18 มกราคม 2554 15:06 น.

ชีวิตเด็กวัด ตอน.. ปลุกจิต

ดาวศรัทธา

“เฮ้ย.. เล็ก ช่วยจับดึงนิ้วมือออกมา”

ฉันรีบเข้าไป ช่วยดึง ช่วยแกะ นิ้วมือที่สอดประสานไขว้กันอยู่ในแบบพนมมือ แต่เกร็งเกี่ยวยึดติดกันแน่นมาก ทำไปแบบกลัวๆกล้าๆ เพราะเป็นอาการที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

บักจ่อย ที่นอนหงายหลับตาเกร็งทั้งตัวอยู่นั้น เพิ่งทำพิธีปลุกจิตไปเมื่อชั่วครู่ โดยมีพิธี เริ่มจาก เขียนชื่อหญิงสาวที่จะส่งจิตไปหาไว้ในกระดาษ พร้อมดอกไม้ ยัดไว้ในกำมือที่พนมสอดนิ้วไขว้กัน ก่อนทำพิธี จะจุดธูปเทียนบอกกล่าวและบริกรรมคาถาอะไรพักหนึ่ง หลังจากพร้อมสรรพทุกคนมานั่งล้อมวง บักจ่อยก็เริ่มสั่นข้อมือโดยพับแขนจากข้อศอกถึงข้อมือ สั่นเข้าๆออกๆ กระแทกหน้าอก เริ่มจากช้าๆแล้วเร่งเร็วขึ้นๆ จนรัวแบบนับไม่ทัน อยู่ในอาการสั่นแบบนั้น แล้วแผ่วลง จนพูดคุยโต้ตอบกับคนรอบข้าง

จุดประสงค์ของการปลุกจิต คือการถอดจิตไปหาสาวในใบกระดาษที่เขียนระบุ เพื่อพาจิตของสาวนั้น ซึ่งน่าจะหลับอยู่ มาเข้าตัวคนปลุก แล้วคนรอบข้างจะคุยไต่ถามต่างๆนานาๆตามที่อยากรู้  จึงทำตอนดึกๆ ในเวลาที่คาดว่าสาวเจ้านอนหลับแล้ว

คืนนั้น ผู้ที่นั่งล้อม บักจ่อย อยู่นอกจากฉัน ก็มี พี่เหมอ คนที่รักสาวแล้วอยากเชิญสาวมาถามความลับด้วยวิธีพิสดาร พี่เหมอเป็นคนเมืองพล ขอนแก่น มาเรียนวาดเขียนรูป เป็นคนแรกที่สอนฉันพูดภาษาอิสาน เป็นคนคุยสนุก มีทั้ง ผญา นิทาน และ หมอลำ ให้ฟัง คนถัดมาคือ พี่เกียรติ เป็นผู้ใหญ่ ทำงานแล้ว อาจเป็นญาติกับหลวงพี่ เพราะหน้าตาละม้ายกัน คนสุดท้าย คือพี่หงัด เป็นคนสีคิ้ว โคราช เรียนจบโรงเรียนวัดเทพฯ รุ่นเดียวกับพี่ชายของฉัน เป็นคนมีน้ำใจดีมาก

บักจ่อย เพิ่งเข้ามาวัดอยู่ไม่กี่วัน พักอยู่กุฏิอื่น คล้ายว่าหนีคดีจากอิสาน เพราะไปทำพิธีปลุกจิตสาว แล้วมีเรื่องอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงต้องเผ่นหนีเข้ากรุง หน้าตาท่าทาง ดูซื่อๆไม่มีพิษมีภัย หน้าอมยิ้มอารมณ์ดีตลอดเวลา ด้วยกิติศัพท์ดังว่านี้แหละ จึงเป็นเหตุให้ เด็กวัดหนุ่มหลายคนอยากรู้อยากลองให้รู้เห็นกับตา

