13 มิถุนายน 2551 22:17 น.
ชีปะขาวโง่เง่า
ฟ้า ยามพิศจิตต้องขึ้นมองฟ้า
เอย โอษฐ์อ้าพาสรวลชวนสงสัย
ฟ้า อยากถามตามตนค้นความนัย
กว้าง เพียงใดในคำรักที่มักเปรย
เวิ้ง ทะเลเซซวนรวนกระแส
ว้าง รักแท้แน่นักโอ้รักเอ๋ย
ใจ สมุทรสุดลึกล้ำดั่งคำเชย
เจ้า เล่าเอยใจลึกสุดหยุดไหนกัน
ท่าม แมกไม้ไพรเกสรภมรป่า
กลาง พงหญ้าผาหินดินวสันต์
สอง มือน้อยคอยแผ้วถางทางทุกวัน
เรา ต่างฝันพบทางออกบอกหัวใจ
หมู่ วิหคนกน้อยใหญ่บินใฝ่หา
ดาว ดาราพานำทางสว่างใส
นับ คืนวันอันยาวนานผ่านมาไกล
พัน ผูกใครไว้บ้างเล่าที่เฝ้ามอง
ขอ เป็นแต่แค่ตรงนี้ที่มีอยู่
ฉัน ย่อมรู้ไม่คู่เรียงเคียงเจ้าของ
สัก น้อยนิดคิดเกินเลยไม่เคยลอง
ดาว ซึ่งส่องละอองไหวอยู่ไกลมือ
ไว้ ดั่งเป็นเช่นมณีราตรีสร้าง
พราว แพรวพร่างกลางนภาไม่กล้าถือ
ยาม เหนื่อยรักจึงพักมองปองไว้คือ
ฝัน ฉันหรือคือดวงเด่นเช่นดวงใน
ทุก เวลามากลับเพ้อละเมอล่อง
ค่ำ คอยมองท่องบนฟ้าหาสิ่งไหน
คืน มืดมิดคิดครวญครุ่นวุ่นในใจ
วัน ผันไปไร้ความหมายละลายเลือน
ของ ใดใดสุดใต้หล้าหาเทียมเท่า
ฉัน ผู้เขลาเขาผู้ใคร่พ้องใจเหมือน
กับ หนึ่งสิ่ง-ดั่งหนึ่งทรวงดั่งดวงเดือน
เธอ ผู้เคลื่อนคล้อยลอยคว้างระหว่างเรา
ฟ้า อย่าเงียบยะเยียบเย็นเช่นนี้หนา
อย่า ส่ายหน้าระอาขันฉันกับเขา
แหน หึงห่วงที่บ่วงมัดรัดเป็นเงา
หวง ความเหงาที่เศร้าสร้อยปล่อยอารมณ์
ลวง หัวใจว่าได้สบพบรักแท้
ฉัน แน่วแน่แม้ยามตื่นต้องขื่นขม
จน เลยเถิดเตลิดหลงลงตรอมตรม
เก้อ ระทมจมห้วงรักปลักเลนดิน
ให้ ฟ้าตอบมอบความหวังฟังได้ไหม
ฉัน ร้อนใจใครซึ่งดาวเฝ้าถวิล
ได้ ไออุ่นกรุ่นอวลแสงแห่งชีวิน
เจอ จุดสิ้นดิ้นเผชิญการเดินทาง
พบ ความหมายคลายคำถามที่ตามหลอก
เธอ จะบอกมอบดอกรักปักเคียงข้าง
บน ซากหญ้าชื่อว่าฝันอันเลือนราง
ดาว คืนค้างจะร้างหล่นลงบนเมือง
ณ ปลายผืนพื้นลมกว้างแสนว่างเปล่า
เส้น เมฆเทาทอดยาวกั้นพระจันทร์เหลือง
ขอบ บางเบาเล้าโรยแต่งแสงจันทร์เรือง
ฟ้า พรายเพรื่องมิเลืองแล้งแสงดารา
สุข เกินเอื้อมเลื่อมเรียงรายประกายขาว
อุรา ร้าวราวร่วงหล่นชนเวหา
เกิน กดกลั้นอั้นในอกตกน้ำตา
กล่าว คำลาอ่อนล้าแล้งทั้งแรงกาย
กลาง หมู่ดาววาวแวววับจับฟ้าว่าง
แสง รอบข้างต่างหรี่ลับจับใจหาย
สุก แสงปลั่งหวังเคียงค่าดาราราย
สกาว ใสได้มินานก็รานรอน
เพียง เก็บรักฝากเอาไว้ที่ปลายฝัน
เรา พบกันเพียงวันพรากยากเกินถอน
เท่า ที่พร่ำทำได้เพียงเสียงบทกลอน
กาล อื่นวอนพรเพียงอยู่คู่กับดาว.