23 เมษายน 2551 11:01 น.
ตราชู
วอนแม่โพสพ
(ประดิษฐกานท์กลอนแบบ ๓ ๕ ๘ เยี่ยงนี้ ผมศึกษาจากงานของกวีหลายท่าน มี ท่านเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ท่านคมทวน คันธนู เป็นอาทิ ครับผม)
โอ้ธัญญ์แท้แน่เที่ยงเคยเลี้ยงท้อง
มากมูลมองแม่นมั่นแต่บรรพ์สมัย
จารึกจำค้ำจุนเคยคุ้นใจ
เรี่ยวแรงไร้ ริบหรี่กลับมีแรง
กาลบัดนี้นี่หนอเห็นต่อหน้า
คล้ายบาปกล้าบ้ากลั่นบุกบั่นแกล้ง
เกิดผลพวงพ่วงพามูลค่าแพง
หัวอกแล้งอ่อนล้านั่งตาลอย
ยิ่งตามยอกตอกย้ำเต็มย่ำแย่
ยิ่งท้อแท้รันทดแรงลดถอย
ลดราคาค่าข้าว ทุกคราวคอย
คนเงินน้อยเงยหน้าน้ำตานอง
คนกลางตักกักตุนเติมทุนต่อ
เงินเคลียคลอคลาไคลกำไรคล่อง
เขาเสพรสสดร่ำข้าวสำรอง
ไม่ร่ำร้องร่อนเร่หรือเรรวน
เราร้อนรุมรุ่มร้ายหวังฝ่ายรัฐ
ก็อาสัตย์เสื่อมทรุดชำรุดกระสวน
ล้นสุขนัก ศักดิ์หนำเล่นสำนวน
หัวร่อร่วนแรมร้างเหินห่างเรา
ลูกร่างซูบรูปโซแม่โพสพ
ลูกซอนซบสิ้นศรีฤดีกระเส่า
แม่โปรดแบ่งแรงเบียนให้เปลี่ยนเบา
อย่าปล่อยเหล่าลูกทั้งหลายให้ตายเลย
(๒๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๑)
ข้อความทิ้งท้าย
ผมรู้จากคุณยายท่านว่า ข้าวสาร ๑ ถุง ๕ กิโลกรัม ราคาขึ้นไปถึงสองร้อยกว่าบาทแล้ว พูดไม่ออกเลยครับผม
19 เมษายน 2551 11:42 น.
ตราชู
วรรณะวรรณนา
(ผมได้แรงบันดาลใจ จากงานกวีนิพนธ์ ของ ท่านจิตร ภูมิศักดิ์ และบทกวีชุด รุ้งกินเมือง ในหนังสือ นาฏกรรมบนลานกว้าง ของ ท่านคมทวน คันธนู ครับผม)
เกริ่นนำ
ร่ายดั้น
ศรีศรีหม่นศรีมิ่ง สรรพ์สิ่งมัวซัวหมด รันทดทั่วบุรีรมย์ รันทมถมบ่โรยรา สมญา ไทย ปรากฏ เสริมยศ ไทย ปรี่เกียรติ ละเอียดอำนรรฆหนอ ลอออำนวยเนตร ซ่อนอาเพศโพยขุก ซุกเอาผีเพียบคูณ จำรูญภาคนอกใส จัญไรภายในสิ้น ลมลิ้นร่ำเรื่องอ้าง ลบล้างฤาลบออก หลอกตัวเองว่าเด่น เล่นแต่งอวดว่าดี ธานีใครครองสุข ทำนุกใครครบส่วน ป่วนชีวีใครหวั่น ปั่นชีวิตใครว้าง ค้างเติ่งนมนานมา คาติดเนาในเมือง เรืองเรืองคนข่มขู่ หรุบหรู่คนขื่นเข็ญ หลั่งล้นประเด็นท่วมกลาด หลายแหล่ประดาษถูกแกล้ง ขอแจ้งจากจิตบงบางส่วน ขานศัพท์หวังคุ้ยเสี้ยน เสียบสยาม
วรรณะที่ ๑
โคลง ๕ ดั้น
งานง่วนง้ำ...............งำเงา
หลอกคนขาม...............ข่มถ้วน
บันดาลเอา...............อิทธิเดช
