12 กันยายน 2551 09:10 น.
ตราชู
ปลงหัวโขน
ยามปรากฏยศทรงยิ่งยงศักดิ์
คนก็มักมึนมัว เมาหัวโขน
ร้องระบำรำเล่นโลดเต้นโยน
จึงพลอยโดนบ่วงดัก โดนชักใย
ครั้นโลภ หิว ลิ่วเหินก็เกินห้าม
มันยุ่มย่ามยุ่งยากกว่าหยากไย่
มันอิรุงตุงนังถึงข้างใน
ปลงฉันใด ยากเข็ญลำเค็ญแด
เห็นแก่ลาภฉาบเปื้อน แชเชือน ปั่น
มิอาจหันเลิกห่างจากร่างแห
ใครเล่าเกี่ยว เหนี่ยวรั้ง รุมรังแก?
จริงแล้วแต่เบื้องต้นคือตนเอง
เปลื้องหัวโขนโยนกลิ้งถอดทิ้งเถิด
ใช่ยกเชิดกลางโรง ด่าโฉงเฉง
วางมือเถิดเลิศลักษณ์ ใจนักเลง
อย่าเครียดเคร่งหน้าคล้ำหรือคร่ำคราง
การเมืองฉุดมุดมรรคอันหมักหมม
พาตกหล่มไถลลื่นลงพื้นล่าง
โกง คือเกณฑ์ เป็นแกนอยู่แก่นกลาง
ก็พังผางโดยผิด พันติดพวน
ตามหลักเรื่องเรืองไรกฎไตรลักษณ์
มียศศักดิ์ซาบซ่านสำราญสรวล
ก็มีปลิดลิดปลด ศักดิ์ยศปรวน
มันปั่นป่วนทั้งปวงหนอดวงปราณ
เมื่อเห็นในใจกระจัดแจ่มสัจจะ
ย่อมผันผละเพลาผ่อนความร้อนพล่าน
คลายโมหันธ์ ตัณหา อุปาทาน
บันดลศานติสุขนั้นนิรันดร
(๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๑)
หมายเหตุ
ผมเขียนงานชิ้นนี้ไว้ ตั้งแต่วันที่ศาลท่านตัดสินให้คุณสมัคร สุนทรเวช พ้นจากตำแหน่งแล้วครับ เหตุที่นำมาลงวันนี้ เพราะอยากให้อดีตนายก (หมาดๆ) เสียสละไม่รับตำแหน่ง เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของชาติเป็นอันดับแรก และความสบายใจของตัวท่านเองเป็นอันดับต่อไป ครับผม
11 กันยายน 2551 08:57 น.
ตราชู
แด่นิสิตนักศึกษามหาสหาย
(โครงสร้างทางการเขียน ผมได้แรงบันดาลใจจากบทกวี จากเพื่อนถึงเพื่อน ของ ท่านคมทวน คันธนู ที่ปรากฏอยู่ใน
http://www.oknation.net/blog/kuntanu/2008/07/30/entry-1/comment
ครับผม)
๑. โคลง ๔ สุภาพ
เนืองนองในอดีตนั้น...............นานา
ยามราพณ์เลวมารา...............รวบขยี้
อำนาจอิ่มนักหนา...............เอกเขนก
คนชั่วควบคุมชี้...............เชิดนิ้วทระนง
แรงปลง ริบหรี่เปลี้ย...............เปลวปราณ
ยอมมืด ยอมทรมาน...............หมกไหม้
พลัน เห็นเผ่าพลหาญ...............โหมฉกาจ
ชาญเชี่ยววังชาใช้...............เช่นเชื้อเพลิงผกาย
เนืองสายนิสิตซ้อง...............เสริมขวัญ
ผองนักศึกษาผัน...............ผาดผ้าย
ถือธงฝ่าอาธรรม์...............ทุกแห่ง
รานราพณ์อันเลวร้าย...............เร่งรื้อรอนลง
ยรรยงในเกียรติย้ำ...............เยาวชน
กอปรก่องเมืองทองถกล...............ก่อกู้
ศักดิ์สิทธิ์สืบอนุสนธิ์...............สารโศลก
เป็นเรื่องราวรับรู้...............รุ่งพร้อมพิรีย์ขลัง
๒. มาณวกฉันท์ ๘
ท้าเถอะนะท้า
กล้ามิละแกล้ว
เลิศพลแล้ว
แผ้วริปุพัง
แน่มะนะหนึ่ง
ตรึงจิตตรัง
หวังสุขหวัง
วันรวิวาม
โหดอริหิน
ฉินท์ชิวเชือด
ดาลกระอุเดือด
เลือดชลลาม
เธอฤจะท้อ
ขอทะนุคาม
ขาดฤดิขาม
ขอธิติขืน
สู้กะกระสุน
หนุนคณะเนื่อง
มองชุติเมือง
เฟื่องกลฟืน
สืบระยะสาว
ยาวยศยืน
คู่ทินคืน
คู่นรเคียง
เชิดยุวชน
ล้นวสะหลาย
เพริศพิศพราย
รายระดะเรียง
บุกบถเบิก
เกริกสรเกรียง
แซ่เสนาะเสียง-
สู้ บมิเซา
๓. กาพย์ยานี ๑๑
วารนั้น...จวบวันนี้
ยังริบหรี่อยู่หนอเรา
มึนมัว หมู่มั่วเหมา
เข้าครองเมืองครบเครื่องมือ
คนเหล่าถูกเขาหลอน
ให้เอนอ่อนเอออออือ
ชอกงำ เจ็บชำงือ
ยิ่งงมเงา ยิ่งเหงาหงอย
โค้งขดค้อมคดเคี้ยว
สู้ขับเคี่ยวสองคั่วคอย
โลดถาไม่ล้าถอย
ช่ำชองท้าชิงท่าที
แดหู่เมื่อดูเห็น
สามานย์เหม็น โสมมมี
เน่าฟ้องล้วนหนองฝี
อันหนอนเฝือฝังเนื้อฟอน
แทรกซ้ำเป็นส่ำเสีย
ยังนัวเนียอยู่แนบนอน
ย้อนแย้งยอกแยงหยอน
ยามยลยินเยียบวิญญาณ์
๔. กลอน
ร้าวหนักแสนแน่นสุม เรียกหนุ่มสาว
ให้หาญห้าวไคลหนร่วมค้นหา
หาถ้วนถี่วิถีทัศน์ถือศรัทธา
ซึ่งทรงค่าอักขูดำรูควร
เคยซึมซับสับสนวกวนกระแส
จวนเจียนแพ้ผันเผียนพลิกเพี้ยนผวน
เคยติดใยวัยเยายั่วเย้ายวน
กลับตรองทวนหลายทบก็พบทาง
นิสิตศักดิ์ นักศึกษา จึงมาสู้
จึงมาอยู่มายาตรคลาคลาดย่าง
ไฟฝันฟ่อง มองฟ้า มัว ฝ้าฟาง
หวังคลายหมางค้างหมองที่ครองมนต์
ขอเธอนั้นมั่นแนวแน่แน่วตระหนัก
ใช่เยื้องยักหยุดยอระย่อย่น
แต่เธอต้องตรองเติมส่งเสริมตน
ให้เข้มข้นแข็งขันกลางมรรคา
ใช่เทิดมือถือมั่นแค่ พันธมิตรฯ
จนหวุดหวิดวับหวำเพลี่ยงพล้ำผวา
จงตรึกชอบ ตอบ ชี้ ด้วยปรีชา
แล้วโถมท้าอธรรมทั่วด้วยตัวเธอ
การเมืองใหม่ ใดมาหากพร่าหม่น
อย่าจำนนซบหน้า ต้องกล้าเสนอ
ความจริงแจงแจ้งใจเมื่อได้เจอ
ใดเลิศเลอ ใดกลี ต้องชี้ลง
นิสิตศักดิ์ นักศึกษา เงยหน้าสู้
ลาญเหล่าผู้พาลพลให้ป่นผง
หนักแน่นในใจนำเจตน์จำนง
มือกุมธงคุณธรรม์คงมั่นเทอญ
(๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๑)
ข้อความฝากทิ้งท้าย
ผมฟังข่าว นิสิต นักศึกษา จากหลายสถาบัน ออกมาเคลื่อนไหวมีส่วนร่วมทางการเมืองแล้วชื่นใจครับ อย่างน้อย พวกเขาได้ตื่นตัวแล้ว และนี่จะเป็นโอกาสดีให้พวกเขาเรียนถูก เรียนผิด เก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปใช้ในวันข้างหน้า ผมอยากเห็นนิสิต นักศึกษา เติบโตต่อไป มีอุดมการณ์เพื่อมวลชน เพื่อประเทศชาติไม่เปลี่ยนแปลง แหละไม่หลงทาง มิใช่แค่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว จึงเขียนงานชิ้นนี้ขึ้นครับผม
10 กันยายน 2551 08:12 น.
ตราชู
หักหอก หอกหัก
หอบฮักเข้าหักหอก
ซึ่งย้ำยอกเสียดยอนแยง
หักผลาญหอกพาลแผลง
ที่เร็วผลุนทารุณพลัน
บ้า หยาบ ด้วยบาปยวด
เรียกตำรวจรุมตีรัน
โจมโผนจู่โจนผัน
ใช้เชี่ยวพลกับชลผอง
ฮึกฮัก ต้องหักหอก
ที่เลวพอก ที่ลำพอง
ขานลั่นใช้ครรลอง
คือสั่งไล่เสือกไสเลย
หอกปักก็หักป่น
ไม่ก่อกลมาก่ายเกย
โยก ฉุด ฤาหยุดเฉย
จึงเฉิดฉาย จึงได้ชัย
หอกเดิมมิเหิมเดช
สมดังเจตน์แสนดีใจ
ที่นี่หรือที่ไหน
คงใสเนียนขาดเสี้ยนหนาม
ขอนิด... หยุดคิดหน่อย
ใช่ต้อยต้อยไชโยตาม
หอกซัดจากหัตถ์ทราม
ไม่สิ้นสุดมนุสสา
หอกป่นเก่าก่นไป
หอกเล่มใหม่กำลังมา
หน่วงแค้นปักแน่นคา
ในอกขัดอั้นอัดเคือง
เช่นนั้น เป็นฉันนี้
เหมือนบาปมีมาบังเมือง
หวังรุ่งอำรุงเรือง
กลับรุ่งริ่งสรรพ์สิ่งหรอ
หอกใหม่หักไม่หมด
เมื่อคนคดยังค้ำคอ
เสรีสุขศรีรอ
ไม่เห็นหรอก...เมื่อหอกราย!!!
(เขียนร่างไว้ล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ ครับ)
หมายเหตุ
ลีลากาพย์ยานีเยี่ยงนี้ ผมอาศัยศึกษาจากงานกวีนิพนธ์ของกวีหลายท่าน ครับผม
ข้อความทิ้งท้าย
ผมว่า นักการเมืองกี่คนกี่คน รัฐบาลกี่ชุดกี่ชุดจะขึ้นมาบริหารประเทศในวันข้างหน้า ก็ยังคงเป็นหอกตำใจประชาชนอยู่วันยังค่ำแหละครับผม
5 กันยายน 2551 09:47 น.
ตราชู
สยามมานุษย์สะตึ
(แรงบันดาลใจจากโคลงพระราชนิพนธ์ สยามานุสติ ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ครับผม)
รักราช ไยเจตน์ร้าย...............ราวี
รักชาติ กลับยายี...............ย่ำไว้
รักศาสน์ แต่กาลี...............ลนจิต ถ้วนเวย
รักศักดิ์ จงจิตให้...............โหดร้ายฤาเขิน
ยามเดินยืนนั่งพร้อม...............เพรียงรณ
รำลึกถึงพวกยล...............อยู่ยั้ง
ปองรัฎฐมณฑล...............ไทยป่วย ประจานฮา
ชนล่มสลายเมื่อตั้ง...............แต่เหี้ยมฮือประหาร
ไทยรานไทยรุกจ้วง...............โจมไทย
เรารบกันขาดใจ...............จ่อมดิ้น
เสียเนื้อเลือดหลั่งไหล...............ยอมสละ สิ้นแล
เสียชีพไป่เสียสิ้น...............ชั่วสร้างสิ่งทราม
หากสยามยังอยู่ยั้ง...............ยืนยง
ตูก็ขออยู่คง...............คู่ด้วย
หากสยามพินาศลง...............ตูหลีก ได้ฤา
เมืองมอดตูไม่ม้วย...............มุ่งทิ้งสกุลไทย
(๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๑)
คำกราบบังคมทูล
ขอเดชะ สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า ผู้ทรงพระราชปรีชาญานหาที่สุดมิได้ ข้าพระพุทธเจ้า นายชูพงค์ ตรีวัฒน์สุวรรณนำโคลงพระราชนิพนธ์ในใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทมาดัดแปลง ทั้งนี้ จักมีเจตนาล้อเลียน ฤาลบหลู่ก็หาไม่ เพียงประสงค์จะเสียดสียุคสมัยปัจจุบันอันลูกหลานไทยมิได้ประพฤติตามโคลงสยามานุสติเลย มีแต่หันหน้าเข้าทำร้าย ทำลายกันอย่างน่าอนาถนัก หากการกระทำทั้งนี้ เป็นที่ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทแล้วไซร้ ขอใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท โปรดทรงพระกรุณาพระราชทานอภัยโทษแก่ข้าพระพุทธเจ้าผู้ต่ำทรามด้วยเทอญ พระพุทธเจ้าข้า
หมายเหตุ
โคลงพระราชนิพนธ์ สยามานุสติ ฉบับเดิมนั้น ผมค้นคว้าจากเว็ปไซต์
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%AA%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B4
ครับผม
3 กันยายน 2551 11:32 น.
ตราชู
แผลแผ่นดิน
๑. โคลงมณฑกคติ (โคลง ๕ ดั้น)
ศรีศักดิ์สิ้น...............สูญศรี
ผองภูตพันธุ์...............ผุดอื้อ
ไทยตามตี...............ไทยต่อ
ยุทธ์แย้งยื้อ...............แยกสลาย
หาญก่อเหี้ยม...............ฮึกเหิม
ตายเป็นตาย...............แตกดิ้น
เติมฟืนเติม...............ไฟติด
โดยใช้ลิ้น...............หลอกระดม
ทุกทิศแท้...............ทนตรอม
เมืองโสมม...............เมือกข้น
ใครฤายอม...............เยง หยุด
คนเค้นค้น...............เข่นกัน
อายสุดแล้ว...............แลสยาม
เคยเนานันท์...............อนาถ โอ้!
สรรค์เหตุทราม...............สาหัส
ยากเลี้ยวโล้...............หลีกหนี หลบหนี
๒. อีทิสังฉันท์ ๒๐
เดือดประเดประดังควะควั่งฤดี
ประเทศไผทประลัยวิถี
ทลายธรรม
ขัณฑะมิ่งสิมาถลาคะมำ
ฉไกรฉกาจวินาศระกำ
กมลหมอง
ใครล่ะใครจะเข้าทุเลา ประคอง
สถานการณ์คุพล่านเพราะกอง-
พิบัติกูณฑ์
แม้นอมรวิมานตระการจรูญ
ก็พ่ายปิศาจระดาษอสูร
อสัตย์สึง
แจ้งประจานทุลักษณ์ประจักษ์ ตะลึง!
ทุมารทะมื่นน่ะยืนขมึง
เขม้นหาว
ปานจะกลืนรวีรุจีวะวาว
ขยอกคณาประชาระนาว
ประนังมรณ์
โอ! บุรีวิวัฒน์จรัสบวร
สยองสยบประสบสยอน
แสยงใจ
๓. กาพย์ฉบัง ๑๖
รุมพิษ ฤทธิ์ผ่าวร้าวภัย
คราหวั่นครั่นไหว
อุณห์วก อกว้าอาวรณ์
บูรทาบบาปทัณฑ์บั่นทอน
จู่โถมโจมถอน
ทุกที่ถี่ถึงทึ้งแทง
แข่งกล คนก๋าฆ่าแกง
พลุกพล่าน ผลาญแผลง
เหวี่ยงแพลงแว้งผลุนวุ่นพลัน
ทึบติด ทิศต่าง ทางตัน
คึกขู่คู่ขัน
สองข้างสร้างแค้นแสนเคือง
ป่วนมอง ปองหมั่นปั่นเมือง
จึ่งเหน็บเจ็บเนือง
เจ็บหนำ จำในใจหนอ
ขบเขี้ยว เคี้ยวเข่น เค้นคอ
บุกบ่าบ้าบอ
ฤาเบา เร้าบ่อนรอนเบียน
ร้ายทุ่มรุมไทย ไร้เทียน
แสงวาดสาดเวียน
สูญวับสรรพวิ่นสิ้นหวัง
ภูว์พกผกผินภินท์พัง
ร้าวย่อย รอยยัง
หลายย่านลาญแยกแหลกเยิน
๔. กลอน
เชิญท่านเชิญเดินไต่บันไดศพ
ซึ่งท่าวทบเทียมแถวเนื่องแนวเถิน
เชิญชูเชิดเฉิดฉัน เชิญท่านเชิญ
ดุ่มด้นเดินดิ่งก้าวเก็บดาวดวง
เรา ชีวาตม์ขาดรอนล้มนอนก่าย
รรรเรียงรายเรี่ยหล่นเกลื่อนกล่นร่วง
เพียงเพื่อรู้พรูพลังเราทั้งปวง
แท้ ท่านลวงเราไว้เพื่อใช้แรง
ชัยชนะประชาชน ยังหม่นช้ำ
เฉกเช่นกรรมก่อนกาลถูกท่านแกล้ง
ชัยชนะประชาชน ถูกปล้นแปลง
แท้ ตำแหน่งผู้นำนั่งกำชัย
ชัยชนะประชาชน พูดพ่นพร้อง
หลงเสียงซ้อง ศรัทธาถ้อยปราศรัย
ชัยชนะประชาชน พูดพ่นไป
ทั้งที่ไร้เวลา ไร้วาระ
เชิญท่านเชิญเดินไต่บันไดศพ
ซึ่งกองกลบรอบกายเรียงรายระกะ
โชคชัยทองของท่านคือพันธะ
ชัยชนะของเรานี้ไม่มีจริง!!!
(๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๑)
หมายเหตุ
๑. กาพย์ฉบังในงานชิ้นนี้ ผมใช้ลีลาของกลบทกบเต้นสามตอน ซึ่งศึกษาจากหนังสือ ประชุมจารึกวัดพระเชตุพน ที่ท่านอาจารย์นิยะดา เหล่าสุนทร และท่านคณะสงฆ์วัดพระเชตุพน เป็นบรรณาธิการ และจากหนังสือ กฎบนกลบท ของ ท่านคมทวน คันธนู ครับ
๒. ผมเขียนงานชิ้นนี้ขึ้น จากแรงสะเทือนใจเรื่อง นปช. ตี พธม. ครับผม