18 มิถุนายน 2546 15:26 น.
ณรังษี
ฝ่าแดนดงพงไพรไร้คนข้าง
เดินร่วมทางพยุงกายให้คลายเหงา
ฟังซิฟัง..เสียงฝีเท้าที่แผ่วเบา
เดินตามมาแบ่งความเหงาให้เบาคลาย
อาจมิใช่คนนั้นที่ฝันใฝ่
อาจมิใช่คนนี้ที่มุ่งหมาย
อาจเป็นเพียงคนรู้จักที่ทักทาย
อาจเป็นเพียงคนปลายท้ายขบวน
แต่สมัครเดินเคียงไม่เบี่ยงหน้า
ผ่านแดดจ้า ฝนจัด ลมพัดหวน
ผ่านเรียวหนาม ข้ามเหวใหญ่ ไม่โอดครวญ
ใช้ชีวิตร่วมขบวนนักเดินทาง
18 มิถุนายน 2546 15:21 น.
ณรังษี
ดั่งระลอกพลิ้วคลื่นที่ครืนไล่
ตามติดไปกระทบแทกแตกซัดซ่า
มิคงเหลือคลื่นเก่าในธารา
เกิดแล้วดับตามมาสืบต่อกัน
ดุจเป็นภาพมายาว่าคงอยู่
ผู้ไม่รู้จึงหลงใหลในภาพนั้น
ไม่ล่วงรู้ถึงอารมณ์ปัจจุบัน
จึงมุ่งมั่นสรรหาภาพมาอาบพราง
ยังยึดผิดมีจิตเดิมที่เสริมใส
เปล่งประกายไสวไม่หมองหมาง
จึงดิ้นรนสืบค้นหาเส้นทาง
สู่จิตเดิมที่พรายพร่างปภัสสรา
ทำลายพระพุทธพจน์ที่โปรดสัตว์
ที่ชี้ชัดกฎสามัญอันสูงค่า
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ครอบคลุมทุกธรรมาเว้นนิพพาน ....(และบัญญัติ)
หากหมายใจจะปองครองความสุข
ต้องหมั่นปลุกปัญญาพาสืบสาน
และพรั่งพร้อมสติติดตามการณ์
เพื่อประหาร(กิเลส)ที่ตรงปัจจุบัน...
14 มิถุนายน 2546 04:50 น.
ณรังษี
ขอมองฟ้าที่แขวนใจไว้ทั่วฟ้า
ขออ่านพื้นพสุธาภาษาสาส์น
ขอดมดอมหอมหมู่มาลีมาลย์
ขอลิ้มรสความหวานให้ซ่านใจ
ขอเคลิ้มฝันกับตะวันที่ส่องหล้า
ไม่เหว่ว้าแม้นอยู่ห่างเพียงไหน
ขอฝากลมพรมพริ้วรักคนไกล
ไปเคลียคลอพนอไล้ใจของเธอ
14 มิถุนายน 2546 04:47 น.
ณรังษี
รวมกระจุกความกระจายไว้กับใจ
อย่าหมองไหม้เพ้อพร่ำลำนำขาน
กอบชิ้นส่วนกวนใจให้รำคาญ
แล้วโยนผ่านสายธาราตรงหน้าพลัน
จะเห็นน้ำกระเพื่อมไหวเป็นรายลอก
กระจายออกเป็นริ้วรอยทะยอยฝัน
ความต้องการของคนเราก็เช่นกัน
เริ่มหนึ่งนั้นก็มีต่อก่อริ้วพราย
คลื่นระลอกกลอกใจให้ชอบชัง
บ้างสมหวังบ้างหมองไหม้ใจสลาย
แล้วหาสิ่งกลบเกลื่อนเป็นเพื่อนกาย
ให้เหงาคลายยามทดท้อต่อชะตา
14 มิถุนายน 2546 04:44 น.
ณรังษี
เฝ้ามอง....
ตรองตรึกนึกครอบครอง
จึงเฝ้ามองเฝ้ามองในของนั้น
ใครใครต่างก็จ้องตาเป็นมัน
และหมายมั่นเฝ้ามองมาครองใจ
เฝ้าฝัน....
หลงเพ้อรำพันหวนไห้
ทุกคืนค่ำเฝ้าฝันกันเรื่อยไป
วันหนึ่งคงได้..วันหนึ่งคงได้
เจ้าแก้วแววใสมาครอบครอง
อ่อนล้า...
เฝ้ามองเฝ้าฝันหาเจ้าของ
เหน็บหนาวร้าวใจเจ็บพอง
ได้แต่เฝ้าฝันเฝ้ามองหมองใจ