12 มกราคม 2550 16:42 น.
ตราชู
ผ้าดำคลุมแผ่นดิน
(โครงสร้างในการใช้ฉันทลักษณ์ ผมได้จากบทกวี แด่เพื่อนหนังสือพิมพ์ ของ ท่านคมทวน คันธนู ครับ)
โคลง ๔ สุภาพ
รัฐฯ ใดปฏิบัติด้วย ปองดี
อวยสิทธิ์อิสระศรี สื่อฯ ได้
ชนปวงย่อมเปรมปรีดิ์ ปราศโศก
รู้เรื่องทุกเรื่องไร้ เรื่องข้องกังขา
รัฐฯ ใดมามุ่งท้วง ทัดทาน
ก่อกิจคิดกอปรการ แกว่นกล้า
กักสิทธิ์สื่อฯ สื่อสาร เสนอข่าว
เหมือนล่อลวงแหล่งหล้า หลอกผู้ชนผอง
กาพย์ยานี ๑๑
ใครใหญ่ย่อมใครอยาก
เอื้อนเอ่ยปากออกอรรถปอง
ใคร่ครอบขีดกรอบครอง
ไม่เคลื่อนคลายเครือข่ายคลุม
อิ่มหนำกับอำนาจ
ถือเก่งกาจ, ถือเก่งกุม
กุมสรรพกำกับสุม
กุมสื่อฯ ซ้อนซอกซอนแซง
พัวพันจนผันเพี้ยน
ทั้งแปรเปลี่ยน ทั้งปรุงแปลง
ถ้อยล้วนถี่ถ้วนแถลง
คล้ายไม่ล้วงไม่ล่วงลาม
แท้หรือคือถือฤทธิ์
แหละถือสิทธิ์ทำสิ่งทราม
คักคึกไม่นึกขาม
เหิมสุดคั่วเหนือหัวคน
เรื่องร้ายอย่าหมายรู้
ต้องฟังตูทุกตัวตน
เพื่อพบบรรจบผล-
เสรีภาพเอิบอาบเพ็ญ
กลอนสุภาพ
ขาน ขอความร่วมมือ จากสื่อฯ หมด
คล้ายออกกฎกลายกลายก่อร้ายเข็ญ
ยิ่งหลายขดคดโค้งลากโยงประเด็น
ยิ่งมองเห็นหดหู่ ปิดหูตา
เวลาผ่านนานโขคงโผล่เขี้ยว
มือเท้าเหนี่ยวอำนาจเหนี่ยววาสนา
โลดหลงเหลิงระเริงชี้ชาญปรีชา
เติบปัญญาโตใหญ่แหละใยยอง
ถ้าทำดี ดีเองอย่าเกรงอยู่
ถึงมวลหมู่มารหมายมาป้ายหมอง
ทองย่อมแท้แลเด่นว่าเป็นทอง
ธรรมย่อมถ่องแท้ทัศน์เห็นสัจธรรม
เปิดหูตาประชาชนยินยลเถิด
นั่นคือเปิดทางเที่ยงไม่เบี่ยงถลำ
ปิดหูตาประชาชนด้วยกลงำ
คือผ้าดำคลุมแดนคลุมแผ่นดิน
(๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๐)
9 มกราคม 2550 09:23 น.
ตราชู
ครูจูหลิง เจิดประจักษ์จำหลักใจ
ดับเทียนชีพหนึ่งชีพประทีปช่วง
ดับดวงแดหลายดวงลงด่าวดิ้น
ดังดับเดือนดับดาวสู่ด้าวดิน
ดับสุขสิ้นด้วยเศร้า ด้วยเซาซึม
ฟ้ายังเกรี้ยวกราดโกรธพิโรธกร้าว
ยังเหี้ยมห้าวโหดห้ำกระหน่ำกระหึ่ม
ยังมลทินมัวทึบแหละหม่นทึม
ยังอึมครึมครางคร่ำร้องร่ำครวญ
เสียงเอิกอึงอื้ออวลอย่างหวนโหย
ระงมอื้อโอดโอยอย่างโหยหวน
จักคลุมหมองครองหม่นใจชนมวล
จักซ้ำซ้ำกำสรวลทรวงมวลชน
ความแน่นหนักนักสู้ ครูจูหลิง
คือผู้หญิงยืนยันมิยั่นย่น
ผู้เที่ยงแท้ทรหดความอดทน
ผู้ท่วมท้นโลกทัศน์แห่งสัจธรรม์
เธอว่าอยู่ภายในเมืองไทยนี้
ทุกทุกที่ปลอดภัยจึงไม่พรั่น
แต่.......พาลเดือดผีดิบพวกดุดัน
กระชากขวัญแขวะคว้านวิญญาณครู
หนึ่งภาพวาดราดระบายด้วยสายเลือด
มิรู้เหือดร่ำไห้แหละหดหู่
มาลีโรยโปรยปรายกำจายปรู
กำนัลพรูพลีให้หัวใจพริ้ง
ครูจูหลิง สิงศักดิ์อำนรรฆประเสริฐ
ครูจูหลิง ล้ำเลิดลำยองยิ่ง
ครูจูหลิง แจ่มประจักษ์เป็นหลักจริง
ครูจูหลิง เจิดประจักษ์จำหลักใจ
อีกเมื่อไหร่ไข้ขื่นคลายขื่นขม?
