19 มีนาคม 2548 09:18 น.
ชิวหลินทง
ความฉลาดไยมิใช่เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนปรารถนา แต่หารู้ไม่ว่าพวกเราทุกคนล้วนมีความฉลาด อย่างน้อยถ้าเราสามารถค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเรา...
" คนฉลาดมาจากคนโง่ คนฉลาดกว่ามาจากคนฉลาดที่รู้จักปรับปรุงตัว แต่คนที่ฉลาดที่สุดคือคนที่มองหาประโยชน์จากคนฉลาด "
คนโง่มิแน่ว่าต้องโง่ หากคนโง่คือคนฉลาดที่รู้จักเวลา ว่าเวลาไหนควรโง่ วลาไหนควรฉลาด...
เพราะเหตุใดคนฉลาดถึงไม่ประสบความสำเร็จทุกคน?
เพราะคนฉลาดบางคนขาดสำนึกกระนั้นหรือ?
เพราะคนฉลาดหาแต่ประโยชน์ส่วนตน โดยไม่สนใจผู้อื่นกระนั้นหรือ?
ไอคิวมิได้วัดความฉลาดเพียงแต่วัดโอกาสที่จะฉลาด เพราะความฉลาดเกิดจากการสังเคราะห์มิใช่เกิดจากการท่องจำ มิใช่เกิดจากการเล่ารียนแต่มันคือผลสืบเนื่องมาจากการประยุกต์ความรู้ไปใช้...
น้อยคนที่รู้ว่าตนเองโง่ หากแต่คิดว่าตนเองฉลาด เพราะคนโง่จะมองว่าตัวเองฉลาดเสมอ โดยไม่คิดจะปรับปรุงแก้ไขความโง่ของตน...
19 มีนาคม 2548 09:17 น.
ชิวหลินทง
เหตุไฉนธรรมชาติจึงสร้างมนุษย์ให้มีมันสมองมากกว่าสัตว์ชนิดอื่น?
โลกทุกวันนี้เป็นโลกยุคใหม่ โลกที่ความรู้คืออำนาจ โลกที่แข่งขันการด้วยความรู้...
ความรู้นำมาซึ่ง เงินตรา เกริยติยศ ชื่อเสียง ความรู้จึงเปรียบเสมือน
" น้ำตาลที่เหล่ามด คอยเข้ามาแย่ง "
ความรู้มีแต่คุณค่ากระนั้นหรือ?
ความรู้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าต่อเมื่ออยู่กับผู้ที่รู้จักใช้ แต่จะไม่มีค่าถ้าคนผู้นั้นใช้ไม่เป็น และจะเลวร้ายถ้านำไปใช้ในทางที่ผิด...
ความรู้ที่มีคุณค่า ความรู้ที่ดูไรสาระ เหล่านี้ล้วนเป็นความรู้แต่เรากลับถูกกั้นด้วยกระจกบางๆ บานหนึ่ง ขอเพียงเราเอากระจกบานนี้ออก เราก็จะสัมผัสกับความรู้ที่ไร้ขอบเขต ด้วยมุมมองที่ต่างไปจากเดิมตลอดกาล...
ชิวหลินทง(เด็กอัจฉริยะแซ่ชิว)
18 มีนาคม 2548 20:29 น.
ชิวหลินทง
ชีวิตเปรียบเสมือนอารมณ์ หาความแน่นอนมิได้ บางครั้งก็ดี บางครั้งก็เลวอย่างคาดไม่ถึง คุณค่าของมันขึ้นอยู่กับการกระทำ การกระทำที่ขีดเส้นทางเดินแก่ชีวิต สรรพสิ่งจะยังคงหล่อหลอมรวมกับชีวิตซึ่งจะดำเนินอยู่และคงจะดำเนินต่อไป ตราบจนวาระสุดท้ายของมันจะมาถึง
ชีวิตดำเนินไปตามทาง ทางที่บ้างก็มืดมิดบ้างก็อับจน ทางที่มีทั้งอุปสรรคและความสมหวัง ความหวังและจิตวิญญาณยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ชีวิตสามารถดำรงอยู่
มนุษย์เรา บ้างก็ยึดติดกับชีวิต บ้างก็ปล่อยชีวิตให้ดำเนินไปอย่างไร้จุดหมายไร้ความหวัง เปรียบได้กับคนตาบอดที่แม้กระทั่งไม้เท้านำทางยังไม่มี สิ่งเหล่านี้ไยมิใช่บันดาลให้มนุษย์ บางคนรวย บางคนจน บางคนทุกข์ แต่บางคนกลีบมีความสุข สิ่งหนึ่งที่ทำให้ชีวิตของเราแตกต่างกัน มิใช่ความร่ำรวย ความยากจน หากแต่เป็นความคิด ความคิดเป็นสิ่งที่มีมูลค่ามหาศาล มันสามารถก่อเกิดสิ่งที่มีค่ามากกว่านั้นคือความเข้าใจ และปัญญา
การเสริมสร้างคุณค่าของชีวิตนับว่ามีความสำคัญ ชีวิตที่ขาดคุณค่าไม่อาจนับเป็นชีวิต ชีวิตที่มีคุณค่าจึงนับว่าเป็นชีวิตที่แท้จริง แต่คุณค่าของชีวิตจะมีความหมายไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับการมองมันในแง่มุมไหน แต่จะเป็นการมองอย่างไรก็ตาม คุณค่าของชีวิตจะต้องมีองค์ประกอบร่วมกันอย่างหนึ่ง นั้นคือ คุณค่าของชีวิตจะเกิดก็ต่อเมื่อมันได้ทำประโยชน์แก่ตัวเอง สังคม และเพื่อนมนุษย์ ในความหมายของคำว่าเพียงพอ....
