21 มีนาคม 2552 12:15 น.
ด.ช. ปรัชญา
วันนี้ลมฝนพัดไหวหวิว
ใบไม้ปลิวใบสะบัดพัดเส้นหญ้า
เมฆลิ่วล่องเลื่อนลาดอากาศมา
ทิวน้ำตาของท้องฟ้าพาพร่างโปรย
เสียงสะอื้นครื้นโครมพโยมฟ้า
ทั่วใบหน้าของนภาระอาโหย
ใจเธอแห้งแตกระยับระรินโรย
ดั่งจะกรีดเสียงโอดโอยทั้งราตรี
ทำไมหนอฟ้าจึ่งเศร้าปวดร้าวนัก
เพราะถูกหักหาญใจหรือไรนี่
หรือเพราะใครจากฟ้าไม่ปรานี
หรือเพราะมีสิ่งไม่สมอารมณ์ปองฯ
วันนี้ลมฝนพัดไหวไหว
เจียวหัวใจฟ้าราวแยกแตกเป็นสอง
เหมือนใจฉันไม่เคยสมอารมณ์ปอง
น้ำตานี้ไหลนองคลองน้ำตา
ฟ้าร้องไห้เหมือนว่าฉันได้ร้องไห้
ดวงใจร้าวราวสลายไม่เห็นหน้า
หวังเพียงว่าวันพรุ่งรอยน้ำตา
จะแห้งหายคลาดคลาไปจากใจฯ
ถ้าเพียงฉันได้คิดถึงซึ่งนุชน้อง
น้ำตานองของฉันจะพลันหาย
น้ำตาฟ้าก็จะแห้งไปจากกาย
เปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มพรายระรายเรือง
วันพรุ่ง...ลมอาจพัดใบไม้ไหว
แต่หัวใจอาจงามกว่าฟ้าสีเหลือง
เพียงคิดถึงใจจะรุ่งเมืองจะเรือง
ฟ้าจะไม่เปล่าเปลืองน้ำตาคนฯ
21 มีนาคม 2552 08:57 น.
ด.ช. ปรัชญา
โปรดอย่าเรียกฉันว่ากวี
ให้เสียศรีเผ่าสุนทรีย์สโมสร
ฉันมิใช่เชื้อกวีอันบวร
ด้วยยังเป็นผู้อ่อนประสบการณ์
โปรดอย่าเรียกฉันว่ากวี
ถ้อยวิถีฉันไม่มีซึ่งแก่นสาร
จะร้อยถ้อยให้มลังอลังการ
ก็ยากปานเคลื่อนผาหิมาลัย
พงศ์กวีนั้นแสนจะสูงส่ง
เพราะดำรงด้วยจิตพิสมัย
เมื่อจะจารจดถ้อยร้อยคำใด
ก็งามคล้ายมาลัยของเทวัญ
คำกวีนั้นเล่าก็ตรึงใจ
พินิจถ้อยทุกที่ไปก็สุขสันต์
เขียนฟ้าฟ้าก็งามไปตามกัน
เขียนพงไพรไพรทั้งนั้นก็ตื่นตา
ฤาหากจะร้อยเรื่องรักเล่า
รักก็มีอารมณ์เคล้าด้วยหรรษา
ให้ยิ้มปลื้มลืมไปในเวลา
เหมือนกับฝันไปว่าชีวิตตน
แม้กวีจะเขียนให้โลกเศร้า
โลกก็เคล้าด้วยน้ำตาทุกแห่งหน
เรียมร่ำถึงขวัญเหมือนต้องมนต์
ทุกชั้นชนกำสรดด้วยรสกวี
ถ้อยกวีที่แท้จึงศักดิ์สิทธิ์
พลิ้วไหวด้วยฤทธิ์ทุกวิถี
ถึงใครเล่าจะอ่านใจกวี
ก็มิมีที่ถูกต้องครรลองใจ
ส่วนฉันเพียงแค่ผู้ชื่นชม
เพียงนิยมอย่างกวีไม่ถึงไหน
ขีดเขียนถึงชาติหน้าเท่าไรไร
ก็ยังไม่เทียบรสบทกวี
แต่อย่างไรฉันก็ยังขีดเขียน
รักเรียนร้อยถ้อยตามวิถี
เพียงเพื่อดื่มรสบทกวี
เสพศักดิ์สิทธิ์แห่งกวีเท่านี้เอย