...
ฉันพยายามเข้าช่วย แกะนิ้ว ดึงมือของบักจ่อย ที่ตอนแรกก็นั่งสั่นมือ ได้สักพักก็หงายผลึ่งนอนหลับตากำมือเกร็งอยู่อย่างนั้น  จนพี่เกียรติ ร้องเรียกทุกคนให้เข้าช่วย จนในที่สุดก็แยกออกจากกันได้  บักจ่อยยังนอนระรวยหลับตาแบบไม่มีสติ พอช่วยกันเรียกปลุก สักพัก ก็ลืมตาขึ้นมา งึมงำพูดว่า
“ออกไปบ่ได้ มีพระสูงใหญ่ตัวดำขวาง”

พี่เกียรติเล่าว่า เคยมีพระรูปลักษณะดังกล่าวอยู่ที่กุฏินี้ แต่เสียชีวิตไปนานแล้ว
...

คืนนั้น ผ่านไปแบบ ไม่รู้ไม่เห็นอะไรนัก และน่าเข็ดขยาดกับอาการที่เกิดกับ บักจ่อย คืนก่อนวันพระถัดมาอีกหนึ่งอาทิตย์ พวกพี่ๆยังอยากลองทำอีก เหตุที่ต้องทำคืนก่อนวันพระ เพราะบักจ่อยบอกเช่นนั้น

ฉันเห็นพวกพี่เตรียมของต่างๆ และได้ยินคุยกันจึงรู้ว่าเขาเตรียมการจะทำอีก แต่คราวนี้นัดกันไปทำข้างนอกกุฏิ และไม่ให้ฉันตามไปโดยบอกว่าเป็นเด็ก ไม่ให้ไปยุ่ง ฉันเลยเฝ้ารอฟังผลที่กุฏิอยู่คนเดียว
ฉันอ่านหนังสือรออยู่จนง่วง เตรียมจะนอนแล้ว พลันพวกพี่ๆทั้งหมดก็กลับมาที่กุฏิ แต่บอกว่ายังไม่ได้ทำ จะมาทำกันในกุฏิแบบคราวก่อน โดยไม่บอกเหตุผล ฉันเดาว่าคงหาที่เหมาะๆไม่ได้ หรือเกรงคนอื่นรู้เห็นเข้า เดี๋ยวโดนพระอาจารย์เล่นงานยิ่งเลวร้ายหนัก อาจถึงกับโดนไล่ออกจากวัดด้วย จะพาลซ้ำรอยกับบักจ่อย ที่ทำอยู่กลางนาแล้วเกิดเหตุให้ต้องเตลิดหนีมา

ก่อนทำพิธี พี่เกียรติจุดธูปเทียน บอกกล่าวขอพระอาจารย์รูปที่บักจ่อยบอกว่าขวางไว้นั้น แล้วจึงเริ่มต้นตามแบบที่ทำเมื่อคืนก่อน คราวนี้ ผ่านไปนานจนดูเหมือนจิตบักจ่อยออกไปถึงแถวๆโรงหนังเฉลิมเขต โดยมีการพูดโต้ตอบกับพวกพี่ๆที่คอยบอกทาง สักพัก  ร่างบักจ่อยกระตุกขึ้นและร้องออกมา
“โอ้ยๆ.. ไปบ่ได้ ผีหลายโพด สิกลับแล่ว กลับจังใด๋ ไปบ่ถืก”

ทันใด บักจ่อยก็หงายผลึ่ง นอนเกร็งทั้งตัวแบบคราวก่อน แต่ดูอาการหนักกว่ามาก ทุกคนช่วยกันปล้ำดึงมือออกจากกัน พอมือทั้งสองหลุดออกจากกัน บักจ่อยยังนอนหลับเกร็งไม่รู้ตัวอยู่นาน ปลุกเรียกอย่างไรก็ไม่ฟื้น แม้พี่เกียรติจุดธูปขอขมาพระอาจารย์ก็แล้ว อาการยังไม่ดีขึ้น
นานจน พวกพี่ๆเห็นท่าไม่ดี จึงช่วยกันแบกอุ้มบักจ่อย พากันไปหาหมอที่โรงพยาบาลหัวเฉียว

คืนนั้น กว่าพวกพี่ๆจะกลับมาที่กุฏิ ก็จวนรุ่งเช้า และเล่าว่า บักจ่อยนอนรับน้ำเกลืออยู่ใน โรงพยาบาล โดยหมอบอกว่าเป็นเพราะขาดการพักผ่อน

.........
วันเสาร์ ฉันไม่ต้องไปโรงเรียน ตอนบ่าย ฉันเดินกลับมาจากธุระเข้ามาทางหน้าวัด เห็นบักจ่อย นั่งอยู่บนแท่นหอคอยริมบ่อเต่า จึงเข้าไปคุย อยากจะถามเรื่องต่างๆที่ติดค้างในใจ บักจ่อยปีนลงมานั่งข้างๆ พลางก็ทำ ขาสั่นกระตุก อยู่ตลอดเวลาโดยไม่หยุด
ฉันรู้สึกทึ่งว่า บักจ่อย กำลังทำพลังจิตลึกลับใดกัน จึงเซ้าซี้ซักถามเป็นการใหญ่
บักจ่อยจึงบอกว่า

“บ่แม่นเด๊ เฮ็ดขาซันซือๆ เจ้าก็ล้องเฮ็ดเบิ่งดู๋”

ฉันลองทำ ห้อยขาเขย่งทำสั่นที่ข้อเท้า ตามอย่างดูบ้าง ..เออ.. สั่นเหมือนกันแฮะ

“ฮ่วย... บักหำแตกเอ๊ยยยยยย.....”
-/-				
14 มกราคม 2554 17:06 น.

ชีวิตเด็กวัด

ดาวศรัทธา

ตอน  ข้าวก้นบาตร

“เล็ก .... เล็ก .. ตื่นได้แล้ว”
เสียงพี่หงัดตะโกนเปลุกเบาๆ ทำให้ฉันงัวเงียตื่น แล้วรีบตะลีตะลานเก็บมุ้งหมอนรวบไว้ในเสื่อ 
เพราะได้ยินเสียงกุกกักจากชั้นบนด้วย แสดงว่าหลวงพี่ตื่นแล้ว และกำลังเตรียมออกบิณฑบาต

ฉันรีบเผ่นไปห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟันแต่งตัว  แสงแดงสลัวจากหลอดไฟ พอมองเห็นตะกร้าหวายเบี้ยวๆใบเขื่อง เมื่อเอาปิ่นโตเล็กๆ มาจัดวางได้สี่เถา เรียงกันสี่ชั้นโดยไม่ร้อยสาย เพราะไม่เกะกะ พอมีช่องว่างข้างๆตะกร้าไว้ใส่ของอื่นๆ

ฉันหิ้วตะกร้าถือบาตร มานั่งรอหลวงพี่อยู่หน้ากุฏิไม่ทันนาน หลวงพี่ก็ลงบันไดมาจากชั้นบน พลางสะบัดจีวรห่มคลุมตามแบบธรรมยุติ มารับบาตรแล้วเดินนำไป ไม่พูดไม่จา

แม้หลวงพี่จะเป็นพระรูปไม่งาม แต่ก็สันทัดทะมัดทะแมง ผิวคล้ำแบบชาวอิสานทั่วไป ท่านบวชเรียน เป็นมหาเปรียญห้ามานานหลายปี นับว่าเป็นพระสงฆ์สุปฏิปันโนรูปหนึ่ง ท่านไม่เคยอบรมแสดงธรรมให้ฟัง แต่ก็คอยดุให้ลูกศิษย์สำรวม กุฏิของท่านจึงเงียบสงบดี

เส้นทางบิณฑบาต ออกจากวัดด้านตลาดโบ๊เบ๊ ข้ามทางรถไฟ ผ่านตลาดโบ๊เบ๊ ข้ามคลองผดุง มุ่งตรงไปทางสะพานขาว แล้วข้ามถนนวนซ้าย อ้อมไปทางหลังตลาดมหานาค แล้ววกกลับ เลียบคลองมหานาค ผ่านกลางแผงตลาดผลไม้จนบรรจบทางขามา แล้วไขว้เข้าไปในย่านตลาดโบ๊เบ็ จนมาถึงทางรถไฟ กลับเข้าวัด
 เจตนาก็คือ ต้องไปโปรดให้ถึงโยมประจำที่อยู่ริมคลองมหานาคซึ่งเป็นแผงแม่ค้า ขายผลไม้ และ โยมร้านคนจีนขายผ้าในตลาดโบ๊เบ๊สองสามร้าน นอกนั้นก็เป็นผู้ใจบุญทั่วไป ตามทางผ่าน กว่าจะกลับถึงวัดก็เต็มล้นบาตรล้นตะกร้า วันไหนเป็นเทศกาลก็ล้นจนตะกร้าห้อยย้อยเดินหิ้วจนตัวเอียง บางครั้งต้องกลับวัดก่อนครบตามเส้นทางประจำเพราะเต็มเกินรับอีก

หลวงพี่ให้ฉันหิ้วตะกร้าปิ่นโต ตามท่านเป็นประจำ ทั้งๆที่เป็นเด็กกว่าเพื่อน มารู้เหตุผลตอนครั้งหนึ่งที่กลับจากเยี่ยมบ้านช่วงปิดเทอม เด็กวัดรุ่นพี่ที่ไปถือปิ่นโตแทน บอกว่าโดนหลวงพี่ดุว่าทำไม่ดีอย่างฉัน คงเป็นเพราะฉันอ่อนน้อม ให้ความเคารพคนใส่บาตร ด้วยความสำนึกในบุญและมีใจอนุโมทนาในกุศลของเขา และเดินตามพระอย่างเรียบร้อย ยังกับเณรน้อย 
ผลก็คือฉันต้องรับหน้าที่กุลีหลักนี้อยู่คนเดียว ต้องตื่นเช้าก่อนเพื่อน ตามหลวงพี่ ขณะที่เด็กอื่น นอนตื่นสายกันอย่างสุขารมณ์  และฉันแทบไม่มีโอกาสกลับไปเยี่ยมบ้านนานๆได้

      เช้านี้ก็เช่นวันปกติ อาหารที่บิณฑบาตได้  มีหลากหลาย มากพอเลี้ยงทั้งกุฏิ พี่หงัดมารอรับ ที่ริมทางรถไฟ รับช่วงถือตะกร้า ส่วนฉันไปรับบาตรจากหลวงพี่ เดินข้ามทางรถไฟกลับเข้าวัด พอถึงกุฏิก็เทข้าวใส่กาละมัง แล้วเอาบาตรไปล้างเช็ดถูจนแห้ง แล้วเก็บผึ่งแดดที่ริมหน้าต่างในห้องนอน คนอื่นช่วยกันจัดสำรับจานช้อนน้ำไว้บนตั่งที่กลางห้องโถงชั้นล่าง หน้าห้องนอนเด็กวัด รอหลวงพี่กลับลงมา

   ระหว่างที่หลวงพี่ฉันมื้อเช้าอยู่นั้น ฉันรีบแต่งเครื่องแบบนักเรียน เตรียมพร้อมเพื่อไปให้ทันเข้าเรียน  เมื่อเสร็จจากฉันอาหารคาวหวาน  หลวงพี่จะจัดแบ่ง อาหารไว้ส่วนหนึ่ง สำหรับมื้อเพล

พอหลวงพี่ลุกออก จากตั่ง ก็ถึงคราวศิษย์วัดทั้งหลาย ช่วยกันยกสำรับคาว และกาละมังข้าวก้นบาตร มานั่งล้อมวงโจ้กันที่พื้นห้องข้างๆตั่ง  อาหารจานโปรดที่มักถูกช่วงชิงก่อน คือ ไข่ดาว แต่ถูกแค่ควักไข่แดงไปเท่านั้น ไม่ค่อยมีใครสนใจไข่ขาวที่เหลือ จึงเป็นส่วนที่ฉันได้รับเป็นประจำ โดยไม่ต้องแย่งแข่ง นอกนั้นก็เป็นพวก แกงกะทิทั้งหลายเป็นส่วนใหญ่ ผลไม้กล้วยส้มมีเป็นประจำ รวมทั้งขนมหวาน พออิ่มแปล้ ล้างชามส่วนตนเสร็จ ฉันก็รีบเผ่นแน่บตรงไปโรงเรียน เพราะมักถูกทำโทษจากการมาสายอยู่บ่อยๆ

หนทางไปโรงเรียน ไกลโขอยู่ ฉันใช้เวลาเดินจ้ำอ้าว จากวัดถึงย่านพาหุรัด ใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมง  โดยเดินลัดเลาะซอยเล็กซอยน้อย แล้วแต่อารมณ์และความสะดวก จนรู้เส้นทางระหว่ายศเสและสะพานพุทธ ได้ทะลุปรุโปร่ง

ถึงโรงเรียนก็เหงื่อชุ่ม ทันได้ยืนพักเคารพธงชาติในโรงเรียน แต่ต้องยืนรวมกับพวกมาสาย ไม่ได้ไปรวมแถวกับพวกในชั้นเดียวกัน

พักเที่ยง คือช่วงเวลาที่วุ่นวายพลุกพล่านกันทั่วโรงเรียน ทั้งที่โรงอาหารและสนาม วันนี้ เป็นอีกวันที่ฉันไม่ได้กินมื้อเที่ยง แต่ก็ไม่รู้สึกเดือดร้อนนัก สถานที่โปรดที่ฉันไปเป็นประจำ คือห้องสมุด นอกจากไปยืมหนังสือบางเล่มตามหลักสูตรที่ไม่ได้ซื้ออย่างเพื่อนๆแล้ว ยังมีสารพัดเรื่องรอให้อ่าน ไม่มีหมดสิ้น

หลังเลิกเรียน คือช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดของวันนี้  แม้จะเริ่มหิวตะหงิดๆ ฉันไม่ได้ไปเล่นบอลกับเพื่อนที่สนาม แต่เดินทอดน่อง กลับวัดอย่างสบายๆ ดูผู้คนร้านรวงตามข้างทางผ่าน ดำเนินชีวิตประจำวัน ต่างๆกันไป ฉันมักเลือกเส้นทางกลับไม่ซ้ำกับขามาในช่วงเช้า หยุดดูบ้างเดินบ้าง ใช้เวลามากกว่าตอนเช้าหลายเท่า กว่าจะกลับถึงวัดก็โพล้เพล้

พอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ความหิวก็กำเริบ อาหารเย็นตามปกติ ก็คืออาหารบิณฑบาต ที่เหลือมาจากเช้าและกลางวัน ต้องเลือกเฟ้นกินที่ยังไม่บูดเสีย บางครั้งก็ไปยืมเตาฟู่น้ำมันก๊าดจากกุฏิข้างๆมาอุ่นเป็นแกงรวม คืออาหารทุกอย่างต้มใส่กาละมังรวมปนเปกันหมด รสชาติบอกไม่ถูกว่าคือแกงอะไร

วันนี้  ข้าวก้นบาตรที่เหลือออกอาการบูด เกือบแฉะเป็นยาง พออาศัยคุ้ยแยกออกมาได้นิดหน่อย แต่อาหารที่เหลือล้วนเป็นแกงกะทิ เสียเป็นฟองหมดจน เด็กวัดทั้งกุฏิ นอนแอ้งแม้งไม่ยอมแตะ เหมือนทำใจเตรียมอดข้าวเย็นกันหมด ..ยกเว้น ฉัน

ปกติ ฉันก็อดข้าวทั้งกลางวันและเย็นอยู่บ่อยๆ แต่วันนี้   ตั้งใจกินมื้อเย็นให้ได้

“พี่หงัด ไปยืมเตาฟู่มาหน่อยดิ มาทำแกงรวมกินกัน”
“เฮ่ย ไม่ไหวว่ะเล็ก มันบูดจนหมดสภาพ กินไม่ลงแล้ว”
ฉันมองดูคราบน้ำมันแกงที่ลอยฟ่องอยู่ร่วมกับฟองแกงบูดๆ พลันก็เกิดความคิด จากที่เคยเห็นแม่ทำแกงต่างๆสารพัดมาก่อน
“เออน่า ไปยืมมาเถอะ เดี๋ยวจะทำข้าวผัดกิน”
พี่หงัดหัวเราะเยาะแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็เริ่มสนใจ จึงออกไปยืมให้
“เออๆ  ก็ได้ ไปยืมให้แต่พี่คงไม่กินด้วยนะ”

ฉันบรรจงช้อนเอาเฉพาะน้ำมันกะทิ ที่ลอยอยู่ปนกับผิวฟองแกงบูดในปิ่นโตต่างๆ สะสมทีละนิดละหน่อย จนหมดทุกแกงที่มี และคุ้ยข้าวในกาละมัง มาพอกินได้เต็มหนึ่งอิ่ม ระหว่างที่พี่หงัดช่วยปั๊มอัดลมเข้าเตาฟู่จุดไฟให้ ซึ่งต้องใช้ความชำนาญไม่ให้อัดลมจนแรงเกิน ฉันเอากาละมังใบย่อมและช้อนมาใช้แทนกะทะและตะหลิว เทน้ำมันที่ตักมาได้ลงไปก่อนพอเดือดเป็นควันก็ใส่ข้าวตามลงไป ใช้ช้อนคลุกคนกันอย่างขะมักเขม้น

กลิ่นหอมจากเครื่องแกงที่ปนผสมอยู่ในน้ำมันกะทิ หอมคละคลุ้งชวนกิน พาให้เด็กวัดอื่นเข้ามารุมดูกันใหญ่ ฉันผัดคลุกไปพลางดมกลิ่นจนน้ำลายสอ ผัดจนแห้งร้อนทั่วกันมั่นใจว่าไม่เหลือกลิ่นบูด จึงยกออกจากเตา ไม่รู้ว่ามือใครฉวยคว้าไปรุมดูกัน
“เฮ้ ไอ้เล็ก ทำน่ากิน..  ไปทำ มาอีกเยอะๆเลย เก่งว่ะ” 

ต่างพากันคะยั้นคะยอให้ฉันไปทำมาอีก เพราะดูทุกคนเปลี่ยนใจ ไม่อดข้าวเย็นกันแล้ว

ฉันกลับไปที่คว่ำชามหน้าห้องน้ำที่รวมเก็บอาหารเหลือไว้ พยายามควานหาน้ำมันกะทิมาอีก.. แต่ .. ไม่มีเหลือพอเอาไปทำอะไรได้ ซ้ำข้าวที่เหลือก็มีกลิ่นบูดแรงแล้ว จึงจะกลับไปบอกพรรคพวก 
 นึกในใจว่า.. ดี.. สม อยากจะอดกันแล้วนี่ อย่ากินเลย กินคนเดียวดีกว่า อาจแบ่งให้พี่หงัดบ้างนิดหน่อยในฐานะผู้ก่อไฟ

แต่ นิจจาเอ๋ย... ชั่วไม่ถึงสองนาทีที่ฉันหายไป ข้าวผัดรวมมิตรที่ฉันบรรจงถ่ายทำ ได้อันตรธาน หายไปจากกาละมังน้อย อย่างไม่เหลือร่องรอย

ฉันผงะพูดอะไรไม่ออก  .. คงทำหน้าน่าสงสารเหมือนจะร้องไห้

มื้อเย็นนั้น ฉันพลาดข้าวก้นบาตรปรุงแต่ง ฝีมือตัวเองไปอย่างน่าเสียดายที่สุด และหลังจากนั้น มีโอกาสได้ทำอีกหลายครั้ง แต่กลิ่นที่ได้ ไม่เคยหอมคลุ้งชวนกินเช่นวันนั้นอีกเลย

แม้มื้อเย็นนั้น หลายคนรวมเงินกัน ให้ฉันไปซื้อข้าวเหนียวซุปหน่อไม้ที่หน้าวัด กินเอาเอง แต่ฉันยังคงคิดถึงข้าวก้นบาตร ที่อดกิน  มื้อนั้นอยู่ ไม่มีลืมเลือน ...../				
ไม่มีข้อความส่งถึงดาวศรัทธา