24 พฤษภาคม 2549 15:37 น.
ตราชู
ตั้งตารอ
ลมฝนร่ำฉ่ำโรยมารวยรื่น
เมื่อวันคืนเมฆาโปรยฟ้าขาว
เฝ้าคิดครุ่นวุ่นครวญปั่นป่วนคราว
คำนึงหนาวไกลน้องผู้ผ่องนวล
พี่มันหนุ่มอยู่นานานช้านัก
ไร้ยศศักดิ์ทรัพย์ส่ำเศร้ากำสรวล
เจ้าสินเปรมทรัพย์แปล้ทำแปรปรวน
หัวร่อร่วนแรมร้างห่างบ้านเรา
เจ้าฟังแต่เพลงสตริงไม่นิ่งตรึก
พี่ระทึกเพลงลูกทุ่งไม่รู้เท่า
เจ้าเสียเงินเสริมงามหลงตามเงา
เติมแต่งเข้าให้ขำดูสำคัญ
พี่ก็งามแบบง่ายง่ายอย่างชายโง่
เจ้าจึงโห่ฮาเฮทำเหหัน
เจ้าดูโทรทัศน์ทีพี่ไม่ทัน
เพลินจำนรรจ์จ้อหนังฝรั่งเนือง
พี่บันเทิงหนังไทยด้วยใจเที่ยง
หมดสิทธิ์เรียงหน้าหรูไม่รู้เรื่อง
เจ้ากินแมคมากมีกันเกลื่อนเมือง
พี่ไม่เปลืองเงินเปล่ากินข้าวปลา
เจ้ารีบเห่อเร็วเหินไปเดินห้าง
พี่หมดทุนหมดทางก็หมดท่า
เที่ยวเดินชมร้านชำจนชินชา
เจรจาจับจ่ายไปตามจน
เจ้ารื้อเรื่องดาราออกมาร่ำ
ทั้งซุบซิบแซ่ดซ้ำทั้งสับสน
พี่คุยเรื่องทุกข์ร้ายที่รายรน
ของผู้คนด้อยค่าทั่วนาคร
เจ้าเอาแต่อินเตอร์พูดเพ้อติด
พี่สถิตอยู่กับไทยมิไถ่ถอน
เจ้าอยากดังหวังได้ไปลอนดอน
พี่แน่นอนแน่นหนักรักอยู่นา
ลมฝนร่ำฉ่ำโรยมารวยรื่น
คิดแล้วขื่นอกขมตรมอกข้า
เจ้าสาวมั่นทันสมัยคงไม่มา
หนุ่มโบราณโรยราตั้งตารอ
(เขียนสำเร็จเมื่อปี พ.ศ. 2548)
24 พฤษภาคม 2549 14:37 น.
ตราชู
เพื่อนๆครับ นี่คือของเล่นชิ้นใหม่ของผม ผมไปจ๊ะเอ๋ฉันท์ชนิดนี้ในหนังสือ เรียงถ้อยขึ้นร้อยถัก (บทกวีชื่อ มิใช่ครูก็เหมือนครู)ของ ท่านคมทวน คันธนู ก็สนุกซีครับ จากการจับจังหวะ ผมว่าฉันท์นี้คล้ายอินทรธนู ๑๒ ต่างแต่ว่า สองพยางค์แรกของวรรคเป็นลหุ ส่วนอินทรธนูนั้นวรรคแรกกำหนด ๖ พยางค์ โดยให้พยางค์แรกกับพยางค์สองเป็นครุ ขณะหาประเด็นจะเขียนอยู่นั้น สมองก็นึกเปรียบเทียบว่า สายฟ้าหากผ่าเปรี้ยงลงถูกสิ่งใดก็จะทำลายสิ่งนั้นย่อยยับ อุปมาเหมือนสายฟ้าจากปากกระบอกปืนในมือคน ถ้ามันเปรี้ยงถูกใครเข้าก็เอวัง จึงออกมาเป็นร้อยกรองบทนี้ครับ
ทูตพญายม
อัสนีฉันท์ ๑๔
อสนีฉะนี้สนั่น
ปะทุลั่นถล่มทลาย
ปะทะลาญสะท้านสลาย
ชิวะล้วนประมวลประลัย
ดุจปืนผิว์หืนประเปรี้ยง
พละเกรียงฉกาจไฉกร
ขณะนั้นจะกั้นไฉน
ก็พินาศชิวาตม์ประเนือง
ทุรสัตว์สหัสประสงค์
ทุษปลงก็ปลิดก็เปลือง-
ชิวะเข่นกระเด็นเพราะเคือง
ระอุขุ่นวะวุ่นระคน
ตริจะฆ่าชิวามิขาม
ประลุตามหทัย ณ ตน
ประจุพิษพิกฤตทุผล
ประจุภัยพิสัยทุพาล
คณะคนน่ะข้นน่ะขัด
ณ มนัสคะนึงคุนาน
บมิหายมุหมายประหาร
กลิกลั่นฉกรรจ์มิกลัว
ผิวะธรรมประจำสถิต
ภยพิษมิพันมิพัว
ภภหล้าประดาสลัว
ก็มล้างกระจ่างพิไล
_____________________________________
24 พฤษภาคม 2549 09:13 น.
ตราชู
น้ำเหนือ-ไฟใต้
โคลง ๔ ดั้น วิวิธมาลี กลบทวัวพันหลัก
น้ำเอยไยเอ่อท้น โถมทวี
ทวีโศกซมโสกา ก่อเศร้า
เศร้าซึมทั่วธรณี นองถิ่น
ถิ่นภาคเหนือทั้งเหย้า เยียบเย็น
เย็นในหัวอกซึ้ง อาบโซม
โซมซาบน้ำตากระเซ็น ซ่านซ้ำ
ซ้ำทุกข์คลื่นครืนโครม ครื้นครั่น
ครั่นป่วนซวนซ้อนย้ำ เยือกทรวง
ทรวงเอยทรวงปักษ์ใต้ เติมเพลิง
เพลิงบ่มพยาบาทลวง ล่าร้าย
ร้ายแรงรุ่มรุมเริง เรืองโรจน์
โรจน์ไป่ยอมยั้งย้าย หยุดผลาญ
ผลาญตายกี่ศพแล้ว ซานลง
ลงทบศพกลาดลาน เลือดคลุ้ง
คลุ้งคาวเฉกชลสรง โชกสาด
สาดใส่แดนด้าวสะดุ้ง ดื่นดล
ดลภัยพูนเพียบน้ำ กับไฟ
ไฟกับน้ำกระหน่ำยล เยี่ยงนี้
นี้คือบาปกรรมไฉน น่าอนาถ
อนาถห่อนลาร้างลี้ ล่วงสลาย
สลายชีวิตที่ร้าว รานระทม
ระทมท่ามคืนวันวาย ว่างไร้
ไร้หวังวาดปรารมภ์ เริงรื่น
รื่นไป่มีด้วยไข้ ขุ่นหมอง
(๒๓ พ.ค. ๒๕๔๙)
______________________________
22 พฤษภาคม 2549 16:11 น.
ตราชู
โปรดเถอะ
(โคลง ๕ พัฒนา)
ยามรุ่มร้อน แรงเริง
ไยแผดเพลิง ผ่าวซ้ำ
กรานดำเกิง แดนกรุ่น
เลวร้ายล้ำ ล่วงลาม
พลามพลุ่งเพี้ยง พังภินท์
พาแผ่นดิน เดือดไหม้
วารีริน ฤาดับ
เจียนร้างไร้ เรี่ยวแรง
แฝงเล่ห์เฝ้า ใฝ่ฝัง
กี่คาบยัง ย่ำขยี้
ภาคใต้ดัง แดนดุ
บรบ้าบี้ บ่อนเบียน
เพียรเกี่ยงแก้ กำเดา
เพียรช่วยเพลา ผ่อนร้าย
เพียรบรรเทา ทุกข์ทุ่ม
เพียรสู้ย้าย สิ่งสยอน
ยังห่อนพ้น พาลา
ยังชลนา เช่นนั้น
ยังโศกา กำสรด
ยังแค้นคั้น คั่งสุม
อีทิสังฉันท์ ๒๐
ร้อนขย่มระเร่าเขย่าระรุม
อุบาทว์ประชันฉกรรจ์ประชุม ประเชิญภัย
ใครณรงค์ระกำกระทำกะใคร
ประชาซิ่ป่วนจะล้วนประลัย ชิวาลาญ
ใช้อุบาทว์ระบอบประกอบรบาญ
ประมวลประเมินก็เกินประมาณ เพราะมากมาย
กราดกระเจิงกระเจิดเตลิดกระจาย
ละสิ่งละซ้ำระส่ำระสาย ระเสิดซม
ไหนล่ะสันติศานติ์สราญมิสม
สะเทือนสถานสะท้านระทม ฤทัยทน
โอย! อเนจอนาถพินาศอนนต์
ก็คนแหละเข็ญจะเข่นกะคน ณ เขตคาม
เทวะแดนสวรรค์สุวรรณวะวาม
เผดียงพระยินระบิลนิยาม ณ ยามเข็ญ
วอนพระเทวะดับระงับประเด็น
กระหายประหาญระรานผิว์เห็น ก็พลันหาย
โปรดเถอะสันติบ่งประจงระบาย
ธุมางค์คละคลุ้มชอุ่มก็คลาย คุคลั่งเทอญ
(๑๙ เมษายน พ.ส. ๒๕๔๙)
22 พฤษภาคม 2549 13:57 น.
ตราชู
ครวญถึงครู
ตัวกอไก่, ขอไข่ สอนให้เขียน
เหล่านักเรียนผันผวนคร่ำครวญผวา
ครูไปไหน ครูไปไหนจึงไม่มา
ใครฉุดคร่า ใครหมายทำร้ายครู
ว่าฆอเอยฆอระฆังขานหง่างเหง่ง
ให้เยียบย้ำยำเยงวังเวงอยู่
ไร้เพลงแห่งดอกไม้มาปรายปรู
เหลือหดหู่ระเหี่ยระโหยร้าวโรยแรง
ทอทหารไยท้อต่อหน้าที่
ปล่อยพวกผีอันธพาลมันพล่านแผลง
กี่หลุมหลากขวากขวางยังคลางแคลง
กี่ซากศพซบแสยงยังยับเยิน
ธอธงสันติภาพมีอยู่ที่ไหน
เหมือนอยู่ไกลเกินร้องให้ล่องเหิน
มาโบกพลิ้วทิวธรรมพาดำเนิน
มาโบกเชิญชื่นชวนสู่มวลประชา
บอเอยบอใบไม้เรี่ยรายร่วง
เหมือนชีพปวงปลดปลงอยู่ตรงหน้า
กี่ใบควงร่วงลับไปกับตา
กี่ใบหนอรอเวลาลาล่วงตาม
เจ้ายอยักษ์ยักย้ายอุบายแยก
หวังจำแนกศาสนาชั่งน่าขาม
แยกเขี้ยวเข็ญเข่นขุกคอยคุกคาม
ยักไม่คร้าม ฆ่าคนเสียจนเคย
ศอศาลาแหล่งพักพำนักสงบ
ไม่ประสบสักศาลานิจจาเอ๋ย
เห็นแต่มายาลวงแล้วล่วงเลย
จักเอื้อนโอษฐ์ออกเอ่ยก็อ่อนใจ
โอ้อออ่างรางรองนั้นนองเลือด
ไม่แห้งเหือดโหยหาน้ำตาไห้
เสียงเด็กร้องร่ำว่าห่วงอาลัย
ครูอยู่ไหน ครูอยู่ไหนจึงไม่มา
(๒๒ พ.ค. ๒๕๔๙)
แด่คุณครูทั้งสองท่านที่ถูกทำร้าย ณ จังหวัดนราธิวาส และแด่คุณครูทุกท่าน ผู้ปฏิบัติหน้าที่ ณ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้
___________________________