26 ธันวาคม 2550 11:59 น.

ถ้ากรรมมีจริง...จะไม่ต้องรับได้อย่างไร??

ซาวแดนดุด


คนไทยเรามีวัฒนธรรมและประเพณีที่เชื่อเรื่องกรรมมีผลเป็นพื้นฐานในจิตใจเป็นทุนเดิม รวมถึงความเมตตา กรุณา และการทำบุญกุศล เป็นพื้นฐานมาจากการนับถือศาสนาพุทธมายาวนานกว่า 800 ปี นั่นเป็นเหตุผลว่า ในปัจจุบัน สังคมห่างเหินจากศาสนาพุทธในชีวิตประจำวัน ขาดศีล 5 แล้วยังคงมีสังคมที่มีคนดีอยู่อีกมากมาย มากกว่าคนไม่ดีที่ก่อกรรมทำเข็ญ สร้างวิบากกรรมไว้กับสังคม

แล้วทำไมตั้งชื่อหัวข้อว่า ถ้ากรรมมีจริง...จะไม่ต้องรับกรรมได้อย่างไร??

เป็นไปได้ในเหตุผลดังต่อไปนี้

เพราะกรรมไม่ใช่สวิทช์ไฟ ที่เปิดปุ๊บติดปั๊บ (รวมทั้งบุญก็เช่นกัน) 
การให้ผลอยู่ที่เหตุปัจจัยที่แตกต่างกัน แต่ที่สำคัญคือ ต้องไม่ใช่...

 อนันตริยกรรม คือกรรมที่หนักที่สุดได้แก่ การฆ่า หรือ ทำร้าย พ่อแม่ การทำร้ายพระพุทธเจ้า การยุยงให้สงฆ์แตกแยกกัน จะต้องได้รับกรรมโดยเร็วและรุนแรงจนยากที่จะผ่อนปรนได้ 

ให้นึกภาพว่า 

ถ้าทำกรรม ก็ขว้างวิบากกรรมไปรอรับในอนาคต ในชาตินี้หรือชาติถัดไป
 
ถ้าทำบุญ ก็ขว้างวิบากบุญไปรอรับในอนาคตเช่นกัน

และ

มีเงื่อนไขที่สำคัญประการหนึ่งที่เป็นตัวเหนี่ยวนำ บุญ หรือ กรรม คือ

 จิตที่เป็นกุศล(คิดดี มีความสุข)จะเหนี่ยวนำให้วิบากบุญ เกิดขึ้น

 จิตที่เป็นอกุศล(คิดร้าย มีความทุกข์)จะเหนี่ยวนำให้วิบากกรรม เกิดขึ้น

ถ้ามีเงื่อนไขเช่นนี้จริง เราจะทำอย่างไร ไม่ให้วิบากกรรมตามทัน???

คงไม่มีใครคิดว่า ชาตินี้ไม่เคยก่อกรรม ทำร้ายใคร จะต้องรับกรรมได้อย่างไร(นี้เรียกว่ามิจฉาทิฏฐิ เพราะภพชาติมีจริง ไปดูเรื่อง สัมมาทิฏฐิ) 

แต่เพราะบุญที่สะสมจากภพขาติก่อนให้ผลจึงได้เกิดเป็นมนุษย์ อาการครบ 32 มีสติปัญญา ได้พบพุทธศานา ทำไมไม่เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เช่น หมา แมว แมลงสาบ เป็นต้น นี้เรียกว่า เกิดมาด้วยกุศล และ รักษา ศีล 5 จึงได้เกิดเป็นมนุษย์

คำตอบคงเริ่มเห็นชัดแล้วว่า

ทำบุญสร้างกุศล ด้วยความตั้งใจ ต่อเนื่อง ทำจนสำเร็จ และ ทำต่อเนื่องยาวนาน จนวิบากบุญ ขว้างไปรอให้ผลมากมาย 


ให้มีเพียงวิบากกรรมจากภพชาติก่อนเท่านั้นที่รอให้ผล

ทำจิตให้เป็นกุศล คือคิดดีต่อผู้อื่น มีสติสัมปปะชัญญะ จึงต้องมีอนุสติ 10 (ดูเรื่องอนุสติ 10) จิตใจจะผ่องใส มีความสุขทุกวัน จะเหนี่ยวนำให้วิบากบุญ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

ในทางกลับกัน ถ้าคิดไม่ดี จะเหนี่ยวนำเอา วิบากกรรม ให้เกิดขึ้น ซึ่งทุกคนคงไม่อยากให้เกิด

แต่กรรมยังรอให้ผล (ยกเว้นอโหสิกรรม) ต้อง ทำบุญมากมายเพื่อเจือจางวิบากกรรมไม่ให้ให้ผล

 จนกว่า 

จะถึงภพขาติสุดท้ายสู่

นิพพาน 

กรรมจึงไม่มีผลอีกต่อไป 

เพราะ

ไม่ต้องเกิดอีกต่อไป...



				
6 ธันวาคม 2550 01:33 น.

อยากสวย อยากหล่อ......ทางนี้เลย

ซาวแดนดุด


ซาวแดนดุด สุดแดนดาว มีความประสงค์ที่จะแบ่งปันสิ่งดีๆ
ให้กับผู้อ่านที่ใฝ่หาความรู้ ทางโลก และ ทางธรรม 
โดยรวบรวมประสบการณ์ จากชีวิตจริง และการเรียนรู้ศึกษา ทั้งการเรียน การอ่าน และเฝ้าพิจารณาธรรมจากโลกแห่งความเป็นจริง จึงรวบรวมสิ่งที่ได้เรียนรู้มาแบ่งปันกัน อยู่ที่ท่านจะเก็บเล็กเก็บน้อยจากงานเขียนนี้ และ นำไปปรับปรุงชีวิตให้มี ความสงบสุข ความสำเร็จ แก้ปัญหาชีวิตที่กำลังติดขัด มีทุกข์ในการงาน ในชีวิตคู่ ในครอบครัว ให้ลุล่วงผ่านพ้น ถ้าเห็นสิ่งดีๆที่พอเก็บได้ ใช้ได้ ก็แบ่งปันกันต่อๆไป ขออนุโมทนาสาธุ

มาเข้าเรื่องอยากสวย อยากหล่อ.....ทางนี้เลย กันดีกว่า
แน่นอน คงไม่แนะนำให้ท่านเข้าร้านเสริมสวย เสริมหล่อ เพราะโลกนี้มีมากมายมหาศาลอยู่แล้ว แต่ต่อไปนี้ จะเป็นเรื่องสวยจากภายในมาสู่ภายนอก รวมถึงการทำให้ชีวิตมีความสุขด้วย ขอให้อ่านให้จบ จะได้ประโยชน์แน่นอน

เหตุใดจึงเป็นผู้มีรูปงาม?
ข้อความ : 
กรรมหลักที่ตกแต่งให้รูปงาม 
หลักง่ายๆคือคนตามใจกิเลสจะมีรูปทราม ส่วนคนงามจะงามเพราะสละกิเลส กรรมที่ตกแต่งให้รูปงามนั้น เป็นกรรมประเภทที่ปรุงแต่งจิตให้เกิดความผ่องใส มีความขาวสะอาดสว่างรอบปราศจากมลทิน และกิริยาที่จะก่อให้เกิดลักษณะดังกล่าว ก็ไม่พ้นเรื่องของการสละความตระหนี่ และการรักษาความตั้งใจไม่เกลือกกลั้วกับความชั่ว โดยตีกรอบความประพฤติทางกายและวาจาให้อยู่ในศีลธรรมอันดี นอกจากนี้ยังมีเรื่องของอาการทางใจและวิธีคิดต่างๆประกอบอยู่ด้วย 



๑) ทำทานด้วยศรัทธา 

ขอให้ดูเถิด คนส่วนใหญ่แม้ชอบทำทาน ก็มักทำทานด้วยจิตที่แห้งแล้ง ทำแล้วก็ถือว่าแล้วกัน น้อยคนนักจะทราบว่าแม้อาการทางใจในขณะทำทานก็มีผลใหญ่หลวงกับรูปร่างหน้าตาได้ ดังเช่นที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผลของการให้ทานด้วยศรัทธา จะทำให้เป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก และเป็นผู้มีรูปงามชวนพิศ น่าเลื่อมใส ผิวพรรณงามยิ่ง 

