25 กันยายน 2551 16:39 น.
ตราชู
เมืองใหม่
(ผมได้แรงบันดาลใจจากบทกวีชื่อ บทโศลกบนโลกนี้ นิพนธ์โดย ท่านคมทวน คันธนู ในหนังสือ เรียงถ้อยขึ้นร้อยถัก ครับผม)
อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑
เมืองใหม่จะไร้เมฆ
รุจิเรขนภารอง
ไม่มีฤดีหมอง
ปิติมื่นระรื่นมาน
เมืองใหม่จะไร้หมู่-
ฉลผู้พิสัยพาล
ทอดทางสว่างฐาน-
คุณธรรมประจำแทน
เมืองใหม่จะไร้ม่าน
มลดาลสลัวแดน
เทียมทันสวรรค์แถน
ทิพถิ่นบุรินทร
เมืองใหม่สมัยมิ่ง
สิริจริงฤจากจร
โสภิศสฤษฎิ์พร
พุฒิแผ่ตระแบ่ผาย
เมืองใหม่สมัยมาศ
ผิว์วิวาทก็บังวาย
ทุกคาบละหยาบคาย
เพราะสุขุมจะคุมคน
เมืองใหม่สมัยมั่น
สหฉันททั่วชน
เศร้าซัดเคราะห์ขัดสน
สละเศร้า มิเซาโซ
หาเนือง เอ๊ะเมืองไหน
ระบุไว้ระบือโว
ค้นค้นกระวนโข
มิปะเขตนิเวศน์ขัณฑ์
เมืองใหม่ไฉนมี
ตะละที่พะอาธรรม์
เมืองใหม่ไฉนมัน-
ทรมาน์เสาะหาเมือง
เมืองใหม่กระไรหม้าย
อุระคายระคางเคือง
ชาวหล้าน่ะหน้าเหลือง
สุขลบ มิสบเลย!
(๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๑)
23 กันยายน 2551 11:00 น.
ตราชู
บาดทะยัก
(แรงบันดาลใจ ผมได้จากถ้อยคำของ ท่านหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ในหนังสือนวนิยาย ไผ่แดง ที่ท่านกล่าวว่า สังคมเป็นบาดทะยัก ครับผม)
หวังหายคลายเคลื่อนเลือนโรค
เลือนสิ่งโสโครก สิ้นค่า
ใจลอยคอยหมอรอยา
คิดว่าความหวังยังวาว
ไข้เมืองเคืองไหม้ใคร่หมด
กวาดคดเกลี้ยงแคว้น แดนขาว
ฟ้าเรืองเฟื่องรุ้งรุ่งราว-
แสงพราวสรวงพรายฉายพร
กลับแพร่แผ่พิษผิดหวัง
ความหลังคุกคามตามหลอน
โรคามาใหม่ไชชอน
กัดกร่อนเกลื่อนกลุ้มรุมกิน
ช้ำฟกอกรอนอ่อนล้า
ปานว่าชีวาตม์ขาดวิ่น
ฝันแคล้วแล้วลอยคล้อยบิน
ทั่วถิ่นท้อแท้แน่ไทย
ยังโขโสโครกโรคเก่า
ปราศเค้าผู้แปรแก้ไข
ซ้ำโซโศกาอาลัย
โรคใหม่ราวมารลาญทัก
มากนองหมองเนืองเมืองนี้
เพียงผีผลุนผลันพลันผลัก
ทรุดเพิ่ม เสริมเผ่าเศร้าพักตร์
บาดทะยัก ยอกแย้งแยงยอน!
(๒๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๑)
ข้อความฝากทิ้งท้าย
ผมฟังชื่อ ครม. ชุดนี้ แล้วคิดว่าบ้านเมืองคงซมอีกนานพอสมควรหละครับผม
19 กันยายน 2551 11:07 น.
ตราชู
ขอวิงวอน
คราวน้ำบ่ามาท่วมก็รวมทุกข์
หลายแหล่งขุกเข็ญขื่นสะอื้นคร่ำ
เย็นยะเยียบเงียบเหงา ความเศร้างำ
พวกใจดำยังแสดงกันแข่งดี
พวกหนึ่งห่า หาขย้ำแย่งอำนาจ
อวดอุกอาจเอาเอาแต่เก้าอี้
พวกหนึ่งท้วงทวงท้าเผยวาที
ว่าต้องมี การเมืองใหม่ ต้องได้มา
ทิ้งคนทุกข์รุกกระหน่ำเพราะน้ำท่วม
ให้ทนอ่วมโอดโอยเรียกโหยหา
ทิ้งคนกลุ่มชุ่มฉ่ำโชกน้ำตา
ให้แลหน้า เหลียวหลัง อยู่ลังเล
ไหนเล่าใคร ไหนผู้ค้ำชูช่วย
ที่ใจสวยสาดแสงไม่แสร้งเส
ไหนเล่าผู้รู้คลาย รู้ถ่ายเท
ให้ธารเหเหือดแห้งหนแห่งไป
มาเถิดมากล้ากู่กล้ากู้ชาติ
โดยกู้ราษฎร์ร้อนรน ร้าว หม่นไหม้
โดยกอบกู้ผู้ตระหนกอุทกภัย
กู้ด้วยใจกรุณาหนุนปรานี
จนน้ำหลากพรากลดเหือดหมดหล้า
แล้วค่อยมาเครียดขมึง ค่อยอึงมี่
แล้วค่อยมาล่าระห่ำโหมย่ำยี
ให้ป่นปี้กันไปตามใจปอง
หรือจะปล่อยลอยแพผู้แผ่พับ
ปล่อยเขาคับแค้นขุ่นคิดครุ่นหมอง
ปล่อยเขาแค่นแค้นไข้ขมใจครอง
ปล่อยเขาต้องตกระกำ จมน้ำตา???
(๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๑)
12 กันยายน 2551 09:10 น.
ตราชู
ปลงหัวโขน
ยามปรากฏยศทรงยิ่งยงศักดิ์
คนก็มักมึนมัว เมาหัวโขน
ร้องระบำรำเล่นโลดเต้นโยน
จึงพลอยโดนบ่วงดัก โดนชักใย
ครั้นโลภ หิว ลิ่วเหินก็เกินห้าม
มันยุ่มย่ามยุ่งยากกว่าหยากไย่
มันอิรุงตุงนังถึงข้างใน
ปลงฉันใด ยากเข็ญลำเค็ญแด
เห็นแก่ลาภฉาบเปื้อน แชเชือน ปั่น
มิอาจหันเลิกห่างจากร่างแห
ใครเล่าเกี่ยว เหนี่ยวรั้ง รุมรังแก?
จริงแล้วแต่เบื้องต้นคือตนเอง
เปลื้องหัวโขนโยนกลิ้งถอดทิ้งเถิด
ใช่ยกเชิดกลางโรง ด่าโฉงเฉง
วางมือเถิดเลิศลักษณ์ ใจนักเลง
อย่าเครียดเคร่งหน้าคล้ำหรือคร่ำคราง
การเมืองฉุดมุดมรรคอันหมักหมม
พาตกหล่มไถลลื่นลงพื้นล่าง
โกง คือเกณฑ์ เป็นแกนอยู่แก่นกลาง
ก็พังผางโดยผิด พันติดพวน
ตามหลักเรื่องเรืองไรกฎไตรลักษณ์
มียศศักดิ์ซาบซ่านสำราญสรวล
ก็มีปลิดลิดปลด ศักดิ์ยศปรวน
มันปั่นป่วนทั้งปวงหนอดวงปราณ
เมื่อเห็นในใจกระจัดแจ่มสัจจะ
ย่อมผันผละเพลาผ่อนความร้อนพล่าน
คลายโมหันธ์ ตัณหา อุปาทาน
บันดลศานติสุขนั้นนิรันดร
(๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๑)
หมายเหตุ
ผมเขียนงานชิ้นนี้ไว้ ตั้งแต่วันที่ศาลท่านตัดสินให้คุณสมัคร สุนทรเวช พ้นจากตำแหน่งแล้วครับ เหตุที่นำมาลงวันนี้ เพราะอยากให้อดีตนายก (หมาดๆ) เสียสละไม่รับตำแหน่ง เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของชาติเป็นอันดับแรก และความสบายใจของตัวท่านเองเป็นอันดับต่อไป ครับผม
11 กันยายน 2551 08:57 น.
