23 เมษายน 2548 12:10 น.
ช่อมะไฟ
เหมือนภาพเก่าย้อนคืนสะอื้นหา
มันบาดตาบาดใจใครจะรู้
หนุ่มสาวเดินคลอเคล้าฉันเฝ้าดู
แสนอดสูคิดถึงเขาเหงาฤทัย
ทะเลเศร้าวันนี้ไม่มีเขา
แม้แต่เงาภาพฝันยังสั่นไหว
กลางหาดทรายว้าเหว่ทะเลใจ
ธาราไหลรินรอบขอบดวงตา
หวลระลึกคืนวันอันอบอุ่น
หวานละมุนไฟสวาทปรารถนา
ในอ้อมแขนอิงแอบแนบนิททรา
มองจันทราในราตรีที่มืดมน
เสียงกระซิบผะแผ่วแว่วข้างหู
ชี้ชวนดูดาวพราวพร่างกลางเวหน
สะท้อนเงาภาพไหวกลางสายชล
เหมือนมีมนต์ดลใจเมื่อใกล้กัน
คลื่นอารมณ์ร้อนรุ่มมารุมเร้า
ดั่งสำเภาแล่นใบไม่หวาดหวั่น
ยิ่งกระแสถั่งโถมเข้าโรมรัน
จนเรือสั่นโงนเงนเอนตามธาร
ละลอกแล้วละลอกซ้ำกระหน่ำหา
คลื่นธารารุกเร้าเข้าหักหาญ
กำปั่นน้อยลอยละลิ่วฉิวทะยาน
แทบแหลกรานอับปางกลางนที
ฝ่าปั่นป่วนซวนเซทะลลึก
ความรู้สึกรัญจวนชวนสุขขี
กระทั่งถึงใกล้นิวัตปัถพี
จรลีขั้นฝั่งสมดังใจ
เดินเลียบเลาะหาดทรายในวันนี้
ดวงฤดีโศกาน้ำตาไหล
จึงเหว่ว้าตรอมตรมขมทรวงใน
เขาลาไกลไปลับไม่กลับคืน
12 เมษายน 2548 22:41 น.
ช่อมะไฟ
ใช่สาวโสดสดแท้แค่ผู้หญิง
ไม่ใหม่ซิงบริสุทธิ์ดูผุดผ่อง
ใช่อวบอัดน่าโลมเล้าเฝ้าหมายปอง
เนื้อดั่งทองน่าสัมผัสมัดใจชาย
สามสิบห้ายี่สิบสี่สามสิบหก
ขนาดอกหาใช่ที่ใครหมาย
ทนเปลี่ยวเหงาอ้างว้างช่างเดียวดาย
เพราะถอดป้ายแดงนั้นนานเหลือเกิน
ป้ายที่เปลี่ยนนั้นเห็นเป็นสีขาว
บนทางคาวโลกีย์ไม่มีเขิน
ชีวิตไปตามวิถีที่อยากเดิน
คนคงเมินเบือนหน้าหามีใคร
อยากขอเปลี่ยนหัวใจเป็นป้ายเหลือง
คงรุ่งเรืองคนคู่กายให้ขวักไขว่
สาธารณะรับกมลคนอยากไป
สู่หนไหนแม้วิมานชั้นฉิมพลี
7 เมษายน 2548 21:40 น.