การทำทานด้วยความศรัทธาเป็นประจำ ทำให้เจ้าตัวรู้สึกสวยแพรวออกมาจากภายในตั้งแต่ชาติปัจจุบัน แม้รูปร่างหน้าตาในชาตินี้จะดูไม่ดีเท่าไหร่ แต่ความรู้สึกสวยแพรวที่ออกมาจากภายในนั้น จะดึงดูดให้คนพบเห็นเกิดความทึ่งกว่าเดิม และหาคำตอบไม่ได้ ว่าทำไมไม่สวยไม่หล่อจึงน่ามองขนาดนั้น 

และผลของการทำทานด้วยความศรัทธาเป็นประจำ จะทำให้ชาติต่อไปมีใบหน้างดงามชนิดที่ชวนเลื่อมใส ข้อนี้คนของศาสนาที่ปลูกฝังเรื่องศรัทธาเป็นหลักจะได้เปรียบ เพราะเมื่อเกิดการประชุมทำพิธีทางศาสนาแล้วมักเหนี่ยวนำกันให้เกิดจิตศรัทธา เปี่ยมปีติสุขเป็นล้นพ้นกับการคิดให้ คิดเจือจาน คิดเมตตาต่อคนและสัตว์ทั้งโลก 

หลายคนคงสงสัยว่าอย่างไรจึงเรียกได้ว่าเป็นศรัทธาแล้ว อันนี้ใช้เกณฑ์ง่ายๆคือเมื่อนึกถึงบุญขณะต่างๆ ทั้งก่อนทำ ขณะทำ และหลังทำ แล้วมีใจนึกอยากยิ้มสดชื่นออกมาจากภายใน เป็นยิ้มอันบันดาลจากความสุขความอิ่มเอมที่บริสุทธิ์ ปราศจากเงื่อนไขแลกเปลี่ยน ส่วนการฝืนยิ้มไปแกนๆ แต่จิตไม่เป็นสุขนั้นไม่นับ 

สภาพแวดล้อมในการทำบุญมีส่วนก่อให้เกิดศรัทธาหรือเสื่อมศรัทธาได้มาก แต่หากเราเป็นผู้ที่มีความเลื่อมใสในบุญอยู่อย่างหนักแน่น เชื่อมั่นว่าบุญมีที่ใจ ผลบุญเช่นความสุขความสว่างไสวก็เกิดทันทีที่ใจ เช่นนี้แม้สภาพแวดล้อมหรือบุคคลอันเป็นผู้รับจะไม่ดีนัก ใจเราก็คงไม่เสื่อมศรัทธาลงสักเท่าใด 

หากให้ทานไปแกนๆ ไม่คิดอะไรมาก แต่ก็ไม่ได้ศรัทธาสักเท่าไหร่ อย่างนี้ชาติปัจจุบันแม้ทำทานมากก็ไม่ค่อยอิ่มใจ ไม่ค่อยรู้สึกอบอุ่นอยู่กับตัวเองนัก และชาติถัดไปถึงแม้มีรูปร่างหน้าตาดีก็ไม่ถึงกับดึงดูดให้รู้สึกเลื่อมใสในความงามนั้นๆสักเท่าใด 

หากให้ทานด้วยจิตใจคับแคบ เช่นแก่งแย่งชิงดีเอาหน้าเอาเด่น หรือให้ทานแบบกีดกัน ไม่คิดรวมทานกับใคร เช่นมาถวายสังฆทานพร้อมกันกับคนอื่น แต่จะแยกเป็นต่างหากต้องให้พระสวดสองที แบบนี้ชาติปัจจุบันแม้โครงหน้าสวยหล่ออยู่ก่อน เห็นแล้วก็ไม่ชวนให้รู้สึกปลื้ม และชาติหน้ากรรมจะตกแต่งให้หน้าตาออกไปในทางเค็มเสียมาก 



๒) รักษาศีลได้สะอาดครบ 

ศีลจะมีส่วนช่วยปรุงแต่งหน้าตาให้ดูดีจริงๆต่อเมื่อสะอาดหมดจดในข้อหนึ่งๆ ต้องจาระไนกันด้วยความรู้สึกยามเมื่อตาเห็น ศีลแต่ละข้อจะก่อให้เกิดความรู้สึกทางใจดังนี้ 

