10 ตุลาคม 2551 08:23 น.
ตราชู
โบว์สายรุ้ง
โบว์จากฟ้ามาระบายเป็นสายรุ้ง
เขตโค้งคุ้งคัคนานต์ตระการโน่น
งดงามล้ำอัมพรแผ่อ่อนโยน
จากสรวงโพ้นพาดผ่านประทานพร
เธอ ผู้ซึ่งประหนึ่งรุ้งเรืองรุ่งนี้
เธอ งามศรีงามสรรพเอกอัปสร
เมื่อสูญสิ้นวิญญาณ์ หยุดอาวรณ์
หยุดเร่าร้อนรุ่มถวิล หยุดดิ้นรน
หลับเถิดเธอเลอเลิศ หลับเถิดหลับ
ฟ้าพร้อมรับเธอให้ครรไลหน
เป็นโบว์ฟ้าอ่ารุ้งอำรุงสกล
ส่องใจคนคราวคลั่งทุกครั้งครา
ให้หยุดรุกปลุกระดมสังคมเดือด
หยุดเอาเลือดละเลงเล่น หยุดเข่นฆ่า
หยุดเหนี่ยวนำอำนาจเพื่ออาตมา
หยุดนำพาคนทั้งหลายไปตายแทน
แล้วก่อฐานสะพานทองทุกท้องที่
แล้วรวมพี่รวมน้องเกี่ยวคล้องแขน
แล้วแน่นหนักหลักเกณฑ์ รัก เป็นแกน
สร้างสรรค์แม้นรุ้งละไมวิไลละออ
เมื่อโบว์ฟ้ามาระบายเป็นสายรุ้ง
คือแสงรุ่งแสงล้อมรักหลอมหล่อ
วาดหวังไว้ใจเรายังเฝ้ารอ
ยามรุ้งทอคือชวาลวิญญาณเธอ
แด่การจากไปของ คุณโบว์ อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ ครับผม
(๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๑)
หมายเหตุ
ผมตั้งใจจะเขียนงานสักชิ้นหนึ่งให้คุณโบว์ อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ ตั้งแต่รู้ข่าวการเสียชีวิตของเธอแล้วครับ แต่ขณะนั้น ความเศร้าอันหนักหน่วงกดอารมณ์จนตื้อตันไปหมดทั้งสมอง โบสายรุ้ง จึงออกมาล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็นครับผม
8 ตุลาคม 2551 09:17 น.
ตราชู
ร้าวระทม ลมตุลา
โคลง ๔ สุภาพ
ลมเอยลมลิ่วโอ้...............อาดูร
ลมผ่าว ลมตุลาพูน...............เพิ่มไหม้
ลมโศกไป่ราสูญ...............ทรวงสั่น
ลมล่อง โลหิตไล้...............หลั่งแล้วชโลมลง
พันธุ์พงศ์คือเผ่าพ้อง...............ภูมิสยาม
พลันสยบ ภพซมยาม...............โยกเขยื้อน
เพลิงโพลงพลุ่งโพลงพลาม...............ผลาญสรรพ
ทึกทึกศึกโถมสะเทื้อน...............ทั่วด้าวแดนดิน
ธรณินทร์จำเจ็บนี้...............นมนาน
ไทยบุกไทยรำบาญ...............บั่นห้ำ
ไทยโหดหักหาญประหาญ...............ฮือประหัต
ชอกชีพ ชาติชอกช้ำ...............ชุ่มชื้นชลนา
ชีวามิว่างเว้น...............ฤดีหวิว
ลมปั่น ใบพฤกษ์ปลิว...............ปลิดเปลื้อง
เพรียกขวัญควั่งขวัญควิว...............ควากหล่น
ริบหรี่ฤามีเรื้อง..........รุ่งแพร้วนภาฉาย
วสันตดิลกฉันท์ ๑๔
ยิ่งย้ำระยำประทุษหยาบ
พฤติบาปทุโรบาย
ลุยล่าธราดลทลาย
ทะลุล่มถล่มลง
เลื่อนลั่นถลันปะทะมิลด
ประลุกฎเคราะห์กรรมกง
สาดซัดก็อัสสุชลสรง
เพราะอสูรประยูรสึง
หลายที่วิถีมุทะลุท้วง
รณจ้วงกระโจนจึง-
ต่างบั่นตะบันพลตะบึง
ขณะบาบขนาบโบย
อ่อนล้า ตุลารุธิรไหล
ทรภัยพิบัติโภย
เหตุหั้นมิหรรษ์มนะระโหย
สรไห้พิไรฮือ
แค้นยังคุยั่งปะทุขยาย
ภยร้ายจะผ่อนฤา?
ต่างถาแหละท้าทฤษฐิถือ
กุธโถมคระโหมทัณฑ์
เซซ้ำระส่ำ ณ ตะละส่วน
มหิครวญสะอื้นครัน
วอดว้างสว่างสิริสวรรค์
ปฐวีทวีเวร!!!
(๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๑)
หมายเหตุ
สถานการณ์เช่นนี้ ผมสงสารในหลวง เป็นห่วงประเทศชาช ประชาชนทุกฝ่าย ทุกด้าน มากที่สุดครับผม
25 กันยายน 2551 16:39 น.
ตราชู
เมืองใหม่
(ผมได้แรงบันดาลใจจากบทกวีชื่อ บทโศลกบนโลกนี้ นิพนธ์โดย ท่านคมทวน คันธนู ในหนังสือ เรียงถ้อยขึ้นร้อยถัก ครับผม)
อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑
เมืองใหม่จะไร้เมฆ
รุจิเรขนภารอง
ไม่มีฤดีหมอง
ปิติมื่นระรื่นมาน
เมืองใหม่จะไร้หมู่-
ฉลผู้พิสัยพาล
ทอดทางสว่างฐาน-
คุณธรรมประจำแทน
เมืองใหม่จะไร้ม่าน
มลดาลสลัวแดน
เทียมทันสวรรค์แถน
ทิพถิ่นบุรินทร
เมืองใหม่สมัยมิ่ง
สิริจริงฤจากจร
โสภิศสฤษฎิ์พร
พุฒิแผ่ตระแบ่ผาย
เมืองใหม่สมัยมาศ
ผิว์วิวาทก็บังวาย
ทุกคาบละหยาบคาย
เพราะสุขุมจะคุมคน
เมืองใหม่สมัยมั่น
สหฉันททั่วชน
เศร้าซัดเคราะห์ขัดสน
สละเศร้า มิเซาโซ
หาเนือง เอ๊ะเมืองไหน
ระบุไว้ระบือโว
ค้นค้นกระวนโข
มิปะเขตนิเวศน์ขัณฑ์
เมืองใหม่ไฉนมี
ตะละที่พะอาธรรม์
เมืองใหม่ไฉนมัน-
ทรมาน์เสาะหาเมือง
เมืองใหม่กระไรหม้าย
อุระคายระคางเคือง
ชาวหล้าน่ะหน้าเหลือง
สุขลบ มิสบเลย!
(๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๑)
23 กันยายน 2551 11:00 น.
ตราชู
บาดทะยัก
(แรงบันดาลใจ ผมได้จากถ้อยคำของ ท่านหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ในหนังสือนวนิยาย ไผ่แดง ที่ท่านกล่าวว่า สังคมเป็นบาดทะยัก ครับผม)
หวังหายคลายเคลื่อนเลือนโรค
เลือนสิ่งโสโครก สิ้นค่า
ใจลอยคอยหมอรอยา
คิดว่าความหวังยังวาว
ไข้เมืองเคืองไหม้ใคร่หมด
กวาดคดเกลี้ยงแคว้น แดนขาว
ฟ้าเรืองเฟื่องรุ้งรุ่งราว-
แสงพราวสรวงพรายฉายพร
กลับแพร่แผ่พิษผิดหวัง
ความหลังคุกคามตามหลอน
โรคามาใหม่ไชชอน
กัดกร่อนเกลื่อนกลุ้มรุมกิน
ช้ำฟกอกรอนอ่อนล้า
ปานว่าชีวาตม์ขาดวิ่น
ฝันแคล้วแล้วลอยคล้อยบิน
ทั่วถิ่นท้อแท้แน่ไทย
ยังโขโสโครกโรคเก่า
ปราศเค้าผู้แปรแก้ไข
ซ้ำโซโศกาอาลัย
โรคใหม่ราวมารลาญทัก
มากนองหมองเนืองเมืองนี้
เพียงผีผลุนผลันพลันผลัก
ทรุดเพิ่ม เสริมเผ่าเศร้าพักตร์
บาดทะยัก ยอกแย้งแยงยอน!
(๒๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๑)
ข้อความฝากทิ้งท้าย
ผมฟังชื่อ ครม. ชุดนี้ แล้วคิดว่าบ้านเมืองคงซมอีกนานพอสมควรหละครับผม
19 กันยายน 2551 11:07 น.
ตราชู
ขอวิงวอน
คราวน้ำบ่ามาท่วมก็รวมทุกข์
หลายแหล่งขุกเข็ญขื่นสะอื้นคร่ำ
เย็นยะเยียบเงียบเหงา ความเศร้างำ
พวกใจดำยังแสดงกันแข่งดี
พวกหนึ่งห่า หาขย้ำแย่งอำนาจ
อวดอุกอาจเอาเอาแต่เก้าอี้
พวกหนึ่งท้วงทวงท้าเผยวาที
ว่าต้องมี การเมืองใหม่ ต้องได้มา
ทิ้งคนทุกข์รุกกระหน่ำเพราะน้ำท่วม
ให้ทนอ่วมโอดโอยเรียกโหยหา
ทิ้งคนกลุ่มชุ่มฉ่ำโชกน้ำตา
ให้แลหน้า เหลียวหลัง อยู่ลังเล
ไหนเล่าใคร ไหนผู้ค้ำชูช่วย
ที่ใจสวยสาดแสงไม่แสร้งเส
ไหนเล่าผู้รู้คลาย รู้ถ่ายเท
ให้ธารเหเหือดแห้งหนแห่งไป
มาเถิดมากล้ากู่กล้ากู้ชาติ
โดยกู้ราษฎร์ร้อนรน ร้าว หม่นไหม้
โดยกอบกู้ผู้ตระหนกอุทกภัย
กู้ด้วยใจกรุณาหนุนปรานี
จนน้ำหลากพรากลดเหือดหมดหล้า
แล้วค่อยมาเครียดขมึง ค่อยอึงมี่
แล้วค่อยมาล่าระห่ำโหมย่ำยี
ให้ป่นปี้กันไปตามใจปอง
หรือจะปล่อยลอยแพผู้แผ่พับ
ปล่อยเขาคับแค้นขุ่นคิดครุ่นหมอง
ปล่อยเขาแค่นแค้นไข้ขมใจครอง
ปล่อยเขาต้องตกระกำ จมน้ำตา???
(๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๑)