13 มิถุนายน 2548 19:22 น.
ดาราจักร..
อะไรคือความสุข
บางครั้งที่เราเห็นคนอื่นหัวเราะร่า แทนที่เราจะพาลดีใจไปด้วยแต่เรากลับ คิดว่า หัวเราะอะไรกันนักนะ มีอะไรให้หัวเราะนักหนา แต่ในบางครั้ง เราก็อดรู้สึกอิจฉาไม่ได้ว่าทำไม เขาเป็นสุข เรา......เป็นทุกข์. . . . . ..
*
**บางครั้งที่เราท้อแท้และเบื่อหน่ายเหลือเกิน มีคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สนใจเรา-.-.-.-.- มาปลอบโยนว่าอย่าท้อไปเลยชีวิตยังอีกยาวไกล นั่นแหละ++ ที่ทำให้เราท้อ...... เราต้องเผชิญกับสิ่งนี้อีกนานเท่าไรนะ มันถึงจะดีขึ้น- - - -
***หลายครั้งที่เราปลอบโยนตัวเองด้วยการ ปล่อยวางทุกสิงทุกอย่าง ผลก็คือได้.....แค่ชั่วคราว ทุกอย่างที่เลวร้ายก็เหมือนจะโจมตีเราทุกวินาทีที่เรามีช่องว่าง ผ่านทางความคิด และจากความคิดสู่การกระทำ
บางครั้ง ร่างกายเราเหมือนพิการ...
แต่เพราะความพิการนานเกินไปนั่นเอง ทำให้ความพิการเปลี่ยนเป็น เหมือนเครื่องจักร ทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง โลกในแง่ร้ายก็เหมือนกับพลังงานที่ทำให้เครื่องจักรต่อต้านทุกสิ่งทุกอย่าง
**** มีคนบอกว่าเวลามีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้นกับเรา เราต้องถือว่ามันเป็นเวรเป็นกรรมตั้งแต่ชาติก่อนหรือชาตืนี้ที่เราทำไม่ดีไว้ มันจึงส่งผลมาถึงปัจจุบัน เวลาเกิดสิ่งไม่ดีกับเรา เราก็ต้องคิดว่า ปล่อยตามเวรตามกรรม
ถ้าคิดอย่างนี้ มันก้เหมือนกับให้กรรมนำพาชีวิตไป ถ้าเกิดปัญหาบ่อยขึ้น เราก็จะคิดเสมอว่าปล่อยตามเวรตามกรรม เราก็จะไม่ทำอะไรเลยคือปล่อยตามเวรตามกรรม
แต่สำหรับเรา เราคิดว่า ถ้ามัวแต่ปล่อยตามเวรตามกรรม อะไรมันจะดีขึ้น
เราควรแก้ปัญหาด้วยตัวเราเอง แม้มันจะผิด แต่ถ้าเราไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ใคร เราก็น่าจะทำใม่ใช่หรอ ดีกว่ามามัวแต่คิดว่าปล่อยตามเวรตามกรรม แล้วมันไม่มีอะไรดีขึ้น
บางครั้งเราคิดว่า ชะตาฟ้าลิขิตชีวิตเราก็จริง
แต่เราก็ทำให้ชะตาฟ้าลิขิตนั้นเป็นไปโดยเราเองไม่ใช่หรอ เราก็กำหนดตัวเราเองว่าจะต้องเดินไปทางใหนไม่ใช่หรอ แม้บางทีชะตาจะบิดเบือนในสิ่งที่เรากำหนดตัวเองบ้าง แต่เราก็เดินหน้าไปโดยตัวเราเองไม่ใช่หรอ
การคิดปลอบใจตัวเอง ในหลายๆ ความคิด อาจช่วยให้เราพ้นจากความท้อแท้ แต่มันก้ยังใช้ได้ชั่วคราว.......
เราควรจะทำไงดี
3 มิถุนายน 2548 20:56 น.
ดาราจักร..
บางครั้งที่เราเหม่อมองฟ้า....
เหม่อมองฝน เสียงหยดฝนกระทบพื้นแล้วแตกกระจายอย่างร่าเริง
เหม่อมองดอกไม้ ที่ผลิช่อบาน... รอแสงตะวันมาอาบที่กลีบ และใบทั่วลำต้น ด้วยความหวัง.....
เหม่อมองสายลมที่เหมือนจะพัดพาเอาจิตใจอันอ่อนไหวของเรา ปลิวล่องลอย....
เหม่อมองต้นไม้ ที่พริ้วไหวตามสายลม......
เหม่อฟังเสียงเพลงแห่งธรรมชาติ บันดาลจิตให้หลงเข้าไปในเสียงอันไพเราะ
เหม่อมองผลงานศิลปะต่างๆ ให้พวกมันพาเราโลดแล่นสู่จิตวิญญาณอย่างลึกล้ำ.......
ทุกอย่าง.. . . . . . . . ..
ดูเหมือนว่าจะมีความสุขในหน้าที่ของมันที่ต้องทำ โดยไม่แคร์ใครว่าจะรู้สึกอย่างไร ทุกอย่างทำให้ตัวเองมีค่ามากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ส่วนเราหรือ-----
เราก็มองดูคนอื่น - สิ่งอื่น -อย่างอื่น... ทำไมน่ะหรือ
เพื่อประชดตัวเองไงล่ะ
เพื่อทำให้ตัวเองดูไร้ค่า ทำให้ตัวเองไร้ความสุข
แต่แทนที่ด้วยความเศร้าเสียใจกับสี่งที่ประชดตัวเอง...........
ตอนที่เราเป็นเด็ก ไร้เดียงสา แต่มีความสุขอยู่เกีอบตลอดเวลา ไม่ต้องสนใจ ว่าใครจะร่างเริงหรือเป็นทุกข์....
เราเห็นพี่กับน้องคู่หนึ่งจูงมือพากันไปโรงเรียน น้องเป็นหญิง น่าจะอยู่อนุบาล3 ส่วนพี่เป็นชาย น่าจะอยู่ประถม.. . น่ารักทั้งคู่..
เวลาเราเห็นสิ่งเหล่านี้ น้ำตามันอยากจะไหลพราก เพื่อดูเหมือนทดแทน ความทุกข์ด้วยความสุข เช่นพี่น้องสองคนนั้น
แต่มันก็คือหยดน้ำหยดหนึ่งที่ไหลรินออกจากตาเท่านั้น มันไม่ได้แทนด้วยความสุขอันใดเลย มันกลับเป็นทุกข์มากกว่า
ในโลกของเรา แง่ร้ายมันจะมาก่อนแง่ดี เพราะเรางั้นหรือ? เราว่าไม่ใช่หรอก มันมาจากสิ่งแวดล้อมต่างหากล่ะ...
ถ้าสิ่งแวดล้อมแสดงออกในแง่ดี เราก็จะมีแต่แง่คิดที่ดี
แต่ถ้ามันตรงข้าม มันก็คือทุกข์. . . . .
บางครั้งที่เรายิ้ม ต้อนรับโลกที่สดใส แต่มันกลับตอบแทนด้วยความหมองหม่น รอยยิ้มนั้นจึงค่อยๆ กลายเป็นรอยยิ้มที่เสแสร้ง ไม่จริงใจ จนเราลืมทั้งหมดว่า อย่างใหนคือการยิ้มแบบจริงใจ... . . .
อะไรคือโลกในแง่ดี เราลืมหมดแล้ว...... ..
อะไรคือคุณค่าที่ดีของตัวเรา เราลืมหมดแล้ว.. . . .. .
อะไรคือจิตใจที่สะอาดดีงาม เราก็ลืมหมดสิ้น. . . .
แล้วอะไรคือเราที่เป็นตัวของเรา มันลืมเลือนหมดแล้ว..
บางครั้งเราก็ไม่อยากจะคิดเลยว่า
. . อะไรคือความสุขที่แท้จริง. . .... . . . .