ช่อมะไฟ
ท่านอาจารย์เจ้าขา
หนูบากหน้ามาวันนี้
เพราะว่าเจ้าสามี
ทำหน่ายหนีไปไม่มา
หนูมาขอเคล็ดลับ
ให้เขากลับสู่เคหา
อาศัยร่วมชายคา
เคียงไสยาทุกราตรี
เจ้าจงนั่งลงก่อน
ข้าจะสอนการวิธี
เอาใจสวามี
ฟังให้ดีแล้วจดจำ
รุ่งอรุณเบิกฟ้า...........วันใหม่
รีบตื่นมาเร็วไว.........อาบน้ำ
จรุงกลิ่นชื่นใจ...........ค่อยเรียก
จุมพิตปรางซ้ำ...........ปลุกให้ตื่นนอน
พักผ่อนก่อนก็ได้.......คุณขา
นี่แค่เพียงเวลา.........รุ่งเช้า
กาแฟใส่แก้วมา........ชวนดื่ม
โชยกลิ่นหอมยวนเย้า.....รสลิ้นคุ้นเคย
อย่าละเลยจริตก้าน........มารยา
ปลายจวักเสน่หา...........อย่าทิ้ง
มธุรสวาจา.....................จำมั่น
เสียงเสนาะเพราะพริ้ง...สยบได้ใจชาย
เดี๋ยวสายเขาไม่ได้..........ไปทำงาน
สำรับเครื่องคาวหวาน......พรั่งพร้อม
หลักโภชนาการ...............ตามสูตร
ตัวอย่างเจ้าจงน้อม..........รับรู้จำไว้ ให้ดี
รอเวลาเขากลับ
ไปคอยรับว่าเหนื่อยไหม
ทำงานเป็นอย่างไร
พักผ่อนให้ใจสบาย
จะบีบนวดคลายเส้น
คอยดึงเอ็นร้อยหวาย
เลือดลมทั้งร่างกาย
ปวดเมื่อยหายคลายกังวล
ข้อสุดท้ายจำไว้
คือเรื่องใหญ่จะได้ผล
คราวค่ำคืนมืดมน
เรื่องบนเตียงเคียงนิททรา
อย่าเฉไปเรื่องอื่น
สุมไฟฟืนปรารถนา
ยั่วเย้าเคล้ามารยา
ชวนเขามาหาอุ่นไอ
อาภรณ์มิต้องหรู
เป็นซีทรูคงพอไหว
เบาบางเนื้อนางใน
จงสวมใส่เมื่อใกล้กัน
ที่เหลือเจ้าก็รู้
ทางไปสู่สรวงสวรรค์
ภัสดากลับมาพลัน
หฤหรรษ์ตลอดกาล
6 เมษายน 2548 15:41 น.
ช่อมะไฟ
ฉันคงเหมือนกองไฟใกล้สิ้นเชื้อ
ไม่มีเหลือแสงสว่างก็จางหาย
ความเริงโรจน์โชติร้อนค่อยผ่อนคลาย
มอดมลายแต่ปะทุระอุใน
คล้ายความรักหักอกสะทกสะท้าน
เริ่มร้าวฉานเขาห่างเหินสะเทิ้นไหว
เคียงคู่หล่อนหมอนหนุนอุ่นหทัย
น้ำตาไหลร่วงรินหมดสิ้นกัน
หมอนใบนั้นเคยนอนแนบแอบกับอก
ยามเดือนตกดาวระยับประดับฝัน
สัมผัสรสบทรักฝากชีวัน
อ้อมกอดนั่นกะหวัดแน่นแสนปรีดา
ค่ำคืนนี้กอดกายกับความหนาว
มองเดือนดาวข่มดับปรารถนา
คงได้เพียงกอดหมอนซ่อนน้ำตา
ใครเล่าหนาจะเติมไฟให้ลุกโชน
6 เมษายน 2548 10:43 น.
ช่อมะไฟ
เป็นเพียงผลไม้.........ในพนา
หาใช่มากราคา...........ค่าน้อย
หล่นร่วงลงพสุธา........ เฉาเหี่ยว
ช่อมะไฟพุ่มย้อย.........เหว่ว้าดวงใจ ไร้ใครแล
เกิดกายในพนา
ดูไร้ค่าสง่าศรี
ล่วงบนปฐพี
มิเคยมีใครสนใจ
ทุเรียนเงาะมังคุด
คือที่สุดผลไม้
อ้อยตาลนั่นไง
ฉ่ำหทัยคราวลิ้มลอง
ทั้งลำไยลิ้นจี่
ราคาดีคนคอยจ้อง
ทางใต้มีลองกอง
ใครก็ปองปรารถนา
ฉันแค่ช่อมะไฟ
อยู่พงไพรดูไร้ค่า
ร่วงลงพสุธา
ใครมองมาพากันเมิน