๑) อยากปกป้องชีวิตสัตว์ ทำให้หน้าตาใจดี เห็นแล้วสงบเย็น 

๒) ไม่เพ่งเล็งอยากได้ ทำให้หน้าตาน่าไว้ใจ เห็นแล้วเชื่อถือ 

๓) ซื่อสัตย์กับคู่ครอง ทำให้หน้าตามีเสน่ห์ชวนอบอุ่นใจ เห็นแล้วอยากเป็นคู่ด้วย 

๔) ไม่คิดปั้นคำลวง ทำให้หน้าตาใสซื่อ เห็นแล้วนึกเอ็นดู 

๕) ไม่เกลือกกลั้วสิ่งเสพย์ติดมึนเมา ทำให้หน้าตาดูเป็นคนมีสติปัญญาดี เห็นแล้วเชื่อว่าไม่ใช่พวกคิดอ่านฟุ้งซ่านเหลวไหล 



ถ้าใครถือศีลได้สะอาดบริสุทธิ์ได้อย่างสม่ำเสมอ จะมีความสะอาดผุดผ่องออกมาทางผิว ศีลจะตกแต่งให้เนื้อหนังบางส่วนหนาขึ้นหรือบางลง เห็นแล้วดูสมส่วนขึ้น และจิตที่สงบไม่เดือดร้อนกระวนกระวายจะทำให้กล้ามเนื้อทุกส่วนบนใบหน้าผ่อนคลาย จึงดูดีที่สุดเท่าที่โครงหน้าจะอำนวย 

ถ้าใครถือศีลได้สะอาดบริสุทธิ์ตลอดชีวิต ชาติใหม่จะมีรูปร่างหน้าตาสมส่วนหมดจด มองจากมุมไหนก็ดูดีไปหมด แบบที่เรียกกันว่างามไร้ที่ตินั่นเอง 

หากละเมิดศีลเป็นอาจิณ หน้าตาและผิวพรรณจะดูคล้ำหมอง เว้นแต่อำนาจศีลแต่หนหลังมีพลังแรงมาก ช่วยค้ำพยุงไว้ได้ระยะหนึ่ง หรืออาจใช้วิทยาการทางความงามในปัจจุบันช่วยทำให้ผุดผ่องก็มีสิทธิ์ แต่จะประคับประคองได้ไม่นาน ในที่สุดความเสื่อมโทรมแบบแก่ก่อนวัยต้องถามหาอยู่ดี 

และกรรมที่เกิดจากการละเมิดศีลเป็นอาจิณนั้น จะมีผลให้ชาติถัดมามีความไม่สมส่วน แม้ใบหน้าสวยหล่อด้วยการทำทานอย่างมีศรัทธา จุดอื่นในร่างกายก็จะไม่สมส่วน เช่นขาสั้นไปบ้าง หลังยาวไปบ้าง 



๓) อาการทางใจและวิธีคิด 

บางคนแม้ทำทานและรักษาศีลมาดีในแบบที่จะทำให้สวยหล่อ แต่เป็นผู้ที่ฉุนเฉียวง่าย เก็บเรื่องเล็กๆน้อยๆมาคิดมากใหญ่โต อย่างนี้ก็มีผลกับรูปร่างหน้าตาและผิวพรรณทั้งในชาตินี้และในชาติต่อๆไปได้มาก ดังเช่นที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า 



บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษก็ตาม เป็นคนมักโกรธ มากด้วยความแค้นเคือง ถูกเขาว่าเล็กน้อยก็ขัดใจ โกรธเคือง พยาบาทมาดร้าย ทำความโกรธ ความร้าย และความขึ้งเคียดให้ปรากฏ เขาตายไปจะเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก และเพราะมีความข้องติดอยู่ในกรรมเช่นนั้นแม้ตายไปไม่เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ถ้ามาเป็นมนุษย์เกิด ณ ที่ใดๆในภายหลังก็จะเป็นคนมีผิวพรรณทราม 



พูดง่ายๆคือ แม้ให้ทรัพย์เป็นทานด้วยศรัทธาได้เพียงใด แต่ถ้าใจไม่รู้จักให้อภัยเป็นทานเลย ก็ได้ชื่อว่าสร้างส่วนแห่งความเป็นผู้มีรูปทรามเอาไว้ 

