21 พฤศจิกายน 2550 13:41 น.

กิเลสเกิดได้อย่างไร...อ่านครงนี้ กิเลสดับได้อย่างไร...ทำตรงนี้

ซาวแดนดุด


การก้าวสู่กระแสธรรม หมายถึงการค่อยๆละกิเลส จึงควรรู้ว่า กิเลสเกิดขึ้นได้อย่างไร และ กิเลสจะละได้อย่างไร(เพราะการมีกิเลสเป็นเหตุแห่งทุกข์)

กิเลส เกิดจาก ผัสสะ ทาง หู ตา จมูก ลิ้น กาย ๕ ทางที่โลกภายนอกจะเข้าสู่ตัวเรา เมื่อเข้ามาแล้ว จิตจะรับรู้ และตัดสินเปรียบเทียบกับความจำที่เคยมีในอดีต ตัดสินว่าชอบใจหรือไม่ขอบใจ ชอบใจก็พัฒนาไปเป็นความอยากได้(ตัณหา)ผัสสะนั้นอีก ได้อีกๆๆ จนพัฒนาจนรู้สึกว่าเป็นของเรา ขาดไม่ได้ ซึ่งความเป็นเจ้าของ(อุปปาทาน) ยึดมั่นถือมั่นเป็น กิเลสแล้ว พร้อมที่จะก่อกรรม เกิดเป็นวิบากต่อไป
กิเลส ละได้ ต้องใช้ สติสัมปชัญญะ เห็นความทุกข์ เห็นความโลภ เห็นความโกรธ เห็นความหลง ซึ่งเป็นกิเลส ซึ่งเป็นสาเหตุแห่งทุกข์ แต่การจะละได้ต้องกลัวความทุกข์ให้ถึงที่สุดก่อน ดังนั้นเครื่องมือละกิเลสคือ สติ ซึ่งเรียกใช้ไม่ได้ทันทีทันใด เพราะต้องสร้างขึ้นก่อน(สติเป็นผล) ต้องค่อยๆเจริญสติ ซึ่งคราวหน้าจะอธิบายว่าทำอย่างไร ว่าเรื่องการละกิเลสก่อน
เมื่อเห็นความทุกข์เกิดขึ้น ให้รู้ว่าเป็นผลจากการกระทำในอดีต(วิบากบวกกับกิเลส) ให้รู้โทษของกิเลส ให้ละด้วยกาย วาจา ใจ(ถ้าลึกซึ้งกว่านั้นเห็นถึงความ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา คือ ไตรลักษณ์)
ยกตัวอย่าง เมื่อคนใกล้ชิด ทำให้เราไม่พอใจ(เกิดความโกรธขึ้น) เลือดขึ้นหน้า ใจเต้นแรง ความรู้สึกบีบคั้น อยากตอบโต้ เพื่อเอาคืน เมื่อนั้น ถ้าสติทำงาน ยับยั้งการปรุงแต่งความโกรธขึ้น(เห็นว่าความโกรธเป็นทุกข์ของเรา ไม่ใช่ของคู่กรณี จะโง่ให้ตัวเราเองทุกข์ไปทำไม) แต่ความรู้สึกยังค้างอยู่อีก ๓ วันกว่าจะทุเลาเบาบางลง 
เมื่อ คนใกล้ชิดทำให้เราไม่พอใจครั้งต่อไป สติจะทำงานเร็วขึ้น คือละความโกรธได้เร็ว ความรู้สึกค้างอยู่แค่วันเดียว และ ลดลงตามลำดับ เหลือครึ่งวัน เหลือ ๑ ชั่วโมง จนดับได้ทันทีในขณะเจอเหตุการณ์นั้น กลายเป็นความเข้าใจ และสงสารเขาว่า ต่างเป็นเพื่อนร่วมโลกที่ต่าง เกิด แก่ เจ็บ ตาย มีกิเลสกันทุกคน ให้อภัย ขอให้เป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย 

