11 มีนาคม 2550 11:13 น.

ร้อน (เหลือเกิน)

ตราชู

ร้อน (เหลือเกิน)
ได้แรงบันดาลใจรูปแบบการเขียน จากบทกวีชื่อ จ่ายตลาด ประพันธ์โดย ท่านอาจารย์เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ในหนังสือ ข้างคลองคันนายาว (ฉบับรวมเล่ม ๑๐ กระบวน)
	ฤดูร้อนแดดเร้าเร่ารุ่มรุ่ม
ฝนไม่ชุ่มโชกชื้นชื่นฉ่ำฉ่ำ
แลทุ่งท้องท่องนะโมโอ้กรรมกรรม
ไม่มีน้ำทำนามาเนืองเนือง
	เราอยู่ทุ่งทุกข์ท้นทนถมถม
มันรุมรมรายเร้นเป็นเรื่องเรื่อง
เรื่องรายได้ไม่มีนี่เคืองเคือง
หนี้เขื่องเขื่องก็มาคู่อยู่ครันครัน
	หวังร่ำรวยเรืองไรไปรุ่งรุ่ง
ได้แต่ฟุ้งเฟื่องเฝ้าเหงาฝันฝัน
อยู่อ้างว้างว้าเหว่ไปวันวัน
คิดแล้วงันงงฉงนบ่นงึมงึม
	น้ำท่าน้อยแล้วน้ำใจไยน้อยน้อย
คนที่คอยคอยเคร่งอย่างขรึมขรึม
นับวันซีดเซียวเศร้าเซาซึมซึม
หม่นทึมทึมอยู่ในใจเทาเทา
	ฤดูร้อนแดดแรงแสงร้อนร้อน
ชีวิตยังเหมือนก่อนเหมือนเก่าเก่า
หากเป็นเช่นนี้ไปไม่เพลาเพลา
โอ้ตัวเราเห็นจะรอนอ่อนโรยโรย
(๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙)				
7 มีนาคม 2550 11:28 น.

สงครามสื่อฯ

ตราชู

สงครามสื่อฯ
(รูปแบบการเขียน ผมเรียนรู้จากโบราณาจารย์ท่าน และจากหนังสือ กฎบนกลบท ของ ท่านคมทวน คันธนูรวมถึงงานกวีนิพนธ์อื่นๆ ของท่าน ครับผม)
กลอน ๖ กลบทกบเต้นสามตอน
	ใครสบครบสรรพ์ครันสื่อฯ
ย่อมถือ, ยื้อ, ถ่าย, ย้ายฐาน
อวยนำอำนาจอาตม์นาน
สื่อฯ ขานสารข้อส่อความ
	เช่นนั้น, ฉันนี้ ชี้นิ้ว
ลิ้นพลิ้วลิ่วพลันลั่นพล่าม
เกิดติดกิจต่อก่อตาม
สิ่งหลามทรามล้ำซ้ำลวง
	บัง, เสียด, เบียด, ซุก, บุก, แทรก
เติมแฉกแตกช่อต่อช่วง
ใดที่ดีท้าด่าท้วง
ไล่จ้วง, ลวงจับ ลับจม
	สู้ฟัดสัตว์ฟ่องสองฝ่าย
มากข่ายหมายฆ่ามาข่ม
สามานย์สารโม้โสมม
ใส่ถมสมโถมโซมแทง
	ปวงชนป่นฉานปาณช้ำ
เขากล้ำคำกล่าวข่าวแกล้ง
เบียน, เสียด, เบียด, ซ้อน, บ่อน, แซง
พลุ่งแรงแผลงร่านพล่านฤทธิ์
	ดีกลาดดาษกล่นดลเกลื่อน
ชั่วเปื้อนเชือนไปใช้ปิด
ต่างพ่วงตวงแผ่แต่พิษ
ป้ายแต้มแปมติดปิดตา
	ใครสบครบสรรพ์ครันสื่อ
ขาน, ลือ คือเล่นเข่นหล้า
บ่มทุกข์บุกที่บีฑา
เลวช้าล่าช่วงลวงชน
(๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๐)				
3 มีนาคม 2550 15:23 น.