อีกเมื่อไหร่ดับตรมจากแดนใต้?
อีกเมื่อไหร่วาววันตะวันวิไล
อีกเมื่อไหร่จึงรื่นรมย์จึงร่มเย็น?
(๙ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๐)
หมายเหตุ ผมเขียนกลอนบทนี้ โดยได้รูปแบบมาจากกวีนิพนธ์หลายบทของ ท่านเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ และกวีอีกหลายท่านครับ
5 มกราคม 2550 10:16 น.
ตราชู
ริปุทาสพิฆาตไทย
(รูปแบบการเขียน ได้แรงบันดาลใจจากบทกวี ที่ราบแล้ง ณ แหล่งลุ่ม ของ ท่านเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ในหนังสือ เพียงความเคลื่อนไหว ครับผม)
โคลงสินธุมาลี
สูชาวประชาชาติชั้น ปวงชน
สูอย่ามีสุขดล ประสบได้
จงสูจุ่งสับสน กระแสข่าว
ตูปด ตูปั้นให้ ป่าวโหม
ครึกโครมตูขู่คร้าม- ครั่นครืน
ขู่ ปฏิวัติซ้อน ผืน แผ่นหล้า
พูนไฟเพิ่มภัยฟืน ฟอนแผด
ตูจุดโชนเชื้อจ้า จ่อผลาญ
ร้าวฉานหรือชอกช้ำ ชั่งมัน
ตูสะใจตูกระสัน สนุกเว้ย
แบ่งแผกแยกพรรคพันธุ์ พวกเผ่า
ตูโหดตูเหี้ยมเฮ้ย ฮึกเหิม
เขาเสริมคุข่าวสร้าง สังหาร
ขานศัพท์ไขข่าวสาร ซึ่งร้อน
ข่าวลือยิ่งมโหฬาร หลายแหล่ง
ข่าวย่ำยอกย้ำข้อน เข่นสยาม
อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑
โอ้! ไทยไฉนถด
อปยศระยำยาม
เคืองเข็ญประเด็นขาม
ขณะคนกมลคาว
เสยส่ายกระหายเศิก
ทะเลาะเกริกกระเกรียวกราว
เมฆานภาขาว
ยลคล้ำเพราะดำคลุม
ทางชี้มิมีช่อง
นยน์มองมิเห็นมุม
เรียงข่ายระรายขุม
กลฆ่าประดาคน
ใส่ร้าย อุบายรั่ว
ตะละตัวทะนงตน
มรรคาน่ะหน้าขน
ตะกระขบตะปบเคย
ยิ่งพาผวาผก
อุระอกสยามเอย
พิษแผ่แหละแผลเผย
ภพพัลวันผวน
ร้อนรุมระรุ่มร้าว
บถก้าวกลีกวน
เหม่อมองผิว์ปองมวล
สุขมื่นมิคืนเมือ
ทุกที่ วิถี ทิศ
ตะละจิตประหวั่นเจือ
ถ่อยเท็จเผด็จเถือ
ริปุทาสพิฆาตไทย
(๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๐
4 มกราคม 2550 08:54 น.
ตราชู
ขงเบ้ง
ขงเบ้งหมอดีรู้ทีทัพ
คอยต้อนรับข้าศึกไม่นึกหนี
เปิดประตูเมืองไว้รอไพรี
ทำใจดีดีดพิณกินสุรา
สุมาอี้อัดอั้นให้ตันจิต
ตะลึงคิดสงสัยเป็นนักหนา
ไม่เห็นมีผู้คนจนปัญญา
เห็นแต่บ้าใบ้อุบาทว์กวาดอะไร
โยธาฮาเฮบ้างเสสรวล
ขับครวญตามภาษาอัชฌาศัย
ร้องเล่นเป็นลำนำทำนองใน
เพราะขงเบ้งต้องใช้อุบายกล
ขึ้นไปนั่งบนกำแพงแกล้งตีขิม
พยักยิ้มให้ข้าศึกนึกฉงน
ไพรีมิได้แจ้งแห่งยุบล
ให้เลิกทัพขับพลรีบหนีไป
ขงเบ้งของจีนเขาดูเคล่าคล่อง
ไวว่องโรมรันมิหวั่นไหว
แต่....ขงเบ้งบ้านเรามิเท่าไร
ทัพลาวไล่หลายแหล่ก็แพ้ลาว
แล้วเพ้อพกยกตั้ง ความหวังใหม่
หวังได้ใช้สร้างชื่อให้อื้อฉาว
เศรษฐกิจเกินกู่ร่วงกรูกราว
ต้องยอมก้าวหลบฉากไปจากสภา
บอกไม่ยุ่งการเมืองปลดเปลื้องหมด
แล้วเลี้ยวลดหลายหลากฝีปากกล้า
ยียวน รวนเร หลายเวลา
แกล้งขัดขาแข้งเขาเหมือนเบาความ
ขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ไม่ตีขิม
พยักยิ้มให้ข้าศึกมันนึกหยาม
คนไทยกัดกันเองไม่เกรงนาม
ไม่เกรงขามทุกข์เข็ญที่เป็นไป
๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๐
หมายเหตุ คำกลอนในเครื่องหมายอัญประกาศนั้น คือเนื้อร้อง เพลง จีนขิมเล็ก ของโบราณาจารย์ท่านครับ ส่วนท่านผู้ใดเป็นผู้รจนาทำนองเพลง ตลอดจนเนื้อร้อง ผมต้องกราบแทบเท้าของท่านไว้ ณ ที่นี้ เพราะไม่มีความรู้เฉพาะทางเรื่องเพลงไทยจริงๆครับ แม้กระนั้น พระคุณเลอสรวงของท่าน ยังจารึกในวิญญาณของผม และคนไทยทุกคนนิจนิรันดร์ครับ
1 มกราคม 2550 12:02 น.
ตราชู
ปีกุน ปีกูณฑ์
ควันธูปลอยอ้อยอิ่งอวลสิ่งโศก
ความวิโยคยืนยังไม่ยั้งหย่อน
หมายขานพร่ำคำเผยเพื่อเอ่ยพร
ก็ผัดผ่อนด้วยมิกล้าเผยพาที
จวนปีใหม่ไยหมองมาครองคลุ้ม
จุดไฟสุมฟืนซุกสิ้นสุขศรี
มืดหม่นมัวทั่วหน้าทั้งธานี
ถึงต้นปีแปรรวนปั่นป่วนไป
ระเบิดฤกษ์เบิกปีด้วยปี้ป่น
เริ่มซ้อนซับสับสนด้วยตักษัย
เริ่มปีกุนฟุนฟาดเกรี้ยวกราดไฟ
เริ่มปีใหม่ไหม้หมกหัวอกเมือง
คนต่อคนล้นหลามลุกลามกิเลส
จึงก่อเหตุฮึกฮือให้ลือเลื่อง
เอาความเกลียดเคียดไข้แค้นใจเคือง
โหมเพลิงเรืองแรงร่านมารานรอน
น้ำตานองสองเนตรสังเวชหนอ
ถดถอยท้อหฤทัยเหลือไถ่ถอน
รันทดซึ้งถึงศพที่ซบซอน
ทอดกายนอนหน่วงหนาวรวดร้าวนัก
ผู้เพลี่ยงพลาดบาดเจ็บคงเหน็บจิต
ด้วยถูกพิษอันธพาลมันผลาญผลัก
โอ้เคราะร้ายกรายกล้ำหนุนนำชัก
ให้ทุกข์หนักหน่วงแน่นมิแคลนคลาย
ขึ้นปีใหม่ใจหม่นมืดมนหมาง
เมื่อทรามสร้างสิ่งซ้ำระส่ำระสาย
หวังปีกุนกรุ่นกลิ่นมาลินราย
ก็มากลายปีกูณฑ์คุกรุ่นครัน
ควันธูปลอยอ้อยอิ่งอวลสิ่งเศร้า
ยิ่งซึมเซาสู่สิงทุกสิ่งสรรพ์
ระเบิดบรบ่อนบ้าบ่มจาบัลย์
ฤาโทษทัณฑ์มันจะถั่งมาทั้งปี???
(๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๙)