11 กุมภาพันธ์ 2553 00:06 น.
ช่อมะไฟ
หากเพียงเธอเริ่มรู้.......จดจำ
ความเจ็บปวดได้นำ......บ่งชี้
ความรักที่มืดดำ...........โดดเดี่ยว
เปล่าเปลี่ยวในวันนี้.......เนตรน้ำเนืองนอง
หมายปองความรักแล้ว...ทุ่มเท
ความรักยังหักเห............เลิกร้าง
โหยหวนยิ่งลังเล.............ขมขื่น
กลืนเก็บใจหม่นคว้าง......ชอกช้ำชินชา
ปรารถนาอีกสักครั้ง.........เป็นไร
ขอพักพิงหัวใจ.................เหนื่อยล้า
เพียงอยากหยุดปรารถนา..คราหนึ่ง
อยู่อย่างมิไขว่คว้า.............ยับยั้งรั้งรอ
ขอเป็นดั่งผู้ถูก.................โหยหา
เผื่อว่าใครจะมา...............ชิดใกล้
อาจถึงช่วงเวลา................ความสุข
เป็นดั่งที่หวังไว้................อยากให้คนปราถนา
15 กรกฎาคม 2551 00:52 น.
ช่อมะไฟ
เพียงเผลอไผลพร่ำเพ้อ...........โหยหา
ถึงรักที่ผ่านมา........................เจ็บช้ำ
มอบใจและวิญญาณ์................ดวงจิต
พลาดผิดทนกลืนกล้ำ..............เจ็บแล้วไม่จำ
ความสาวสูญหมดสิ้น.........ความสาว
จึงก่อเกิดเรื่องราว............เรื่องร้าย
ลืมร้อนและเหน็บหนาว.....ลืมหมด
รันทดหวังสุดท้าย..............ก่อห้วงห่วงใย
เพราะหัวใจมอบแล้ว.........ร่างพลี
รื่นรสบทสุนทรีย์................สู่ห้วง
ระเริงโลกโลกีย์.................ราคะ
ชั่วขณะโดนจาบจ้วง...........แปดเปื้อนหม่นหมอง
ฉันเพียงอยากไขว่คว้า.......ความฝัน
พลีร่างแลกสัมพันธ์.............แน่นแฟ้น
เวลาล่วงนานวัน.................พานพบ
แปรเปลี่ยนเป็นความแค้น..รักร้าวโรยรา
เหลือเพียงรอยคราบน้ำ.......ในตา
เขาหมดความปรารถนา.......ปลดเปลื้อง
เหมือนของหมดราคา............คุณค่า
เพียงเศษไม่ถึงเฟื้อง...........ค่าด้อยหรือไฉน
31 พฤษภาคม 2551 17:45 น.
ช่อมะไฟ
โปรดไตร่ตรองพี่จ๋าอย่าหลงผิด
หากครุ่นคิดให้ลึกซึ้งถึงเหตุผล
ประชาธิปไตยบัญญัติว่าประชาชน
ไทยทุกคนเสรีมีเท่ากัน
อย่าไปเลยพี่จ๋าอย่าให้เขา
มองว่าเราไร้ปัญญามันน่าขัน
เหมือนเขาเสี้ยมปรารถนาให้ฆ่าฟัน
ถูกปลุกปั่นโน้มน้าวอย่าเขลาเลย
แค่คนถ่อยอวดอ้างอยากสร้างชาติ
ทรราชมันขู่จงอยู่เฉย
พาคนไปถูกฆ่าฟันมันก็เคย
มันชอบเอ่ยแอบอ้างประชาธิปไตย
แล้วคนชั่วบังอาจประกาศว่า
ขออาสากู้ชาตินั้นชาติไหน
พวกมันแค่สามานคนจัญไร
มันคาดหวังเลือดไทยท่วมแผ่นดิน
โปรดคิดดูให้ดีนะพี่จ๋า
ถ้าเลือดทาแดนทองทั่วท้องถิ่น
คำเอ่ยอ้างอาจไม่ใช่ที่ได้ยิน
วันนี้สิ้นทรราชที่ราชดำเนิน
28 มีนาคม 2551 20:24 น.
ช่อมะไฟ
... ฉันเหม่อมองท้องฟ้าแสนว้าเหว่
ฟังคลื่นลมกล่อมเห่ทะเลเหงา
ทิวมะพร้าวเสียดเสียงเพียงแผ่วเบา
เป็นเพลงเศร้าแว่วยินกล่อมวิญญาณ
ยิ่งเหม่อมองค่ำคืนเห็นผืนน้ำ
เป็นสีดำกว้างใหญ่แผ่ไพศาล
หยาดน้ำตารินหลั่งริมฝั่งธาร
กังสดาลยินสำเนียงเหมือนเสียงใคร
เขาฝากดาวแสนงามข้ามขอบฟ้า
พร่ำพรรณาความผันแปรยากแก้ไข
เป็นถ้อยคำน่าสลดว่าหมดใจ
อนาคตวันต่อไปไม่มีกัน
ปรายน้ำค้างเปียกชื้นในคืนนี้
ณ ราตรีผวาหวาดมิอาจฝัน
นิทราเถิดวิญญาณ์ที่จาบัลย์
นิจนิรันดร์เผื่อดวงจิตจะคิดลืม
13 ธันวาคม 2550 16:35 น.
ช่อมะไฟ
จะร่ำร้องโอดโอยทำโหยหวน
จะคร่ำครวญพร่ำพรรณนาน้ำตาไหล
จะกู่ร้องกริ้วโกรธประโยชน์ใด
จะทำให้น่าสมเพทเวทนา
เก็บน้ำตาร่วงดินที่รินหลั่ง
เก็บความหวังความฝันอันโหยหา
เก็บเอาไว้ตราบสิ้นดวงวิญญา
เก็บปวดปร่าเจ็บช้ำน้ำตานอง
เอาหัวใจเอากายถวายชีวิต
เอาดวงจิตให้เธอเสนอสนอง
เอาชีวิตวิญญาณใส่พานทอง
เอามากองแทบเท้าให้เขาเอง
ไว้วันหนึ่งวันใดในวันหนึ่ง
ไว้คิดถึงยามตรมโดนข่มเหง
ไว้กับความขมขื่นเขาครื้นเครง
ไว้เพื่อสอนตัวเองให้เกรงกลัว