ลวงให้ม้วน...............หมอบเศียร
ไพเศษพ้น...............พรรณนา
เทวันเวียน...............ว่อนติ้ว
มาสู่ธา-...............นินทร์สถิต
มาชี้นิ้ว...............นาบเหนือ
ใครคิดข้อ...............เคืองคาย
ผิดจากเครือ-...............ข่ายเจ้า
มันควรตาย...............เตียนหมด
เลือดล้างเท้า...............ท่านไท
เผยพจน์แจ้ว...............พูดพิจารณ์
อำมาตย์ไข...............ขู่เกรี้ยว
มึงสามานย์...............มึงหมิ่น
ดังคล้ายเงี้ยว...............ผงาดผัน
ทุกถิ่นเที้ยร...............ถูกคลุม
บันโดยบรรพ์...............บดกั้ง
มายาสุม...............กระสันผูก
ยังย้ำยั้ง...............อยู่ดี
หลานลูกท้าว...............ทระนง
ก่อราคี...............ขุ่นเปื้อน
ใครอย่าหลง...............เฉลยเหตุ
หยุด! ห้ามเยื้อน...............อยู่เฉย
โอนเกศก้ม...............กับดิน
ชนห่อนเงย...............หงุบหน้า
แกลนกฎหิน...............กด หั่น
แมนฟื้นฟ้า...............เฟื่องเสมอ ฟูเสมอ
วรรณะที่ ๒
สัทธราฉันท์ ๒๑
โอม....อ่านขานเจื้อยระเรื่อยเจอ
ขณะสวนะละเมอ
เพริดกระเจิดเผลอ
ภวังค์วน
กลัวมิ่งกริ่งมวลกระบวนมนต์
จริตจิตวิจล
ไสยศาสตร์สน-
ธิสืบสาว
คงยามข้ามยุคสนุกยาว
กุหกชนระนาว
พรายกระจายพราว
พจีแจง
เมืองพล้ำพลำไพล่ไถลแพลง
เพราะพฤฒิทิชะแสดง
สาดฉกาจแสง
ฉกรรจ์ไสย
จากวังหลั่งปนระคนไป
ประลุฆรนระใน
ราษฎร์อนาถใหล
ละลายทรวง
งวยงงหลงบำรุบำบวง
อวิชมุหะทะลวง
ซบสยบสรวง
สวรรค์เวียง
ยื้อยืดชืดชื้อชระอื้อเชียง
เปรอะวิปริตะระเรียง
เชือน เลอะเลือน เฉียง
ฉะนี้เป็น
วรรณะที่ ๓
กาพย์ฉบัง ๑๖ กลบทกบเต้นสามตอน
เที่ยวภุญช์ทุนเพียบเทียบเพ็ญ
ขบเคี้ยว เคี่ยวเข็ญ
สินคับทรัพย์ค้ำสำคัญ
สำนึงซึ้งนิตย์สิทธิ์นันท์
เงินเผียนเงี่ยนผัน
เป็นพ้องป้องภัย...ไป่พอ
เขื่องยล คนย้ำคำยอ
อ้อนพลอดออดผลอ
หลงพลันลั่นพล่ามลามโพลง
หลอกเก่ง เล็งกลล้นโกง
ภูตห่าพาโหง
ห้ำหั่นหันเหเฮฮือ
กุมหมด กดหมับกับมือ
เลวทาบ ลาภถือ
เลี้ยงถ่อยลอยท่ามหลามทาง
เอ่ยพรอกออกพร่ำอำพราง
บั่นถาก บากถาง
ใครท้าคร่าโถมโครมแทง
ทรุดเหยียบเสียบย้ำซ้ำแยง
กรมเยงเกรงแหยง
ชุมยักษ์ชักยิ่งชิงเยิน
ดื่นหนุนดุลนำดำเนิน
ชั่วชุกฉุกเฉิน
เนาชาญนานช้าน่าชัง
วรรณะที่ ๔
กลอน ๘ กลบทสุรางค์ระบำ
