ลูกเอ็งหลับตาตลอดเวลาแม้ในตอนตื่นนอน เท่านั้นยังไม่พอนะ เวลาใครเอาของเล่นมาชูล่อก็ทำเหมือนไม่เห็น เมื่อตอนกลางวันแม่เอามือไปโบกใกล้ๆหน้า ยังไม่ยกมือขึ้นปัดเลย
ผมปรารภเรื่องนี้กับจงเธอจึงเผยควาจริงกับผมว่า สังเกตเห็นเหมือนแม่เช่นกัน (ตามวิสัยของเพศหญิงที่มีประสาทสัมผัสละเอียดอ่อน)และก็เฝ้าดูพัฒนาการของลูก พร้อมกับจดบันทึกอยู่เรื่อยๆ เหตุที่ยังไม่บอกผม เพราะต้องการดูลูกให้แน่ใจอีกสักพัก อีกประการหนึ่ง ก็ไม่อยากให้ผมต้องกังวลจนเกินไปนัก กลัวผมจะเคร่งเครียด แล้วก็จะคิดซ้ำๆ คิดญ้ำๆไม่รู้จบตามนิสัยที่เป็นอยู่ประจำ
ด้วยความอยากพิสูจน์ ผมลองเล่นกับลูก กลับมาบ้านพร้อมกับตุ๊กตาหมีตัวโต ตรงไปหาลูกพลางชูตุ๊กตาให้ดู
ทิว พ่อกลับมาแล้วลูก ซื้อหมีมาให้อุ้ม นี่ไงละ สวยไม้ ผมชูตุ๊กตาขึ้อีก เปล่า! ลูกไม่ได้ลืมตาขึ้นมอง ทำคล้ายกับไม่เห็นกระนั้นแหละ ส่งเสียร้องอ้อแอ้ สองมือยกขึ้นกวักไหวๆ คล้ายกับกำลังเล่นกับอะไรสักอย่าง อะไรสักอย่างที่ผมก็มองไม่เห็นเช่นกัน
20 กรกฎาคม 2549 09:53 น.
ตราชู
เสียงโทรศัพท์ที่โต๊ะทำงานกังวานขึ้น ผมวางมือจากเอกสารทั้งหมด เอื้อมมือไปยังหูโทรศัพท์ ยกขึ้น ก่อนกรอกถ้อยคำลงไป
สวัสดีครับ ที่นี่ธนาคารวสุธำรง ยังไม่ทันจบประโยคด้วยซ้ำ ทางปลายสายก็ละล่ำละลักกระหืดกระหอบมาฟังแทบไม่เป็นภาษา
คุณธง คุณธงใช่ไหมคะ นี่ประยงพูดคะ ประยงเอง
ประยง ผมขานชื่อเด็กรับใช้ในบ้านด้วยเสียงอันดัง สังหรวูบขึ้นในใจอย่างประหลาด เกิดอะไรขึ้นหรือ
คุณจง คุณจงหกล้มในห้องน้ำ ตอนนี้ ถวิลขับรถพาส่งโรงพญาบาลแล้วคะ ฝ่ายนั้นรายงานแทบลิ้นพันกัน
จงจิตราหกล้ม ผมตะโกนลั่นออกไปด้วยความตระหนกถึงขีดสุด แล้ว แล้วอยู่โรงพญาบาลไหน ประยงระบุชื่อสถานรักษาของเอกชนแห่งหนึ่งให้ทราบ ผมรีบลางาน ขับรถตะบึงโลดลิ่วปลิวปรื๋อปานพายุ เหยียบคันเร่งชนิดไม่กลัวว่าจะปะทะโครมเข้ากับรถคันอื่นแม้แต่น้อย หัวใจเต้นระรัวอยู่เพียงสองคำเท่านั้น ลูก และ เมีย
ถวิลเป็นคนวิ่งตื๋อออกมารับ เมื่อพาหนะประจำตัวของผมห้อมาถึงจุดหมาย เขาพาผมจ้ำพรวดๆขึ้นบันได ตรงไปพบหมอซึ่งดูแลอาการภรรยาผมในทันที
ผมธงชัย สามีคนไข้ครับ ตอนนี้ คุณจงเป็นอย่างไรบ้างครับ
อาการในส่วนอื่นๆทางร่างกายจากการตรวจของหมอ ไม่พบว่าผิดปกติแต่อย่างไรครับ ฟกช้ำตามธรรมดาเท่านั้น ยกเว้นแต่ส่วนของครรภ์
ลูก ผมหลุดปากโพล่งอย่างใจหาย ลูกผมเป็นอะไรหรือครับ
ครรภ์ของเธอได้รับความกระทบกระเทือน เราวินิจฉัยกันแล้ว ตัดสินใจผ่าตัดครับ เพื่อให้ปลอดภัยทั้งแม่และเด็ก