กิเลสก็เบาบางลง เช่นเดียวกับ ความโลภ และ ความหลง ซึ่งมองเห็นยากกว่า ก็
ปฏิบัติในลักษณะเดียวกัน ให้ตระหนักว่า กิเลสเปรียบเสมือนเถ้าถ่านที่รมก้นกระทะจนดำ กว่าจะขัดออกจนเงา คงต้องใช้การขัดหลายครั้งๆๆ เพราะภพชาติยาวนาน นับไม่ถ้วน มิฉะนั้น พระพุทธองค์ คงไม่สร้างบารมี แสนกัปป์กว่าจะบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า แต่อย่างไรก็ตาม อย่างน้อย คุณก็มาถูกทางแล้ว คือการละกิเลส เดินขึ้นที่สูง ว่าวันหนึ่งคงถึงเป้าหมายคือ การหมดทุกข์ หรือ บรรลุอรหันต์ ดีกว่า เดินลง แหวกว่ายในกองทุกข์นานชั่วกัปป์ชั่วกัลป์

ครั้งต่อไปจะอธิบาย เรื่อง การเจริญสติ อันเป็นอาวุธที่เป็นเครื่องต่อสู้กิเลส แต่ยังต้องมีอุปกรณ์รบอื่นๆเป็นเครื่องช่วย เช่น ความเห็นตรง หรือ สัมมาทิฏฐิ อนุสติ ๑๐ เป็นต้น เป็นจุดเริ่มต้นในการก้าวสู่กระแสธรรม

				
21 พฤศจิกายน 2550 13:35 น.

กิเลสเกิดได้อย่างไร...อ่านตรงนี้

ซาวแดนดุด


การก้าวสู่กระแสธรรม หมายถึงการค่อยๆละกิเลส จึงควรรู้ว่า กิเลสเกิดขึ้นได้อย่างไร และ กิเลสจะละได้อย่างไร(เพราะการมีกิเลสเป็นเหตุแห่งทุกข์)

กิเลส เกิดจาก ผัสสะ ทาง หู ตา จมูก ลิ้น กาย ๕ ทางที่โลกภายนอกจะเข้าสู่ตัวเรา เมื่อเข้ามาแล้ว จิตจะรับรู้ และตัดสินเปรียบเทียบกับความจำที่เคยมีในอดีต ตัดสินว่าชอบใจหรือไม่ขอบใจ ชอบใจก็พัฒนาไปเป็นความอยากได้(ตัณหา)ผัสสะนั้นอีก ได้อีกๆๆ จนพัฒนาจนรู้สึกว่าเป็นของเรา ขาดไม่ได้ ซึ่งความเป็นเจ้าของ(อุปปาทาน) ยึดมั่นถือมั่นเป็น กิเลสแล้ว พร้อมที่จะก่อกรรม เกิดเป็นวิบากต่อไป
กิเลส ละได้ ต้องใช้ สติสัมปชัญญะ เห็นความทุกข์ เห็นความโลภ เห็นความโกรธ เห็นความหลง ซึ่งเป็นกิเลส ซึ่งเป็นสาเหตุแห่งทุกข์ แต่การจะละได้ต้องกลัวความทุกข์ให้ถึงที่สุดก่อน ดังนั้นเครื่องมือละกิเลสคือ สติ ซึ่งเรียกใช้ไม่ได้ทันทีทันใด เพราะต้องสร้างขึ้นก่อน(สติเป็นผล) ต้องค่อยๆเจริญสติ ซึ่งคราวหน้าจะอธิบายว่าทำอย่างไร ว่าเรื่องการละกิเลสก่อน
เมื่อเห็นความทุกข์เกิดขึ้น ให้รู้ว่าเป็นผลจากการกระทำในอดีต(วิบากบวกกับกิเลส) ให้รู้โทษของกิเลส ให้ละด้วยกาย วาจา ใจ(ถ้าลึกซึ้งกว่านั้นเห็นถึงความ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา คือ ไตรลักษณ์)
ยกตัวอย่าง เมื่อคนใกล้ชิด ทำให้เราไม่พอใจ(เกิดความโกรธขึ้น) เลือดขึ้นหน้า ใจเต้นแรง ความรู้สึกบีบคั้น อยากตอบโต้ เพื่อเอาคืน เมื่อนั้น ถ้าสติทำงาน ยับยั้งการปรุงแต่งความโกรธขึ้น(เห็นว่าความโกรธเป็นทุกข์ของเรา ไม่ใช่ของคู่กรณี จะโง่ให้ตัวเราเองทุกข์ไปทำไม) แต่ความรู้สึกยังค้างอยู่อีก ๓ วันกว่าจะทุเลาเบาบางลง 
เมื่อ คนใกล้ชิดทำให้เราไม่พอใจครั้งต่อไป สติจะทำงานเร็วขึ้น คือละความโกรธได้เร็ว ความรู้สึกค้างอยู่แค่วันเดียว และ ลดลงตามลำดับ เหลือครึ่งวัน เหลือ ๑ ชั่วโมง จนดับได้ทันทีในขณะเจอเหตุการณ์นั้น กลายเป็นความเข้าใจ และสงสารเขาว่า ต่างเป็นเพื่อนร่วมโลกที่ต่าง เกิด แก่ เจ็บ ตาย มีกิเลสกันทุกคน ให้อภัย ขอให้เป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย 

กิเลสก็เบาบางลง เช่นเดียวกับ ความโลภ และ ความหลง ซึ่งมองเห็นยากกว่า ก็
ปฏิบัติในลักษณะเดียวกัน ให้ตระหนักว่า กิเลสเปรียบเสมือนเถ้าถ่านที่รมก้นกระทะจนดำ กว่าจะขัดออกจนเงา คงต้องใช้การขัดหลายครั้งๆๆ เพราะภพชาติยาวนาน นับไม่ถ้วน มิฉะนั้น พระพุทธองค์ คงไม่สร้างบารมี แสนกัปป์กว่าจะบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า แต่อย่างไรก็ตาม อย่างน้อย คุณก็มาถูกทางแล้ว คือการละกิเลส เดินขึ้นที่สูง ว่าวันหนึ่งคงถึงเป้าหมายคือ การหมดทุกข์ หรือ บรรลุอรหันต์ ดีกว่า เดินลง แหวกว่ายในกองทุกข์นานชั่วกัปป์ชั่วกัลป์

ครั้งต่อไปจะอธิบาย เรื่อง การเจริญสติ อันเป็นอาวุธที่เป็นเครื่องต่อสู้กิเลส แต่ยังต้องมีอุปกรณ์รบอื่นๆเป็นเครื่องช่วย เช่น ความเห็นตรง หรือ สัมมาทิฏฐิ อนุสติ ๑๐ เป็นต้น เป็นจุดเริ่มต้นในการก้าวสู่กระแสธรรม

				
20 พฤศจิกายน 2550 15:40 น.

ฉันเพิ่งเกิดมา...ยังไม่อยากรู้เรื่องธรรมะ

ซาวแดนดุด


คนเราเกิดมาเรียนรู้ สร้างสรรค์ตัวตน...
เพื่อบอกว่า ฉันเป็นใครในโลกนี้
เมื่อเกิดความมั่นใจ....ในตัวตน
ก็ใช้ตัวตน สร้างสิ่งที่ดีเท่าที่จะทำได้ เพื่อได้รับการยอมรับ..
แต่กิเลสที่สั่งสมมา...ทำในสิ่งที่ตนอยากได้ อยากมี อยากเป็น...
กลับเป็นสิ่งที่เป็นบาป ขว้างวิบากไปรอไว้ในอนาคต สักวันจะได้รับ
เมื่อได้รับผลแห่งวิบาก(อาจเป็นผลจากชาตินี้ หรือ ชาติก่อน) ก็เป็นทุกข์
ดิ้นรน กุกกักๆ เพื่อหนีทุกข์...
แต่ทุกข์ มิใช่เพื่อการละหรือหนี เพียงรับรู้จนกลัวทุกข์...
จนวันหนึ่งเมื่อรู้ทันแล้ว ถึงจะก้าวสู่กระแสธรรม(เพื่อการพ้นทุกข์)
จึงยอมโดยดุษฎีที่จะฟังธรรม....
ณ บัดนี้ จึงเป็นจุดเริ่มแห่งการละกิเลส คือความ อยากได้ อยากมี อยากเป็น และ ไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น(เป็น สมุทัย คือ เหตุแห่งทุกข์)
เริ่มเรียนรู้ ธรรมะ เพื่อน้อมเข้าสู่ตัวเอง ไม่ใช่เพื่อการตัดสินผู้อื่น..
ปฏิบัติ เริ่มต้นอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟซาวแดนดุด
Lovings  ซาวแดนดุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟซาวแดนดุด
Lovings  ซาวแดนดุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟซาวแดนดุด
Lovings  ซาวแดนดุด เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงซาวแดนดุด