16 พฤษภาคม 2551 11:24 น.
ตราชู
หรือเราพร้อมหันหน้าเข้าฆ่ากัน???
แม้สายฝนจะพร่างพรูสู่พื้นปฐพีสยามมาหลายวัน แต่หยาดพิรุณอันเย็นฉ่ำ ก็มิอาจดับความเดือดพล่านทางการเมืองลงได้เลย นับวัน ดูเหมือนประกายเพลิงยิ่งเถกิงกล้าขึ้นทุกที ตั้งแต่ต้นปีจวบปัจจุบัน เรื่องใครหมิ่น หรือไม่หมิ่นสถาบันนั้น ทยอยมาสู่การรับรู้ของประชาชนไม่ขาดสายคล้ายการหนุนเนื่องของคลื่นในมหาสมุทร จากลูกน้อยไปสู่ลูกใหญ่ และทำท่าจะขยายไปเป็นคลื่นยักษ์ หากไม่มีใครกั้นกักหรือกีดขวาง ข้ออ้าง ความจงรักภักดี คือศาสตราวาที ที่ทั้งสองฝ่าย (หรืออาจมากกว่านั้น) ซัดเข้าใส่กันตลอดมา ความจริง มันเริ่มต้นนานแล้ว แหละบ่อยครั้งเหลือเกิน ทว่าปีนี้ ๒๕๕๑ ดูจะถี่กระชั้นกว่าทุกปี เพราะเพียงสี่เดือนกว่า นับแต่มกราคมจนเมษายน ต่อต้นๆของพฤษภาคม วาทะตอบโต้ก็ระดมดุเดือดไม่รู้กี่หน แล้วก็ทำท่าว่าจะร้อนรนต่อเนื่อง
เรื่องราวทั้งหลายแหล่ ช่วยไม่ได้จริงๆที่ทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ เสมอๆ ฤาประวัติศาสตร์อำมหิตกำลังหวนคืน? แม่พระธรณีเตรียมกลืนโลหิตอีกหรือไฉน คนไทยกำลังถูกปลุกให้ฆ่ากันอีกใช่หรือเปล่า ๖ ตุลา ๑๙ ผมเกิดไม่ทันครับ หาก จากการสดับ, สืบค้นข้อมูล (ซึ่งทำได้อย่างจำกัดเพราะความพิการทางสายตา) พอสรุปได้ว่า ทั้งขวา ทั้งซ้าย แม้มีเป้าหมาย มีอุดมทัศน์ต่างกัน แต่มีจุดประสงค์อย่างหนึ่งร่วมกัน นั่นคือ ต้องการให้มีคนตาย! เพื่อบรรลุสู่จุดหมายปลายทาง แล้วปีนี้เล่า? ฝ่ายหนึ่งซึ่งประกาศสู้เพื่อในหลวง ในขณะอีกฝ่ายส่อท่าทีจาบจ้วงสถาบันอันเป็นที่บูชาสูงสุดของคนไทย ทั้งสองฝ่ายกำลังทำสงครามดึงมวลชน แน่หละ มันเห็นผลปรากฏแล้ว ผลแห่งสามัคคีเภทในประเทศสยาม อันจะลุกลามต่อไปถ้าเชื้อไฟยังถูกโยนลงกองฟืน
วันคืนหินชาติสมัยสามสิบเอ็ดปีกว่านั้น (พุธที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๙) ประเทศไทย (นี้รักสงบ ตามที่ชอบอวดอ้างกันนักหนา และร้องปาวๆผ่านเพลงชาติทุกวี่ทุกวัน) ได้ทำให้โลกตะลึงมาแล้ว คงไม่ถือว่าซ้ำซากหรอกนะครับ หากผมจะขอทบทวนถึงอีกครั้ง ผ่านงานกวีนิพนธ์อันร้าวระทดบาดลึกถึงวิญญาณเล่มหนึ่ง นั่นคือ หมายเหตุร่วมสมัย นิพนธ์กานท์โดย ท่านอาจารย์ไพบูลย์ วงษ์เทศ ซึ่งบันทึกเรื่องราว ไทยฆ่าไทย ในวันดังกล่าวโดยใช้สัญลักษณ์สื่อความอย่างแนบเนียน บทที่ผมคัดมาฝากกันนี้ คือภาพสยดสยองของ วันอปยศแห่งชาติ (คำของ ท่านทวีป วรดิลก) มาชมกันครับ ว่าฆาตกรรมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และบริเวณท้องสนามหลวงเป็นเช่นไรบ้าง