แก้วกลางสรวง

ตราชู

แก้วกลางสรวง 
(แรงบันดาลใจในการเขียน จากกลบท โคลงกลอน กลอนโคลง ของ ท่านเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ในหนังสือ ชักม้าชมเมือง ครับผม)
โคลง ๔ สุภาพ
	โลกซึมซับสรรพซ้อน			สับสน
แสนโศกคลุมแดนดล				เดือดร้อน
เลือดพล่านผ่านเล่ห์กล				ล้นก่อ	ล่อแล
ลาญดับสุขศานต์ซ้อน				โศกเร้าโรคภัย
	ในใจแผลแผ่พร้อย				รอยพรุน
สร้างบาปคลุมสร่างบุญ				บ่มเศร้า
ซมไข้ขื่นไร้สุนทร์					สาดส่อง	มองแล
ใดจักดับไฟเร้า					รุ่มร้อนสุมทรวง
	ดวงธรรมเทียมประทีปแท้			แรทอง
ทาบผ่องยลภาพผอง				พ่างแก้ว
กลางสรวงซึ่งลำยอง				ยลอร่าม	งามแล
ปวงจิตพ้นบ่วงแคล้ว				เงื่อนคล้อยเคลื่อนตรวน
	มวลธรรมะสละล้าง				เลวลาม
เกิดกุศลเลิศความ					คิดสร้าง
กิจถ้วนถูกตรงตาม					ตริตรึก	นึกฤา
ประมวลไป่มีรวนร้าง				สุขเรื้องยุคนิรันดร์
กลอนสุภาพ
โลกซึมซับสรรพซ้อนสับสนแสน
โศกคลุมแดนดลเดือดร้อนเลือดพล่าน
ผ่านเล่ห์กลล้นก่อล่อแลลาญ
ดับสุขศานต์ซ้อนโศกร้อนโรคภัย
	ในใจแผลแผ่พร้อยรอยพรุนสร้าง
บาปคลุมสร่างบุญบ่มเศร้าซมไข้
ขื่นไร้สุนทร์สาดส่องมองแลใด
จักดับไฟเร้ารุ่มร้อนสุมทรวง
	ดวงธรรมเทียมประทีปแท้แรทองทาบ
ผ่องยลภาพผองพ่างแก้วกลางสรวง
ซึ่งลำยองยลอร่ามงามแลปวง
จิตพ้นบ่วงแคล้วเงื่อนคล้อยเคลื่อนตรวน
	มวลธรรมะสละล้างเลวลามเกิด
กุศลเลิศความคิดสร้างกิจถ้วน
ถูกตรงตามตริตรึกนึกฤาประมวล
ไป่มีรวนร้างสุขเรื้องยุคนิรันดร์

(๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๐)				
28 กุมภาพันธ์ 2550 10:00 น.

ตรัยรงค์ที่สีจาง

ตราชู

ตรัยรงค์ที่สีจาง
(แรงบันดาลใจจากบทกวีชุด รุ้งกินเมือง ของ ท่านคมทวน คันธนู ในหนังสือ นาฏกรรมบนลานกว้าง ครับผม)
วสันตดิลกฉันท์ ๑๔
	ตรัยรงค์จรัสหทยราษ-
ฎรชาติธวัชชัย
บัดนี้อนาถจิตไฉน
ธรณีมิมีนันท์
	ตรัยรงค์มิรุ่งสิริอร่าม
รุจิวามวิลาวัณย์
สันสีสิสร่างถกลสรรพ์
ยลโศกวิโยคซม
	สีแดงสิเดิมระดะระดื่น
นิรรื่นวิรามรมย์
เลือดข้นน่ะขื่นรุธิรขม
บมิข้นละกลเคย
	เลือดจางเพราะจางกมลจืด
มนะชืดมิชื่นเชย
ภูมิชาติเผชิญภยก็เฉย
บรชวนก็รวน, เชือน
	หลงถ่อยกระเท่ห์ทุษประเทศ
เพาะกิเลส กุศลเลือน
หมองหมางทะมึนมุหะเสมือน
ชนมวลละล้วนมรณ์
	ขายชาติคุโชนอคนิเชื้อ
ริปุเถือเผด็จทอน
ไทยยิ่งแยะแยกอุระสยอน
ริษยามุยายี
	แดงสดก็เสื่อมรศมิแสง
กระจะแดงอุดมดี
เลือดผีก็พล่านเพราะคณะผี
พหุพรรค์ฉกรรจ์พล
อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑
	สีขาวอะคร้าวขุ่น
จลวุ่นกระหวัดวน
ฮือฮึกพิลึกหน
กลิหื่นคระครืนโหม
	สาดทรามเปรอะลามใส่
เลอะเทอะไสยศาสตร์โซม
ครื้นครั่นสนั่นโครม
นรคร้าม สยามครวญ

	สัมพุทธผุดผ่อง
นยน์มองก็เมินมวล
แซ่ซั้นกระสันสรวล
ทุรศาสตร์ฤขาดสูญ
	จึ่งไทยมิได้ถึง
พุฒิพึ่งพระศาสน์พูน
กึกก้องคะนองกูณฑ์
ระอุกาจวินาศกรรม
	เภทภัยประลัยเผา
มหเงาชะเงื้อมงำ
เจียนนาศอนาถหนำ
มรณา ณ ธานินทร์
สัททุลวิกกีฬิตฉันท์ ๑๙
	อีกองค์ขัตติยะเผยเฉลยพจนยิน
ดวงใจมิได้จินตน์					วิจารณ์
	อ้าง ภักดีปรมินทร์มหินทร์พระมหิบาล
ค้นคิดประดิษฐ์ขาน				คดี
	อ้าง ทำเพื่อพระบพิตรสถิตภพบุรี
ชีวิตอุทิศชี-					วชนม์
	แท้ห่วงอาตมะตั้งประนังหิต ณ ตน
ทรัพย์เปรอเสนอปรน				ซิ่เปรม
	ยิ่งกินยิ่งบมิอิ่มขยิ่มตะกระและเอม
โหยหาธนา, เหม					เพราะหิว
	ทุกแถวเทือกตะละเทือกกระเดือก ณ ตะละทิว
น้ำลายกระจายปลิว					ประโปรย
	ฉันนี้จึงกระอุผ่าวระด่าวพิพิธโพย
โกงกอบระบอบโกย				มิกลาย

มันทักกันตาฉันท์ ๑๗
	โอ้...! ตรัยรงค์เรื้องธุชวรระบาย
เพริศประเจิดพราย					พระแพรวพรรณ
	โอ้...! ครายุคเข็ญขณะปะริปุรัน
สีผสานกัน						ก็สีจาง
	โอ้...! สำเนียงเสียงบุรธรณิคราง
ราวจะบอกลาง					อะดักลาม
	โอ้...! ไทยฆ่าไทยระบุยุบลความ
ใครมิได้ขาม					ฤคิดเกรง
	โอ้...! เลือดรินหลั่งกลชลละเลง
ปวงประชาเอง					สะอื้นอึง
	ขอเถิดคนไทยสหชนคะนึง
ทวนระลึกถึง					ธเรศตรี
	ขอเถิดคนไทยสละสริร์ฤดี
ภักดิภูมี						สยามินทร์
	ขอเถิดคนไทยทะนุศุภบุรินทร์
ไทยมิได้ผิน					ผละหนีไกล
	ขอเถิดคนไทยนฤมิตไผท
สร้างสว่างใส					สุรีย์แสง
	ขอเถิดคนไทยกิติยศแสดง
รุ่งจรุงแรง					นิรันดร์เทอญ
(๒๖ กุมภาพันธ์ พ.ส. ๒๕๕๐)				
23 กุมภาพันธ์ 2550 16:41 น.

น้อมวันทา พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

ตราชู

น้อมวันทา พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
                กิดาหยันหมอบกรานอยู่งานพัด

