22 กันยายน 2549 10:02 น.
ต. ดาวเหนือ
ในสังคมปัจจุบันนี้ถ้าคนเราไม่ยึดติดกับวัตถุนิยมมากเกินไปกับค่านิยมที่จะต้องมีบ้านที่หรูๆอยู่มีรถที่ดูดีราคาแพงขับ ผมว่าเราคงจะไม่ต้องลำบากในการหาเงินให้กับเจ้าสิ่งเหล่านี้สังคมน่าจะดีกว่านี้แยะเลยเพราะทุกคนก็จะไม่ต้องแก่งแย่งกัน (รู้จักพอเพียงไง)
ในความรู้สึกผมคิดว่ารถเมล์ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ดูคลาสสิคดีนะ ถ้าเรามองอย่างใจรัก เพราะรถเมล์ก็ดูมีเสน่ห์อยู่ในตัวของมันเองออกนะ เหมาะกับทุกเพศทุกวัยและไม่มีการแบ่งแยกชนชั้นด้วย ยิ่งถ้าเป็นคนที่กำลังรักกันใหม่ๆ ก็สามารถใช้รถเมล์เป็นเครื่องทดสอบหรือบอกความรักกันก็ได้ อย่างเช่น
ถ้าไม่มีที่นั่งเราก็ยืนด้วยกัน มีที่นั่งเราก็นั่งด้วยกัน ถ้ามีที่เดียว คุณก็นั่งผมก็ยืน ถ้ามีหลายที่แต่ห่างกัน ก็แยกกันนั่งแบบห่างๆ แต่ห่วงๆ ความสุขมันอยู่ตรงนี้ต่างหาก
เพราะบางทีรถหรู แต่คนไม่คุยกันห่างเหินกันก็เท่านั้น ผมว่านี่คือเหตุผลที่แม้บางคนที่มีรถก็มิใช่ว่าจะสามารถตอบสนองความรู้สึกได้อย่างที่ตนหวังเสมอไป อาจจะมีความสุขน้อยกว่าคนที่ต้องโหนรถเมล์ไปทำงานทุกวันก็เป็นได้ ความสุขที่แท้จริง กับความสะดวกสบาย และความโก้หรูดูดี บางครั้งมันก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันเสมอไป ว่ามั้ย? นึกออกป่ะ?
21 กันยายน 2549 16:57 น.
ต. ดาวเหนือ
บนรถเมล์..
ผมรู้สึกว่าผมสังเกตุเห็นความเหงา
ผมเห็นมันอยู่มากมายและรู้สึกว่ามันมีอยู่ทั่วไป
สิ่งที่เห็นนี้ก็คือ ความเหงา ซึ่งมันดูเอ่อล้นออกมาจากสายตาหลายๆคน...
ทำไม"เหงากันจัง" ซึ่งความคิดที่ผมกระซิบบอกกับตัวเอง
ผมไม่ได้มาทำเป็นรู้ดี เพียงเพราะว่าผมเองก็เหงาอยู่ และเหงาบ่อยๆเวลาที่ขึ้นรถเมล์เดินทางไปตามที่ต่างๆ
จนผมรู้สึกว่าผมแอบมองความเหงาของคนอื่นได้เหมือนกัน
แต่สิ่งที่เป็นวัฒจักรก็คือ รถเมล์วิ่งไปบนเส้นทางประจำของมัน
ซึ่งพฤติกรรมส่วนมากบนรถ คือ จะมีเสียงพูดคุยกัน และ มีเสียงเพลงเบาๆ
ท่ามกลางผู้คนที่มากมาย จะมีซักกี่คนกันนะที่ไม่เคยเหงา...แล้วจะมีเหรอ
แต่บนรถเมล์...ผมแอบเห็น
ผู้หญิงคนนึงแอบปาดน้ำตา
และผมก็เห็นคนแก่ที่นั่งมองดูเด็กตัวเล็กๆ
เห็นผู้หญิงวัยกลางคนโทรศัพท์เสียงดัง
มองเห็นผู้ชายที่นั่งอยุ่หลังสุดนั่งมองคนๆอื่นบนรถ
มองเห็นเด็กวัยรุ่นที่นั่งเหม่อไปทางหน้าและก็อื่นๆอีกหลายอิริยาบท
ลมพัดเข้ามาทางหน้าต่าง ทำให้พาความคิดล่องลอยออกไป
"ความเหงาของทุกคนต่างกำลังเดินทาง..ด้วยความคิดถึง
บางคนก็รอคอยจะกลับไปหาคนสำคัญ
บางคนก็รอคอยสักวันจะได้กลับไปพบใครสักคน
บางคนออกตามหาความสุข
บางคนใช้เวลาทุกวินาทีกับการทำงาน เพื่อความมั่นคง
แต่กลับลืมเวลาที่จะมีให้กับตัวเอง
การเดินทางของความเหงาคนทุกคนต่างดูเดียวดาย
บางทีที่อยู่ท่ามกลางคนเหงาบางทีก็ไม่เหงาเท่าไหร่
เพราะเห็นคนรอบข้างเหงามากมาย เราไม่ได้เหงาคนเดียว
นั่นไม่ได้ทำให้หายเหงาหรอก แต่บางที
ที่เราเหม่อออกไปมองเด็กตัวเล็กๆในรถคคันอื่น
แล้วเขาโบกมือมาเราก็ยิ้มโบกมือกลับ แลกรอยยิ้มกับเขา
ก็การเดินทางน่ะ มันต้องมีการได้พบปะการสวนทาง การพบเจอกันเสมอ
แม้จะเดียวดาย แต่การเดินทางสักวันก็จะต้องสิ้นสุดลง
ไม่รู้ว่าการเดินทางของทุกคนเป็นเหมือนกันไหม
ที่เหงา แล้วอยากจะไม่เหงา...
แต่คงไม่มีใครอยากเหงานักหรอก(มั่ง)
บางครั้งถึงจุดหมายที่รถเมล์จอด...
แต่ความเหงาเราก็ไม่ได้หยุดเดินทางเลย...