9 สิงหาคม 2546 07:48 น.
ณรังษี
แม่จ๋าแม่ ....แม่จ๋า ...แม่จ๋าแม่
เห็นสายตาทอดแลอย่างรักใคร่
แม่จุมพิตแก้มลูกอย่างถูกใจ
แก้มใสใสแม่ถนอมหอมนิ่งนาน
ดิ้นเร่าเร่าคราวดื้อแม่ถือไม้
ขู่ไกลไกลให้เลิกซนปนคำหวาน
ลูกสะดุดแม่หยุดอุ้มตะลีลาน
รีบเรียกขวัญมาพานให้ลูกยา
แม่เป็นครูผู้ใจดีที่สุดเลย
แม่ไม่เคยให้ลูกต้องเสียหน้า
ชมว่าลูกเก่งกาจตลอดเวลา
เพราะมีแม่สอนมากับมือเอง
แม่เป็นแม่ไม่ใช่แค่เป็นแม่นม
แม่ขนม แม่นักร้อง ที่กล่อมเก่ง
แม่เป็นนักสู้ยิ่งใหญ่กว่านักเลง
แม่นี้เองให้อภัยไม่เคยรา
แม่อาจอ้วนไปหน่อยไม่ค่อยผอม
แต่แม่ไม่เคยยอมลูกผอมกว่า
แม่ฟูกฟักรักเลี้ยงทุกเวลา
แม่จ๋าแม่ลูกบูชากราบพระคุณ
17 กรกฎาคม 2546 16:19 น.
ณรังษี
บนเส้นทางสายใหญ่ในชีวิต
ต่างมีสิทธิ์ก้าวไปตามใจฝัน
วาดความหวังตั้งเป้าหมายไว้ต่างกัน
ล้วนมุ่งมั่นเพื่อสุขสมภิรมย์ใจ
จึงดำเนินเดินรอยคอยขีดวาด
เลือกโอกาสงดงามตามที่ใฝ่
เตรียมเสบียงเดินทางที่แสนไกล
จัดอาวุธยุทธ์ไล่ดัสกร
ตั้งแต่เด็กเล็กเยาว์เขลาความรู้
ถูกอุ้มชูให้...สำเร็จ....ในคำสอน
หัดเรียกแม่เรียกพ่อต่อสุนทร
ต้องเรียกให้ได้ก่อนจึงจะดี
หัดให้เขียนหนังสือรื้อความโง่
เพื่อเติบโตมีความรู้คู่ศักดิ์ศรี
ต้องสอบได้เรียนผ่านทุกชั้นปี
จึงจะชื่อว่ามีภูมิปัญญา
เรียนจนจบพบ...สำเร็จ...เสร็จหนึ่งขั้น
ต่อจากนั้นเดินไปในเบื้องหน้า
หาอาชีพที่เหมาะสมกับราคา
ปริญญาที่ได้รับประดับตน
บ้างก็สมปรารถนาในคราเดียว
บ้างก็เที่ยวสมัครไปทุกหน
แย่งกันหนึ่งตำแหน่งต่อร้อยคน
ใครที่ได้คือผล ...สำเร็จ...การ
ก้าวต่อไปสร้างสายใยชีวิตรัก
แล้วทอถักโซ่ทองคล้องสืบสาน
สายโลหิตเติบต่อก่อสันดาน
ถือว่า...สำเร็จ..งานสร้างครอบครัว
ต่อจากนั้น..มุ่งมั่นรับผิดชอบ
และเก็บกอบทรัพย์ไว้ให้ถ้วนทั่ว
เป็นทุนรอนค่าใช้จ่ายรายตัว
ความเครียดเริ่มล้อมรั้วกักขังใจ
ความสำเร็จครั้งเก่าคราวก่อนนั้น
หมดความหมายไร้ฝันอันสดใส
มีแต่ความหม่นหมองครองทรวงใน
แบกภาระยิ่งใหญ่ให้ล้าแรง
นี่น่ะหรือคือเป้าหมายในชีวิต
ที่ลิขิตแต่น้อยครั้งด้อยแสง
หวังเจิดจ้าเติบใหญ่ได้แสดง
กำลังแกร่งแห่งนักสู้ผู้ฝันไกล
มีอะไรให้เหนี่ยวรั้งครั้งชรา
แม้นกายาก็ไม่อาจจะยึดได้
ลูกและหลานเติบโตแล้วจากไป
ค้นหาฝันยิ่งใหญ่แต่ละคน
เป็นวงจรสอนให้ใช้ชีวิต
ได้มีสิทธิ์สร้างใจไม่สับสน
ใช้เวลาเพิ่มค่าให้แก่ตน
ไม่หวังผลสำเร็จใดนอกสายธรรม
5 กรกฎาคม 2546 04:31 น.