คือคนเศร้าเขาซัด แค้น ขัดสน
มากหมู่คนหม่นไข้หมองไหม้คั่ง
เหมือนโถมบ่าถาบาปมาทาบบัง
หน่วงเหน็บยาวหนาวยั่งนอนนั่งยืน
บึกบึนองค์ บ่งแอกอันแบกอึ้ง
ตรากตรวนขึงตรึงข่มตรอมตรมขื่น
ก็อดกลั้นอั้นกล้ำเก็บอำกลืน
ขาดข่าวรื่น ขืนแรงขาแค่งโรย
สิ่งทรามโจมโซมจมซึมซมเจ่า
ล้วนแล้วเผ่าเหล่าเผือดหลั่งเลือดโผย
หมู่เข็ญบ้าฆ่าเบียนหมั่นเฆี่ยนโบย
ร้องไห้อื้อฮือโอยร่ำโหยอึง
เหยียดหยัดฝันยันฝืนยงยืนใฝ่
สร้างหวังในวัยนั้นสักวันหนึ่ง
พ้นมารามารัดผูกมัดรึง
เสือกไสทึ้งซึ่งทุกข์แทรกซุกทำ
ชุมชนลีบชีพหล่นใช้ชนม์แลก
ขุกลาญแยกแหลกยุ่ย เขาลุยย่ำ
ห้อมหว่างกงวงเกณฑ์แห่งเวรกรรม
น้ำตาร่ำต่ำรายนอนตายเรียง
ขานเขียนเอ่ยเคยอรรถค้านขัดอ้าง
โจรร้ายแสร้ง แรงสร่างจนร้างเสียง
เมื่อต่างเพิ่มเติมแพ้มีแต่เพียง
ต้องบ่ายเลื่อนเบือนเลี่ยง ต้องเบี่ยงลง
จุกเต็มอั้นตันอก จน, ตกอับ
เหล่ารวยทรัพย์รับศรีไหลรี่ส่ง
คนเจ็บข้นจนไข้ขื่นใจคง
สืบสายพงศ์ทรงพันธุ์โศกศัลย์พูน
บทสรุป
ร่ายยาว
จำเดิมจากบูรพ์สมัยไล่เรียงเป็นต้นมา เมื่อมนุสสาสร้างสรรค์ส้องสุมซึ่งมหิทธานุภาพ เพื่อกระหน่ำกระหนาบมนุษย์ด้วยกันนั้น อุบัติแห่งการแบ่งชนชั้นก็ถูกบังคับใช้ ใครใดได้เดชาย่อมบรรชาชิงช่วง ล่วงล้ำก้ำเกินกุมเหงอย่างอำมหิต ส่วนใครใดถูกรอนลิดย่อมเรี่ยวแรงร่อยหรอรอนรอนตลอดเพลา ถึงมนุษย์อวดโอ้โอ่อ่าว่าลักษณ์เลิศประเสริฐกว่าส่ำสัตว์ หากก็วิวัฒน์จำเพาะเพียงวัตถุอุฬาริก ดวงใจหาได้พลิกพ้นจากพันธนาอันเนื่องมาแต่สัญชาตยาณไม่ จึ่งมิว่ายุคเก่าฤายุคใหม่ ชาติใดๆก็ตาม ผู้เหยียดหยามแหละผู้ถูกเหยียดหยัน ยังขัดแย้งแข่งขันคัดง้างกันยากกลมเกลียว รวมเป็นหนึ่งแดแลหนึ่งเดียวได้ ดั่งนี้
อันปฐพีสยามภพซึ่งพอกพูนเพรงขนบอินเดียแดนภารตะ แม้หลายท่านขานว่าปราศวรรณะกำหนดกฎแน่นอน ทว่าความเป็นอยู่ของผู้คนในนาครยังถูกแบ่งเป็นขั้นขั้น ละม้ายชนชั้นแห่งชนชาติชาวชมพูทวีป ใครใดได้ประทีปคือยศฐา ก็วัฒนาอำนาจประนังมลังเมลือง ใครใดไป่ประเทืองก็ทนประทุกทุกข์ท้อไร้วันประเทา ประเทศนี้จึ่งนับวันซมเซาเซื่องซึม วิสูตรหมอกทึบทึมทาบทับ ชรอุ่มชรอับชั่วนาตาปี ปานพระธรณีต้องมนตราสาปสรรค์ กระนั้นแล
ถ้ามาตรแม้ต่างมีมโนมานสมานสมัคร ร้อยรักรรรเรียงราวสะพานรุ้ง ทอดข้ามโค้งคุ้งคคนางค์สู่เส้นทางเสถียรสุธรรม์ โดยผูกพันผองเพื่อนเสมือนภราดร คลายความรังเกียจอันกำจรจากดวงจิต รู้จักคิดเอาใจเขามาใส่ใจเรา ใช่เอาแรงเขามาต่อแรงตน สุขอุดมก็จักบันดลสวัสดี ด้วยวิถีแหละวิธีวิสุทธิ์สุนทร จากมนุษยกรเกี่ยวกระหวัดประสาน นี่คือยุคพระศรีอารย์เอมอิ่มอนันต์ สมดังความใฝ่ฝัน นั้นแล
(๘ ถึง ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๑)
หมายเหตุ
กาพย์ฉบัง ๑๖ กลบทกบเต้นสามตอน และกลอนสุภาพ กลบทสุรางค์ระบำนั้น ผมศึกศาจากหนังสือ กฎบนกลบท ของ ท่านคมทวน คันธนู และหนังสือ ประชุมจารึกวัดพระเชตุพน รวบรวมโดย คณะสงฆ์วัดพระเชตุพน และมี อาจารย์นิยะดา เหล่าสุนทร เป็นบรรณาธิการครับผม
13 เมษายน 2551 17:26 น.
ตราชู
ซ้องแม่ศรี
(รูปแบบทางฉันทลักษณ์ ผมศึกษาจากบทกวีต้นแบบ ของ ท่านเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ครับผม)
แม่ศรีเอย
แม่ศรีเมืองสยาม
จากแคว้นแดนคาม
สู่แคว้นแดนใคร
ไขว่คว้าเคว้งคว้าง
ขวัญร้างแรมไกล
เผ่าพันธุ์จัญไร
ครองไทยทรมาน
แม่ศรีเอย
แม่ศรีโพสพ
โค้งค้อมน้อมนบ-
แม่มาช้านาน
แม่โปรดปลดเปลื้อง
ฤทธิ์เคืองรำคาญ
คนกรุงต้องการ
เลิกกินข้าวแพง
แม่ศรีเอย
แม่ศรีสาคร
ระงับดับร้อน
ไยรอนโรยแรง
การเมืองเรื่องร้อน
ซับซ้อนแทรกแซง
แข่งขันกลั่นแกล้ง
เข็นข่าวกล่าวกรู
แม่ศรีเอย
แม่ศรีนางกวัก
นายทุนวุ่นนัก
กวักเงินพรูพรู
ยัดโน่นยัดนี่
ชั่วดีไม่ดู
เติบโตตัวตู
เต็มไปไม่ตรอง
แม่ศรีเอย
แม่ศรีทุรคา
โหรป่าวข่าวมา
ภายหน้าเลือดนอง
แม่ลิ้นชินเลือด
เฉือนเชือดช่ำชอง
อย่าขุ่นครุ่นหมอง
หมายปองเลือดใด
แม่ศรีเอย
แม่ศรีทุงสะ
สงกรานต์แล้วนะ
อย่าละเลยไป
อ่าองค์ทรงครุฑ
รีบรุดเร็วไว
โปรดช่วยอวยชัย
ไทยพ้นภัยเอย
(๑๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๑)
3 เมษายน 2551 12:54 น.
ตราชู
ส่อสัตว์
ป่วนทรวง ยลปวงสัตว์
ลุยสู้กัดไล่ซัดกัน
ยุ่มย่ามเหยียดหยามหยัน
ยอกย้อนแย้งยอนแยงยวน
ส.ส. คือ ส่อสัตว์
ชี้ชัดชัดชอบชักชวน
ตีศอกแล้วตอกสวน
แตกต่างสร้างจนต่างสี
โกรธเคียดกรุ่นเกลียดข้น
ก็ตั้งต้นแต่ต่อยตี
เร็วหวา เข้าราวี
ฉุนเฉียววับวิ่งฉับไว
หินเพศ สิ้นเหตุผล
ฟุนเดือดด้นมิฟังใด
ยิ่งเลว ยิ่งเหลวไหล
ด้านดื้อโลดดิ่งโดดโลน
ส.ส. ย้ำ ส่อสัตว์
สำแดงจัดสันดานโจร
ตามเผ่นไต่เต้นโผน
ล้วนพวกผีกาลีพูน!
(๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๑)
ข้อความทิ้งท้าย
ผมฟังข่าว ส.ส. ถีบ ส.ส. แล้ว โมโหอดไม่ไหวจริงๆครับผม
3 เมษายน 2551 09:09 น.
ตราชู
เวทนาการแห่งท้องทุ่ง
โคลงดั้นบาทกุญชร
ใครคือคนปลูกข้าว...............ประคองคาม
สำเร็จรวมพลังแรง...............เรี่ยวสร้าง
ใครยังถูกเขาหยาม...............ขานเหยียด
ชีวิตโหวงเวิ้งว้าง...............หวาดหวำ
เขาไกรคงเกียรติกล้า...............กลมเกลียว
แดดรุ่มยังเริงรำ...............ร่วมสู้
รวงเหลืองรุ่งเรืองเหลียว...............พิลาสแหล่ง
คือรุ่งรวงข้าวรู้...............ประคิ่นรวง
อนาถเนาตำแหน่งนี้...............นมนาน
เจ็บป่วยกายใจปวง...............ไป่เปลื้อง
ปานเพลิงพลุ่งพวยผลาญ...............โพลงแผด
ลุกเรื่อยลามร้ายเรื้อง...............โรจน์เผา
กรอบวงกีดแวดไว้...............เวรกรรม
ถึงกระอักทนกลืนเอา...............อดกลั้น
เนืองเนืองเนิ่นกาลฉนำ...............ชะนักติด
ใครช่วยคราหนี้กระชั้น...............นิ่งเฉย
กาพย์ฉบัง ๑๖
หวังลาญวารลับวับเลย
ภัยกาจพาดเกย
เหล่าเก๊เล่ห์ก่อล่อกล
ผ่านวันผันเวียนเผียนวน
ยอกจริง ยิ่งจน
กักเจ็บเก็บจำกรรมโจม
ดาลเลือดเดือดหลั่งดังโลม
ชีพซ้ำช้ำโทรม
ไร้ทรัพย์รับส่องรองแสง
เคืองพูนคูณผ่าวข้าวแพง
พลันรุ่งพลุ่งแรง
คั้นรีดขีดรูดขูดเรา
พ่อค้าพาคนพลเขา
แย่งอื้อ ยื้อเอา
ยลเอี่ยมเยี่ยมอิ่มยิ้มอวย
ซื้อถูกสุขแท้แซ่ทวย-
ถ่อยรุมทุ่มรวย
เที่ยวรำ ทำหรา ทารุณ
คิดผาย ขายแพงแข่งภุญช์
เปี่ยมท้อง ปองทุน
กี่แถวแก้วทองกองเทิน?
ด่วนดลด้นดั้นดันเดิน
ผาดเมียงเพียงเมิน
ผู้หมองพ้องมูลพูนเมือง
ควบรี่ขี่เรา เขาเรือง
เรานี้หรี่เนือง
ช้ำหนักชักน้าวชาวนา
(๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๑)
หมายเหตุ
๑. กาพย์ฉบังเชิงกลบทกบเต้นสามตอนนี้ ผมศึกษาจาก หนังสือ กฎบนกลบท รจนาโดย ท่านคมทวน คันธนู ครับ
๒. ผมเขียนงานชิ้นนี้ขึ้น เมื่อฟังข่าว ข้าวแพง แล้วก็นึกเห็นใจชาวนาครามครัน พ่อค้าคนกลางตั้งราคา ชาวนายากจนเหมือนเดิม ประเทศไทย อดีตอย่างไร เดี๋ยวนี้ก็อย่างนั้น ไม่รู้จะทำอย่างไรจริงๆครับผม