ตำนาน
ไม่มีหยดน้ำค้างอันพร่างขาว
มีแต่คาวเลือดค้าประมูลขาย
ไม่มีเก็จเพชรรัตน์จรัสพราย
มีแต่กากดินทรายปฏิกูล
เมื่อเกิดการอาเพศเกด, แก้ว
พิกุลร่วงหล่นแล้วก็ลับสูญ
นกยูงร่วงล้มแผ่แม้แคคูณ
จามจุรีจำรูญก็โรยร้าง
ทองกวาวหล่นกราวเป็นกองกอง
เขียวใบตองแค้นคัดเข้าขัดขวาง
ทลายบากโบยบังไปทั้งบาง
ยังแต่ความอ้างว้างอนิจจา
อนาถใจไหลอัสสุชลลง
อเนจตรงแต่ละร่างโลดถลา
ทะลักเลือดโลมพื้นพสุนธรา
ดังดินทาแดงชาดจนดาษแดง
ทะมึนมืดช่องชั้นกันสาด
ทมิฬเงาเพชฌฆาตส่องแสง
เศียรศอคอขาดตะแลงแกง
สะพายแล่งไหล่บ่าคามีดคม
หนังเนื้อโหว่หวู่เป็นรูแหว่ง
กรีดทแยงแทงย้อนกร้อนผม
กระชากเสื้อเสียงหวีดแล้วกรีดนม
กดจมกระแทกจ้วงทะลวงใจ
ทะลึ่งพรวดปวดปั่นถลันดิ้น
ทะลักเลือดเชือดรินโลหิตไหล
กระแทกซ้ำต้ำผางสลบไป
ปิ้งไฟกระทืบซ้ำกระทำการ
อัคนีปรี่เปลวประกายเผา
ดิ้นระเร่าเหลือกถลนทุรนร่าน
ลำคลองหนองน้ำเล่าตำนาน
นายพรานระดมพลล่องไพร
เสบียงกรังพรั่งพร้อมชะลอมสาน
กะเตรียมการฤกษ์บนมนต์ไสย
ไผ่เหลาเกาทัณฑ์ธนูไฟ
หน้าไม้อาบยายุทธพัณฑ์
เงยแหงนมองฟ้านภากาศ
กางกระดาษเตรียมการสมานฉันท์
คำนวณควรคูณหารสำราญครัน
โหราหาวันสุนทรวร
ค่อยเคลื่อนค่อยคล้อยค่อยค่อยคืบ
ลัดเลาะริมหลืบซอกสิงขร
อโณทัยไขแสงทิฆัมพร
วิหคร่อนโลดถลามาชุมนุม
พรานนั่งห้างกางธนูกู่อาณัติ
หน้าไม้แน่นขนัดก็ยิงสุ่ม
นกนั้นบรรดาที่เกาะกุม
ที่รวมกลุ่มกอดกลมก็ล้มกราว
ตกตายมรณังจะทั้งหมด
ทั้งลูกกรดไม้แขนและแหลนหลาว
ผาเพิงเชิงสิงขรก็เมือกคาว
พิราบขาวกางปีกจะหลีกบิน
หน้าไม้อาบยาก็ง่าเงื้อ
เสียงฉีกก็มิเหลือเสียทั้งสิ้น
ก่อไฟสุมฟางแล้วย่างกิน
วิหคสิ้นสูญหายไพรพนา
สิ้นสุดปักษินบินเฉวียน
ไม่มีเสียงนุ่มเนียนเสน่หา
ไม่มีแล้วปักษินบินนภา
ฟ้าก็ฟ้าความหมายเหมือนไม่มี
หรือถ้าชอบแบบตรงๆกว่านี้สักหน่อย ก็ต้องสำนวน ท่านอาจารย์สุจิตต์ วงษ์เทศ ซึ่งผมขอนำบางช่วงของบทกวีชื่อ ปริเวทนาการ จาก
http://www.arts.chula.ac.th/~complit/etext/octobertext/octtext/sujit.htm
มาให้อ่านกัน ดังนี้ครับ
ปริเวทนาการ
ครานั้น แม่น้ำเจ้าพระยา
เรือแพนาวาไม่ขึ้นล่อง
สงบเงียบเยียบเย็นทุกลำคลอง