ณรังษี
กระแสธารรินไหล
ดูวับไหวประกายแสง
สายชลเริ่มเชี่ยวแรง
สะท้อนพรายพื้นนภา
เมฆงามยามลอยเลื่อน
สร้างภาพเหมือนให้หวนหา
เดิมกาลที่ผ่านมา
ก็ผุดภาพ..ให้พร่างพราว
มองใจ...มองสายน้ำ
มองฟ้าครามที่เหินหาว
ลำดับรอยเรื่องราว
คราวบากบั่นไม่พรั่นความ
เหงื่อไหลไคลหยดย้อย
เม็ดใหญ่น้อยไม่เข็ดขาม
บุกฝ่าไปทั่วคาม
กระทบแสงแห่งราวไพร
ผ่านพบอุปสรรค
ต่างมิพักช่วยผลักไส
เคียงคู่สู้เรื่อยไป
จนเหงื่อพราวราวพิรุณ
รอยยิ้มยามเหนื่อยล้า
ส่งรอยมาเพื่ออุดหนุน
อึดแรงไว้เป็นทุน
โหมฮึกสู้กู้เสรี
23 มิถุนายน 2546 16:09 น.
ณรังษี
หยาดน้ำตา.เปรียบเสมือนกล้องส่องทางไกล
บทชีวิตที่ลิขิตให้แตกต่าง
เดินบนทางเส้นเดียวกันแต่หันเห
บ้างเดินหน้าบ้างเดินข้างบ้างรวนเร
บ้างกลับหลังยั้งเปลย้อนเส้นทาง
มีหลุมพรางขวางกั้นให้หวั่นหวาด
บ้างองอาจฝ่าไปไม่กีดขวาง
บ้างทดท้อรอรั้งยังหลุมพราง
บ้างโหยหวนครวญครางกับผองภัย
หลายคนพ้อต่อแผลกายลายหนามเกี่ยว
รำพันอย่างโกรธเกรี้ยวและโหยไห้
ถามเรียวหนามว่าตามเกี่ยวทำไม
เลือนลืมไปว่าเลือกทางอย่างนั้นเอง
บางคนล้มลงกลางทางอย่างเสียขวัญ
คนเย้ยหยันถางถากอยากข่มเหง
หัวเราะเยาะยิ้มหยามไม่ขามเกรง
ดุจบทเพลงมนต์มารสะท้านใจ
มีเพียงหยาดน้ำตาคราทุกข์ยาก
ที่ไหลหลากท่วมท้นหม่นหมองไหม้
สะท้อนความไถ่ถามตนเพื่อค้นใจ
น้ำตาไหลชะล้างสร้างปัญญา
เห็นรอยทางสร้างสรรค์สวรรค์สาย
ให้กลับกลายหมองหม่นพ้นปัญหา
ด้วยใจสู้รู้หยัดยืนฝืนชะตา
เพิ่มคุณค่าด้วยแรงตนเพื่อพ้นภัย
หยาดน้ำตาพาใจให้ลึกซึ้ง
หวนคำนึงถึงเหตุเภทนิสัย
ที่ประสบเคราะห์ร้ายทลายใจ
เพราะเคยได้กระทำกรรมไม่ดี
หากยังมีชีวิตที่ผิดพลาด
กี่ภพชาติก็ร้องไห้อยู่อย่างนี้
หากทำให้ชีวิตไม่ต้องมี
น้ำตาจึงไม่ปรี่ล้นเบ้าตา
จึงทะนงคงมั่นไม่หวั่นท้อ
หรือรั้งรอความช่วยเหลือเกื้อปัญหา
เพราะมีกล้องส่องทางไกลคือน้ำตา
ช่วยส่องหาเล็งทิศลิขิตทาง
บนเส้นทางยังมีที่งามงด
ทั้งสวยสดบุปผชาติผาดสล้าง
รอผู้มีดวงตาไม่พร่าพราง
ไปเดินบนเส้นทางอย่างสุขใจ
19 มิถุนายน 2546 20:41 น.
ณรังษี
ยังคงหลงทางอยู่อย่างนี้
กี่เดือนปียังมุ่งมั่น
หมายปองครองใจสัมพันธ์
รวมกันเป็นใจดวงเดียว
รอแล้วรอเล่าเขาลวง
ตกบ่วงวจีลดเลี้ยว
ต้องมนต์ดลเล่ห์แท้เทียว
มัดใจแน่นเหนียวไม่คลาย
รู้ว่าเขาหลอกหยอกเล่น
ยังเห็นว่ามีความหมาย
รู้ว่าเขาแกล้งทักทาย
ยังกลายให้ชื่นรื่นใจ
รู้ว่าเขาเห็นเช่นข้า
ยังกล้ายินยอมรับใช้
รู้ว่าเขาลวงดวงใจ
ยังให้เพราะรักจริงจริง