" แก่นแท้ของชีวิตคือความว่างเปล่า
แต่ชีวิตที่เราเห็นเกิดจากการแต่งเติม "
" คนผู้หนึ่งหากเข้าใจว่าตนเองเข้าใจบ้างสิ่งดีแล้ว
คนผู้นั้นก็คือคนที่ไม่เข้าใจอะไรเลย "
" มาตรแม้พระอาทิตย์จะไม่ส่องแสง
จันทราจะไม่สว่างไสว
ดาวเดือนจะลับไป
แต่ชีวิตจะยังคงกระจ่างใสอยู่ตลอดกาล"
" ผู้ที่เริ่มเข้าใจชีวิตจะไม่บ่นเมื่อมีอุปสรรค
จะไม่ดีใจจนลืมตัวเมื่อสมหวัง
แต่จะยังคงดำเนินชีวิตต่อไปอย่างมีจุดมุ่งหมาย "
ชิวหลินทง (เด็กอัจฉริยะแซ่ชิว)
18 มีนาคม 2548 20:19 น.
ชิวหลินทง
ความจริงแล้วชีวิตคนเรา ก็ไม่มีอะไรแน่นอนไปกว่าอดีตที่ผ่านมาแล้ว อดีตที่มีทั้งความสุข ความทุกข์ ปะปนกันไปตามแต่เหตุการ์ณที่ได้เผชิญ มีทั้งด้านดี ด้านเสีย แต่สำหรับกับบางสิ่งบางอย่างที่มันเกาะกุมหัวใจทุกผู้คน มันเป็นรสชาติของความเจ็บปวด ความเศร้า ความอาลัยอาวรณ์ ที่มีต่อความทุกข์...
เพราะเหตุใดความทุกข์ถึงได้ลืมยาก ?
เพราะเหตุใดความทุกข์เพียงเล็กน้อยก็สามารถบันดาลให้คนคนหนึ่งเจ็บช้ำ
มากกว่าดีใจเพราะความสุข ?
เนื่องเพราะคนเรามักจะคิดถึงความทุกข์ก่อนเสมอ
อดีตของเราที่ผ่านมา ถ้าจะมองให้ดีๆแล้วละก็ จะพบว่าในความเศร้าเสียใจมักจะแฝงไว้ด้วยโอกาส โอกาสที่จะปรับปรุงสิ่งไม่ดีที่เราได้กระทำให้ดีขึ้นในวันนี้
และวันต่อๆไป หากเราฉกฉวยโอกาสที่มีความทุกข์ มองหาความสุข อย่างน้อยก็จะช่วยบรรเทาความทุกข์ที่เราต้องเผิชญ การคิดถึงความทุกข์ก็เหมือนกับการปลูกกาฝากบนต้นมะม่วง ซึ่งทำให้จิตใจเราขาดความสุขทางใจที่นับวันจะหาได้ยากยิ่ง....
ความสุขก็เช่นเดียวกัน มันมาเร็ว ไปเร็ว ใครที่มัวแต่ยึดติดกับความสุขเล็กๆน้อยๆ จะนำมาซึ่งความประมาทและความหายนะในอนาคต...
กาลก่อนจวบจนปัจจุบันเราเคยมองดูตนเองบ้างไหม? เราเคยสำนึกเสียใจในอดีตที่เราเคยทำไปไหม? เราเคยสำนึกตื้นตันบ้างหรือไม่?
"เราเปลี่ยนไปแล้ว" ยอมรับเถอะว่าคุณเปลี่ยนไปแล้ว มีบ้างบางคนคิดว่าตัวเองไม่เปลี่ยน แต่ผมไม่เชื่อ ยิ่งเราอยู่บนโลกใบนี้นานเท่าไหร่ เราก็จะเปลี่ยนไปเท่านั้น การเปลี่ยนแปลงบางอย่างดูเหมือนเป็นสิ่งเล็กน้อย เพราะเราอาจทำใจรับมันได้แล้ว แต่เราควรเข้าใจว่าไม่ว่าเราตอนนี้ เมื่อก่อน หรือ อนาคต เราไม่มีวันที่จะเป็นคนเดิม ใช้สิ่งของเดิมๆเราอาจจะเปลี่ยนไปในทางที่ดี แต่หากว่าเราเปลี่ยนไปในทางที่ไม่ดีละ....
เราจะรู้ตัวไหม?
เราจะแก้ไขมันได้ไหม?
หากเรามองดูตัวเองและผู้อื่นอย่างเป็นกลาง เราจะรู้ถึงความจริงบ้างอย่างว่า
เราไม่ได้ด้อยกว่า หรือเก่งกว่าผู้อื่นทุกๆด้าน คนเรามีด้านดีด้านเสีย วันวานเมื่อกาลก่อนล้วนบ่งบอกกับเรา เพียงแต่เราต้องรู้จักมองมัน ไม่ใช้เพียงแต่เห็น แต่ต้องมองมันอย่างเข้าใจ...