สมมุติว่าเราเป็นผู้ให้ทานด้วยศรัทธายิ่งไปตลอดชีวิต แต่ขณะเดียวกันก็เป็นพวกฉุนเฉียวง่ายไม่รู้จักระงับอารมณ์เลยจนวันตายเช่นกัน อย่างนี้กรรมอาจปรุงแต่งให้มองเสี้ยวหน้าด้านหนึ่งเหมือนสวยหล่อ แต่มองจากอีกมุมหนึ่งกลับดูไม่ได้เอาเลย และผิวพรรณแทนที่จะเลอเลิศจากผลของทาน ก็กลายเป็นแค่ธรรมดาๆ ไม่ถึงกับน่าดู ไม่ถึงกับน่าเกลียดไป หรือไม่บางส่วนของเนื้อหนังดูเหมือนงามละเอียด แต่บางส่วนกลับหยาบกระด้าง ครึ่งๆกลางๆไม่สมบูรณ์เสมอกันทั่ว 

ขณะโกรธ ขณะยอมถูกโทสะควบคุมจิตใจ เราจะไม่มีมุมมองอื่นนอกเหนือไปจากความคิดเขม่นเข่นเขี้ยวอยากจองล้างจองผลาญ แต่เมื่อรู้ผลของการเป็นคนเจ้าโทสะแล้วเช่นนี้ ก็อาจฝึกมองไว้ล่วงหน้า ว่าเราจะเสียเวลา เสียรูปในอนาคตให้กับความโกรธเปล่าๆปลี้ๆไปทำไม อย่างไรคู่อริของเราก็ต้องตายจากกันไปเสวยวิบากของแต่ละคน 

เพียงเห็นในขณะที่โกรธเป็นขณะแห่งความสูญเปล่า เท่ากับเอาเวลาที่ควรจะทำให้อะไรดีขึ้นสักนิดไปทิ้งเสียอีกนาทีหนึ่ง ชั่วโมงหนึ่ง วันหนึ่ง เดือนหนึ่ง หรือปีหนึ่ง หากเราเห็นทุกวินาทีในโลกนี้มีค่ายิ่งกว่าทอง ก็จะปรับทัศนะได้ใหม่ เห็นว่ายิ่งเสียเวลากับสิ่งไร้ประโยชน์น้อยลงเพียงใด ก็เท่ากับมีเวลาทำสิ่งที่เป็นประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น เราจะเป็นทาสกิเลสผู้น่าสงสาร ที่มัวหลงเสียเวลาในชีวิตไปหมกมุ่นครุ่นคิดถึงสิ่งไร้สาระโดยแท้ 

ถ้าหากประกอบพร้อมทั้งการให้ทรัพย์เป็นทานด้วยศรัทธา และการให้อภัยเป็นทานด้วยใจจริง อย่างนี้ความสมบูรณ์พร้อมในเรือนกายย่อมเป็นที่หวังได้ 



และบางคนแม้ทำทานรักษาศีลดี มีจิตใจเบิกบานเป็นนิตย์ แต่ก็แอบคิดเล็กคิดน้อยอยู่ในใจ เช่นเจอใครก็จ้องจับผิดอยู่เงียบๆ นึกด่าเขาอยู่เงียบๆ หรือกระทั่งชอบสาปแช่งอยู่เงียบๆ เพราะคิดว่าคงไม่ทำให้ใครเดือดร้อน จิตมีความโสมนัสอยู่กับความคิดร้ายๆภายในใจ ก็มีผลให้รูปร่างหน้าตาเสียความสมบูรณ์แบบ ลดหลั่นกันไปตามฐานะแห่งกรรม 

วิธีคิดของคนนั้น เป็นมโนกรรมสำคัญที่จำแนกสัตว์ออกเป็นต่างๆอย่างแท้จริง เพราะเป็นของที่ตนรู้อยู่กับตัว และเป็นของที่ติดตัว ติดจิตติดวิญญาณเราไปทุกหนทุกแห่ง จึงเป็นใจกลางแห่งความปรุงแต่งรูปร่างหน้าตา ถ้าความคิดมีมลทิน แม้สวยหรือหล่อจากทานและศีลก็เหมือนภาพงามที่มีรอยด่างหรือจุดตำหนิ 

