30 พฤศจิกายน 2549 10:52 น.
ตราชู
เมาการเมือง
รัฐฯ สั่งงดโฆษณาสุราเหล้า
พวกคนค้าน้ำเมานึกหมองไหม้
กลัวเหล้าเทศมาเขย่าถิ่นเหล้าไทย
เลยหวั่นไหววุ่นวายไม่วายวัน
พวกคิดว่าสังคมเปื้อนตมเคล้า
เกลียดน้ำเมาหมักหมมโสมมมั่น
เร่งหนุนรัฐฯ เร็ววัยกลัวไม่ทัน
เมรัยมันจะมามอมจนมึนมัว
ต่างหันเหเรรวนไม่รู้แล้ว
ทุกถิ่นแถวเมืองไทยสงสัยทั่ว
เอาอย่างไร? เอาอย่างไร? ยังรางรัว
ชักมั่วมั่วมึนมึนชวนเมามาย
โอ้การเมืองเรื่องเมากว่าเหล้าหมัก
ดูขย้อนหย่อนขยักไม่ยักขยาย
ปรับเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจนตาลาย
เอียงไปขวา มาซ้ายซวดซวนเซ
เดี๋ยวขู่เขาเอาจริง เดี๋ยวนิ่งจ้อง
เดี๋ยวขัดข้องคว้าไขว่กันไขว้เขว
ดั่งลำเรือแล่นล่องอยู่โลเล
คล้ายร่อนเร่กลางลมระดมเร้า
เมื่อเดินทางแต่ละทีไร้ที่หมาย
มีหวังพ่ายภินท์พังกันทั้งเผ่า
กลางเมฆคลุ้มกลุ้มกลาดเกินคาดเดา
ชั่งมึนเมาเหลือประมาน เมาการเมือง
๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๙
10 พฤศจิกายน 2549 10:50 น.
ตราชู
เพื่อคนพิการ
เมื่อโลกมีที่หมาง มีทางหม่น
จึงมีคนลำเค็ญยากเข็ญขื่น
ถูกเหยียบย่ำย้ำแย่งไร้แรงยืน
ทุกวันคืนการขังก็ยังคง
ความพิการ ม่านกางกั้นขวางเกียรติ
บ้างถูกเสียดสีใส่เสือกไสส่ง
ดูไร้แล้วแนวหลักให้ปักลง
ต้องวนวงเวิ้งว้างเหมือนวางวาย
ขอใจซึ่งซึ้งสรรพ์ส่องบรรสาน
จุดแสงฉานชูเชิดบรรเจิดฉาย
ไพโรจน์พร่างสว่างแพร้วเพริศแพรวพราย
เป็นแสงสายสาดส่องทุกห้องทรวง
เรา ล้วนมีฝีมือยึดถือมั่น
เพื่อรังสรรค์สฤษฎิ์สร้างเส้นทางสรวง
เรา คือดาวพราวดาษไพลาสดวง
ผ่องฟ้าช่วงทุกชั้นเฉิดฉันชม
ผองเราทุกเผ่าร่วม
เรียงร้อยรวมความรื่นรมย์
แรงสิทธิ์สัมฤทธิ์สม
ไม่ขาดสาย ไม่คลายสูญ
สร้างเติมส่งเสริมต่อ
ต่างเกื้อก่อ ต่างเกื้อกูล
หม่นหมองมากมองมูล
สิ้นมุมมองมืดหมองมน
ศรัทธาโสภาถือ
ทุกคนคือกำลังคน
เพิ่มพูนจำรูญผล
ให้เพิ่มพัฒน์จำรัสพอ
ขอแรง ขอแสงรัก
มาสานถัก มาสาดทอ
คือคำขานร่ำขอ
ความดำกลแห่งคนพิการ
(๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๙)
5 พฤศจิกายน 2549 11:46 น.