ตราชู
แด่นิสิตนักศึกษามหาสหาย
(โครงสร้างทางการเขียน ผมได้แรงบันดาลใจจากบทกวี จากเพื่อนถึงเพื่อน ของ ท่านคมทวน คันธนู ที่ปรากฏอยู่ใน
http://www.oknation.net/blog/kuntanu/2008/07/30/entry-1/comment
ครับผม)
๑. โคลง ๔ สุภาพ
เนืองนองในอดีตนั้น...............นานา
ยามราพณ์เลวมารา...............รวบขยี้
อำนาจอิ่มนักหนา...............เอกเขนก
คนชั่วควบคุมชี้...............เชิดนิ้วทระนง
แรงปลง ริบหรี่เปลี้ย...............เปลวปราณ
ยอมมืด ยอมทรมาน...............หมกไหม้
พลัน เห็นเผ่าพลหาญ...............โหมฉกาจ
ชาญเชี่ยววังชาใช้...............เช่นเชื้อเพลิงผกาย
เนืองสายนิสิตซ้อง...............เสริมขวัญ
ผองนักศึกษาผัน...............ผาดผ้าย
ถือธงฝ่าอาธรรม์...............ทุกแห่ง
รานราพณ์อันเลวร้าย...............เร่งรื้อรอนลง
ยรรยงในเกียรติย้ำ...............เยาวชน
กอปรก่องเมืองทองถกล...............ก่อกู้
ศักดิ์สิทธิ์สืบอนุสนธิ์...............สารโศลก
เป็นเรื่องราวรับรู้...............รุ่งพร้อมพิรีย์ขลัง
๒. มาณวกฉันท์ ๘
ท้าเถอะนะท้า
กล้ามิละแกล้ว
เลิศพลแล้ว
แผ้วริปุพัง
แน่มะนะหนึ่ง
ตรึงจิตตรัง
หวังสุขหวัง
วันรวิวาม
โหดอริหิน
ฉินท์ชิวเชือด
ดาลกระอุเดือด
เลือดชลลาม
เธอฤจะท้อ
ขอทะนุคาม
ขาดฤดิขาม
ขอธิติขืน
สู้กะกระสุน
หนุนคณะเนื่อง
มองชุติเมือง
เฟื่องกลฟืน
สืบระยะสาว
ยาวยศยืน
คู่ทินคืน
คู่นรเคียง
เชิดยุวชน
ล้นวสะหลาย
เพริศพิศพราย
รายระดะเรียง
บุกบถเบิก
เกริกสรเกรียง
แซ่เสนาะเสียง-
สู้ บมิเซา
๓. กาพย์ยานี ๑๑
วารนั้น...จวบวันนี้
ยังริบหรี่อยู่หนอเรา
มึนมัว หมู่มั่วเหมา
เข้าครองเมืองครบเครื่องมือ
คนเหล่าถูกเขาหลอน
ให้เอนอ่อนเอออออือ
ชอกงำ เจ็บชำงือ
ยิ่งงมเงา ยิ่งเหงาหงอย
โค้งขดค้อมคดเคี้ยว
สู้ขับเคี่ยวสองคั่วคอย
โลดถาไม่ล้าถอย
ช่ำชองท้าชิงท่าที
แดหู่เมื่อดูเห็น
สามานย์เหม็น โสมมมี
เน่าฟ้องล้วนหนองฝี
อันหนอนเฝือฝังเนื้อฟอน
แทรกซ้ำเป็นส่ำเสีย
ยังนัวเนียอยู่แนบนอน
ย้อนแย้งยอกแยงหยอน
ยามยลยินเยียบวิญญาณ์
๔. กลอน
ร้าวหนักแสนแน่นสุม เรียกหนุ่มสาว
ให้หาญห้าวไคลหนร่วมค้นหา
หาถ้วนถี่วิถีทัศน์ถือศรัทธา
ซึ่งทรงค่าอักขูดำรูควร
เคยซึมซับสับสนวกวนกระแส
จวนเจียนแพ้ผันเผียนพลิกเพี้ยนผวน
เคยติดใยวัยเยายั่วเย้ายวน
กลับตรองทวนหลายทบก็พบทาง
นิสิตศักดิ์ นักศึกษา จึงมาสู้
จึงมาอยู่มายาตรคลาคลาดย่าง
ไฟฝันฟ่อง มองฟ้า มัว ฝ้าฟาง
หวังคลายหมางค้างหมองที่ครองมนต์
ขอเธอนั้นมั่นแนวแน่แน่วตระหนัก
ใช่เยื้องยักหยุดยอระย่อย่น
แต่เธอต้องตรองเติมส่งเสริมตน
ให้เข้มข้นแข็งขันกลางมรรคา
ใช่เทิดมือถือมั่นแค่ พันธมิตรฯ
จนหวุดหวิดวับหวำเพลี่ยงพล้ำผวา
จงตรึกชอบ ตอบ ชี้ ด้วยปรีชา
แล้วโถมท้าอธรรมทั่วด้วยตัวเธอ
การเมืองใหม่ ใดมาหากพร่าหม่น
อย่าจำนนซบหน้า ต้องกล้าเสนอ
ความจริงแจงแจ้งใจเมื่อได้เจอ
ใดเลิศเลอ ใดกลี ต้องชี้ลง
นิสิตศักดิ์ นักศึกษา เงยหน้าสู้
ลาญเหล่าผู้พาลพลให้ป่นผง
หนักแน่นในใจนำเจตน์จำนง
มือกุมธงคุณธรรม์คงมั่นเทอญ
(๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๑)
ข้อความฝากทิ้งท้าย
ผมฟังข่าว นิสิต นักศึกษา จากหลายสถาบัน ออกมาเคลื่อนไหวมีส่วนร่วมทางการเมืองแล้วชื่นใจครับ อย่างน้อย พวกเขาได้ตื่นตัวแล้ว และนี่จะเป็นโอกาสดีให้พวกเขาเรียนถูก เรียนผิด เก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปใช้ในวันข้างหน้า ผมอยากเห็นนิสิต นักศึกษา เติบโตต่อไป มีอุดมการณ์เพื่อมวลชน เพื่อประเทศชาติไม่เปลี่ยนแปลง แหละไม่หลงทาง มิใช่แค่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว จึงเขียนงานชิ้นนี้ขึ้นครับผม