8 พฤศจิกายน 2549 13:14 น.
ดอกบัว
รุ่งอรุณอุ่นไออุทัยส่อง
รังสีทองทาบทาท้องฟ้าสาง
อุษาโยคโลกเรืองรองความหมองจาง
น้ำค้างพรางแพรวพราวผ่องอำไพ
หมู่วิหคผกผินบินถลา
ร้องเริ่งร่าสุขสันต์รับวันใหม่
สายลมเช้าโชยชื่นระรื่นใจ
มวลดอกไม้คลี่บานตระการตา
เรามนุษย์จะมัวนอนอยู่ใยเล่า
เสียประโยชน์ไปเปล่าเปล่าไม่คุ้มค่า
จงเตือนตนรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา
เสริมปัญญาสู่สุขสันต์นิรันดร
6 พฤศจิกายน 2549 16:24 น.
ดอกบัว
เธอเป็นคนเดิมคนเดียวที่แสนดี
เป็นใครบางคนที่เคยคิดถึงกัน
เธอเห็นว่าฉันเป็นคนที่สำคัญ
จะนานวันยังคงห่วงใยกัน
เธอเป็นแรงใจให้กับฉัน
ในความเป็นจริงและในความฝัน
ฉันรู้ว่าฉันจะยังมีเธอ
คงมีบางเวลาที่ฉันละเลย
เป็นความเคยชินที่ดูเฉยๆ
คงมีบางที ที่เธออาจน้อยใจ
แต่จะไม่มีใครแทนที่เธอในใจฉัน
ไม่มีอะไรที่ขาดหาย
ไม่มีอะไรน้อยลง
ก็คงจะมีแต่เธอเท่านั้น
ไม่ว่าจะกี่คืนวัน จะคิดถึงกันเสมอนะ
3 พฤศจิกายน 2549 13:44 น.
ดอกบัว
มนุษย์เราเอ๋ย เกิดมาทำไม
นิพพานมีสุข อยู่ใยมิไป
ตัณหาหน่วงหนัก หน่วงชักหน่วงไว้
ฉันไปมิได้ ตัณหาผูกพัน
ห่วงนั้นพันผูก ห่วงลูกห่วงหลาน
ห่วงทรัพย์สินศฤงคาร จงสละเสียเถิด
จะได้ไปนิพพาน ข้ามพ้นโลกสาม
ยามหนุ่มสาวน้อย หน้าตาแช่มช้อย
งามแล้วทุกประการ แก่เฒ่าหนังยาน
แต่ล้วนเครื่องเหม็น เอ็นใหญ่เก้าร้อย
เอ็นน้อยเก้าพัน มันมาทำเข็ญ
ให้ร้อนให้เย็น เมื่อยขบทั้งตัว
ขนคิ้วก็ขาว นัยน์ตามืดมัว
เส้นผมบนหัว ดำแล้วกลับหงอก
หน้าตาเว้าวอก ดูน่าบัดสี
จะนั่งก็โอย จะลุกก็โอย
เหมือนดอกไม้โรย ไม่มีเกสร
จะเข้าที่นอน พึงสอนภาวนา
พระอนิจจัง พระอนัตตา
เราท่านเกิดมา รังแต่จะตาย
ผู้ดีเข็ญใจ ก็ตายเหมือนกัน
เงินทองท่านนั้น มิมีติดไป
ตายไปเป็นผี ลูกภรรยาสามีรัก
เขาชักหน้าหนี เขาเหม็นซากผี
เปื่อยเน่าพุพอง หมู่ญาติพี่น้อง
เขาหามเอาไป เขาวางลงไว้
เขานั่งร้องให้ แล้วกลับคืนมา