พระบรรทมโสมนัสอยู่ในที่

บุหลันเลื่อนลอยฟ้าไม่ราคี

รัศมีส่องสว่างดังกลางวัน

                พระนิ่งนึกตรึกไตรไปมา

ที่จะแต่งคูหาสะตาหมัน

ป่านนี้พระองค์ทรงธรรม์

จะนับวันเคร่าคอยทุกเวลา

                ครั้นล่วงเข้ายามดึกสงัด

สงบเงียบเสียงสัตว์ทุกภาษา

วังเวงวิเวกวิญญาณ์

พระนิทราหลับไปในราตรีฯ

                ซอบรรเลงเพลงบุหลันลอยเลื่อน

เด่นดวงเดือนดวงทิพย์ประทีปวิถี

องค์พระพุทธเลิศหล้าเลิศบารมี

เคยทรงสีซอเสียงสำเนียงนวล

                พระปิ่นแก้วปกเกศเป็นร่มเกล้า

ข้าบาทเศร้าโศกซ้ำก่นกำสรวล

ทุกวันคืนขื่นขมระทมครวญ

คิดถึงมวลเมธีกวีไทย

                แต่ปางหลังครั้งพระองค์ธำรงราชย์

ทรงเกื้อศาสตร์ก่อสุขสู่ยุคสมัย

ปวงโกวิทกวีแก้วก่องแววไว

สิ้นลำบากยากไร้อยู่ร่มเย็น

                จนสืบโยงสู่ปรัตยุบันยุค

ให้แค้นขุกขุ่นเคืองรำคาญเข็ญ

ผองกวีอ้างว้างคว้างลำเค็ญ

ไม่วายเว้นเหว่ว้าโศกาวรณ์

                เมื่อความเรียงขานเรียงคารมร่ำ

คนลืมคำกลอนเก่าครั้งคราวก่อน

วัยรุ่นเหลิงเริงเล่นตะลอนตะลอน

เลิกอาทรโลกทรรศน์วัฒนธรรม

                ลายสือศรีกวีหวานวันวานชื่น

ก็คลายรื่นเสาวรพย์ซึ่งอบร่ำ

กวีผ่าวโผยผากพะอากพะอำ

ต้องลำบากตรากตรำตรมน้ำตา

                เหมือนละม้ายไม้ต้นมาต่ำตก

ลูกดกร่วงดาษลงดื่นหล้า

ดอกเด่นโรยดอกลงดาษดา

จำคล้อยห่างเคหาอุรารอน

                มะขามโพรงโค้งคู้เป็นข้อศอก

ฝักกรอกแห้งเกราะกะเทาะล่อน

จันทน์หอมจันทน์คณาจะลาจร

มะลิซ้อนซ่อนชู้อยู่จงดี

                ลำดวนเอ๋ยจะด่วนไปก่อนแล้ว

เกดแก้วพิกุลยี่สุ่นศรี

จะโรยร้างห่างสิ้นกลิ่นมาลี

จำปีเอ๋ยกี่ปีจะมาพบ

                ที่มีกลิ่นก็จะคลายหายหอม

จะพลอยตรอมเหือดสิ้นกลิ่นตลบ

ที่มีดอกก็จะวายระคายครบ

จะเหี่ยวแห้งเซาซบสลบไปฯ

            อัญเชิญพระบารมีโมฬีโลก

ทรงดับโศกเสื่อมสูญอาดูรกษัย

เพื่อลายลักษณ์อักษราเลิศมาลัย

เสถียรไว้วัฒนาถาวรเทอญ

(๒๙ ม.ค. พ.ศ. ๒๕๔๙)

หมายเหตุ

๑.         งานชิ้นนี้ เขียนไว้สำหรับวันคล้ายวันพระราชสมภพในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ซึ่งทางภาครัฐ กำหนดให้เป็นวันศิลปินแห่งชาติด้วย

๒.คำกลอนในเครื่องหมายอัญประกาศสองช่วงนั้น ช่วงแรก คัดจากบทพระราชนิพนธ์ละครในเรื่องอิเหนา ข้อความดังกล่าว คือเนื้อร้องของเพลงไทยเดิม บุหลันลอยเลื่อน (เรียกว่าเพลง บุหลันเลื่อนลอยฟ้าก็ได้) หรือที่เรียกอีกชื่อว่า
เพลงทรงพระสุบิน เล่ากันว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงพระราชนิพนธ์ทำนองขึ้นจากพระสุบินนิมิต และทรงดนตรีเพลงนี้ด้วยซอสามสายประจำพระองค์ ชื่อซอ
สายฟ้าฟาด ส่วนช่วงสอง ตัดตอนจากบทพระราชนิพนธ์เสภาขุนช้างขุนแผน ตอนที่ ๑๘ (ขุนแผนพานางวันทองหนี)				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟตราชู
Lovings  ตราชู เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟตราชู
Lovings  ตราชู เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟตราชู
Lovings  ตราชู เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงตราชู