30 มีนาคม 2555 10:37 น.
ตราชู
เสมอ
สัททุลวิกกีฬิตฉันท์ ๑๙
กี่ครั้งที่พสุธารสะท้านจลสะเทือน
แทบมรณ์ สะท้อนเหมือน
มลาย
กี่หวังที่ภิทะหวัง ภวังค์รุจนะวาย
แสงโชติมิโรจน์ฉาย
ชะตา
กี่คราวที่มหิชุ่ม ประชุมศพประชา
เลือดธารละหานทา
วิถี
คนใหญ่ต่างอุปถัมภ์กระทำทุรวิธี
มากมายอุบายมี
มุทิน
หัวร่อร่วนขณะร่าน สราญยศชริน
ผันเผียนเฉวียนผิน
ผยอง
เหยียบยังซากศวะนั้นอนันต์รุธิระนอง
ย่างก้าวอะคร้าวกอง
สกนธ์
ทุกทวยที่ปิติได้กระไดอสุภดล
ปีนถึงลุซึ่งธน
เถกิง
เร่งร่ำเรียกรวะเร้าระเร่าริปุระเริง
เที่ยวท่องมิมองเถิง
ไผท
จึ่งยากหวังฐิติหลัก มลักผลพิไล
เสียท่าเพราะสาไถย
สถุล
ยากปรองดองกรณีกระนี้นิรมนุญ
รบราจะทารุณ
ระดม
กฎเถื่อนสู้นิติเถื่อนสะเทื้อนนรระทม
ลงมรรคเลอะหมักหมม
เสมอ
(๒๙ ถึง ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๕)
หมายเหตุ:
ผมฟังแต่ละฝ่ายเถียงกันเรื่องการสร้างความปรองดอง เห็นว่า ยิ่งพูด ยิ่งทำ มีแต่ยิ่งแตกร้าว จึงขออนุญาตแสดงความเห็นส่วนตัวสักหน่อยในฐานะประชาชนคนกระจ้อยร่อยคนหนึ่งครับผม
24 มีนาคม 2555 16:54 น.
ตราชู
ฝนใจ
กลอนสุภาพ กลบทสุรางค์ระบำ
ยามฝนมาฟ้าหมอง เห็นฟ่องเมฆ
แต่เอื้อเสกเอกสวยเมฆอวยสินธุ์
รื่นสุขใจใสเจิมฉ่ำเสริมจินต์
ขับร้อนสิ้น รินสมภิรมย์ทรวง
หากเจตผองจองพิษกลับจิตผัน
ถอนโมหันธ์ หมั่นให้โดยไม่หวง
รักท่วมดลท้นแด ใจแท้ดวง
เปรียบราวสรวงร่วงสินธุ์อาบรินซึม
ที่โศกคั่ง สังคมมิสมค่า
เพราะล่วงคราล่าเคร่งจ้องเล็งขรึม
เกลื่อนมณฑลหม่นทั่วดูมัวทึม
ยุคเดือดคราวด้าวครึ้มทุกข์ดึ่มครอง
เห็นเมฆที่มีทั่วแต่มั่วถ่อย
อวดเขื่องทำขำถ้อย เฝ้าคอยถอง
แล้วทิ่มเนื้อเถือนำตามทำนอง
ยิ่งเปื้อนติดปิดต้อง เลวปองตุน
ขอจิตตรงจงตรองรู้จ้อง ตรึก
อวยศรีนำสำนึกเข้าซึกหนุน
กุศลคงทรงค่าไป่ซาคุณ
ใคร่ค้ำจุน ขุ่นจิตก็คิดจาง
เพียรฝึกจนฝนใจดับไฟจัด
เกิดพูนสัตย์พัฒน์สบทั่วภพสร้าง
แสงโชติปาณฉานปวงทุกช่วงปาง
เบิกเส้นทางสร้างถ่ายคือสายธรรม
(เขียนขณะฟังเสียงฝนหล่นซู่ซ่า อากาศกำลังเย็นสบาย ณ บ่ายของวันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ครับผม)
หมายเหตุ:
กลบท สุรางค์ระบำ มีปรากฏอยู่ในหนังสือประชุมจารึกวัดพระเชตุพนครับ ผมอาศัยศึกษาจากหนังสือกวีนิพนธ์ รอยทราย บวกกับตำราชื่อ กลอนกล ซึ่งทั้งสองเล่ม รจนาโดยท่านอาจารย์วันเนาว์ ยูเด็น ครับผม
21 มีนาคม 2555 18:42 น.
ตราชู
ยากหลบ ยากเลี่ยง
โคลงกระทู้
คนพูด บางเหล่าเพ้อ พจมาน
หลายส่ำ สารพัดสาร สื่อก้อง
คนทำ ที่จัณฑาล ทุจริต
หลายสิ่ง ขานขับซ้อง ข่าวซั้นเสียงอึง
คนจริง จึงใคร่แจ้น จรดล
ลาล่วง ถูกเผาลน ลวกไหม้
คนลวง แล่นเสลือกสลน เลอศักดิ์
รำร่าย อาดูรไร้ เด่นเรื้องเลืองสกุล
นายทุน ครองครอบทั้ง ธานิน
คอยทรัพย์ สำเริงสิน เสพขย้ำ
นายทัพ เพ่งปฏิทิน ทนสงบ
คอยซุ่ม รถถังซ้ำ สั่งเร้งรัฐประหาร
ขุดหลุม การเสร็จแล้ว ลึกทวี
หลายหลาก โลนกาลี เล่นแกล้ง
กลมาก หมักหมมมี มิดหมก
หลายเรื่อง รอรบแย้ง อย่างนี้มานาน
ดูเมือง พาลพวกเพี้ยน ผันผยอง
หมองหม่น อนธการมอง มืดถ้วน
ดูคน ครุ่นตรมครอง ครวญโศก
มองเหม่อ เห็นโจรม้วน เขมือบแคว้นแดนขวัญ
จำเจอ ทัณฑ์ถี่จ้วง ถาโจม
ยากหลบ โลหิตชโลม หลั่งแปล้
จุดจบ จ่อไฟโหม หฤโหด
ยากเลี่ยง ความจริงแล้ เจ็บล้น ใจสลาย!
(๒๐ ถึง ๒๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๕)
หมายเหตุ
ผมเขียนงานชิ้นนี้ โดยศึกษารูปแบบจากบทกวีชื่อ ท้อถอยเมื่อแก่ ท้อแท้เมื่อหนุ่ม รจนาโดย ท่านอาจารย์คมทวน คันธนู พิมพ์รวมอยู่ในหนังสือกวีนิพนธ์ชื่อ เรียงถ้อยขึ้นร้อยถัก และเขียนเมื่อได้ฟังข่าวถ้อยแถลงของท่านอาจารย์ธีรยุทธ์ บุญมี อีกทั้งปฏิกิริยาผู้คนเหล่าต่างๆที่มีต่อวาทะนั้นครับผม
17 มีนาคม 2555 17:51 น.
ตราชู
ทุรยุค ทุกข์เยือน
ทำมาหากินถิ่นนี้
ที่นี่เนิ่นนานปานไหน?
สืบเนื่องเรื่องราวยาวไกล
บรรพชนยิ่งใหญ่ให้มา
กรากกรำทำกินถิ่นเก่า
เขตเหย้าเคยอยู่ปู่ย่า
ยุคใหม่ใคร่เทินเงินตรา
จึ่งค้าที่ขาย... ง่ายครัน
เสร็จสรรพกลับเปลี่ยนเวียนหมุน
แปลงที่เป็นทุน ผลุนผลัน
รวบรัดจัดแจงแบ่งปัน
หฤหรรษ์กำไรได้งาม
ทั้งชาติ ต่างชาติยาตรคล่อง
เข้าครองส่วนหนึ่งในสาม
นี่หรือคือไทยไกรนาม?
หรือยามทุรยุค ทุกข์เยือน?
โศกหนอธรณีมี่ไห้
ลูกไทยหลานไทยไล่เฉือน
ทิ้งขว้างต่างแปรแชเชือน
ดูเหมือนเกเรเนรคุณ
(๑๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๕)
หมายเหตุ
ผมเขียนงานชิ้นนี้ขึ้นโดยอาศัยแรงบันดาลใจจากกาพย์ยานีของท่านศรีสมภพ ซึ่งแสดงความคิดเห็นไว้ (ความเห็นที่สอง) ในกระทู้กลอน หาไท ซึ่งผมนำลงเว็ปไซต์ของบ้านกลอนไทย
www.thaipoem.com
ครับผม
15 มีนาคม 2555 13:38 น.
ตราชู
หาไท
กลอนกลบทอักษรบริพันธ์
ชื่อ ไทย ฟังขลังดีตามที่อยู่
แต่ทนยู่คือประชา ช่างน่าเศร้า!
เช่นนั้นส่องมอง ไท กลับไร้เงา
กลุ่มรากเหง้าเผด็จการมีนานเกิน
หมู่ไหนกุมคุมเมืองย่อมเขื่องนัก
ยิ่งค้ำหนักคึกคะนองหวังครองเนิ่น
ไว้ครอบนำงำชนทุกคนเดิน
ทั้งคอยดันกันเพลิน... สั่งเดินตาม
สันดานต่ำนำวิถีธานีทรุด
ธรรมเนียมสุดเหลวไหล พวกใจห่าม
พันธุ์จองหองปองฉกลามกปาม
แล้วมาป่าวกล่าวงามอ้างความดี
เอื้อมคว้าด่วนล้วนทรัพย์เพื่อรับสุข
เพียรเร้นซุกซ่อนถ่ายเก็บหลายที่
เก่งลวงถุนวุ่นล่าอยู่ตาปี
ยัดเต็มปากมากปรี่ ราศีมัว
เรื่องโสมมถมเถไหลเทสาด
แล้วที่สุดจุดวินาศเห็นกลาดทั่ว
ห้อมกล่นถิ่นดินแดน ใจแสนกลัว
เจอสัตว์กลั้วอยู่กระนี้ ไม่มี ไท
(๑๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๕)
หมายเหตุ:
กลบทที่บังคับให้เสียงพยัญชนะช่วงท้ายของกลอนแต่ละวรรค (คำที่ ๖ ๗ ๘ กรณีกลอนวรรคดังกล่าวมี ๘ คำ และ ๗ ๘ ๙ หากกลอนวรรคนั้นมี ๙ คำ) ซ้ำเสียงกับช่วงแรกของกลอนวรรคต่อไป (คำที่ ๑ ๒ ๓) นั้น หนังสือวรรณคดีเรื่อง สิริวิบูลย์กิตติ์ รจนาโดยท่านหลวงศรีปรีชา (เส้ง) เรียกว่า อักษรบริพันธ์ ส่วนประชุมเพลงยาวกลบทวัดพระเชตุพน เรียกต่างกันออกไปเป็น ช้างประสานงา ครับ ผมสมัครใจเรียกตามสิริวิบูลย์กิตติ์ เนื่องเพราะเป็นวรรณคดีที่นิพนธ์ขึ้นก่อน อนึ่ง กลบทนี้ ผมอาศัยศึกษาเพิ่มเติมจากหนังสือกวีนิพนธ์ รอยทราย ของท่านอาจารย์วันเนาว์ ยูเด็น บวกกับหนังสือรวมบทกวีชุด เรียงถ้อยขึ้นร้อยถัก ของท่านอาจารย์คมทวน คันธนูด้วยครับผม