กล่าวได้เต็มปากว่าวิธีคิดนั่นเอง ทำให้ความสวยหล่อไม่ได้มีแบบเดียว ถอดพิมพ์กันเป๊ะๆไม่ได้ และรูปร่างหน้าตานั้น จะไม่ผิดแผกแตกต่างจากที่เราเป็นอยู่อย่างนี้มากนักก็เพราะการสืบสายของวิธีคิดนี่เอง หากสามารถยกระดับวิธีคิดได้มาก หน้าตาก็จะเปลี่ยนไปมากแบบแปรผันตรง 



สรุปว่ากรรมหลักๆที่ทำให้สวยหล่อบาดตาบาดใจกันจริงๆ หรือมีรูปงามเกินใจใครต้านทานนั้น มาจากการเป็นคนที่หมั่นทำทานด้วยศรัทธา มีศีลสะอาดบริสุทธิ์หมดจด และมีอาการทางใจกับวิธีคิดที่เป็นบวกอยู่เสมอๆ คือไม่เป็นคนมักโกรธ ไม่คิดอกุศลหรือติดใจความคิดอัปมงคลจนปล่อยใจให้ไหลไปกับเรื่องต่ำๆ 

ผู้ทำกรรมในแบบที่จะส่งผลเป็นความสวยหล่อถึงขีดสุดดังกล่าวนี้ จะมีความงามออกมาจากภายในตั้งแต่ชาติปัจจุบัน เห็นแล้วรู้สึกดีด้วยเป็นอย่างยิ่ง และในความเป็นมนุษย์ชาติถัดไป ก็จะเป็นผู้งามวัย วัยเด็กก็น่ารักแบบเด็ก วัยหนุ่มสาวก็หล่อสวยแบบหนุ่มสาวตามค่านิยมของยุคนั้นๆ และถ้าล่วงเข้าวัยชราก็ยังชวนพิศแบบผู้สูงอายุที่ดูไม่จืดตา 

การผสมกันระหว่างกรรมประเภทต่างๆที่ก่อให้เกิดรูปร่างหน้าตานั้น ไม่มีกรรมใดกรรมหนึ่งระหว่างทานและศีลเป็นผู้ขึ้นรูป ทุกอย่างผสมกันเบ็ดเสร็จแล้วออกมาเป็นหน้าตาหนึ่งๆเลยทีเดียว แต่รูปทรงอาจถูกกำหนดจากน้ำหนักของทานหรือศีลอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นถ้าเคยเป็นผู้มีนิสัยหนักไปทางทำทานด้วยศรัทธามากกว่ารักษาศีลให้สะอาดหมดจด ชาตินี้จะดูรูปงามชวนชมเมื่อมองผาด แต่พอมองพิศแล้วเห็นความไม่ค่อยสมส่วนสักเท่าไหร่ หรือกระทั่งจุดลับต่างๆไม่น่าพิสมัยนัก 

ส่วนบางคนเป็นผู้มีนิสัยหนักไปทางรักษาศีลพอประมาณมากกว่าทำทานด้วยศรัทธา หรือบางทีไม่ค่อยได้ทำทานเอาเลย ชาตินี้จะดูสมส่วน เครื่องหน้าทุกชิ้น อวัยวะใหญ่น้อยทั้งหลายดูเข้ารูปรับกันไปหมด แต่กลับสวยหล่อแบบเรียบๆ ไม่หวือหวาสะดุดตานัก 

และขอให้เข้าใจด้วยว่าสภาพจิตในชาติอันเป็นปัจจุบันก็มีบทบาทสำคัญยิ่ง บางคนรูปร่างหน้าตาดี แต่กลับขาดเสน่ห์ เพราะปล่อยตัวปล่อยใจให้ง่วงเหงาหาวนอน หรือหดหู่ทอดอาลัยตายอยาก จมอยู่กับความเศร้าชั่วนาตาปี อย่างนี้ก็ขาดความชวนชมได้เหมือนกัน เพราะแม้ตาคนเขาจะเห็นรูปโฉมดีๆภายนอก แต่ใจเขาก็จะรู้สึกแย่กับกระแสความหดหู่หรือคลื่นความปั่นป่วนในภายในจนอยากเมินมากกว่าอยากพิศให้นาน 

สรุปแล้ว เรื่อง ความสวย ความหล่อ เป็นอานิสงค์ ของการให้ทาน รักษาศีล ตั้งแต่ก่อน ขณะทำ และทำไปแล้ว จึงจะได้ผลเต็มเปี่ยม

				
4 ธันวาคม 2550 11:56 น.