คลื่นคะนองก็มานิ่งด้วยน้อยใจ
ต้นมะขามสนามหลวงแสนสลด
ทุกกิ่งใบระโหยหดเหมือนร่ำไห้
ถอนสะอื้นยืนงงเป็นวงไป
กิ่งใบหักเปราะลูกเราะราน
ดอกจำปีถูกปืนจนป่นปี้
จามจุรีถูกมีดมาสังหาร
ดอกลั่นทมจมหายกับสายธาร
ทั้งต้นตาลใบตองหล่นกองดิน
เสียงสะล้อซอซึงถึงชะงัก
แคนหักย่อยยับกับก้อนหิน
กลองตะลุงถูกทำลายกลายเป็นดิน
ปี่พาทย์พินาศสิ้นลงคราวนี้
ทุ่งพระเมรุหมกเหม็นเหมือนหมาเน่า
กลิ่นคลุ้งคลุกเคล้ากับกลิ่นขี้
แล้วกระจายไปทั่วทั้งธานี
โอ้-กระไรเหมือนบุรีหัวใจร้าย
นึกถึงขุนแผนแสนสะท้าน
ห้าวหาญรบศึกทั้งเหล่าหลาย
น้ำจิตใสน้ำใจสู้ลูกผู้ชาย
กล้าตายแต่ไม่ปล้นคนกันเอง
ไอ้เสมาขุนศึกพิลึกลั่น
ถูกหมู่ขันหมู่พระยามาข่มเหง
ลูกผู้ชายลายมือคือนักเลง
ไม่เข่นฆ่ากันเองให้อายคน
นี่กระไรใครหนอจะนิ่งได้
ฆ่ากันเองเหมือนฆ่าไก่กลางถนน
อยุธยายังไม่ฆ่าประชาชน
โอ้-อับจนแล้วหรือนี่เจ้าพระยา
จะกล่าวถึงหนุ่มเหน้าและสาวศรี
บัดนี้ดูอนาถวาสนา
จะหวังใครไหนเล่าในโลกา
ได้พึ่งพาฝากผีเพื่อนพี่น้อง
ต่างมองตาตาช้ำต่างร่ำไห้
บ้างเลือดไหลรันทดสยดสยอง
มองแผ่นดินนามประเทืองว่าเมืองทอง
ได้แต่มองแล้วต้องหลบต้องหลับตา
ครั้นหลับตาแต่ว่าตายังเห็นภาพ
เพื่อนทั้งหลายเลือดอาบกันพร้อมหน้า
เหมือนทหารบรรพบุรุษอยุธยา
ถูกพม่ากองโจรปล้นสะดม
บ้างก็ถูกแหลนหลาวถูกเกาทัณฑ์
บ้างก็ถูกพวกมันเอาหินถล่ม
บ้างก็ถูกตีขนาบด้วยดาบคม
บ้างหกล้มแล้วจึงถูกส้นตีนตาย
บ้างก็ถูกเชือกมัดที่ต้นคอ
บ้างก็ถูกตีต่อจนคอหาย
บ้างถูกทิ่มโยนีด้วยผีพราย
บ้างถูกเหยียบลงกับสายกระแสชล
บ้างก็ถูกลูกกระสุนจนพรุนพร้อย
บ้างถูกร้อยเชือกลากไปกลางถนน
บ้างถูกเผาทั้งเป็นเหมือนเล่นกล
แต่จริงๆ เผาคนทั้งเป็นเป็น
ไม่เคยเห็นก็มาเห็นแล้วเช่นนี้
ไม่เคยมีก็มามีให้มองเห็น
เหลือรำลึกนึกน่าน้ำตากระเด็น
เหลือลำเค็ญเสียจริงๆ หัวอกเอย ฯลฯ
ครับ นั่นคืออดีต แต่ก็มิได้หมายความว่า จะไม่มีทางเกิดขึ้นอีก ถ้าการปลุกปั่น ไม่ว่าจะฝ่ายพันธมิตรฯ หรือฝ่ายพันธะอะไรๆอื่นๆยังไม่หยุด โหมประโคมกันไปตลอดปีนี้ ต่อเนื่องถึงปีหน้า ปีต่อๆไป สักวันเถอะเลือดไทยจะชุ่มแผ่นดินไทย! เมื่อปีกลาย เราเห็นภาพความจลาจลในประเทศเพื่อนบ้านมาแล้ว หรือเราอยากได้อย่างเขาบ้างเพื่อมิให้น้อยหน้า? หรือเราพร้อมหันหน้าเข้าฆ่ากันแล้วใช่ไหมครับผม???
(๑๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๑)