4 กรกฎาคม 2549 13:14 น.
ตราชู
เพื่อนๆทุกท่านครับ ขอให้ตราชูเล่นบทโกรธสักหน่อยเถอดครับ ทนไม่ไหวจริงๆ งานเขียนชิ้นนี้ เกิดขึ้นจาก รักสาการ นายกฯ นามว่า ทักษิณ ชินวัตร บังอาจใช้ปากอันพล่อยของตน (เสมอมา) กล่าววาจาอันน่าเคลือบแคลงและขุ่นเคืองใจเราทุกคน ผมจึงขอลั่นกลองรบเสียที นี่อาจจะถึงเวลาอีกแล้วกระมังครับ เวลาแห่งการ เฉททรชน
เฉททรชน (เค้าโครงได้จาก ประกาศโองการแช่งน้ำพระพิพัฒน์สัตยา บทกวี โคลงสรรเสริญเกียรติกรุงเทพมหานคร ของ ท่านจิตร ภูมิศักดิ์ และกวีนิพนธ์ รุ้งกินเมือง ของ ท่านคมทวน คันธนู)
ร่ายดั้น
ศรีศรีหม่นศรีหมาง สางหมู่ผีมวลภูต มูตรพ่นคูถคายถุย คุยถมทั่วหนแหล่ง แห่งหลายเลวโฉดนำ ชำนาญในกักขฬะ กะคล่าวถ้อยคำอ้าง ค้างอำเอ่ยแผลงอรรถ ผลัดเอาเพียงชั่ววาร ชาญไวด้านดื้อทน ดลถึงปรัตยุบันยุค บุกใหญ่ยืดเยื้อบาป หยาบบ้าบ่ยอมเบา เยาว์บัญญาหย่อนตก ยกแต่พวกตนรายเรียงเขื่อง เรื่องขุ่นกูณฑ์กลุ้มด้าว ดาษเดียร
โคลงมณฑกคติ (โคลง ๕ ดั้น)
ไฟเฟื่องฟื้น..................ฟูมหาว
ซาตาลเบียน..............เบ่งกล้า
ย้อนคืนคราว.............ครองโศก
พวกเสี้ยนคว้า............ไขว่สิน
โสโครกคลุ้ม................คลุมเวียง
แทตย์เถือกิน................กี่ครั้ง
ยังส่งเสียง...................เสมือนสัตว์
ยังโอ้ตั้ง.......................อวดตน โอ่ตน
สาหัสแล้ว...................แลเห็น
เห็นทุกหน...................ทั่วไห้
ไห้ลำเค็ญ...................เหลือข่ม
ข่มน้ำไล้......................หลั่งตา
ใคร่บ่มแค้น..................คับทรวง
ในวิญญาณ์................เยือกนี้
คลายรรรลวง..............โรยสลด
หมายย้ำบี้...................อุบาทว์บร
คนคดต้อง..................เตียนพลัน
ไร้นาคร.......................เขตป้อง
สูญเผ่าพันธุ์...............พวกเปรต
หมดสิ้นพ้อง...............ภูตโหม ผีโหม
ร่ายดั้น
โอมมมมม ละลายมหาละลาย กลายจากสูงสู่ต่ำ ด่ำดึ่งแดนนรกา ทนทรมาไหม้หมก ในขุมนรกแรงร้าย ฤาอาจผ้ายผันหนี เปลวอัคนีเนื่องหนุน ผลบุญบ่อาจรับ แม้ญาติสรรพส่งซ้ำ กรวดน้ำเกื้อหนุนกุศล อย่าให้ผลแผ่ถึง ตรึงตรากเตรียมตรอมตรม สมที่มันสามานย์เมาห์เสพ เสพแผ่นดินด้วยเหี้ยม หักหาญ หื่นหาญ
โคลงมณฑกคติ
วอนเทพไท้...............ลงทัณฑ์
อย่าทันนาน.............เนิ่นช้า
ให้เห็นกัน.................กรรมก่อ
เหล่าปล้นหล้า.........ล่วงลาม
วอนต่อเชื้อ................ชนไทย
สอดส่องทราม...........สืบรู้
อย่ามัวไผล................เผลอสติ
เราต้องสู้....................เศิกเข็ญ
เริ่มริค้น......................ข่าวสาร
ตรองตรวจเป็น..........ไป่พล้ำ
เลิกแลลาน.................หลงผิด
ภาพแพร้วย้ำ.............เพริศยวน
ถึงอิทธิ์อื้อ..................อักโข
มันย่อมซวน...............เสื่อมด้อย
เมื่อเราโต...................ฤทธิ์เติบ
มันต้องคล้อย..............เคลื่อนผัน
หวังอ่องสร้าง.............เอี่ยมแสง
หวังสักวัน..................วาดไว้
ยุคใหม่แปลง..............แปรเปลี่ยน
ปลุกปลื้มได้...............ดั่งประสงค์ โดยประสงค์
(๓ ก.ค. ๒๕๔๙)
______________________________________
3 กรกฎาคม 2549 13:03 น.
ตราชู
ดาวฤกษ์, ดาวเคราะห์
สัททุลวิกกีฬิตฉันท์ ๑๙
โน่นดาวฤกษ์สิริเบิกบวรบถนภา
เพ่งรังสิตารา..................เจริญ
เปล่งแสงโดยเฉพาะตนถกลรุจิรเชิญ
ชวนพิศพินิจเมิล............มิคลาย
ยลแสงเย็นนยน์เนตรพิเศษสุขสบาย
โสภีวิถีภาย...................นภางค์
โน่นแน่ดาวเคราะห์วะวาวไสว ณ คคนางค์
วามวับประดับวาง........วิรุฬห์
หากไร้แสงเฉพาะตนพิมลอดิอดุลย์
โดยจำจะพึ่งสุนทร์........สุรีย์
จึ่งเจิดแสงกระจะแจ่มวะแวมวิยมณี
ทรงศักติราศี..................สกาว
มองดาราริถวิลชิวิลกษณะคราว
คลับคล้ายละม้ายดาว....ประดับ
แม้เป็นดาริกฤกษ์จะเบิกยลระยับ
ย่อมควรคะนึงนับ...........คะเน
เพื่อพึ่งแรงพลตนผจญภยประเด
ถึงเอนระเนนเซ...............มิซบ
บันดาลชัยชนะตัวฤมัวชิวสยบ
ยืนยั่งกระทั่งพบ..............ภิรมย์
แต่เป็นดาวเคราะห์ลออบก่อจิตนิยม
ไป่ชื่นระรื่นชม..................ชวาล
เพื่อพึ่งผู้นรอื่นฤยืนพิริยชาญ
คราเกิดวิกฤตการณ์.......ระกำ
แม้ใคร่พ้นผละระทมระงมทุผลงำ
พึงนึกผนึกนำ.................ดนู
อีทิสังฉันท์ ๒๐
มาสิร่วมผสานสุมานพบู
พิเศษพิศาลสราญจะชู...............ประโชติไกล
ควรคะนึงประเทศธเรศไผท
จรูญจรัสพิพัฒน์ประไพ.............เพราะแรงเรา
ไทยประเทืองทวีปเพราะรีบมิเพลา
พลังสมรรถ์ฉกรรจ์ประเทา.........ระทดถอย
ต่างประเทศฤเขาจะเฝ้าจะคอย
สนับสนุนกรุณทยอย...................และไยดี
ถึงผิว์ช่วยเพราะคิดอมิตรทวี
ประสงค์ประโยชน์ประโมทยปรีดิ์.......ประมวลมา
เราผิว์พึ่งพิรัชขนัดประดา
ปะยามมหันต์ภยันตรา-................ธิทำไย
พึงตระหนักประจักษ์กระจ่างกะใจ
แหละสร้างสวรรค์ลุสรรพ์ไสว.......แสวงหวัง
ปวงประชานิยมระดมประดัง
ผสมสมรรถภาพฉมัง...................มิเชือนแช
ร้อยฤทัยประทักษ์สมัครมิแปร
ประเทศไผทอุไรจะแร..................นิรันดร
3 กรกฎาคม 2549 08:43 น.
ตราชู
เพื่อนๆทุกท่านครับ ช่วงนี้ฝนตกบ่อย ผมเลยขอร่วมชุ่มฉ่ำด้วยคนครับได้เคยนำกลบท กบเต้นสามตอน มาเขียนกลอน ๖ แล้ว คราวนี้ จะใช้กลบทดังกล่าวกับกาพย์ฉบังบ้าง โดย ท่านคมทวน คันธนู ท่านสอนผม ในหนังสือ กฎบนกลบท ครับ
แด่สายฝน
ฟ้านนท์ฝนเนืองเฟื่องนอง..............โรยธาราทอง
สาดถิ่นสินธูซู่ธาร
สาดรายสายร่ำสำราญ.................เนืองกิจนิตย์กาล
เกิดเพื่อเกื้อพอก่อพูน
สุขบ่งส่งบ่มสมบูรณ์......................จุนเกื้อเจือกูล
รุ่งภายรายผ่องรองพรรณ
แก้วนองก่องนำกำนัล....................ด้าวแคว้นแดนขวัญ
ค่าหนุนคุณนำคำนึง
พืชตรูภูว์ตราพาตรึง......................สิ้นทุกข์สุขถึง
ดวงแท้แดไทยใดทัน
เอมปองอ่องเปี่ยมเอี่ยมปัน.............เพริศสิ่งพริ้งสรรพ์
โสภิศสิทธิ์พึงซึ้งเพ็ญ
ฟ้ายลฝนอยู่ฟูเย็น..........................ชุ่มปาณฉานเป็น
เนื่องธารน่านทิศนิตย์เทอญ
_________________________________________________
2 กรกฎาคม 2549 11:56 น.
ตราชู
อุดมการณ์, อุดมกาม
โคลง ๔ สุภาพ
เคยจำคำจดแจ้ง จำนรรจ์
ปวงนักการเมืองสรรค์ เสกซึ้ง
ปานกลืนชื่นชีวัน หวังเฉิด
หวานฉ่ำเพียงน้ำผึ้ง แผ่ให้หวานหอม
ยินยอมทุกอย่างย้ำ สัญญา
ทำเพื่อชาติ, รัฐ, ประชา ช่วยเอื้อ
เปลื้องทุกข์ปลุกปรารถนา เนืองขนัด
จ่อชุดจุดโชติเชื้อ ชีพเรื้องเมลืองหวัง
ฟังฟังเขาใฝ่อ้าง อุดมการณ์
ถ้วนถี่คำที่ขาน ทุกข้อ
นานวัน, ยิ่งนานวาร นานประหวัด
ประหวัดคิดควรจิตท้อ จ่อมท้องทะเลวน
ทุกคนแลทุกครั้ง ที่เคย
เผยรสพจนารถเผย เพื่อพ้อง-
พวกตนเติบผลเสบย สมบัติ
ปากกู่, กู่ตะโกนก้อง กลับลิ้นตอแหล
อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑
พานพบตลบผวน วจน์ปรวนกระหลอกแปร
ลดเลี้ยวมิเหลียวแล ปะเหลาะลิ้นถวิลลวง
พล่ามพลันขยันพล่อย มธุถ้อยมิอาจทวง
ต่างหาธนาหวง ตะกระห้ำกระหน่ำหืน
ใครดีวิถีเด่น ริปุเข่น ฤ กลับคืน
ยงยุทธ์เพราะจุดยืน อริย่ำกระหน่ำเยิน
ทัพถ่อยทยอยท้น จรด้นคระไลเดิน
บ้างหาญทะยานเหิน วิหะห้วงทะลวงหาว
ฟ้ามัวสลัวหม่น เลอะเทอะข้นคละคลุ้งคาว
เย็นเยียบฉะเฉียบยาว ทุรยุคแหละทุกยาม
ไต่ตีนปะปีนต่อ กิจก่อ อุดมกาม
ยิ่งเหยียดประเทียดหยาม ประดิยุทธ์มิหยุด, ยอม
ใครผู้จะรู้เพียร พิริย์เปลี่ยนอุบาทว์ปลอม
ใครเล่าจะเข้าหลอม บุระหล้ารุจาเลอ
เร่งโรมคระโหมรุด พละจุดประทีปเจอ
แผลงผลาญผิว์พาลเผลอ ระดะภินทสิ้นภัย
เกลียวกรม อุดมการณ์ รวิวารวะวามไว
สาดส่องระรองใส มละกรม อุดมกาม