คุณเคยถามตัวเองหรือเปล่า...ว่าใครสมควรได้รับการศิโรราบจากใจจริงของคุณ

ซาวแดนดุด


ตั้งแต่คุณเกิดมา เติบโตขึ้น จนถึงปัจจุบัน มีมนุษย์ผู้ใด ที่คุณยอมรับ ยกย่อง โดยศิโรราบ อย่างไร้ข้อสงสัย...........

เป็นผู้ขยันอดทน ยาวนานต่อเนื่อง
เป็นผู้ทำเพื่อผู้อื่นสม่ำเสมอ
เป็นผู้กตัญญูรู้คุณ บิดามารดา
เป็นผู้อ่อนโยน รักครอบครัว พี่น้อง ดูแลอย่างใกล้ชิด
เป็นผู้รักและปรารถนาดีต่อผู้อื่นเสมอมา
เป็นผู้คิดค้น ประดิษฐ์ สิ่งใหม่ เพื่อทำให้ชีวิตของคนอื่นดีขึ้น
เป็นผู้ไม่ติดใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
เป็นผู้ มี ศีล สมาธิ ปัญญา
เป็นผู้ประหยัดอดออมเป็นแบบอย่าง
เป็นผู้เลิศในดนตรีและกีฬา
เป็นผู้ประพันธ์เพลงได้ไพเราะยิ่งนัก
เป็นผู้ห่วงใยคนจน และ หาทางช่วยเหลือตลอดมา
เป็นผู้ทำงานหนัก ไม่เคยเห็นแก่ความยากลำบาก
เป็นผู้เสียสละเพื่อผู้อื่นอย่างแท้จริง
เป็นผู้ประพฤติเช่น โพธิสัตว์

อีกล้านคำพูด ที่ไม่อาจนำมากล่าวอ้างได้หมด
คนจริง ของจริง มีชีวิตจริงในโลกใบนี้
หนึ่งเดียวเท่านั้น......


				
1 ธันวาคม 2550 12:23 น.

84,000 เหลือ 4 เห็นผลใน 30

ซาวแดนดุด



อย่าเพิ่งสงสัยว่าจะได้เลขเด็ด แต่เหนือกว่าเลขเด็ดใดๆ 
ลองอ่านและปฏิบัติดูแล้วคุณจะประหลาดใจ.....อัศจรรย์ยิ่ง

84,000 คือ พระธรรมขันธ์แห่งพระไตรปิฎก แบ่งเป็น
พระสูตร 21,000  พระธรรมขันธ์
พระวินัย 21,000 พระธรรมขันธ์
พระอภิธรรม 42,000 พระธรรมขันธ์
มากมายขนาดนี้ คงเริ่มไม่ถูกว่า จะเรียนรู้ปฏิบัติอย่างไร จึงจะเห็นผลเร็วที่สุด

จึงย่อรวมลงมาให้เหลือ 4 ขั้นตอน เพื่อนำไปปฏิบัติ ด้วยความตั้งใจ และ มีศรัทธา สมาธิจดจ่อ จะเห็นผลอย่างแน่นอนภายใน 30 วัน
ขั้นตอนนี้ เพื่อพิสูจน์ทราบว่า สัจจะธรรม มีจริง ปฏิบัติและเห็นผลได้ด้วยตนเอง
โดยไม่ต้องเชื่อใครเขาว่ามา เมื่อปรากฏผลเป็น อัศจรรย์แล้ว จะเกิดความตั้งใจที่จะปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันอย่างมีความสุข(ไม่ใช่เข้าวัดฟังธรรม นั่งสมาธิ หลับตา เพราะเราไม่ใช่ พระสงฆ์ หรือ ชี)

ทำ 4 ขั้นตอนต่อไปนี้ ด้วยความตั้งใจ จิตจดจ่อ สม่ำเสมอจนครบ 30 วัน จะเห็นความอัศจรรย์ด้วยตนเอง

1.หยุดทำในสิ่งไม่ดี คือ รักษา ศีล 5 และกล่าวอราธนาทุกเช้า(ถ้าทำได้)

