30 มิถุนายน 2549 09:21 น.
ตราชู
ยอ: ย่อ
โคลง ๔ สุภาพ
ครวญคิดชีวิตนี้ นี่หนอ
หนาวเหน็บเจ็บใจรอ รุกเร้า
จริงใจใคร่ใจขอ แคลนขาด
มีแต่ลวงถ่วงเฝ้า ฝากถ้อยวาที
มากมี มีเพื่อนพ้อง พวกพรรค์
เพื่อนหลอกกลอกกลับหัน โหดห้ำ
แรกรักดั่งรักอนันต์ แนบสนิท
แท้ซ่อนซอนเล่ห์ย้ำ ลอบเย้ยหยันหยาม
หลั่งลาม ลามเล่ห์เลี้ยว หลอกหลอน
โดยพร่ำคำสุนทร เทียบอ้อย
รู้ตัวเมื่อตัวมรณ์ มอดหมด
รู้ว่ายาพิษย้อย หยาดเยิ้มยามกิน
ผินแล แลเพื่อนร้าย แรงผลาญ
เพื่อนรักหักเพื่อนลาญ ล่มทิ้ง
เพื่อนนัดเพื่อนผลัดประหาร หฤโหด
หั่นเพื่อนลงเกลื่อนกลิ้ง กล่นด้าวร้าวฉาน
อินทรธนูฉันท์ ๑๒
หนักหน่วงนะปวงมนุษย์
ไม่หยุดทะเยอทะยาน
ใจมักสมัครสมาน
หมู่มิตรสนิทประมวล
เชื่อในนิสัยละหนอ
เขายอก็ยั่วก็ยวน
ศานติ์สันต์ภินันทสรวล
ซาบซึ้งคะนึงเหมาะสม
คำยอมิก่อประโยชน์
คนโฉดสิชื่นสิชม
แย้มยิ้มกระหยิ่มนิยม
หลงยอลออนิยาม
เขายอเพราะล่อจะอยู่
เกรียวกรูตะกรุมตะกราม
หวานลิ้นเกาะกินน่ะหลาม
ใครหลงซิ่คงละลาย
ควรนึกตริตรึกละหนอ
คำยอประหนึ่งนิยาย
ไม่มีวิถีจะหมาย
หลงมรรคอะดักและหมาง
เขายอผิว์ย่อมิยืด
คลายมืดคละคลุ้มธุมางค์
คำเท็จเผด็จฉะถาง
รู้ทันสมรรถ์ฤทัย
เขายอก็ย่อระยอบ
ม้วนหมอบละมุนละไม
เลิกหลงพะวงไถล
ลิ้นเล่ห์กระเท่ห์กลี
หมายเหตุ
อินทรธนูฉันท์ ๑๒ นี้ ท่านอาจารย์คมทวน คันธนู เป็นผู้คิดประดิษฐ์ขึ้น
______________________________________________
29 มิถุนายน 2549 08:46 น.
ตราชู
งานเขียนชิ้นนี้ ผมได้แรงบันดาลใจจากบทกวี คล้อยตามหลังความตาย ในหนังสือ เรียงถ้อยขึ้นร้อยถัก ของ ท่านคมทวน คันธนู ครับ
ตาดูดาว/ตาดูด้าว
กาพย์โกสุม
ตาเมื่อส่องตั้งมองสูง
มันย่อมจูงเหมือนยูงจร
ย่างโดดดิ้นหยามดินดอน
โบยรำฟ้อนบินร่อนฝัน
ชั่วทรามจึงช่ำสึงจิต
พูนจองพิษผูกจิตพัน
เป็นสืบมา เป็นสามัญ
หมกมุ่นหมั่นหมายมั่นมอง
ตัวดูดู๋ ตาดูดาว
จึงล้นผ่าวใจลำพอง
ยังชื่นครอบ ยังชอบครอง
ติดค้างผองตันข้องภัย
ลูกน้องสรรพเหลือนับซ้อน
ร่วมสุมฟอน รุมซ้อนไฟ
ล่อโลดเปิงลิ่วเหลิงไป
ฉ้อฉลใช้ชั่วไชชอน
ตาเมื่อต้องตกมองต่ำ
ย่อมอวยธรรมย้ำอาทร
รู้ผุดผ่องเรืองผองพร
แล้วลดผ่อนเล่ห์หลอนแผน
อย่าดูดู๋ย้ำดูดาว
พึงดูด้าวผืนดินแดน
ความดีท้นเข้าดลแทน
คนร้าวแสนเขาแร้นซม
คนหลายล้านเขาลาญเหลือ
เหน็บหนาวเนื้อเนิ่นนานนม
คลุกอยู่ต่ำคล้ายย่ำตม
เจ็บจนล้มจ่อมจมลง
เอื้ออำนวยโอบอวยหนุน
สาดแสงบุญส่องสุนทร์บง
มาโลมไล้ไม่ลืมหลง
ตรึกตรองจงตรึงตรงใจ
ย่ำท่องดินยังถิ่นด้าว
สุขยืนยาวสาวโยงใย
ดื่มศีลหน่วงด่ำทรวงใน
โดยเทิดไว้ได้ถาวร
_____________________________________
27 มิถุนายน 2549 11:08 น.
ตราชู
เจ้าจำปี
ร่างน้อยน้อยจ้อยนี้ปรานีหนอ
กรรมใดล่อลวงผลาญไล่ลาญพล่า
เหมือนเมฆคลุมคลุ้มคลั่งทุกครั้งครา
ขายมาลี,, คลี่มาลา, ร้อยมาลัย
ดอกเอ๋ย ดอกจำปีเจิดสีปลั่ง
แต่ความหวัง, คืนวันคว้างหวั่นไหว
เจ้าจำปี, นานปีก็จำไป
ทางไกลใกล้, กรรมเกณฑ์กระเวนกรุง
คืนค่ำ, ดอกจำปีรุจีเปล่ง
ค่ำคืน, ตื่นเพ่งสายตาพุ่ง
หาคนชูช่วยค้ำคอยบำรุง
หาคนมุงมุ่งมาซื้อมาลี
จำปี, กี่ปีก็จำเจ็บ
จำเหน็บ, จำหน่วงในทรวงนี่
จำปีเอ๋ยชีพช้ำดอกจำปี
โปรดช่วยทีถอนทุกข์ที่รุกราน
แล้วสัตว์ถ่อยก็สะเทื้อนสะทุกถนน
ร้องคำรณเร่งห้ำระห่ำประหาร
ทับร่างเจ้าจำปีจนวายปราณ
โดยดวงมาลย์ยังประคองแนบสองมือ
จำปี, ไม่จบปีก็จำป่น
ไม่ถึงปีปวงชนคงลืมชื่อ
สักกี่คราว, กี่ครั้งก็ยังคือ
โศกที่ยื้อยืดเยียบชั่งเฉียบเย็น
ร่างน้อยน้อยร่างนี้ปรานีหนอ
ดอกไม้หอมจะห้อมห่อให้ฟ้าเห็น
เห็นสายเลือดเดือดดาษแดงสาดกระเซ็น
จารึกเป็นประวัติจำ เจ้าจำปี
(๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๙)
_______________________________________________________
26 มิถุนายน 2549 12:15 น.
ตราชู
บูชาคุณ ท่านสุนทรภู่
เดือนช่วงดวงเด่นฟ้า.................ดาดาว
จรูญจรัสรัศมีพราว.....................พร่างพร้อย
ยามดึกนึกหนาวหนาว...............เขนยแนบ แอบเอย
เย็นฉ่ำน้ำค้างย้อย......................เยือกฟ้าพาหนาว ฯ
เดือนสกาวดาวดาษเวิ้ง............วรรณศิลป์
ดื่มรสบทกวีริน...........................เรื่อยริ้ว
คำทองถ่องวาทิน.......................สะทึกถี่
คลื่นระลอกกลอกเกลียวพลิ้ว.....พร่างน้ำเพชรผสาน ฯ
คำขานคงคู่แคว้น.........................นาคร
โคลงร่ำลำนำกลอน.....................กาพย์อ้าง
สุนทรภู่ ครูสอน.........................สรรค์เสก
คิดครุ่นอธิคุณค้าง........................คู่พื้นไผทขลัง ฯ
วังหลัง ลอยสู่รั้ว...........................วังหลวง
เพชรผ่องรังรองดวง.....................อร่ามด้าว
ซอนสึงซาบซึ้งทรวง.....................สารสื่อ
ไวโรจน์อุกโฆษอะคร้าว...............ครั่นครื้นเครงสมัย ฯ
วังหลวงไคลคล้อยสู่....................สาคร
เตร็ดเตร่เร่สัญจร.........................จากเหย้า
ฝ่าดง ฝ่าพงดอน..........................โดยวิบาก
โศกแทรกชำแรกเศร้า.................ซ่านน้ำตาไหล ฯ
ขึ้นกกตกทุกข์ยาก
แสนลำบากจากเวียงชัย
มันเผือกเลือกเผาไฟ
กินผลไม้ได้เป็นแรง
ชีวันท่านหันเหียน
มีปรับเปลี่ยนมีปรวนแปลง
สูญทรัพย์ใช่อับแสง
ซึ่งกลอนกาพย์กำซาบทรวง
ยิ่งวารยิ่งผ่านวัน
รายเรียงรันมาร้อยรวง
คำหอมควรห้อมหวง
คือแก้วกาญจน์ตำนานกลอน
จากดินด้นถิ่นฟ้า
องค์นาถาทรงอาทร
ทรงศักดิ์รักษ์อักษร
ทรงชูชุบทรงอุปถัมภ์
หนึ่งนาม หนึ่งตำนาน
ให้จดจารให้จดจำ
เช่นนี้ย่อมชี้นำ
น้อมดวงจิตอยู่นิจจัง
เรียงคำท่านร่ำขาน
คือวิญญาณอันยืนยัง
ฟูเฟื่องฝากเรื่องฝัง
ฝากก้องยศปรากฏยง
วิเวกหวีดกรีดเสียงสำเนียงสนั่น
คนขยั้นยืนขึงตะลึงหลง
ให้หวิววาบซาบทรวงต่างง่วงงง
ลืมณรงค์รบสู้เงี่ยหูฟัง
ฟังสำเนียงเสียงระรี่เรื่อยปี่เป่า
เหมือนบอกเล่าความเลื่องแต่เบื้องหลัง
ศักดิ์โกสินทร์กวินทร์ศรีสืบจีรัง
ดำรงขลังค่าล้ำเลิศตำนาน
เอกอาจารย์กานท์กลอน สุนทรภู่
หนึ่งในหมู่เมธีมิ่งศรีสถาน
ไทยธานินทร์ภิญโยยิ่งโอฬาร
ด้วยคำขานบรมครูคงคู่เคียง
พาทีร้อยถ้อยร่ำเทียบอัมฤต
ซึ้งไพสิฐซ่านผสมพลิ้วพรมเสียง
นิราศร่ำฉ่ำช้อยรื่นร้อยเรียง
เป็นศรีเวียงวัฒนาเนาถาวร
เรื่องนิทาน, สุภาษิต ท่านคิดสร้าง
เอี่ยมสำอางโอ่ศักดิ์ศรีอักษร
บทเห่กล่อมพร้อมพจน์ ทั้งบทละคร
เสภาย้อนย้ำถวิลหวามวิญญาณ์
ถึงม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร
ไม่สิ้นสุดลายสือสรรค์สื่อค่า
สุนทรภู่ ครูกวีเปรื่องปรีชา
คงคู่ฟ้า, คู่ถิ่นแผ่นดินไทย
23 มิถุนายน 2549 08:57 น.
ตราชู
เพื่อนๆทุกท่านครับ บทนี้ ผมขอทิ้งไว้ให้อ่านเผื่อวันพรุ่งนี้เลย ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๙
ย้อนกลับไปเมื่อปี ๒๔๗๕ วัน เดือนเดียวกันนี้ เป็นวันซึ่งองค์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงระทมพระราชหฤทัยอย่างที่สุด ด้วยมีคณะบุคคลกลุ่มหนึ่ง ใจร้อน เอาแต่ได้ คิดเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากสมบูรณายาสิทธิราช เป็นประชาธิปไตย ทั้งๆที่สยามประเทศในขณะนั้น ยังไม่พร้อม พระปกเกล้าฯ พระองค์ก็ทรงตั้งพระทัยไว้แล้วว่าจะพระราชทานรัฐธรรมนูญเมื่อวาระอันพร้อมเพรียงแล้วมาถึง หาก คนไทยบางเหล่า บังอาจรู้ดี กระทำจู่ลู่เอาแต่อำเภอจิต ผลก็คือ เราได้ประชาธิปไตยมา โดยประชาชน ยังไม่เข้าใจเลยว่า ระบอบการปกครองนี้ คืออะไร
ร้ายไปกว่านั้น ประชาธิปไตยไทย ดำเนินไปท่ามกลางควันปืน คาวเลือด คณะรัฐบาล ผลัดกันแย่งอำนาจไปมากี่ชีวิตของผู้บริสุทธิ์ต้องสูญเสีย กี่รายของผู้ไร้มลทินถูกกล่าวหาป้ายโทษ เพื่อบ้านเมือง, เพื่อประเทศชาติ เป็นเพียงคำโฆษณาหาเสียงชั่วครั้งชั่วคราว กระทั่งบัดนี้ ๗๔ ปีแล้ว ประชาธิปไตยไทย ก็ยังล้มลุกคลุกคลาน อนาถหนอ!
อาศิรวาท พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
วันนี้
แสนสุดยินดีพระจันทร์วันเพ็ญ
ขอเชิญสายใจเจ้าไปนั่งเล่น
ลมพัดเย็นเย็นหอมกลิ่นมาลีเอยฯลฯ
เพลง ราตรีประดับดาว เมื่อคราวสดับ
บรรสานศัพท์บรรสมรื่นรมย์เฉลย
เหมือนความหลังทั้งปวงไม่ล่วงเลย
มาให้เชยเช่นดาวเด่นพราวดวง
ขอเชิญเจ้าฟังเพลงวังเวงใจ
เพลงของท่านแต่งใหม่ในวังหลวงฯลฯ
หอมรินรินกลิ่นผกาบุปผาพวง
ยังห่วงหวง ห่วงหา ให้อาวรณ์
ถึงปิ่นหล้าเลอดิลก พระปกเกล้าฯ
ทรงผ่านเผ้าปฐพีบดีศร
รังรองรัฐฉัตราตรูนาคร
ทรงปกเกล้าประชากรปรากฏไกร
ทรงตั้งหลักนัคราสถาวเรศ
จักรพรรดิขัตติเยศผู้ยิ่งใหญ่
ต้องทรงทุกข์ทับถมระทมพระทัย
เพื่อ ประชาธิปไตย จักตราตรึง
ยินเพลง โหมโรงคลื่นกระทบฝั่ง
คลื่นกระทั้นลั่นกระทั่งกระเทือนถึง
เจ็ดสิบสี่ปีนำครุ่นคำนึง
คลื่นยังอึงอรรณพตระหลบอวล
ต้น ประชาธิปไตย ยังไม่เติบ
กิเลสร่ำกำเริบก่อร้ายป่วน
ซอครั่นสายคล้ายคำที่คร่ำครวญ
คล้ายเสียงร่ำกำสรวลกันแสงทรง
มโหรีรินเสียงจำเรียงซ้ำ
พร้องขับลำคลั่งไคล้เคลิ้มใหลหลง
ร้องประเลงเพลง เขมรลออองค์
กราบจอมนาถบาทบงสุ์พระภูบาล
จวนจะรุ่งแล้วนะเจ้าพี่ขอลาฯลฯ
แสงอุษาส่องสว่างกระจ่างสถาน
หวังแสงทองส่องหล้า ส่องฟ้าตระกาล
สมดั่งพระปณิธานพระภูธร
หมายเหตุ
๑. เนื้อความซึ่งคัดมาในเครื่องหมายอัญประกาศ และมีเครื่องหมาย ฯลฯ กำกับอยู่นั้น ได้อัญเชิญบางส่วนจากเนื้อเพลงพระราชนิพนธ์ ราตรีประดับดาว ในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มาเขียนไว้ด้วย
a. ๒. เพลงพระราชนิพนธ์ในองค์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
คือเพลง ราตรีประดับดาว โหมโรงคลื่นกระทบฝั่ง และ เขมรลออองค์
b. ________________________________________________________