ผ่าตัด ผมทวนคำ สมองหมุนคว้างไปหมด สับสนอลหม่านจนคิดอะไรไม่ออก อันตรายมากไหมครับ
ผมรับรองว่าไม่มีอันตรายอะไรทั้งสิ้น โปรดอย่าวิตกเลยครับ เพียงแต่ ลูกของคุณจะต้องคลอดก่อนกำหนดสองเดือน ซึ่งก็โดยเหตุผลที่ผมชี้แจงไว้แล้วนั่นแหละครับ คือ คำนึงถึงความปลอดภัยไว้ก่อน
สรุปก็คือ เจ้าธงทิว เลือดเนื้อและวิญญาณของเรา ลืมตาดูโลกเมื่อมีอายุ ๗ เดือน วันที่เขาเกิด ผมจำได้ดีว่า เป็นวันอาทิตย์ ญาติพี่น้องทั้งฝ่ายผมและฝ่ายของจงจิตรา อยู่กันพร้อมหน้า เพื่อคอยยลโฉมหลานคนใหม่ ทันทีที่หมอบอกว่า สามารถเข้าไปหาแม่ของเด็กได้แล้ว ทุกคนก็กรูกันเข้าไปโดยไม่รั้งรอ
19 กรกฎาคม 2549 13:48 น.
ตราชู
ธงทิว (ตอนที่ ๑)
สวัสดีครับ ทุกท่านที่เปิดหนังสือเล่มนี้ออกอ่าน ผมถือว่า บ้านธนานิยม ของเรา ได้เปิดประตูต้อนรับท่านแล้ว เชิญทุกท่านเดินชมทัศณียภาพรอบบ้าน รวมทั้งเข้ามาสนธนากันได้ตามปรารถนาครับ
ถ้าจะถามผมว่า บ้านหลังนี้ มีสิ่งใดสำคัญที่สุด ผมคงต้องตอบท่านว่า สิ่งสำคัญของบ้านเรา คือ เรามีความบกพร่องที่ทำให้เกิดความเติบเต็ม ครับ พูดอย่างนี้ ท่านอาจยังกังขา ผมขอบอกท่านตรงนี้เสียเลยว่า สิ่งซึ่งผมกล่าวถึงคือ ธงทิว ลูกชายตาบอดของผมเอง
ท่านใดเคยอ่านหนังสือนวนิยายเรื่อง โลกอนธการ คงรู้จักเขาแล้วนะครับ หลายท่านปรารถนาจะทราบประวัติของเขา มีเสียงเรียกร้องจนกระทั่งทางสำนักพิมพ์ต้องขอร้องให้ทิวเขียนประวัติของตนออกมาสักเล่ม เจ้าทิวมาขอร้องผมเมื่ออาทิตย์ก่อนว่า
พ่อครับ ทิวจะเขียนเรื่องของทิวให้สำนักพิมพ์เขา พ่อช่วยเขียนคำนำให้ทิวได้ไหมครับ
ทำไมละลูก ผมฉงน ลูกออกจะเก่งเขียนคำนำให้ตัวเองก็ได้นี่ หรือจะให้สำนักพิมพ์เขาเขียนก็ได้เหมือนกัน
ทิวอยากให้พ่อเขียนเพื่อเป็นสิริมงคลแก่หนังสือครับ เพราะพ่อ คือบุคคลสำคัญที่ทำให้ทิวมีวันนี้
ผมนิ่งอึ้งไปทันที เมื่อฟังคำพูดของลูก ความขมขื่น ความสำนึกผิด วูบเข้าปะทะหัวใจอย่างรุนแรงผมตอบเจ้าทิวไปว่า จะเขียนคำนำให้เขา ทั้งนี้ เพื่อประสงค์จะระบายทุกสิ่งทุกอย่างให้ทุกท่านรู้ สำหรับเป็นอุทาหรณ์แก่ท่านที่มีลูกหลานพิการ โปรดให้ความรัก ความเมตตาแก่เขาตั้งแต่ต้นเถิดครับ อย่าถือเป็นเรื่องน่าละอายอันใดเลย
ประมาณสามสิบปีก่อนโน้น หากเอ่ยชื่อ ธงชัย ธนานิยม หลายท่านคงร้องอ๋อ และคงเห็นภาพนักธุรกิจหนุ่ม แต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหราราคาแพง ขับรถยนต์คันงามไปทำงานทุกวัน บรรดาผู้ที่ผ่านไปผ่านมาแลเห็นบ้านของเขา จะต้องออกอุทานชื่นชมในความใหญ่โตมโหฬารของมัน ทั้งนึกอิจฉาผู้เป็นเจ้าของอยู่ในใจ ธงชัย ธนานิยมก็คือผมนั่นเอง ผม ผู้ทำงานอยู่ในธนาคาร ตำแหน่งก็มิใช่ย่อย ฉะนั้น จึงไม่แปลก ที่จะต้องภาคภูมิในเกียรติของตนยวดยิ่ง
เรา ถูกแล้วครับ เรา หมายถึงผม กับภรรยาสาวสวย นักสังคมสงเคราะห์ นามว่า จงจิตรา สร้างสวรรค์ขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรง แหละ น้ำเงิน ชีวิตสมรสเป็นไปด้วยความราบรื่น เนื่องจาก ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายยอมให้ผมเสียมาก ขณะตัวหัวหน้าครอบครัวเองเจ้าอารมณ์ชะมัด เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย หงุดหงิดขึ้นมาก็ดื่มเหล้า เอะอะโวยวายวุ่นไปหมด ก็อาศัยยอดหญิงคนนี้แหละครับ ลูบหน้าลูบหลัง กล่อมให้ไปนอนหลับสนิทบนฟูกได้สำเร็จ สิ่งหนึ่งซึ่งเราไม่เคยขัดแย้งกันเลย นั่นก็คือเรื่องลูก เราสองคนเห็นตรงกันว่า ลูกคือแก้วมณีของชีวิต ผมเพ้อเจ้อเลยเถิดไปถึงขนาดที่ว่า ลูกคนแรก จะหญิงหรือชายก็ตาม ผมจะให้เขาเป็นนายธนาคารใหญ่ให้ได้ เมื่อเขาเติบโตขึ้น
คุณละก็ จงจิตรามักหัวเราะเย้าผมบ่อยๆ คิดอะไรไม่เคยพ้นเรื่องเงินเลยนะคะ
อ้าว ก็นามสกุลของเราแปลว่า นิยมในการเงินมิใช่หรือ ผมหัวเราะระรื่นตอบ นามสกุลอย่างนี้ มันต้องเป็นเศรษฐีทุกคนซิ่
แล้วถ้าตั้งชื่อลูก จะให้ชื่ออะไรคะ ขันเงิน พานเงิน ถุงเงิน หรือเปล่าละ เธอสัพยอกกึ่งประชด
ไม่ซิ่คุณ ผมยืดอกขึ้นพลางผายยิ้มกว้าง พ่อชื่อธงชัย ลูกให้ชื่อธงทิว ดีไหม เขาจะได้โบกนำเงินทองมาให้เรา
เธอไม่ขัดข้อง เราก็เลยได้ข้อยุติ ผมรอ รอ รอ รอว่าเมื่อไร ธงทิวตัวน้อยๆจะมาถือกำเนิด จนกระทั่งในที่สุด เปลวไฟแห่งความหวังของผมก็ถูกกระพือให้โชติช่วงขึ้น เมื่อจงจิตราตั้งครรภ์
ทันทีที่ผลการตรวจของหมอยืนยันแน่ชัด ผมเที่ยวอวดใครต่อใครทั่วไปหมด กับเพื่อนๆ จะได้ยินไอ้ธงพล่ามประจำแทบทุกครั้งที่เจอหน้ากัน
กูกำลังจะมีลูกโว้ย อนาคตเศรษฐีใหญ่เชียวนะมึง
น้อยๆหน่อย ไอ้ธง เจ้าเกลอขัดคอ มึงรู้ได้ไงวะ ว่าลูกมึงโตขึ้นจะรวย ไม่แน่นา ทุกอย่างอาจไม่เป็นอย่างที่มึงคิดก็ได้
ไม่มีทาง ผมลงเสียงหนักในลำคอแบบเน้นชัดถ้อยชัดคำ รากฐานดี มั่นคง จะก่อตึกเติมย่อมโอ่อ่าอยู่แล้ว
ผมเฝ้าประคบประหงมภรรยายอดรักด้วยความเอาใจใส่ ให้ความสำคัญกับเธอยิ่งกว่าการดูแลตัวเองเสียอีก ทว่า วันหนึ่ง อุบัติเหตุมันก็เกิดขึ้นจนได้ แหละนี่ คือสัญญาณบอกเหตุซึ่งจะตามมาในวันหน้า วัน ซึ่งผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า มันจะมาถึงในชีวิต