10 ธันวาคม 2555 13:16 น.
ตราชู
สงสาร
อ่าโอ่โสภณบนพาน
พากเพียรเขียนจาร
จำรัสคัดคำจำรูญ
สำเหนียกเรียก รัฐธรรมนูญ
เทิดเน้นเป็นมูล-
แม่แบบแม่บทกฎหมาย
สร้างหวังดั่งดาวพราวพราย
พริ้งเฉิดเพริศฉาย
ใช้อ้างอิงลักษณ์ หลักเกณฑ์
ครั้นกาลผ่านไปไพล่เอน
โอนเอียงเบี่ยงเบน
บ่หาญต้านลักษณ์ หลักกู
ฉีกใหม่เขียนใหม่ให้ดู
เห็นด่างค้างขู
กี่เขียนกี่ครั้งวังวน
เพียงเพื่อเอื้อเผ่าเหล่าตน
หน้าหนา หน้าขน
คว้าไขว่ตำแหน่งแต่งนำ
ธรรมลี้หนีไกล ใครทำ?
ทรยศคดกรรม
เกลือกกลั้วชั่วช้าอาเกียรณ์
จนแปดทศวรรษ ผลัดเวียน
วุ่นปั่นหันเหียน
เห็นแปล้แต่บ้าห่าเหว
หลายยุคลุกเริงเพลิงเปลว
พลุ่งปลาบ บาปเลว
หล้าหมองร้องร่ำคร่ำฮือ
ดำกลบนพานกาญจน์คือ
แค่พรายลายสือ
สงสารรัฐธรรมนูญไทย
(๙ ถึง ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕)
7 ธันวาคม 2555 09:26 น.
ตราชู
ฟ้าสว่าง
ฝันว่าฟ้าสว่างเป็นอย่างนี้
แล้งเผ่าเหล่าผีกาลีเหม็น
รู้ผ่อนร้อนพักเอื้อรักเพ็ญ
เหือดเข็ญเห็นคุณหายขุ่นเคือง
ใช่ยังชังอยู่เป่าหูเสี้ยม
ตรึกเหี้ยมเตรียมฮึกก่อศึกเนื่อง
ไฟแรงแฝงเร้าร้อนเร่าเรือง
พวกคดพจน์เขื่องอ้างเรื่องราว
ลวงเสเล่ห์ซึกทำลึกซึ้ง
ซ่อนแค้นแสนขึ้ง ลามถึงหาว
แล้วแถแลถ่อยเท็จถ้อยพราว
แสร้งกลั่นสรรกล่าวกลบร้าวราน
ฝันว่าฟ้าสว่างต้องสร้างฝัน
เทิดฉันธรรม์ชัดบรรทัดฐาน
ล้างภัยไล่เภทกิเลสพาล
รุ้งสร้อยร้อยศานต์พาดผ่านโพยม
(๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕)
5 ธันวาคม 2555 12:12 น.
ตราชู
ขอเดชะ พระบดินทร์นรินทร์นาถ
มิ่งขวัญชาติ ขวัญชน มงคลขวัญ
จำรูญเรืองเลื่องหล้าคือราชัน
ธรานันทน์ด้วยพระเดชภูเบศวร์บดี
ทุกตำแหน่งแห่งหนทรงด้นดั้น
ธ รังสรรค์ทศทิศวิศิษฏ์วิถี
แจ่มบรรเจิดเกิดก่อพระกรณีย์
ดั่งวารีโปรยปรายสุหร่ายริน
เอกราชาหาใดมิได้เหมือน
รำลึกเตือนตรึงตราประชาถวิล
ไทย เผ่าพงศ์จงรักจำหลักจินต์
พระเป็นปิ่นเลิศดิลกพสกมวล
สรวมอำไพพระตรัยรัตน์ประภัสสร
ถวายพระพรไพจิตรพิพิธถ้วน
ดำเกิงเกรียงเที่ยงแท้ไป่แปรปรวน
นริศวรทรงรัชย์ร่มฉัตรทอง
ฤกษ์เอาฬารวารวันพระชันษา
แปดสิบห้าพรรษภาส ทวยราษฎร์ฉลอง
น้อมประณตบทบงสุ์ประสงค์ปอง
ขอไท้ครองไทยมั่นนิรันดร์เทอญ
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
ข้าพระพุทธเจ้า นายชูพงค์ ตรีวัฒน์สุวรรณ
ประพันธ์ถวายด้วยความจงรักภักดียิ่ง พระพุทธเจ้าข้า
15 พฤศจิกายน 2555 11:02 น.
ตราชู
เมืองอมรกานต์ (จินตนิทานสมมติ)
ดูก่อนภราดร ข้าขอกรรพุมกรกระทำกฤดาญชลี วอนท่านโปรดสละเพลามาสดับคดีสักเล็กน้อย ตามข้าจักแถลงถ้อยสืบไป
สมัยบุราณนานนมสุดนับพรรษาคะเนประเมิน มหาธานีหนึ่งจำเริญจำรัสยศ สมยาปรากฏว่า
อมรกานต์ แปลนิยามว่า เป็นสถานแสนสิเนหาของเทวัน แต่เดิม ผองประชาสุขานันทน์มิจางเจือ กระทั่งเมื่อวารวันเลยผันล่วงพ้น อนุสนธิ์วิบากถึงวิบัติก็กระพือพัดมา โดยเลศมายายักษ์ร้ายจองทำลายล้าง นั้นแล
ครั้งกระโน้น ยังมีผรุสกุมภัณฑ์หนึ่ง จมดึ่งในกองทิฐิมิจฉา นามว่า รุทราสูรบริบูรณ์บาปอาบเลวทรามสาธารณ์ จอมมารหมายวงแวดล้อมห้อมหุ้มกุมเมืองอมรกานต์ไว้ในอำนาจ หาก...ไอ้อุบาทว์ตรองแยบยล จักไป่ให้เปลืองไพร่พลเสนารากษส จึ่งแผ่กฤตยามนต์เข้าจ่อจดกับวิญญาณ์ชนกลีบางผู้อันปราศจากธรรม์ ยอนแยงยุยงคนเหล่านั้นว่า
ดูราเหล่าสู ตูจักแนะวิถีที่พึงควรพึงชื่นชอบ ระบอบ กุศลาธิปไตย ซึ่งสูใช้ปกครองอมรกานต์นั้น ยังผลให้เกิดฐานันดร์หลั่นลด ใครมากกุศลกรรมบถก็สูงส่งขาดเศร้าสร้อย ผิวผู้ใดกุศลสั่งสมน้อยก็กปณาน่าอนาถ นี่แน่ะสู อำนาจระบับใหม่ยังมีอีกชื่อคือระบอบ กัลปพฤกษ์ เพียงคิดนึกปรารถนาจักได้สิ่งใดก็ได้เท่ากันสิ้น บห่อนมีคนเดือดดิ้นตกประดาษวาสนาวเนจร ตูจักสั่งสอนประดาสูให้รู้จัก แล้วนำชักลบองการปกครองใหม่ให้ซึมซึกสู่พสุธา โก่นกุศลาธิปไตยไปเสียจากเมือง ฝ่ายพวกโลภจริตคิดแต่ทางรุ่งเรืองยินเกลี้ยกล่อมกล่าวยุ ครุวนาประหนึ่งสุมเชื้อกูณฑ์แก่กองกาฐ ก็กระเหิมหิวอำนาจเต็มกมล ค่อยเผยยุบลปลุกปั่นเป่าโสตราษฎร แทรกซึมซอกซอนเสียดเซาะ กระทั่งกะเทาะสันถวไมตรีเคยมีในหมู่ราษฎร์ จนแผกญาติผันมิตรผิดใจกันไม่เว้น ที่เห็นระบอบกัลปพฤกษ์ดีกว่าก็รวมหมู่ ที่เห็นคติเดิมดีอยู่ก็รวมพรรค ตั้งหน้าหาญหักหั่นห้ำกระทำสงคราม ร้อนแรงลุกลามนับได้หลายขวบปี ฉะนี้แล
กษณะหนึ่ง เมื่อโพยมานสูญแสงสูรย์ จันทราแจ่มจำรูญค่อยเขจรขึ้นสถิตทิฆัมพรไพศาล พร้อมดาริกาบริวารเรียงราย เดือนดาวฉายรัศมีลงอาบเมทนีดล ส่องต้องไผทมณฑลกล่นซากปรักหักพัง
โอ! อนิจจังหนอ เมืองอมรกานต์ ดาราดวงหนึ่งเปล่งอุทานปลงสังเวชด้วยแสนสมเพชเวทนา ก่อนจรรจาเยื้อนถามรัชนีกร ว่า
ข้าแต่ศศิธรเทวบุตร ไยมนุษย์จึ่งเขลานัก กักขฬะอหังการ์เข่นฆ่ากันเอง ชโลมเลือดละเลงผืนแผ่นดินแดนกำเนิด หะหาย! นี่หรือสัตว์ประเสริฐเปี่ยมปัญญาอะคร้าว
ดูก่อนดาว แท้แล้ว มนุษย์นั้นหยาบช้ากว่าสรรพดิรัจฉานใดถ้วนทั้งโกษ ผลุนพิโรธเพียงฟังคำพวกเดียวกันเสี้ยม ก็หีนเหี้ยมฮึกฮือหทัย พวกเขาอาจฉลาดล้ำไกลจนลืมสิ่งใกล้ใกล้ตน เจ้าดูเถิด แค่ลมลิ้นพิรากลของคนอื่น เขาก็ยื่นศัสตราตรูเข้าฆ่ากันตาย แบ่งแยกแผกนิกายลืมญาติกา ลืมสขาลืมพี่น้อง จดจ้องจำเพาะกิจล้างผลาญไล่พร่า โลหิตนองบ่า ชลนาเนืองราด กเฬวรากกลาดภูมิลำเนา พวกเขาก็ยังใฝ่ประยุทธ์
ข้าแต่เทวบุตรวราภาแห่งราตรี ก็กษณะนี้เงื้อมเงาประทุฐทานพกำลังทอดลงมากลืนพิภพในอีกมิช้า ข้าอาดูรสุดรำพันแล้ว อ้า! นาครแก้วตระกลก่อง เคยผุดผ่องอำไพโอภาส จักดับวินาศความมลังเมลืองแล้วหรือไร?
เราช่วยไฉนก็ไร้หิตานุหิตประโยชน์ ดาวเอ๋ย จันทร์เจ้าเฉลยเพียงนั้นแล้วก็งันเงียบ สงัดเซียบส่ำสำเนียงครากำดัดดึก หมู่ดารกะคำนึงนึกตรึกตามศศพินทุ์พจมาน ต่างก็ปริเทวนาการกำสรวลกำสรด สลดต่อชะตากรรมบุรีศรี ดวงดาวโศกีกลั่นชลนัยน์ไหล
ระรินระรินบรรลาย กลายเป็นนิศาชลชุ่มโชก ฝากรอยวิปโยคโลมโลกธาตุ หยาดลงต้องเมืองอมรกานต์เพื่อไว้อาลัยในนคเรศโอฬารเมื่อเก่าก่อน
ดูรา ภราดร กถาสุนทรอันข้าใคร่กล่าวแก่ท่าน ก็บรรลุถึงปริโยสานสาธยาย สิ้นสุดบั้นปลายเพียงนี้แล
(ร่างเดิม๑๓ ถึง ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๕ ปรับปรุงแก้ไข ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๕ ครับผม)
หมายเหตุ:
ผมเขียนนิทานเรื่องนี้ โดยได้แรงบันดาลใจจากกวีนิพนธ์ร้อยแก้วอลังการของท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ หลายบท ครับผม
13 พฤศจิกายน 2555 13:44 น.
ตราชู
อนาถใจ
ก่อนเคยหยิ่งยิ่งผยองลำพองผงาด
เมื่อธงชาติชูเชิดระเหิดระหง
ธวัชนี้นี่แหละ ไทย เรืองไตรรงค์
เดี๋ยวนี้ปลงเปลี้ยจิต อนิจจัง
เลือดระบายหลายศกรินตกสาด
มิทันหมาดคาวหมดเคยรดหลั่ง
ก็เริ่มใหม่ไฟเคียดโกรธเกลียดชัง
จะจัดตั้งชุมนุมประชุมพล
อ้างอิง ชาติ, ศาสน์, กษัตริย์ ประหัตสู้
เพื่อ พวกกู ภารกิจสัมฤทธิ์ผล
พกอัตตามาทั่วทุกตัวตน
คนต่อคนเขี้ยวเข่นคล้ายเป็นยักษ์
เพียรร้องห้ามปรามไฉนมีใครหยุด
สยามทรุด ยุคเสนียดสิ้นเกียรติศักดิ์
ไทยกับไทยไล่ผลาญพร้อมลาญทัก
เห็นเขาชักธงชาติ อนาถใจ!
(๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๕)