21 มิถุนายน 2551 08:23 น.
ช่ออักษราลี
๏ พลิ้วลมโชยกลิ่นหอมล้อมกอหญ้า
พวงลัดดาบานเบ่งเปล่งเครือเถา
สร้อยอักษรขจรไหวในลำเนา
กลีบจักเคล้าวลีฟ้ามาโปรยดิน
๏ หอมบุปผามาลัยในโลกหล้า
ไม่หอมกว่าภาษาสรรค์วรรณศิลป์
โชยละมุนไหลล่วงจากดวงจินต์
ขจรกลิ่นหอมหวานบนลานกลอน
๏ ลายสือไทยไหวพลิ้วดั่งริ้วเมฆ
งามราวเสกสวรรค์สู่บรรจถรณ์
ดอกสร้อยศิลป์ผลิช่ออรชร
เรณูกลอนปลิวฟุ้งรุ้งกวี
๏ อิ่มไหนเล่าเท่าอิ่มทิพยรส
ยามเสพบททุกตอนอักษรศรี
ดั่งเสวยสวรรค์อันรุจี
ชั้นกวีเพริศแพร้วแก้วกรองกานท์
๏ ร่ายสำเนียงสังคีตคำทำนองเสนาะ
หวานไพเราะดุจคนธรรพ์นั้นวาทย์ขาน
พลิ้วจังหวะฉันทลักษณ์กล่อมสำราญ
บนวิมานลานทองของกลอนไทย
๏ บรรเลงถ้อยร้อยรักวาดจินตนา
ฤๅกำสรวลครวญอุราพิลาปไหน
บ่มความคิดปรัญชามาแทรกใน
วากย์วิไลตามครรลองทำนองกานท์
๏ ชนรุ่นหลังพึงสังวรให้ตระหนัก
สำเหนียกรักษ์รักษาไว้ให้สืบสาน
วัฒนธรรมบ่มภาษามาช้านาน
จนแตกฉานถักถ้อยเป็นร้อยกรอง
บทกวีสำหรับฉันนั้นคือมิตร
อิ่มเอมจิตยามประจักษ์วรรคเฉลา
ดั่งผลิช่อดอกไม้ไหวเอนเงา
หวานนำเจ้าผึ้งภู่มาสู่เชย
ฉันซ่อนตัวในโลกสรรพอักษร
หนุนตักกลอนสล้างต่างเขนย
ทิพย์ดนตรีบรรเลงเพลงเช่นเคย
สุขเกินเอ่ยเอื้อนคำจำนรรจา
หอมเอยหอมเสาวคนธ์มนต์แห่งคำ
เสพรสล้ำถวิลหิมวันต์ฟ้า
ร่ายวลีลออช่อยามา
หัวใจพาร้อยร่ำลำนำกรอง
โลกกวีสำหรับฉันนั้นคือมิตร
ยามลิขิตรจนามาทั้งผอง
ราวบุปผาคลี่บานบนลานทอง
ไหวละอองงามล้ำชื่นฉ่ำใจ
14 มิถุนายน 2551 08:56 น.
ช่ออักษราลี
๏ เด่นพราวรุ้งจรุงทิพย์แลลิบลิ่ว
เพียงเมฆพลิ้วราวพรางทางสวรรค์
ระยิบระยับจับแสงแดงตะวัน
เพริศแพรวพรรณเลื่อมลับสลับลาย
๏ อ่าอำไพในนิมิตวิจิตรพร่าง
โค้งสล้างเจ็ดสีมณีสาย
แดดทอรุ้งปรุงฟ้ามาระบาย
ราวเก็จเพชรประกายเฉิดฉายฟ้า
๏ พรายแสงงามเมลืองรองผ่องวิจิตร
เคล้าชีวิตดอกใบไหวบุปผา
นาฏกรรมปวงผีเสื้ออะเคื้อลีลา
ร่ายรับฟ้าบรรเลงดินถิ่นวิไล
๏ วิลาสสล้างยางยูงหงส์ลงฟ่องฟ้อน
อรชรฉะอ้อนรับขับสมัย
นางเนื้อทรายเยื้องย่างสำอางไฉไล
แว่วเพลงไพรกังสดาลขับขานแล้ว
๏ หอมไอดินกำจายมาร่ายหอม
โชยขับกล่อมเถาลดาบุหงาแพร้ว
เพียงลมฝนหล่นหายจากปลายแนว
ละอองแก้วแผ่วตะวันพลันรุ้งงาม
๏ ดุจใจคนหม่นหมองยิ่งกว่าหมอง
โศกเข้าครองเมฆเทาเศร้าล้นหลาม
หลั่งความทุกข์เป็นฝนรดเขตคาม
พลันเรืองวามเปี่ยมหวังพลังสุรีย์
๏ เกิดเป็นรุ้งปรุงสายประกายหวัง
เป็นกำลังใจสู่ทางสว่างนี้
แสงปัญญานำโคมทองส่องชีวี
เดินตามที่มีแสงแห่งธรรมา