ตราชู
เห่กล่อมกระทงไทย
เห่เอยเห่ฉลอง
เดือนสิบสองน้ำทรง
เพ็ญพระจันทร์บรรจง
ผ่องพระจันทร์ขวัญใจ
ดวงเดือนค่อยเคลื่อนคล้อย
กระทงน้อยคลาไคล
เดือนสวยสำรวยใส
เหมือนทรวงในสำราญนาน
กระทงทองของไทย
ก็ล่องไหลไปตามธาร
วุ่นวายในหลายวาร
กลางคลื่นกาลเวียนวน
ยังมีคลื่นใต้น้ำ
ในสินธุ์ฉ่ำสายชล
ไม่ชอบมาพากล
ต้องตื่นตนระวังกัน
คลื่นซัดซวนหวนเห
อย่าซวดเซเหหัน
อย่าต่างแข่งแย่งประชัน
อย่าแข็งขันเข้าประเชิญ
จุดธูปเทียนพิษฐาน
เอื้อนเอ่ยสารสรรเสริญ
โอ้ดวงจันทร์อันเจริญ
ลอยหาวเหินเห็นแจรง
จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้า
ไม่ขอข้าวขอแกง
ขอเพียงโสมโลมแสง
ส่องเวหานภาลัย
สาดแสงมาแบ่งส่ง
ส่องกระทงประเทศไทย
ให้วาววามงามไสว
ให้แววไวสว่างเอย
(๕ พฤษจิกายน ๒๕๔๙ วันลอยกระทง)
4 พฤศจิกายน 2549 15:37 น.
ตราชู
นางนพมาศ
โคลง ๔ สุภาพ
นงพาลเสาวภาคพร้อม พราวพรรณ
เลิศนักจำหลักขวัญ คู่แคว้น
มีนาม นพมาศ จรร- โลงจิต
งามมิ่ง งามละม่อมแม้น แม่นแท้เทพพบู
เชิดชูโฉมเกศแก้ว กษัตรีย์
จอมรัฐจำรัสบุรี พระร่วงท้าว
ศักดิ์ทรงส่งเสริมศรี ศักดิ์สิทธิ์
เป็นปิ่นแดนดินอะคร้าว โฆษณ์ครื้นคำขาน
บรรพกาลผันคล้อยเนิ่น นานไป
นามนาฏนามอรทัย เพริศแท้
มาเวียนเปลี่ยนแปรไฉน นึกอนาถ
ใครกาจบังอาจแก้ ก่อร้ายราคี
เทพีนพมาศ โก้ ประกวดกัน
ชายหนุ่มเนืองหฤหรรษ์ แห่ห้อม
ยล นางนพมาศ อัน ลอออ่อน
หลายกลุ่มรุมกันล้อม ล่อล้อลามลวน
ไยนวลนางผ่องพริ้ม เพราพราย
เป็นเหยื่อนัยน์ตาชาย เช่นนั้น
ตกเป็นเหยื่อกรรหาย หิว, หื่น
ชายกดกำหนดกั้น กีดข้องขัดขวาง
กี่ปางยังไป่เปลื้อง ปลิดปลง
กฎกดดังขังกรง- เหล็กกล้า
มาเถิดอย่ามัวหลง ลืมตรึก
มาเถิดมวลหญิงท้า ถีบกลิ้งกรงขัง
อินทรวงศ์ฉันท์ ๑๒
ชายทรามตะกรามสุด
ตะกระดุจปิศาจประดัง
เหล่าหญิงผิว์นิ่งยัง
จะระย่อก็หงอและยอม
จงรุดมิหยุดรั้ง
บมินั่งประนีประนอม
หลากหลั่งพลังหลอม
พละล้วนประมวลพิไล
รู้ซึ้งคะนึงสิทธิ์
กระจะจิตวิจารณ์วิจัย
ใดเลวแหละเหลวไหล
ปะทะล้มถล่มกลี
อรองค์อนงค์เอี่ยม
เพราะตระเตรียมคณาสตรี
เดินหน้ามิล้าหนี
จรนำประจำประนัง
รวมพวกผนวกพ้อง
ทุระผองอุบาทว์ก็พัง
หวังวาวสกาวหวัง
วธุถ้วนละล้วนจะทน
กลอนสุภาพ
เธอไม่เป็นเช่นกระทงที่หลงทิศ
ในธารมืด ทางมิดที่หมองหม่น
ลอยไปตามน้ำไหลครรไลวน
ลอยไปติดอิทธิพลพวกพาลา
แต่...เธอหรือคือคนผู้ข้นเข้ม
ใครและเล็มโลมไล้ล่อไล่ล่า
ลวงให้เพริดเตลิดเพลินด้วยเงินตรา
หรือด้วยค่าทองคำ ของกำนัล
เธอต้องผละปฏิเสธไล่เฉดส่ง
มิใช่ปลงใจเปลี่ยนจนเผียนผัน
เคลิ้มเกียรติปลอมย้อมพราง เคลิ้มรางวัล
ให้เขาหยันลับหลังเหมือนอย่างเคย
เธอใช่ก้าวเท้าหลังเดินรั้งท้าย
ยอมผู้ชายย่ำเหยียบอย่างเชียบเฉย
เธอคือท้าวก้าวแกว่นหน้าแหงนเงย
โดยผ่าเผย, ภาคภูมิ, และลำพอง
นวลนงรามงามครบคือ นพมาศ
งามผุดผาดวีรภาพเอิบอาบผ่อง
หัวใจที่พลีพลังเทียบดั่งทอง
เธอจึงต้องต่อสู้เพื่อหมู่สตรี
(๔ พฤษจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๙)
3 พฤศจิกายน 2549 11:30 น.
ตราชู
หวังเถอะนะหวัง
โคลงจิตรลีลา
วันโน้นมืด มัวเมือง
รำคาญเคือง ขุ่นไข้
วันวันเนือง เนืองวุ่น
ราวร้างไร้ รุ่งหรู
วันนั้นกู่ ตะโกนขาน
ขับไล่พาล ล่วงพ้น
ปรากฏการณ์ เกิดก่อ
ชนล้วนล้น หลั่งหลาม
วันนี้ท่าม หมอกเทา
อาทิตย์เพรา เพริศแท้
ฉายฉาบเงา งามเฉิด
มาเกื้อแก้ เกี่ยงหมอง
ปองปลุกปลื้ม ปรุงหวัง
หวังคงยัง อยู่ค้ำ
หวังในพลัง เพ็งเลิศ
หวังซ้ำซ้ำ ไป่สูญ
มาณวกฉันท์ ๘
เคยมนะขุ่น มุ่นจิตหมอง
เมืองยลมอง มากภยมูล
ผ่อนภยผอง ผ่องผลพูน
ค่าทวิคูณ คงบมิคลาย
โดยพลเด่น เห็นดุจเหม
โปรยสุขเปรม โปรยปิติปราย
โชติรวิฉาน วารฤจะวาย
ช่วงกระจะฉาย ชื่นฤดิชน
หวังเถอะนะหวัง ขลังคติคู่
อยู่เถอะนะอยู่ ยินและก็ยล
ใฝ่เถอะนะใฝ่ ใจบมิจน
ทนเถอะนะทน ท่าศุภทิน
กาพย์ยานี ๑๑
คราเศร้าซึมเซาโศก
นกน้อยโบกเนืองนองบิน
ผูกพันผายผันผิน
เพื่ออาภาเพ็ญอ่าภูมิ
ยกย่องลำยองเยี่ยม
ปรากรมเปี่ยมปรากฏปูม
ฝ่าฟันเฟื่องฝันฟูม
แม้ฟ้าฝ้ามุ่งฝ่าฝืน
จินตน์ใคร่ดวงใจครุ่น
คลายเข็ญขุ่นครองวันคืน
หยัดยงธำรงยืน
มาถ้วนยุค..มาทุกยาม
เรืองไร..นั่นไง! รุ้ง
อันโรจน์รุ่งอำรุงราม
พราวแววเพริศแพร้ววาม
พริ้งพรายหวังพร้อมพรั่งวัน
กลอน ๖
ถึงคราวเร้ารวมร่วมแล้ว
คลาดแคล้วขึ้งเคียดเดียดฉันท์
ถึงคราวหันหน้าหากัน
ไร้กั้นกำแพงแกร่งภู
ถึงคราวเข้ารวมร่วมศักดิ์
หยุดพักราญรุกทุกผู้
ถึงคราวเข้าชิดจิตชู
เราอยู่ผืนดินถิ่นเดียว
ชาติเราเราร่วมรวมสร้าง
อย่าร้างสำนึกผนึกเหนี่ยว
สามัคคีธรรม์นั่นเทียว
ร้อยเกี่ยวเกลียวคล้องครองใจ
สามัคคีธรรม์นั้นเที่ยง
หลีกเลี่ยงความเลวเหลวไหล
สามัคคีธรรม์นั้นไทย
เนาในสุขแท้แน่นอน
(๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙)
______________________________________________________