2.กำหนดความว่าง ว่า เราไม่มีตัวตน เป็นเพียงผู้ชม ที่เกิดมาดูภาพยนตร์ที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย แต่ไม่อาจกระทบความว่างของตัวเรา ใจเราได้ ไม่ว่าจะมี ภาพ เสียง กลิ่น รส สัมผัส ความคิดใด เกิดขึ้น ให้ ทำใจนิ่งๆ ว่า เราเป็นเพียงผู้ชม ไม่ใช่ผู้เล่น จะไม่เดือดร้อน เหมือน บัวที่ลอยอยู่เหนือน้ำ

3.ตั้งใจ จดจ่อ ในการทำความดี สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ใน 30 วันนี้ เช่น ใส่บาตรทุกเช้า ร่วมหาคนทำบุญทอดผ้าป่า ทำความดีกับ พ่อ แม่ เพื่อนฝูง เก็บกวาดทำความสะอาด เป็นต้น แล้วแต่ความสะดวกเหมาะสมของแต่ละท่าน ขอเน้นย้ำว่า ต้องจิตจดจ่อจริงจัง อย่าให้จิตหลุดจากความตั้งใจนี้ อย่างน้อยให้ระลึกถึงทุกเช้า หรือก่อนนอนเวลาสวดมนต์ ทำจิตให้ผ่องใส

4.สวดมนต์ไหว้พระทุกวัน ด้วยการกล่าวออกเสียง รวมถึงการทำจิตให้นิ่ง ด้วยการทำสมาธิวันละ 5 นาที หลังจากออกจากสมาธิ ให้กล่าวอุทิศส่วนบุญกุศลนี้ แด่ บิดา มารดา ครูอาจารย์ พระพุทธ พระธรรม พระ อรหันต์ทุกพระองค์ พระอริยสงค์ ตลอดจนองค์เทพประจำร่าง เจ้าที่เจ้าทาง ตลอดจนสิ่งศักสิทธิ์ทั้งหลาย ให้รับเอาบุญกุศลเหล่านี้ และร่วมอนุโมทนาสาธุ ให้เกิดเป็นนิมิตรปรากฏกับเราใน 30 วันนี้ 

เห็นทั้ง 4 ขั้นตอนนี้แล้ว บางท่านก็ทำอยู่แล้ว บางท่านก็ยังไม่เคยทำ ถ้าตัดสินใจทำ ก็ขอให้ตั้งจิต จดจ่อ จะปรากฏเป็นนิมิตรขึ้น เช่น ฝันถึงสิ่งสวยงาม ฝันเห็นในหลวง ราชินี ฝันว่าขึ้นเขาไปกราบพระพุทธรูป ฝันเห็นดินแดนที่งดงาม เป็นต้น หลังจากการเกิดนิมิตร ให้อธิษฐานจิตขอให้สิ่งอัศจรรย์ปรากฏ ในชีวิตจีงของเรา (ในสิ่งที่พอเป็นไปได้) ขอให้มีโชค(ซื้อลอตเตอรี่) ลูกหนี้ให้กลับมาใช้หนี้ ให้ได้โชคดีในการงาน ให้เพื่อนรัก คนรักติดต่อกลับมา  จะปรากฏสิ่งอัศจรรย์นี้ภายใน 3-7 วัน เมื่อได้รับความอัศจรรย์นี้แล้ว ก็ดำเนินชีวิตเป็นปกติ ที่มีพื้นฐานการปฏิบัติ 4 ข้อนี้อย่างสม่ำเสมอ ชีวิตจะมีแต่ความสุขความเจริญตลอดไป

สรุปรวมความถึงการปฏิบัติทั้ง 4 ข้อ คือ 
ละความชั่ว ทำความดี ทำจิตใจให้ผ่องใส

ใครอยากทดสอบด้วยตนเอง เพราะไม่เชื่อ หรือ เชื่อ ก็ใส่ชื่อในคอมเมนต์เข้ามา แล้วจะคอยติดตามผลให้สำเร็จ


				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟซาวแดนดุด
Lovings  ซาวแดนดุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟซาวแดนดุด
Lovings  ซาวแดนดุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟซาวแดนดุด
Lovings  ซาวแดนดุด เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงซาวแดนดุด