23 กุมภาพันธ์ 2551 15:04 น.
ชินเดช ญาณรัตน์
สายฝนภายนอก ยังโปรยปรายหนักหน่วง
ขณะเขาพาร่างเปียกโชกเข้าไปในห้อง รู้สึกหนาวจนฟันกระทบกันกึกๆ นิ้วมือซีดเผือด เขาปิดประตู เสียงอื้ออึงของลมฝนหรี่เสียงลงไปถนัดใจ ห้องปิดกระจกแน่นกลบเสียงได้มากทีเดียว และตอนนี้เขาก็ไม่อยากเปิดหน้าตาต่างนัก เขาควรหาความอบอุ่นให้ร่างกายตัวเองมากกว่า
เขาค่อยๆแกะกระดุมเสื้อออกอย่างยากลำบาก นิ้วมือชาเหน็บจนไม่อยากกระดุกกระดิก เสื้อเปียกน้ำฝนจนชุ่ม รัดแน่นแนบผิว กว่าจะถอดออกได้ก็ทุลักทุเลสิ้นดี นึกสมน้ำหน้าตัวเองขึ้นมาอีก ที่เดินตากฝนมาจนเปียกปอน ทันทีที่ก้าวลงจากรถประจำทาง เขาน่าจะหยุดรอให้ฝนหายเสียก่อนเหมือนคนอื่ๆนที่ยืนเบียดเสียด หน้าสลอนกันอยู่ในศาลาที่พักผู้โดยสาร มันเป็นฝนหลงฤดู ทุกคนคงไม่คาดคิดว่า ฝนจะตกลงมาอย่างกระทันหัน ไม่มีใครมีร่มติดตัวกันมาสักคนรวมทั้งตัวเขาเองด้วย
แต่เขากลับเดินดุ่ม ฝ่าสายฝนไปหน้าตาเฉยเพียงลำพัง ทุกคนมองตามร่างเขาไปเป็นจุดเดียวกันอย่างงุนงงสงสัย คงมีใครคิดว่าเขาบ้า สติไม่เต็มเต็ง ช่างเถอะ ไม่มีใครเข้าใจเขาเท่ากับตัวเองหรอก คนเราชอบที่จะคิดและมองคนอื่นไปต่างๆนานาอยู่แล้วเขาไม่อยากใส่ใจเลย
เขารู้ว่า เขาอยากกลับไปให้ถึงห้องพักให้เร็วที่สุดอยากขังตัวเองอยู่เงียบๆ เฝ้ามองดูสายฝนโลมดิน หรือไม่ก็นอนหลับตา ข่มหัวใจอันโหวงหวิว ความอ่อนแอกำลังจู่โจมเข้าสู่ความรู้สึก มากยิ่งขึ้นๆทั้งที่พยายามบอกกับตัวเองว่า เขาต้องเข้มแข็งให้ถึงที่สุด อย่างน้อยวันนี้เขาก็ชนะแล้ว
ใช่ เขาชนะแล้ว แม้จะต้องใช้ความเข้มแข็งกว่าทุกวัน แต่มันจะเปนครั้งสุดท้ายเขาจะเจ็บปวดอีกเพียงครั้งเดียว ไม่ต้องเจ็บซ้ำซากอีกวันแล้ววันเล่า...
เขาเช็ดตัวลวกๆ เปลี่ยนเสื้อผ้า มองหาแก้วเหล้า วิสกี้ที่หลงเหลืออยู่กว่าค่อนขวดมื่อคืนก่อน คงช่วยเขาได้บ้าง เขาดื่มรวดเดียวหมดแก้ว ร้อนวูบอุ่นไปทั่วท้อง แล้วทุ่มตัวเองลงบนเตียงอยากหลับให้สนิทไปในทันที จะได้ไม่ต้องต่อสู้กับความเจ็บร้าวที่มันยังประดังอยู่ในใจก็ได้แต่คิดเท่านั้น เขารู้ตัวดี เขาเป็นอย่างนี้เอง เพียงมีอะไรมาสะกิดใจนิดเดียว เขาก็เก็บมาคิดแล้วนอนไม่หลับไปทั้งคืนบ่อยครั้ง แต่ครั้งนี้มันมากยิ่งกว่ากระเทือนไปทั้งชีวิตจิตใจทีเดียว
ป่านนี้ เธอจะเป็นอย่างไรบ้างนะ ก็คงต้องเสียใจ หรืออาจจะออกไปสนุกสนานกับเพื่อน เธออาจจะคิดไว้นานแล้ว และทำใจได้แล้วเมื่อรู้ว่า วันหนึ่งมันต้องเป็นเช่นนี้ หรือเธออาจจะนอนร้องไห้ รักมากก็ย่อมต้องเสียใจมาก โดยเฉพาะกับคนที่คิดว่ามีความหมายต่อชีวิตเราอย่างที่สุด เธอคิดว่ามันยุติธรรมแล้วใช่ไหม.. ก็เธอเป็นคนบอกเขาเองไม่ใช่หรือ วันหนึ่งถ้าต้องจากกัน เธอจะทนกับชีวิตที่เหลือได้อย่างไร
ทันทีที่นึกถึง ท่าทีเรียบๆหวานเศร้าของเธออย่างที่เขาเคยประทับใจ ทำให้เขารู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาอีก ทั้งหวงแหนและรื้นรั้น เขาโหดร้ายต่อเธไปอหรือเปล่าหนอ แต่สิ่งที่เธอทำกับเขามันก็คู่ควรกันแล้ว
สักครู่ เขาก็กลับทำใจได้ใหม่ เขาจะต้องไม่ใจอ่อนอีก เขาควรจะทำอะไรบ้างและความรู้สึกที่หลุดหล่น เขาก็ไม่อาจเรียกกลับคืนมาได้ทั้งหมด
นิยายรักระหว่างเธอกับเขา เกิดขึ้นง่ายๆก็ต้องจบลงง่ายๆไม่ใช่หรือ
เขาลุกขึ้นนั่งเมื่อเห็นว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะข่มตาหลับต่อไป มองไกลออกไปนอกหน้าต่างห้อง สายฝนที่แน่นหนาทำให้มองเห็นแต่ละอองฝ้าขาวครอบคลุมไปทั่ว แต่ก็ยังมีแสงไฟเล็ดลอดมาบ้าง
ที่ที่เขาอยู่เป็นตึกสูง ห้องเช่าของเขาอยู่ชั้นบนสุด เขาพอใจตั้งแต่วันแรกที่ย้ายมาแล้ว ความสูงของมันทำให้มองทิวทัศน์ได้ไกลๆ ทุกเช้า ถ้าเขาไม่นอนดึกจนเกินไป เขาจะลุกขึ้นมานั่งมองพระอาทิตย์ขึ้น ด้านนั้นยังเป็นทุ่งกว้างที่พอมองเห็นอะไรได้บ้าง ทุกเช้า ตีนฟ้าด้านนั้น จะเริ่มต้นด้วยแสงนิ่มนวลอ่อนโยน อย่างที่เรียกกันว่าแสงเงินแสงทอง แล้วต่อมาก็ค่อยๆระบายสีส้ม จากนั้นดวงตะวันกลมโตจะโผล่ขึ้นมารทีละนิด พร้อมกับแจกจ่ายความสว่างไสวไปทุกแห่งหน จนแสงจัดจ้าเต็มที่นั่นแหละ เขาจึงลุกขึ้นอาบน้ำไปทำงาน
หลายสิ่งเมื่อเริ่มต้นมักอ่อนโยนเช่นนี้ แต่นานไปอาจจะไม่เหมือนวันเก่าก่อนเลย อย่างที่เขาเคยแปลกใจต่อดวงตะวันในตอนเที่ยงที่แปรเปลี่ยนไป ราวกับเป็นคนละดวงเป็นคนละสิ่งกับที่เห็นในตอนเช้าตรู่ แล้วในที่สุดก็จะค่อยๆอ่อนแสงลงในตอนย่ำเย็น อีกครั้งก่อนจะลับลาจากไป
แต่เรื่องราวของเขากับเธอ คงไม่อาจเดินย้อนกลับไปสู่วันแรกเริ่มได้อีก
มันจบแล้ว
เขาจะไม่หลอกตัวเองเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาอีก จะมีประโยชน์อะไรที่คนสองคน ต้องมานั่งเสแสร้างว่าเข้าใจกัน ในเมื่อความแตกต่างมันชัดเจนอยู่ในความรู้สึก อันที่จริงเขาน่าจะรู้นานแล้ว เพียงแต่ตอนนั้น เขาไม่แน่ใจเท่านั้นเอง และเฝ้าแต่หวังว่า นานวันแห่งความสัมพันธ์ทุกสิ่งอาจจะดีขึ้น แต่ในที่สุดเขาก็ต้องยอมรับความจริงว่า มันคือความล้มเหลว เขาไม่อาจเปลี่ยนแปลงใครได้เลย สิ่งดีงามสำหรับเขา ก็คงไม่ใช่ความสลักสำคัญสำหรับใครๆ
ในวันแรกพบ ถ้ามีญาณทิพย์รู้ล่วงหน้าว่า ทุกสิ่งจะจบลงด้วยการแยกจาก เขาอยากรู้เหมือนกันว่า เขาจะดีใจไหม..
เขานั่งนิ่งอยู่เป็นนาน ขณะความมืดโรยตัวครอบคลุมไปหมดแล้ว ถ้าฝนไม่ตก คงไม่มืดเร็วกว่าทุกวัน บางทีเขาอาจจะได้ออกไปเดินในสวนสาธารณะใกล้ๆที่พักด้วยซ้ำ แต่ฝนตกหนักอย่างนี้ อะไรๆก็ได้แต่คิดเท่านั้นเอง เขาทอดสายตาผ่านเลยไปอย่างไม่มีจุดหมาย
ที่ผนังห้องด้านหนึ่ง มีรูปโปสเตอร์ขนาดใหญ่ติดอยู่ เป็นรูปทุ่งหญ้าที่มีดอกไม้สีขาวดอกเล็กๆพราวไสวไปทั่ว มันช่วยให้ห้องเหงาๆดูมีชีวิตมากขึ้น เธอเป็นคนซื้อให้เขาจากแผงริมทางเท้าที่สวนจตุจักร เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ต้นปีนี้นี่เอง เขายังจำคำพูดของเธอในวันนั้นได้หมด
ชอบดอกไม้สีขาวนักไม่ใช่เหรอเอ้า ฉันเอามาให้เต็มทุ่งกว้างเลย คุณไม่ต้องเปลี่ยนที่แจกันอีกแล้วนะ
เธออ่อนไหวและซ่อนแววฝันเช่นนี้เองที่ได้ผูกสัมพันธ์กับเขาแนบแน่น ตั้งแต่ที่ได้รู้จักกัน วันหนึ่งเคยพูดถึงดอกไม้ด้วยกัน เขาบอกเธอถึงดอกไม้บางชนิดที่อาจะไม่สวยแต่แข็งแรงทนทาน เป็นประโยชน์กับสัตว์โลกบางชนิดที่ได้อาศัยเป็นอาหารด้วย เขาถามเธอว่าคือ ดอกอะไร เธอบอกว่ามันคือดอกหญ้า เธอชอบดอกหญ้า และชอบที่จะเป็นอย่างดอกหญ้า เพราะมันเข้มแข็ง อดทนและเจียมเนื้อเจียมตัว ดอกหญ้านั้นเกิดขึ้นมาเงียบๆโดยไม่ได้รับความใส่ใจจากใครเลย ต่อสู้กับธรรมชาติและผู้รุกรานโดยไม่ปริปากและเมื่อถึงวันหนึ่ง มันตายไปเงียบๆ
นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้รู้จักเธอ ผู้หญิงผมยาว ผอมบาง เล็กๆคนนี้เขาตื้นตันจนนิ่งอึ้งไป เป็นเรื่องเล็กน้อยดอกหรือกับการที่เราได้พบคนที่อยู่ในความฝันของเรามานานแสนนานทั้งที่เราคิดว่า คงเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ แล้วจู่ๆเขาก็ได้มาพบ
เขาบอกเธอว่า ผมอยากกอดคุณจังเขาจำไม่ได้ว่าเธอพูดอะไรกับเขาก่อนที่เธอจะมาอยู่ในอ้อมกอดของเขา เขาลูบผมยาวสลวยนั้น ขณะสบตากัน
คุณรักฉันจริงหรือ? เธอถาม
เขาได้แต่เพียงพยักหน้า ลำคอตีบตันด้วยความรู้สึกบางอย่าง
รักเถอะฉันเองก็มีคนที่รักฉันไม่มากนักหรอก
ช่วงนั้น เขารู้สึกเหมือนชีวิตสว่างไสวไปหมด วันคืนผ่านพ้นไปอย่างเป็นสุข โลกทั้งโลกเหมือนหุ้มห่อด้วยดอกไม้ เวลาผ่านไปรวดเร็วมาก โดยเฉพาะกับเวลาที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับเธอผ่านไปรวดเร็วจนเขาแปลกใจ และวันไหนที่ไม่ได้พบกัน วันนั้นจะกลายเป็นวันที่แสนเหงาและเชื่องช้าที่สุดในชีวิต
อากาศเริ่มเย็นลง ฝนสร่างซาแล้ว แต่ยังพรำเม็ดไม่หยุดเสียงกบ เสียงอึ่งอ่างร้องระงมเคล้าคลอขึ้น ด้วยบทเพลงธรรมชาติอันแสนบริสุทธิ์ แต่เหงาเศร้าในความรู้สึกของเขา เวลาค่อนข้างดึกแล้ว เขาน่าจะนอนให้หลับ วันพรุ่งนี้เขาต้องเดินทางอีกไกลทีเดียว อาจจะไกลกัน จนตลอดชีวิต ทำไมเขาจะต้องมาสูญเสียเวลากับเรื่องนี้มากเกินไปนัก เขาตอบตัวเองไม่ได้และคงไม่มีตอบเขาได้เช่นกัน
เขาเอื้อมมือไปเปิดวิทยุที่หัวเตียง หมุนหารายการเพลงยามดึก บางที เสียงเพลงอาจจะทำให้เขารู้สึกดีขึ้นก็ได้ ก่อนจะเติมวิสกี้ที่เหลือจนเต็มแก้ว เริ่มต้นจิบช้าๆ เสียงเหงาๆของ จอห์น เดนเวอร์กำลังเริ่มต้นด้วยเพลงแสนเศร้าด้วยท่วงทำนองการลาจากของชายหนุ่มกับหญิงคนรัก ช่างกระหน่ำความรู้สึกเขาได้ดีเหลือเกิน
ฉันเก็บกระเป๋าทั้งหมดจนเรียบร้อย
และพร้อมที่จะไปแล้ว
ไม่อยากปลุกเธอขึ้นมาเพื่อจะเอ่ยคำอำลา
ขณะอรุณรุ่งกำลังปรากฏเช้าตรู่แล้ว
ฉันจะต้องจากไปแล้ว
- - - - - - - - - - - - - -
รู้สึกว้าเหว่จนอยากจะตายแล้ว
จูบฉันซิ.. และยิ้มให้ฉัน
บอกซิว่าเธอจะรอคอย
กอดฉัน ทำให้เหมือนว่าไม่อยากให้ฉันไป
- - - - - - - - - - - - - - -
ฉันจะจากไปแล้ว
ไม่รู้ว่า เมื่อใดจะได้กลับมาอีก
ที่รัก ฉันไม่อยากจากไปเลย
- - - - - - - - - - - - - - --
มีหลายสิ่งที่ฉันทำให้เธอผิดหวัง
แต่หลายครา ฉันเริงร่า อยู่ใกล้ๆเธอ
ที่รัก ขอบอกว่า สิ่งเหล่านี้ไม่มีความหมายใดเลย
จูบฉันซิและยิ้มให้ฉัน
บอกซิว่า..เธอจะรอคอย
ฉันกำลังจะจากไปแล้ว ไปกับเครื่องบินแจ็ทในเช้าตรู่วันนี้เอง
- - - - - - - - - - - - - - - --
Theres so many times love let you down
So many times love played around.
I tell you now There don t mean a thing
เพลงชื่อ ฉันจะจากไปกับไอพ่น ของเดนเวอร์จบไปอย่างเหงาๆ ระโหยหา โฆษกเริ่มประกาศรายการและพร้อมที่จัดเพลงต่อไปอีก แต่เนื้อร้องของเพลงเดิม ยังย้ำติดอยู่กับความรู้สึกของเขา
จริงซิ
หลายครั้ง หลายสิ่ง เราต่างให้ความรู้สึกที่ดีต่อกัน
และหลายครั้ง เราต่างเจ็บปวด เพราะกันและกัน
แต่บัดนี้ทุกสิ่งจบแล้ว ไม่มีความหมายอื่นใดอีก
ความหลัง บางทีก็เป็นเรื่องที่นึกไม่ถึง บางอย่างผ่านเข้ามาแล้วจากไปเงียบๆ
เมื่อวานเขากับเธอ ยังเดินอยู่ด้วยกัน
แต่วันนี้ ต่างแตกร้าวกันแล้ว
ช่างเป็นเรื่องน่าขำเสียจริงๆ แต่เป็นเรื่องขำที่คงไม่มีใครอยากจะหัวเราะ
เขานึกไปถึงคำอธิษฐานที่เธอเคยบอก เธออธิษฐานว่า ในล้านคนบนโลกนี้ ขอให้ได้พบคนจริงใจสักเพียงหนึ่งก็พอ สุดสิ่งปราถนาเธออยากพบใครที่รักเธอจริง
จริงๆนะ ฉันอธิษฐานอย่างนี้ คุณจะไม่เชื่อก็ได้ แต่ฉันเชื่อ เพราะไม่กี่วันต่อมา ฉันก็ได้พบคุณ
ตอนที่ได้ฟังเธอบอกเล่าครั้งแรก เขาไม่ได้รู้สึกอัศจรรย์อะไรเลย หากแต่กลับรู้สึกรักและสงสารเธอมากขึ้น และเฝ้าสัญญากับกับตัวเอง จะเป็นผู้พิทักษ์ปกป้องเธอตลอดไป จะเป็นความอบอุ่นทดแทนความว้าเหว่ในครอบครัวที่แตกแยกของเธอ พ่อทิ้งเธอไปตั้งแต่เธอเพิ่งจำความได้ ซ้ำยังขาดความรักความเข้าใจจากแม่ที่เหลืออยู่อีก วันนั้น เขาดึงร่างเธอมากอดแนบแน่นอย่างจะถ่ายเทความรู้สึกทั้งหมดที่มีให้เธอได้รับรู้
ครอบครัวใหม่ที่สุขสงบ ต่างร่วมกันฝันต่างมั่นหมาย
แต่ วันนี้ ความฝันทั้งมวลที่เคยมี เหมือนดับสลายไปหมดสิ้นแล้ว
เขาไม่ได้สังหรณ์ใจมาก่อนเลย ความหมางเมินเกิดขึ้นเงียบๆ ตอนแรกเขาพยายามเข้าใจว่า เขาทำงานมากเกินไป มีเวลาให้เธอน้อยลงกว่าแต่ก่อน เป็นเรื่องธรรมดาที่เธอต้องรู้สึกอะไรบ้าง ต่อมาหลังจากนั้นเขาจึงรับงานน้อยลง แต่ความสัมพันธ์ก็ไม่ได้ดีขึ้นอย่างที่คาดหวังไว้เลย
ผมให้สัญญารออีกปีเดียว เราจะแต่งงานกันเสียที
อย่าเลยค่ะ เธอพูด เขาพยายามคิดว่าเธอเสแสร้งหยอกเอินเขามากกว่า ถ้ามันไม่พร้อมก็ยังต้องหรอก ถ้าคุณยังปากกัดตีนถีบอย่างนี้ เราไม่ต้องแต่งงานกันก็ได้ ฉันไม่อยากให้เด็กๆที่จะเกิดมาลำบาก ฉันไม่อยากให้ลูกต้องพบกับชีวิต แร้นแค้นเซ็งๆน่าเบื่อหน่ายเหมือนฉันอีก ให้มันหยุดเสียที่ฉันเถิด
งั้นคุณก็ต้องแต่งงานกับคนมีเงินเท่านั้นแหละ มันถึงจะมีพร้อมไปหมด ผมคง ยังต้องสร้าง..ต้องทำ...
เธอนิ่งเงียบ เขาไม่เข้านัก เธออาจจะพูดออกมาด้วยอารมณ์ เขาควรจะอภัยให้ได้ ไม่ควรจะย้อนเธอไปอย่างนั้น ถ้าจะมีเพียงแค่นั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมานี่ซิ.. เขาคิดว่าเขาควรจะทำอย่างไร คนเราจะมีความอดทนสักเพียงไหนกัน บางสิ่งชัดเจนมากยิ่งขึ้น เมื่อเขาจำเป็นต้องลาออกจากงานที่ทำเมื่อเห็นว่าไปไม่ได้ด้วยกับบรรณาธิการเจ้าของหนังสือ
ช่วงที่เขาว่างงานอยู่นั้น เขาได้รับรู้ว่า มีใครบางคนที่เคยผูกพันกลับมาหาเธอ และเขาคนนั้นก็มีทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมเพรียง สำหรับอนาคตที่เธอฝันใฝ่ เขารู้สึกผิดหวัง น้อยใจแต่ก็เก็บมันไว้อย่างเงียบเชียบ เพราะ ยังเชื่อใจเธอ แม้เธอจะห่างเหิน ไม่โทรหา ไม่คิดถึงหรืออยากพบเขาอีกอย่างที่เคยทำ
ครั้งหนึ่ง เขารู้สึกเหมือนขาดเพื่อน เขาจึงนึกถึงเพื่อนคนสุดท้ายที่เขาเหลืออยู่ เขาหมุนโทรศัพท์ถึงเธอ ในวันที่เหงาจนเต็มที่และหวังว่ากิจกรรมที่เคยชื่นชอบด้วยกันจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดีขึ้น เธออาจจะกลับมาเข้าใจเขามากขึ้น
ออกมาหาผมหน่อยได้ไหม ผมเหงา มาเถอะ วันนี้ที่ธรรมศาสตร์เขามีรายการอภิปรายที่น่าสนใจนะ ผมจะพาคุณไปฟัง ผมมีเรื่องจะบอกเล่ามาก มันอัดแน่นอยู่ในใจผมจะระเบิดแล้วนะเขาพรั่งพรูคำพูด เหมือนคนที่กำลังจะจมน้ำ แล้วเห็นขอนไม้ลอยเข้ามาใกล้ตัว...
แต่คำตอบที่ได้รับ เขาแทบไม่เชื่อว่า นี่คือคำพูดจากคนที่เข้าใจและรักเขา เธอปฏิเสธเหมือนไม่ต้องการรับรู้ปัญหาหรืออย่างคนที่เข้าใจกัน
ไปเถอะ คุณไปคนเดียว ฉันขี้เกียจแต่งตัวออกไปแล้ว
บางสิ่ง บางอย่าง เหมือนได้รอเวลาอยู่แล้ว ไม่วันใดก็วันหนึ่ง เพียงเราได้สูญเสียความมั่นใจไปเท่านั้น
ไม่เป็นไร เขาคิดว่า เขาพอทนได้ เธออาจจะมีเหตุผลของเธอ แต่เขาก็ไม่อาจะปฏิเสธได้ว่าความรู้สึกที่เคยมีต่อเธอนั้นได้สูญเสียไปแล้วเมื่อทราบว่า วันนั้นเธอไปงานเลี้ยงหรูหรากับเขาคนนั้น ครั้งหนึ่ง เธอเคยถามเขาไม่ใช่หรือว่า เขาจะไปจากเธอไหม วันนั้น นานเหมือนกัน กว่าที่จะหาเหตุผลตอบเธอได้ อย่างตรงกับความรู้สึกของเขาที่สุด
บางทีผมอาจจะต้องไป.. เขาตอบอย่างจริงใจที่สุด แม้สีหน้าของเธอจะหมองลงไป จริงๆ วันหนึ่งผมอาจจะต้องไปก็ได้ และวันนั้น มันอาจเป็นความต้องการของคุณเอง แต่ผมเชื่อว่า มันจะไม่เกิดขึ้น มันอยู่ผมกับคุณ เราสองคน ผมอยากบอกคุณอย่างหนึ่ง ผมอยากให้คุณมั่นใจ อย่าท้อแท้กับชีวิตมากนัก ยังมีคนอีกมากมายที่เขาทุกข์ยากกว่าคุณ เขาอาจจะไม่มีในสิ่งที่คุณมีด้วยซ้ำ การเกิดมามีชีวิตไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย แต่ถ้าเรา มีความเชื่อมั่นและศรัทธาในตัวเอง บางที เราทุกคนอาจจะไม่ต้องมานั่งตอบคำถามเช่นนี้หรอก
เขาพูดกับเธอยืดยาวมากกว่านี้ แต่จำไม่ได้ทั้งหมด
หญิงสาว.. เธอจะยังจำคำถามนี้ได้ไหม หรือได้ลืมเลือนไปหมดแล้ว ไม่เป็นไร ถ้าคิดว่าชีวิตคุณยังต้องมีสิ่งอื่นๆ อย่างอื่นต้องพบและจดจำอีกมาก และไม่เป็นไร หากคุณจะได้เปลี่ยนคำอธิษฐานที่เคยมีกับเขาไปเสียแล้ว
เสียงคนยามเคาะแผ่นเหล็กบอกเวลาแว่วมากับสายลมดึกจากที่ใดที่หนึ่ง เขานับตามในใจ หนึ่ง สอง สาม สี่ ตีสี่แล้ว เวลาผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน และข้างนอกฝนหายไปจนหมดสิ้นทิ้งร่องรอยเพียงความเปียกชื้นไว้ให้เห็นเท่านั้น
เขาจัดแจงเก็บเสื้อผ้า ลงกระเป๋าเดินทาง เหลืออีกเพียงไม่ถึงสองชั่วโมง รถไฟเที่ยวเช้าก็จะนำเขาไปจากที่นี่ ไปสู่หมู่บ้านเล็กๆ หมู่บ้านที่เธอเคยร่วมฝันกับเขาว่าวันหนึ่งจะเดินทางไปให้ถึง แต่ วันนี้ เขากำลังจะเดินทางไปที่นั่น ไปเพียงลำพังคนเดียว
รู้สึกอาลัยอาวรณ์ต่อทุกสิ่ง อย่างอดไม่ได้ แต่เขาก็ได้สูญเสียเวลากับบางสิ่งนานเกินไปแล้ว โดยเฉพาะไปวางความหวังไว้กับคนที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเองเลย ซึ่งรังแต่จะทำให้ตัวเขาเจ็บช้ำเปล่าๆ เขาค่อยๆปลดรูปดอกไม้สีขาวลงอย่างแผ่วเบาทนุถนอม คำพูดของเธอเมื่อตอนเช้าวานนี้ยังดังก้องอยู่ในความรู้สึกเมื่อได้แตะต้องสัมผัสกรอบรูป
ฉันยังไม่พร้อม เราคบกันไปเรื่อยๆเถอะ.. จะมั่นใจได้อย่างไรว่าคุณจะไม่ทอดทิ้งฉัน ฉันต้องเตรียมบางสิ่งไว้สำหรับตัวฉันเองด้วย ชาตินี้ฉันจะไม่ยอมให้ตัวเองต้องพบกับความเปลี่ยวเหงากับชีวิตเหมือนที่ผ่านมาอีก ฉันกลัวและเกลียดมันแล้ว ฉันต้องการหลักประกัน คุณเข้าใจไหม..
เขาล็อคประตูเดินออกไปจากห้อง อยากเคาะประตูเพื่อนห้องข้างเคียงเพื่อเอ่ยคำอำลา แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ อาจจะเป็นการรบกวนใครเขาก็ได้ คำอำลาของเขาจะมีค่าอะไรเมื่อจริงๆแล้วเราต่างเหมือนคนแปลกหน้าต่อกันในสังคมของเมืองใหญ่นี้ นับจากเธอแล้วเขาจะเหลือใครที่เข้าใจเขาอีก
อากาศภายนอกปลอดโปร่งเย็นชื่น ราวกับจะเป็นการอวยพรสำหรับการเดินทางไปสู่ความหวังใหม่ของเขา หมู่บ้านเล็กๆ ที่ไม่มีแสงสี มีแต่ความกันดาร เด็กๆยากจน เขาตัดสินใจที่จะสมัครไปเป็นครูสอนหนังสือที่นั่น ของมูลนิธิแห่งหนึ่งที่ได้ตัดสินใจในวินาทีสุดท้าย
ลาก่อนพิณดา ถ้าเพียงแต่คุณเข้าใจและคิดว่า เราต่างมีชีวิต เลือดเนื้อ ต้องการความรัก ด้วยกันไม่เฉพาะแต่กับคุณเท่านั้น บางที ความหวังที่มีอยู่แล้วในมือของเรา คงไม่ต้องมาตกแตกเช่นนี้หรอก
เขาอยากบอกกับสายลมไปถึงเธอ ขณะรถแท็กซี่เปลี่ยนเกียร์เพิ่มความเร็ว เสียงเพลงจากวิทยุในรถ เหมือนดังมาซ้ำเติมความเจ็บปวดให้เขา บทเพลงแห่งการลาจากเหมือนตามมาเยาะเย้ย..
There so many time I ve let you down.
So many times Ive played around
I tell you now. They dont mean a thing.
ใช่ซิทุกสิ่งจบแล้ว เขาบอกกับตัวเองเอนตัวพิงเบาะ น้ำตาซึมไหลอย่างไม่อาจกดกลั้นไว้ได้อีก
17 กุมภาพันธ์ 2551 11:35 น.
ชินเดช ญาณรัตน์
ที่ลานจอดรถ มีรถจอดอยู่ก่อนแล้วไม่ถึงสิบคัน แต่ไม่มีรถคันคุ้นเคยของเธอ ภายในภัตตาคารมีกลุ่มฝรั่งนักท่องเที่ยวอยู่เพียงโต๊ะสองโต๊ะเท่านั้น เขาเดินทอดน่องผ่านด้านในของภัตตาคารเลยไปยังบริเวณที่เหมือนจงใจทำให้เป็นพิเศษโดยการต่อยื่นออกไปในทะเล คล้ายระเบียง ซึ่งสามารถบรรจุโต๊ะในบริเวณเดียวกันได้ถึงห้าหกชุด ความพิเศษคงอยู่ตรงที่สามารถมองไกลออกไปในทะเลได้ปลอดโปร่งตานัก
เขาสั่งเบียร์จากบริกรแล้วยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู อีกครึ่งชั่วโมงจึงจะถึงเวลานัดหมาย แต่รู้ว่าเธอไม่มีวันผิดนัดแม้สักผีกนาที ไม่ว่ากับเขาหรือลูกค้า เพราะถ้าเวลามันชั่งตวงเป็นเงินเป็นทองได้จริงอย่างที่ว่า ดูเหมือนตัวเขาเองเป็นคนฟุ่มเฟือยกับมันมากในงานแต่ละชิ้นแต่ละอย่าง ผิดลิบลับกันกับเธอ เพราะเธอใช้มันอย่างคุ้มค่าทุกๆวินาที
ชายหนุ่มระบายลมหายใจยาว ทอดสายตาไปยังท้องทะเล ที่ยามนี้มันราบเรียบราวกับแผ่นกระจก มีเพียงคลื่นลูกเล็กๆที่เชยผ่านชายหาดเบาๆ เรือหาปลาอยู่ไกลออกไปมองเห็นเป็นกลุ่มๆคล้ายจุดดำเล็กๆราวกับการแต่งแต้มภาพวิวของจิตรกรตรงริมขอบฟ้า ฝูงนกนางนวลบินฉวัดเฉวียนไปมา ส่งเสียงร้องสะท้านก้องไปในแผ่นฟ้า และท้องทะเลกว้างราวกับจะบอกถึงอิสระเสรีอันไร้ ขอบเขต
บริกรนำเบียร์มาเสริร์ฟ
เขาเพ่งมองน้ำสีทองที่มีฟองฟู ในแก้วทรงสูงตรงหน้า ดูบอบบางแต่ร้ายกาจนักหากเผลอล่วงล้ำรสชาติเข้าเท่านั้น เปรียบกับเธอได้ไหมนะ ที่เหมือนทั้งฝาดและขม แต่ก็ทำให้ไหลหลงเมาความหวานมันอันลึกซึ้ง ที่แอบซ่อนซุกนั้นเสียนักหนา
ซื้อไว้แทบจะทุกเดือน มีอะไรใหม่ๆออกมาซื้อหมด เก็บไว้ มีเวลาจึงค่อยๆเอามาอ่าน อ่านไปเรื่อยๆหนังสือเต็มบ้านเต็มช่องไปหมดแล้ว เก็บไว้อ่านตอนแก่มั้งคะ เธอหัวเราะพลางยกมือเรียวสวยกลมกลึงได้สัดส่วนระหงนั้นปัดเส้นผมดำขลับที่รุ่ยร่ายลงมาป่านป่ายเสยกลับไปข้างหลัง ดูเป็นความเคยชินของคนผมยาว ในความรู้สึกของเขาอดที่จะเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่า เธอดูน่ารักไปทุกอิริยาบถและพอใจในคำตอบของเธอยิ่งนัก ทั้งที่มันเป็นคำถามนอกเหนือข้อตกลงอันเป็นขอบเขตของการสัมภาษณ์ ทันทีที่ภารกิจเสร็จสิ้นลง
แต่เธอก็ตอบและยอมที่จะนั่งสนทนากันต่อ แม้มันออกจะขัดแย้งกับบางคำตอบ ระหว่างการสัมภาษณ์ที่เพิ่งผ่านไป ใช่ นี่คือการสัมภาษณ์ระหว่างเธอ นักธุรกิจสาว ทายาทธุรกิจพันล้านแห่งตระกูลธุรกิจชั้นนำของประเทศ โดยเขา ผู้สื่อข่าวจากหนังสือพิมพ์เศรษฐกิจรายสัปดาห์ฉบับหนึ่ง
ในถ้อยคำสัมภาษณ์ตอนหนึ่งนั้นเธอบอกว่า เวลา สำหรับเธอมันมีค่ามาก เธอหวงแหนมันทุกเสี้ยววินาที เธอไม่ยอมให้ใครหรือสิ่งใดมาหยิบฉวยมันไปได้ง่ายๆ แม้มันจะเป็นประโยคเก่าๆ ที่เขามักจะได้ยินจากปากของนักธุรกิจ นักบริหาร ผู้ประสบความสำเร็จทั้งหลายเกือบจะทุกครั้งของการสัมภาษณ์ก็ว่าได้ ซึ่งมันก็ควรเป็นความจริง และครั้งนี้เขาก็ได้ยินจากปากของเธอเอง
เขาขอตัวกลับในเวลาต่อมา ซึ่งมันได้เลยเวลาตามกำหนดการไปร่วมชั่วโมง กาแฟอีกคนละถ้วย บทสนทนาที่ไม่อยู่กับร่องกับรอย วนเวียนแต่กับเรื่องศิลปะ เพลงและหนังสือ แทนการพูดถึงงาน โครงการธุรกิจและผลกำไรอันเป็นภารกิจสำคัญของเธอ
แต่ดูเธอชอบที่จะสนทนาเรื่องเหล่านี้อย่างจริงๆจังๆ ไม่ใช่เสแสร้งที่จะพูดคุยกับเขาเพียงเพื่อมารยาทอันดีงามเท่านั้น เขาอดที่จะแปลกใจในตัวเธอไม่ได้ และนั่นเป็นหนแรกที่เขาสนใจในตัวเธอ
เขาจิบเบียร์จนพร่องแก้วแล้วรินที่เหลือเติม แอลกอฮอล์กำลังเริ่มต้นทำหน้าที่ของมันในเส้นเลือด ความเฉื่อยเนือยเมื่อครู่ถูกละลายหายไปช้าๆ ความคึกคักกระปรี้ประเปร่า กำลังทยอยเข้ามาแทนที่
เสียงลมพัดผ่านยอดสนดังหวีดหวิวผสมเสียงซ่าซัดของลอนคลื่น ฟังแปลกและเพลินเหมือนเสียงดนตรี ช้าๆ นุ่มนวลและนั่นมันเท่ากับไปกัดกร่อนความตั้งใจเดิมให้สั่นคลอน เขาเริ่มไม่มั่นใจและแน่ใจตัวเอง นี่มันเป็นความรื่นรมย์ที่เคยเป็นของเขาและเธอนี่ นะ เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาเมื่อได้พบกัน
และครั้งนี้
อีกเพียงครู่เดียว เขาจะได้พบเธอแล้วไม่ใช่หรือ
ถนนย่านนั้นพรึ่บสะพรั่งไปด้วยผับ ถนนราตรีที่มีที่กินเหล้า มีเพลงให้เลือกฟังทั้งแบบแจ๊สหรือป๊อป หรือคันทรีเพราะๆ มันเป็นที่รวมของคนหลากอาชีพ ทั้งคนเหงาและไม่เหงา นักธุรกิจ นายธนาคาร นายตำรวจ ทหาร นักเขียนและศิลปินหลายแขนง พวกเขาอาจจะมาเฆี่ยนตีความเหงา มาบ่มเพาะพลังสำหรับวันพรุ่งนี้ หรือมาดูชีวิตเพื่อเป็นต้นแบบ ในนวนิยายของนักเขียนของกวีผู้มุ่งมั่นเสาะแสวงหาแง่มุมชีวิต
เขาแวะมาไม่บ่อยนัก แต่มาทุกเดือนในวันว่าง และมีอารมณ์มากพอ
เขามาดื่มเบียร์ นั่งเงียบๆในมุมใดมุมหนึ่ง ทักทายคนที่รู้จักบ้างเท่าที่จะจำกันได้ ปล่อยใจไปกับโลกมายา บางครั้งดู เศร้า บางครั้งสนุกสนานไปกับมัน มีเครื่องดื่มให้เลือกสารพัด เหล้า ไวน์หลากตระกูล ท้ายที่สุดก็รู้ว่า ตัวเองชอบและเข้ากับเบียร์เพียงอย่างเดียว จนคร้านที่จะไปริลองอย่างอื่นอีก
เขาเป็นคนอย่างนี้เอง สุขพอใจในสิ่งที่มีที่ชอบและทำได้ ไม่เคยคิดฝันไกลไขว่คว้าหาดวงดาว ใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่มีพิธี รีตองอะไรนัก จนเกือบจะชุ่ยในสายตาใครบางคน นอกจากห้องเช่าในอพาร์ทเม้นท์ เสื้อผ้าอีกเพียงไม่กี่ชุด ดูเหมือนเขาไม่ได้สะสมอื่นใดอีก แต่หากจะนับว่ามีสมบัติกับเขาบ้างก็คงจะเป็นหนังสือ เพราะมันคือสมบัติอย่างเดียวที่มันกินเนื้อที่ส่วนใหญ่ของห้องพักไปทั้งหมด มันเป็นสมบัติเพียงอย่างเดียวที่เขาพอมีอวดใครๆเขาได้บ้าง
เคยนึกเสียใจให้กับครอบครัวเหมือนกัน ที่ต้องมาผิดหวังในตัวเขา ค่าที่ไม่ยอมเจริญรอยตามวิถีทางเก่าๆเพื่อเป็นเจ้าคนนายคนในสาขาอาชีพต้นแบบของตระกูลที่สืบมาหลายชั่วอายุ การผ่าเหล่ามาเป็นคนทำหนังสือ เขียนหนังสือ หัวหกก้นขวิดไปตามวิชาชีพมันไม่มีหลักประกัน ไม่มียศฐาบรรดาศักดิ์ให้ใครๆได้ชื่นชมและถ้างานหนังสือพิมพ์มันคือญาติ มันก็อาจเป็นญาติคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ ในโลกก็ได้
ช่างเถอะ ถึงอย่างไรก็ได้แลกมาจนเกินคุ้มแล้ว คนเราไม่มีใครได้อะไรทั้งหมด ได้อย่างก็อาจต้องเสียอย่าง มันเป็นกฏธรรมดาของชีวิต เขายิ้มให้กับเรื่องราวที่นึกคิดพลางยกเบียร์ขึ้นดื่ม แล้วก็ต้องสะดุ้ง
สวัสดีค่า เงาวูบวาบและเสียงทักทายตรงหน้า ปลุกเขาฟื้นตื่นจากภวังค์
อ้าว..คุณ เขาร้องทักอย่างดีใจ
แสงไฟสลัวเลือนทำให้ใบหน้ายิ้มละไมตรงหน้าดูนุ่มนวลยิ่งขึ้น นั่งอยู่มุมโน้น เห็นคุณนานแล้ว ไม่แน่ใจว่าจะจำได้..
คุณจำได้พันเปอร์เซ็นต์เลยเชิญนั่งซิครับ
แต่ร่างระหงได้สัดส่วนยังหยัดยืน คอยหรือนัดใครไว้หรือเปล่าค่ะ ถ้าไม่ เชิญโต๊ะดิฉันดีกว่า มุมโน้นเหมาะกว่าเยอะเลยดิฉันมาคนเดียว
เขายิ้มพยักหน้า แล้วเดินตามเธอไป ความเหงาหงอยเมื่อครู่อันตรธานไปแล้ว
ไม่คิดว่าจะได้พบคุณที่นี่ เขาเอ่ยขึ้นเป็นประโยคแรกเมื่อมานั่งด้วยกันเป็นมุมที่วิเศษอย่างที่เธอบอก เพราะมันสามารถมองภาพชีวิตอิริยาบถผู้คนที่นี่และที่เดินผ่านไปมาบนถนนข้างนอกได้ชัดเจนขณะที่ในใจเป็นอีกคำถามหนึ่ง ตามความเชื่อในภาพพจน์ของอาชีพที่เธอทำอยู่ คุณไม่น่ามีเวลา
ก็มาเท่าที่เวลามันอำนวย อีกอย่างอยากให้โปรแกรมตัวเองมันผิดแผกไปบ้าง..จำเจมากๆเบื่อเหมือนกัน..
อื้อฮึ คุณยังมีชีวิตนี่ ในใจเขาอดที่จะเหน็บแนมไม่ได้
คุณชอบฟังแจ๊สแบบนี้ด้วยหรือครับ
รอยยิ้มที่เขาคิดว่าทั้งน่ารักและเก๋ที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเห็น ผุดขึ้นที่ริมฝีปากของเธอ
ฟังแล้วเพลินดี ทำให้คิดอะไรๆได้แยะเชียว
ดีจัง.. เขาหัวเราะ เขาอยากเห็นเธอมุมนี้มากกว่ามาดนักธุรกิจ เพราะดูเธอเป็นสาวน้อยที่มีชีวิตชีวา คุยสนุก ยิ้มง่าย น่าคบ น่าคุยด้วยและน่ารัก
และคืนนั้นกว่าจะแยกจากกัน ก็เลยเที่ยงคืนไปแล้ว เสียงหัวเราะใสๆยังดังก้องอยู่ในหู มันช่างเป็นคืนที่ปลอดโปร่งและเป็นสุขอย่างประหลาดเท่าที่เคยมีมาในชีวิตทีเดียว แม้ว่าต่อจากนั้น เขาคงได้แต่เฝ้าคิดถึงแต่ความหมายในประโยคที่เธอบอกว่า แล้วพบกันอีก.. มันจะเป็นจริงขึ้นมาอีกเมื่อไหร่
วันเวลายังคงทำหน้าที่ของมันไปตามวัฏจักร
แต่ในโลกธุรกิจ มันอาจหมุนเร็วกว่า เพราะสังเวียนการต่อสู้ไม่มีใครได้รับการผ่อนปรน ใครอ่อนแอหรือช้ากว่า คือคนแพ้ที่ต้องสังเวยด้วยผลกำไรและพื้นที่ โอกาสธุรกิจให้แก่ผู้ชนะไป ข่าวคราวและความเคลื่อนไหวของเธอ เขาได้รับรู้เสมอทั้งโดยหน้าที่คนข่าวและหัวใจที่อยากรับรู้ของมันเอง และในความรับรู้นั้น คือความรู้สึกชื่นชมและทึ่งในความสามารถเกินตัวของเธอยิ่งนัก
เจ้าสัวใหญ่ ยกโครงการยักษ์พันล้านให้ธิดาสาวบริหาร นั่นเป็นคำพาดหัวข่าวใหญ่ของหนังสือพิมพ์ธุรกิจ แทบทุกฉบับ แม้แต่กับฉบับที่เขาประจำอยู่ เขาหมุนถึงเธอทันที เมื่อใจมันอดรนทนไม่ไหว
อื้อฮึ เขาเลียนคำพูดคุ้นเคยของเธอทันทีที่เธอรับสาย คุณทำได้ไง.. รู้มั้ย หนังสือพิมพ์พาดหัวกันทั้งเมืองเลย..
เสียงหัวเราะใสๆดังมาก่อน ไฮ้ ว่าไงนะ อ้อ หนังสือพิมพ์ของคุณด้วยใช่ม้าอือมม แล้วคุณคิดว่ามันท้าทายดี ไหมเล่า
เขานึกถึงท่าทีขี้เล่น ซุกซนเยี่ยงเด็กสาวทั่วไปในคืนนั้นของเธอ แต่ยามนี้เมื่อต้องอยู่ในสำนักงานธุรกิจอันโอ่อ่า ท่าที ของเธอมันคงตัดกันกับภาพของคืนนั้นอย่างตรงกันข้ามหรือเปล่านะ
แต่ผมเชื่อมือคุณนะ เอ้อ.. เขารู้สึกอึกอักขึ้นมาทันที เมื่อมาถึงคิวความต้องการของตัวเอง ความมั่นใจวูบลงเกือบกลายเป็นสูญ แล้วก็ตัดสินใจ คืนนี้.. คุณว่างมั้ย.. ไปดื่มกันที่เดิม ผมจะรอที่นั่น
เสียงเธอเงียบหายไปนิดหนึ่ง หัวใจเขาเต้นโครมคราม
ซอร์รี่ พร้อมกับเสียงหัวเราะใสๆอีกครั้ง ตอนนี้วุ่นวายมาก ลูกค้ามาจากไต้หวัน ฉันต้องเทคแคร์ คราวนี้เขาเป็นฝ่ายนิ่งเงียบไปเอง ความคึกคักเมื่อครู่ถูกทอนลงไปทันทีทันใด
ไม่เป็นไรเอ่อ..ผม ลำคอมันตีบตันขึ้นมาเฉยๆ
งั้นโอ.เค. แค่นี้ก่อนนะค่ะแล้วค่อยพบกัน.. เป็นประโยคสุดท้ายก่อนที่เธอจะวางหูอย่างแผ่วเบานุ่มนวล แต่ในความรู้สึกเขามันเหมือนดังกึกก้อง ราวกับไม่มีความอาทรเยื่อใยต่อกันเลย ความน้อยใจจู่โจมเข้ามาจนทำให้นิ่งงันไป
หลังจากกาแฟร้อนๆผ่านไปถ้วยหนึ่งแล้วนั่นแหละ ความรู้สึกอันดิ่งจมจึงถูกกู้กลับคืนมาอีกครั้ง จริงซินะ เธอเป็นใครและเขาเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรมากมายที่จะไปรู้สึกเช่นนั้นกับเธอ การคบหายังไม่บ่งบอกอะไรพิเศษไปกว่าความเป็นเพื่อน ที่บังเอิญมีรสนิยมบางอย่างต้องกันเท่านั้น เขาอ่อนไหวและอ่อนแอไปเอง คิดมากจนไกลไปเอง แล้วก็ให้รู้สึกอดสูละอายใจเหลือเกิน
นักธุรกิจอย่างเธอ ไม่มีวันอ่อนแอ เช่นนี้หรอก
นับตั้งแต่วันนั้น เขารู้ว่า ไม่ควรที่จะให้ตัวเองมีเวลาว่าง เพราะทันทีที่อยู่คนเดียวความคิดส่วนตัวอดที่จะคนึงถึงเธอไม่ ได้ เขาเริ่มต้นทุ่มเทให้กับงานในหน้าที่อย่างหนัก กับพฤติกรรมที่แปรเปลี่ยนไป ตัวเขาเองไม่ได้รู้สึก หากแต่พอใจที่วันเวลาบางช่วงผ่านไปเสียได้เร็วขึ้น และยิ่งเมื่อมีคำสั่งจากบรรณาธิการให้ต้องเดินทางไปทำข่าวและสังเกตุการณ์ การประชุมสัญจรของคณะรัฐมนตรี ซึ่งรัฐบาลจัดให้มีขึ้นในต่างจังหวัดของอาทิตย์ถัดมา เขารู้สึกตัวเองเหมือนหนูตะกละที่ตกลงไปในฉางข้าวเปลือก ดิ้นรนหาทางออกจนอ่อนล้า ครั้นพอมีช่องทะลุให้เห็นจึงรีบกระโจนหนีออกไปอย่างปรีดานัก
ด้วยหวังว่า ท้องถิ่นที่แปลกตาและเพื่อนพ้องผู้สื่อข่าวคงช่วยให้เขาลืมเธอได้ แต่ก็เปล่า สิ่งที่คิดที่หวังมันไม่อาจช่วยชุบชูความระโหยแห้งในหัวใจได้เลย จึงเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจแต่ละวันก็หลบเร้นเพื่อนพ้อง ไปนั่งดื่มเพียงลำพัง จนค่อนคืนดื่นดึกจึงเมามายกลับที่พัก เป็นเช่นนี้แต่คืนแรกที่เดินทางไปถึง
นี่ฉันถามจริงๆเหอะ.. เธอเป็นอะไรของเธอนะ ทำยังกะคนอกหักแน่ะ เพื่อนผู้สื่อข่าวสาวร่วมทีมที่สนิทสนมกันทักถามเอาในวันหนึ่ง ฉันสังเกตุมาหลายวันแล้ว ดูเธอใจลอยป้ำๆเป๋อๆ ชอบกล เป็นอะไรไป
แม้เสียงแข็งไม่ ยอมจำนน แต่ในใจกลับปวกเปียกสิโรราบกับคำคาดเดาของเพื่อนสาวอย่างสิ้นเชิง จริงซี เขาเป็นอะไรไป ทำไม เฝ้าแต่คิดถึงเธอรุนแรงขนาดนี้ มันเป็นปรากฏการณ์ทางอารมณ์ทางความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยในชีวิตหนุ่ม ความรักหรือ เขาไม่แน่ใจ ที่แม้จะให้คำตอบกับตัวเอง มันออกจะขัดเขินเสียด้วยซ้ำ ความมักคุ้นสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้นใครรู้เข้าอาจจะเย้ยไยไพได้..
แล้วมันเป็นอะไรของมันล่ะ เป็นคำถามที่วกวนไปมา แต่ก็ไม่เคยสรุปได้ลงตัว นอกจากหัวใจมันอยากจะพบ อยากจะเห็นหน้าเธอเสียเหลือเกิน แต่นั่นแหละ พระเจ้ามักจะมีเกมส์ละเล่นของพระองค์สมดุลย์เสมอ
ในคืนสุดท้ายของภารกิจ หลังจากเสร็จสิ้นการแถลงข่าวของโฆษกรัฐบาลในตอนหัวค่ำ เขามาซุกตัวเงียบๆ ที่ห้องอาหารนอกชานเมืองเช่นเคย เพลงโฟล์คเก่าๆเศร้าเย็น แล้วปล่อยให้ใจที่มีแต่ความเงียบเหงาบอกไม่ถูกนั้น ซึบซับไปกับมันโดยมีเบียร์คอยกำชับ มันเฆี่ยนตีความรู้สึกตัวเองได้อย่างสะสาใจนัก
แต่ไม่นึกว่าจะได้พบเธอที่นั่น
โลกกลมจริงๆ เธอว่า..
เพราะคุณหนีไม่พ้น ไม่คิดว่าจะได้พบผมทีนี่ ใช่ม้า เพราะฤทธิ์เบียร์และแรงบีบกดภายในมันทำให้เขาสนองตอบไปด้วยอารมณ์ตัวเอง
เธอชงักงัน ไม่เข้าใจท่าทีของเขา ก่อนเพ่งพิศแล้วหัวเราะเสียงใส แน่ะ นักหนังสือพิมพ์นักเขียนใหญ่ สงสัยจะเมาเบียร์เสียแล้วละค่า
เธอดื่มไวน์ ขณะที่เขาดื่มเบียร์ราวกับดื่มน้ำ พร้อมๆกับสิ่งที่มันอั้นอัดอยู่ภายในก็ทะลักทะลายออกมาเหมือนเขื่อน เหมือนทำนบที่พังทลายเพราะแรงน้ำมหาศาล เธอนิ่งฟังปล่อยให้เขาระบายออกมาจนกระทั่งร้านใกล้ปิด และเขาเมาจนเต็มที่ เกือบจะเที่ยงคืน เธอพยายามถามถึงที่พักของเขาแต่ก็ต้องละเหี่ยใจ คำตอบของเขาช่างไม่ตรงกับคำถามเอาเสียเลย
ผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้น.. ผมจะอยู่กับคุณ ผมคิดถึงคุณมากรู้มั้ย คุณอย่าเพิ่งไปไหนนะ
เขาพูดพร่ำแล้วฟุบหลับคาเบาะรถนิ่งเงียบไปเลย เธอขับรถวนเวียนไปมาความตั้งใจแรกจะนำเขาไปส่งยังโรงแรมที่พัก เธอเองก็รู้ข่าวคราวเกี่ยวกับการประชุมสัญจรของคณะรัฐมนตรีครั้งนี้ ไม่ยากหากจะสอบถามถึงที่พักของเขา แต่ก็ให้รู้สึกตะขิดตะขวงใจบางอย่างกับอีกบางสิ่งที่ได้ยินจากปากของเขาขณะที่เมามาย
ต้องยอมรับกับตัวเองว่า ยามที่ได้พบและพูดคุยกับเขาแต่ละครั้ง ความรู้สึกมันบอกว่า เธออยากมีช่วงของเวลาที่ยืดยาวออกไป มันมีความสุขอย่างอธิบายไม่ได้
แปลกมาก เป็นความรู้สึกที่แปลกมาก
ดูเหมือนมันจะแตกต่างจากเพื่อนชายในแวดวงเดียวกันที่ข้องแวะเกี่ยวพันกันมา เขามีบางอย่างในตัวที่แปลกและแตกต่างออกไป ไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทองหรือธุรกิจหรือหน้าที่การงาน มันไม่ใช่แต่อธิบายไม่ถูก
เธอขับรถวนเวียนอยู่ในเขตตัวเมืองบนถนนอันว่างโล่งเพราะเป็นเวลาดึกมากแล้ว ค่ำคืนของจังหวัดเล็กๆ ราตรีและทิวามี เวลาที่เป็นตัวของตัวเองเสมอ เขายังหลับนิ่งเงียบ ในที่สุดเธอจึงตัดสินใจ
เกือบรุ่งอรุณ
เพราะแรงกระหายน้ำที่บีบเค้นเนื้อเยื่อลำคอจนแทบเป็นผุยผงนั่นเองที่ปลุกเขาให้ฟื้นตื่นขึ้นมาจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ในเบียร์ ที่คร่อมประสาทจนต้องหลับเป็นตาย ก็พบว่า เขาไม่ได้นอนสลบไสลอยู่ในห้องพักของตัวเอง เขาพยายามลำดับเหตุการณ์ จำได้ลางเลือนว่า เขาเมามาก นั่งรถของเธอออกมาจากผับด้วยกัน แต่จากนั้น
แล้วให้แปลกใจ ตรงที่นอนบนฟูกเคียงคู่โดยมีหมอนข้างใบใหญ่กั้นกลางไว้รอยยับย่นอันปรากฏนั้น บอกว่าเจ้าของร่องรอยเพิ่งจะลุกละทิ้งมันไปไม่นานนัก และมันยังบอกอีกว่า ช่วงที่เขานอนสลบไสลด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์นั้น เธอเอนร่างอยู่ข้างๆเขานี่เอง
เธออยู่ไหน?
วูบนั้น ความโกรธ ความน้อยใจ(ที่ตัวเองยากที่จะบอกถึงที่มาประดามี ที่สั่งสมมาเป็นแรมเดือนก็แห้งเหือดไปในทันที ทันใด เมื่อออกมานอกระเบียงก็รู้ว่า มันเป็นบังกาโลปลูกอยู่ในสวนลำไยร่มรื่นนอกชานเมือง ที่เขาเคยขับรถผ่านไปมาหลายครั้ง หลายครามาแล้วนั่นเอง เงาตะคุ่มอ้อนแอ้นของเธอยืนอยู่ที่นั่นเงียบงันสงบเหมือนรูปปั้น มีเพียงแพรเพราะชุดนอนเท่านั้นที่ไหวน้อยๆไปตามแรงลม เธอมองไกลออกไปบนฟ้าอันดารดาษด้วยดวงดาวยามใกล้รุ่ง ผมยาวสลวยดำขลับสยายเต็มแผ่นหลัง เธอเคลื่อนไหวแต่เพียงเล็กน้อยเมื่อสัมผัสกับเสียงเคลื่อนไหวของเขา
ฉันนอนไม่หลับเลยลุกออกมาดูดาว.. นานแล้วที่ไม่ได้เห็นภาพอย่างนี้ สวยจริงๆ เสียงนั้นเครือเหมือนคนละเมอไม่น่าเชื่อว่าจะมาจากปากถ้อยคำของนักธุรกิจสาวที่มีลมหายใจเข้าออกแทบจะหมดไปกับภารกิจการแสวงหากำไรให้กับกิจการ เขาคิดว่าความรู้สึกอันละเอียดอ่อนควรจะถูกดองจนเค็มแข็ง ในความงุนงงนั้นมันได้แฝงความปิติแทรกซ่านขึ้นมาด้วยพร้อมๆกัน
อาจจะเป็นสิ่งนี้ก็ได้ ที่ทำให้เขาและเธอสนิมทสนมกันนับตั้งแต่หนแรกที่เจอ และแม้มันจะถูกบดบังแฝงเร้นไว้ด้วยบทบาท และวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน แต่ทว่าอานุภาพการับรู้ซึ่งกันและกันมันมีอำนาจกล้าแข็งกว่ามากนัก
เวลาผ่านไปเป็นครู่ เขาปล่อยให้เธอดื่มด่ำกับภาพประทับใจจนเต็มอิ่ม โดยเพียงแต่ยืนดูเงียบๆเคียงคู่ จนเมื่อเธอผินหน้ามา
ผมขอโทษ ที่ทำให้คุณต้องลำบาก ผมยาวรุ่ยร่ายป่านป่ายด้วยลมระเรี่ยเคลียผิวแก้วระเรื่อด้วยเลือดฝาดวัยสาวอันสมบูรณ์ จนเขาอดใจไว้ไม่อยู่ เธอไม่ได้ขัดขืนหรือปัดป้อง แม้เมื่อร่างอ้อนแอ้นอยู่ในวงแขนของเขา
มันเหมือนความฝันอันงดงาม ที่เขาฝันหามาตลอดเวลา แม้ว่านับจากวันนั้นเขาก็ต้องจมอยู่กับการรอคอย เพื่อพบกันโอกาสอันแสนสั้นนั้นครั้งแล้งครั้งเล่า
มันเป็นงาน คุณเข้าใจมั้ย งานที่ฉันต้องรับผิดชอบ นั่นเป็นคำตอบที่รวบรัดและชัดแจ้งตามภาษาธุรกิจของเธอ เมื่อเขาอดรนทนไม่ได้ ในเมื่อหัวใจมันอัดแน่นด้วยความถวิลหา
เป็นเช่นนี้ นับเดือน นับปี ภารกิจของเธอและเขาที่เดินไปด้วยกัน หากแต่มันเป็นเหมือนเส้นขนานที่เรียงเคียงกันไปโดยไม่มีวันมาบรรจบพบกันเลย จนมันทำให้เขาเลือกหนทางที่จะตัดสินใจอย่างแน่วแน่
รถสปอร์ตยุโรปคันงามราคาแพงลิบลิ่วของเธอโลดแล่นมาโน่นแล้ว ความปิติพุ่งพล่านในหัวใจทั้งที่พยายามอย่างยิ่งที่จะระงับมันไว้เต็มที่ ไม่ เขาจะไม่หลงไหล เขาจะไม่รักเธออีกต่อไป ควรจะจบกันเสียทีเพราะมันเหมือนเส้นขนาน เหมือนฟ้ากับดิน น้ำกับน้ำมัน ไม่มีวันที่จะเข้าหรือไปกันได้
เขาเป็นเพียงดิน ดินที่ไม่ควรอาจเอื้อมขึ้นเคียงดอกฟ้าเช่นเธอ
สวัสดีค่า นักเขียนนักกวีของฉัน.. เธอทักทายเดินอ้อมโต๊ะมาหอมแก้วถมึงทึงของเขาฟอดใหญ่ เอ๊ะ กวีใหญ่เมาเบียร์เสียแล้วหรือค่ะนี่... เธอเดินกลับไปยังมุมตรงข้าม ร้องสั่งเครื่องดื่มกับบริกร
ทะเลสวยจริง เธอปล่อยสายตามองไกลออกไปในท้องทะเลอันสดใส กิริยาท่าทีคงเช่นทุกครั้งที่ได้ใกล้ชิดกัน
ผมมีเรื่องจะพูดกับคุณ เขาตัดสินใจเริ่มต้น หลังจากปล่อยให้เธอจิบไวน์จนพร่องแก้ว
รอยยิ้มผุดขึ้นที่ริมฝีปากงาม แววขี้เล่นซุกซนกลับมาเป็นของเธออีกครั้งในดวงตากลมโตสวยคู่นั้น
คุณอย่ามาเลียนท่าทางนักธุรกิจความรู้สึกแข็งกระโด๊ะอย่างฉันเลย ไม่ดี ไม่สวย เป็นกวี เป็นนักเขียนอย่างที่เป็นเถอะ น่ารักดี
อารมณ์ของเขาเหมือนน้ำมันเบนซินที่ถูกประกายไฟแลบเข้าใส่
หยุดเสียทีต้อม เขาทุบโต๊ะเสียงดังจนคนอื่นหันมามอง หยุดการแสดงละครเวทีบรอดเวย์อันสูงส่งของคุณเสียทีผมเบื่อ พอกันที ถึงอย่างไรผมก็ไม่มีค่าเท่ากับเงินสักบาทที่คุณคร่ำเคร่งเร่งรีบหามันหรอก..
เขาหายใจครืดคราด ขณะที่เธอยกมือทาบอกงงงวยตกใจ
ผมมันโง่เซ่อซ่าไม่เจียมกะลาหัวตัวเองที่ไปหลงรักลูกสาวเศรษฐีร้อยล้านพันล้านอย่างคุณ ทั้งที่รู้ว่า ชาตินี้ผมคงไม่มี วันได้สมหวังหรอก นอกจาก.. เขาฮึดฮัดฟืดฟาดจนเธอตกใจ ..ผมเซ็งมาพอแล้ว..พอกันที ต่อไปนี้ เราไม่ต้องพบไม่ต้องมุ่งหวังกันต่อไป คุณไปตามทางของคุณ ส่วนผมก็ไปตามทางของผม คุณไปหาคนบ้าเงินเจนเนอเรชั่นเดียวกันดีกว่า คงไปกันได้ดีกว่าผม..
เธอค่อยๆลำดับอารมณ์แล้วจึงยิ้มให้เขา
ฉันขอโทษ เธอเอื้อมมือมากุมมือเขา คุณก็รู้นี่ว่า งานฉันยุ่งจริงๆอีกอย่างเราก็ยังไม่ได้แต่งงานกัน จะทำตามอย่างใจนึกได้อย่างไร..
เอ้างั้น.. เรามาแต่งงานกันเสียทีพรุ่งนี้เลย.. เขาโกรธจนน่าแดงก่ำ เธอเริ่มนึกสนุก
คุณมีค่าสินสอดไปขอฉันกับคุณพ่อแล้วหรือค่ะ
เท่าไหร่? เขากรอกเบียร์เข้าปากรวดเดียวหมดแก้ว
ที่ผ่านมาไม่คิด เธอต่อกรต่อ ทั้งเงินสดทั้งสิ่งของ ท่านคงไม่คิดไม่มาก คงไม่เกินห้าร้อยล้านบาทไทย.. กล่าวพลางซ่อนยิ้มไว้ในหน้า
บ้า เขาลุกขึ้นยืนแล้วก้าวเดินฉับๆไปจากที่นั่น
ชี๊ดคุณจะไปไหน? เธอตะโกนไล่หลัง โต๊ะอื่นๆมองอย่างงงๆ เขาหันหลังกลับยกมือขึ้นชี้มาที่เธอ
ไปให้พ้นคุณไง คุณกับผมชีวิตมันเหมือนเส้นขนาน คงไม่มีทางที่จะมาบรรจบพบกันหรอก กล่าวจบก็ก้าวตรงไปยังรถคู่ชีพ ขับออกไปจากที่นั่นทันที ด้วยความเร็วที่เกือบจะเกินกำลังรถเก่าอย่างนั้น
หญิงสาวจ่ายเงิน เดินออกมาที่รถสปอร์ตคันงาม รู้อยู่ว่า อารมณ์เขาเป็นอย่างนี้ เป็นผีบ้าผีบอ อย่างที่คนทำงานศิลป์ขลุกอยู่แต่กับความละเอียดอ่อนทางอารมณ์มักจะประสบ มันเป็นเรื่องแปลกสำหรับแวดวงของเธอ แต่ก็โกรธที่ทำให้ต้องอับอาย
อีตาบ้า เอาไง เอากันซีวะ
หญิงสาวเร่งเครื่องเร็วจี๋ มองเห็นรถญี่ปุ่นเก่าๆวิ่งอื้ออ้าอยู่ข้างหน้า ดูเหมือนเขาก็รู้แล้วว่า เธอขับตามมาจึงเร่งเครื่องหนี เต็มกำลัง เธอไม่ลดละขับไล่ตามไปติดๆ เพียงครู่เดียวก็แซงขึ้นมาประกบ
ตามผมมาทำไม ไม่ต้องแล้วพอกันที... เสียงตะโกนของเขาดังโหวกเหวกแข่งกับเสียงรถ
ฉันบอกให้หยุด พูดกันให้รู้เรื่อง.. เธอตะโกนสวนตอบไป เห็นเขาสะบัดหน้า เปลี่ยนเกียร์แล้วเร่งเครื่องหนี เป็นจังหวะเดียวกันกับที่รถแล่นสวนตามมาหลายคัน รถของเขาจึงทิ้งช่วงเธอไปไกลลิบ
ไอ้นักเขียนผีบ้า เธอตะโกนด่าในใจอย่างโกรธจัดเขม็งกับเส้นทางตรงหน้าอย่างเต็มที่ พยายามแซงรถคันที่ขวางอยู่ แล้วพุ่งตามรถเขาไปด้วยความเร็วสูง เพียงไม่ถึงอึดใจก็ขึ้นไปคู่ขนานกับรถเก่าของเขาอีกครั้ง เขาเห็นเธอทำปากพะงาบๆชี้ไม้ชี้มือฟังไม่ ได้ศัพท์ ความเร็วของรถและเสียงลมอื้ออึงกลบเสียงไปเสียสิ้น จึงเฉยไม่รู้ไม่ชี้ พลางนึกแฮะนักธุรกิจนี่มีอารมณ์มีความรู้สึกกับเขาเหมือนกันหรือ เขาเห็นเธอเร่งเครื่องเลยรถคันของเขาไปข้างหน้า
ฉับพลัน เธอหักพวงมาลัยพุ่งเข้าชนรถเขาเต็มเหนี่ยว ความเร็วบวกกับความเร็วแรงปะทะบวกแรงเหวี่ยงอันมหาศาล เป็นผลให้ทั้งรถสปอร์ตยุโรปคันงามและรถญี่ปุ่นบุโรทั่งกลิ้งโค่โร่ตกไปข้างทาง ซึ่งเป็นทุ่งนาด้วยกันทั้งคู่ ท่ามกลางความตกอกตกใจตกตะลึงของคนในละแวกนั้นและรถร่วมเส้นทางคันอื่นๆบนถนนสายนั้น
เขารู้สึกราวกับฟ้าได้ถล่มทลาย ในสติอันลางเลือน ยังรู้ตัวว่าเมื่อตัวเองถูกหามไปยังรถพยาบาลของตำรวจทางหลวงที่ เปิดไฟฉุกเฉินแว่บๆรออยู่ พอเปลของเขาถูกวางอึดใจเดียว เปลของเธอก็ถูกวางลงข้างกัน เขารวบรวมแรงกายที่เหลือผงกหัวขึ้นมองเธอด้วยความห่วงใยเธอก็ทำอาการอย่างเดียวกัน
คุณทำอะไรบ้าๆ เขายังฝืนทำเสียงดุ เธอถลึงตาใส่ ตวาดอย่างแหบโหยตอบสวนมา
คุณนั่นแหละบ้าทำฉันก่อนทำไม..
เขาทิ้งศีรษะลงอย่างหมดแรง นึกขำท่าทีของเธอขึ้นมา พลางเอื้อมมือไปคว้ามือเรียวงามของเธอมากุมกระชับแนบแน่นขณะที่เสียงแผ่วโหยของเธอดังขึ้น แต่มันเหมือนลอยมาจากที่ไกลแสนไกล
เป็นไง ฉันทำเส้นหักมุมอย่างนี้ดีไหม อีตาบ้า ถ้าฉันได้ยินคุณพูดอีกว่า ฉันกับคุณเป็นเส้นขนานกันอีก.. คอยดู คราวหน้าฉันจะชนให้กระเด็นขาดสองท่อนเลยเอ้า
เขาชักดิ้นชักงอ เธอยกมือขึ้นทุบเสียงดังพลั่ก ก่อนที่รถพยาบาลคันนั้นจะแล่นนำคนเจ็บทั้งคู่ ออกไปจากที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว เป็นเส้นตรงแน่วไปจนสุดสายตา
15 กุมภาพันธ์ 2551 19:19 น.
ชินเดช ญาณรัตน์
มือและเท้าคู่นี้ไม่ใช่หรือ ที่เคยจับจอบ คันไถ สร้างเมล็ดข้าวเลี้ยงคนทั้งเมืองมาแล้ว ก่อนความทารุณอันร้ายกาจของธรรมชาติและการเอารัดเอาเปรียบอย่างเลือดเย็นของผู้กุมผลประโยชน์กระหน่ำซ้ำเติมเข้ามาบีบเค้น บังคับไสส่งให้เขาต้องผละทิ้งท้องนามาที่นี่
มือเท้าคู่นี้อีกเหมือนกันที่พาเขาเดินลับหายไปจากหมู่บ้าน หายไปจากอิสานบ้านเกิด หายไปเหมือนคนอื่นๆมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองใหญ่ ฝากความหวังไว้กับอนาคตผจญกับงานใหม่ อะไรก็ได้ไม่เกี่ยงเพียงเพื่อเอาชีวิตให้อยู่รอด
แต่ก้อพบว่า ชีวิตในเมืองหลวงนั้นไม่ได้สวยงามอย่างที่เข้าใจเลย ผู้คนของเมืองนี้ผิดแผกแตกต่างจากชีวิตบ้านนอกมากมาย มากประเภท มากเล่ห์เหลี่ยม จนเขารู้สึกหวาดกลัวในบางครั้ง กลุ่มนี้กอบโกยกันอย่างอ้วนพี แต่กลุ่มโน้นเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าสายตัวแทบขาด กว่าจะได้เงินเพียงจำนวนน้อยนิดมาต่อชีวิตผุๆ ถึงจะด้อยด้วยภูมิปัญญาความรู้ แต่ผินก็เข้าใจถึงบางสิ่งที่ดูไม่สมดุลย์กันเลย และดูห่างไกลกัน จนรู้สึกหดหู่
จึงวันหนึ่ง เมื่อเก็บเงินได้พอเป็นค่ารถ ผินก็เดินทางมาแสวงหาความหวังที่นี่ หมู่บ้านน้ำเค็มแห่งอำเภอตะกั่วป่า ตามคำชักชวนของเพื่อนคนอิสานด้วยกัน และข่าวคราวการแพร่สะพัดของกระแสเงินตราของหมู่บ้านแห่งนี้
2.
เกือบปีแล้วที่เขาทำงานในหมู่บ้านชายทะเลเล็กๆแห่งนี้ ผ่านฤดูฝนอันน่าเบื่อหน่ายนี้ไปนั่นแหละคือวันที่ฉันเดินทางมาที่นี่ ผินบอกกับตัวเอง รายได้จากการรับจ้างดำแร่ที่เขาได้รับช่างเทียบไม่ได้เลยกับรายได้ที่เคยได้รับจากงานสารพักชนิดในเมืองหลวง ผิดกันมากจนบางครั้งคิดว่าฝันไป เพราะเพียงสองสามชั่วโมงเท่านั้นผินจะได้เงินไม่ต่ำกว่าสองสามร้อยบาทและเมื่อครบอาทิตย์เมื่อทางเจ้าของแพนำแร่ไปขาย ผินก็ยังจะได้เปอร์เซ็นต์ในส่วนของเขาอีก
อย่างนี้นี่เองที่ทำให้คนจากจังหวัดใกล้เคียงหรือไกลออกไปเดินทางมาแสวงโชคจากสินใต้ทะเลในหมู่บ้านแถวนี้ยิ่งกว่าตื่นทอง
ก่อนหน้านั้น มันเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ เงียบเหงาแต่สุขสงบ มีครอบครัวของชาวเลอาศัยอยู่ไม่กี่หลังคาเรือน คึกคักอยู่บ้างก็เพียงในตอนเรือตังเกเข้าเทียบท่าถ่ายเทปลาที่จับมาได้ขึ้นฝั่งเท่านั้นแต่พอมีการค้นพบสายแร่ในทะเล จากนั้นไม่นานสิ่งต่างๆก็เปลี่ยนแปลงไปจนแทบหมดสิ้น จากหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว คนหลั่งไหลมาทุกสารทิศ มีบาร์ ร้านเหล้า ร้านขายเสื้อผ้าหลากหลายชนิดผุดขึ้นราวกับดอกเห็ดรวมไปถึงที่สำหรับเสพกามประกอบกิจกันอย่างเป็นล่ำสัน
สิ่งที่ผู้คนเก่าแก่เจ้าของถิ่นไม่เคยพบเห็นเพราะไม่เคยเกิดขึ้นแล้ว เป็นอาภรณ์อย่างใหม่ที่เกิดตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น
3.
กระแสของเงินตราที่นี่ ไหลเชี่ยวยิ่งกว่ากระแสน้ำทะเลภายใต้คลื่นหัวเดิ่ง
ร้านเหล้าจะเต็มทุกร้านในทุกเย็นหรือวันที่มีฝนหรือลมแรงจนไม่ไม่อาจดำแร่ในทะเลได้ เหล้าขายดีจนต้องเขยิบราคากันตามใจชอบ แต่ไม่มีใครใครปริปากหรือปฏิเสธ สบู่ก้อนเดียวอาจราคาเกินยี่สิบบาท ไม่มีใครเกี่ยงเมื่อเงินร้อยไม่มีความหมาย
ผินเองก็ชาชินกับความสะพัดแห่งความเป็นไปนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น
บางสิ่งบางอย่างนั้นมันเหมือนตุ่มน้ำก้นรั่ว ที่เขานิ่งดูดายและไม่เคยใส่ใจเลย..นานนับเดือนและล่วงเลยมานาน จนถึงวันนี้
4.
ฝนยังคงกระหน่ำอย่างไม่ยอมหยุดติดต่อกันมาร่วมอาทิตย์แล้ว
ทั่วทั้งหมู่บ้านจะมองเห็นเป็นฝ้าขาวด้วยละอองฝนที่พัดตรงจากทะเล ราวกับน้ำพวกนั้นมีตีนก้าวขึ้นจากมหาสมุทรเดินซอกซอนไปในหมู่บ้านและทุกซอกทุกมุม ข่มขู่ผู้คนไม่ให้ยอมโผล่ออกจากบ้าน
ผินรู้สึกปวดร้าวกับฤดูกาลที่ผ่านไป เขาน่าจะเหลือเงินสักก้อนสำหรับการเดินทางกลับบ้านสายฝนที่กระหน่ำรุนแรงและมีน้กหนักอึ้งนั้น ทำให้ผินคิดถึงการทำนาที่อิสานบ้านเขา ซึ่งเขาไม่แน่ใจว่าจะมีฝนมีน้ำเหมือนที่นี่หรือเปล่า.. หรือมันยังแห้งแล้งอยู่อีกทั้งที่ฤดูฝนย่างเข้ามาแล้ว ธรรมชาติวิปริตขึ้นทุกวันอิสานแล้งไม่มีน้ำจะทำนาในฤดูหว่านดำ แต่ที่นี่ฝนตกมาก มีพายุ มีคลื่นใต้น้ำที่สามารถจับแพโยกราวกับมือยักษ์ไกวเปล จนการดำแร่ต้องชงักงัน ไม่มีใครอาจกล้ากับความไร้น้ำใจของมรสุม
รายได้ที่เคยสะพัดขาดหายไปไม่คึกคัก แพหลายลำต้องหยุดกิจการลงชั่วคราว คนงานกำลังว่างงานหรือแพถูกทิ้งให้กรำฝนอยู่อย่างเปลี่ยวเหงา นักดำแร่กำลังเดินทางกลับหรือพเนจรไปที่อื่นระลอกแล้วระลอกเล่า เพื่อจับงานอย่างหนึ่งอย่างใดไปก่อน เพื่อรอเวลาที่จะกลับมาเมื่อลมมรสุมผ่านพ้นไปแล้ว แต่ก็มีไม่น้อยที่ยังจับเจ่า ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรกับวันอันว่างเปล่าของวันนี้ พรุ่งนี้ ตอนนี้เงินเพียงร้อยสองร้อยดูจะมีค่ามากเหลือเกิน หลังจากได้ถลุงเงินพันเงินหมื่นจับจ่ายกันอย่างสนุกมือมาแล้วเมื่อวันวานที่ผ่านมา กว่าจะคิดได้ก็สายเกินกว่าจะยับยั้งเสียแล้ว
อะไรจะโหดร้ายไปกว่าการไร้ญาติขาดมิตรในต่างถิ่นโดยเฉพาะในภาวะขัดสนเห็นจะไม่มีอีกสำนึกหนึ่งผินรู้สึกสมน้ำหน้าสะใจที่ใครๆต่างพากันประฌามใส่หน้า ไอ้พวกเสี่ยว มีคำขมขื่นตามมาอีกมากมายกินแบบเสี่ยว เที่ยวแบบเสี่ยว และจนกรอบแบบเสี่ยว มีไม่กี่คนเท่านั้นที่หลีกหนีคำประฌามเหล่านี้มีเงินเก็บกลับบ้านได้ แต่ส่วนมาก ส่วนใหญ่ เหมือนผินเหมือนอีกหลายๆคนที่ระเริงหลงจนลืมตัว สมแล้ว.. สมจริงๆหนอที่พวกเขาว่ากันว่า พวกลาวพวกเสี่ยว ผินนิ่งคิดอย่างปวดร้าว หยาดน้ำฝนมันเหมือนหยาดความว้าเหว่ที่ถั่งท้นอยู่ในใจผินเสียเหลือเกิน
5.
หลายวันก่อน ผินเคยเดินตระเวณไปตามสวนยางในตำบลใกล้เคียง บางม่วง คึกคัก หรือย่านยาว เพื่อหางานไม่ว่าจะเป็นรับจ้างดายหญ้า ถางหญ้าในร่องสวนยาง แต่ก็ต้องผิดหวังกลับมา ไม่มีงานเหลือสำหรับเขาหรือใคร เพราะเจ้าของสวนยางหรือลูกหลานที่เคยผละงานไปก็ต้องกลับมาทำงานอย่างเดิมที่ละทิ้งไปนั้นด้วยตนเอง
ฤดูมรสุมจึงเป็นฤดูกาลอันโหดร้ายสำหรับนักดำแร่พเนจรอย่างผินเสียเหลือเกิน
แต่ในความหวังที่ดับวูบแล้วของผินสว่างวาบขึ้นอีก เมื่อนายหัวรอยเจ้าของแพรายใหญ่ในจำนวนไม่กี่คนของหมู่บ้านน้ำเค็มเรียกเขาไปพบเมื่อเย็นนี้
กูให้มึงสองพันทันทีที่มึงทำสำเร็จ.. นายหัวรอยสำทับเมื่อบอกเล่าถึงงานอย่างหนึ่งที่จะให้ทำจบ มึงยิงเสร็จ มึงก็หลบไปเสียสักพัก ที่ไหนก็ได้ ฤดูดำแร่คราวหน้า มึงอยู่ในรายชื่อนักดำมือหนึ่งของแพกู..
ชีวิตเป็นของเรา ผินบอกกับตัวเองอย่างนั้น อดอยาก หิวโหย อยู่หรือตายย่อมเป็นไปกับตัวเราเท่านั้น เขาตัดสินใจรับงานจากนายหัวรอยโดยไม่ลังเลใจอีก ผินลูบคลำมือตัวเองอีกครั้ง มือคู่นี้ หากจะจับสิ่งที่ไม่ใช่จอบ ไม่ใช่คันไถ เพื่อเงินเพื่อชีวิตสักครั้งจะเป็นไรไป
6.
โน เขาทำอะไรกันหรือ.. ฉันถามมโนเด็กหนุ่มซึ่งรู้จักกันดี
เผาสดนะพี่ พี่โชคดีรู้ไหมมาถึงก็ได้ดูของดีเลย มะโนตอบ แต่ฉันยังไม่เข้าใจอีกว่าคนกำลังมุงดูอะไรกันที่กลางลานตลาดในหมู่บ้าน
มือปืนพี่ มันบุกยิงโกเหลียง แต่มืออ่อน หมู่ดำเลยสอยซะร่วง เมื่อสักครู่ก่อนที่พี่จะมาถึงนี่แหละ นี่เค้ากำลังจะเผากันสดๆนะ เพื่อประจานหรือข่มขวัญอะไรทำนองนั้น
ฉันพยักหน้าแล้วเดินแหวกผู้คนเข้าไป
ศพชายคนนั้นถูกราดด้วยน้ำมันเบนซิน สุมทับด้วยยางรถยนต์เก่าๆ มีรอยปรุพรุนที่หน้าอกสองสามแห่ง คงเป็นรอยกระสุนปืน
ดูเอาไว้ ใครมันกำแหง ใครอยากเป็นอย่างไอ้เสี่ยวนี่ มันก็จะเป็นรายต่อไปเหมือนหมาอย่างนี้หมู่ดำตะโกนก้องอยู่กลางวงแล้ว จ่อไม้ขีดลงที่ศพ ฉันพอรู้จักเขาบ้าง เขาเป็นตำรวจยศสิบตำรวจโทแต่อำนาจและความเป็นอยู่ของเขาที่นี่ไกลเกินกว่านั้น เขาเป็นคนใกล้ชิดของโกเหลียงเจ้าของแพรายใหญ่อีกรายหนึ่ง เป็นเจ้าของแพอิทธิพลที่คนในหมู่บ้านน้ำเค็มรู้จักกิติศัพท์ดี
ไฟโหมลามเลียศพของชายคนนั้นมากขึ้น มีกลิ่นเหม็นฉุนเฉียวลอยมาจนแทบทำให้อาเจียน
ไปที่ชอบเถอะไอ้ผิน..ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ใกล้กับฉันพึมพัมขึ้น เราสบตากันแว่บหนึ่ง มันเป็นลูกจ้างดำแร่แพเดียวกับผม..แกบอกโดยที่ฉันยังไม่ทันได้เอ่ยปากถามมันเป็นคนดี ไม่น่าเชื่อว่ามันจะคิดสั้นทำแบบนี้ มีความรู้สึกบางอย่างซึ่งทนไม่ได้ที่จะให้แกบอกเล่ามากไปกว่านี้อีก ฉันจึงผละจากมา
7.
ฉันซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของมดนกลับออกมาด้วยความรู้สึกอย่างหนึ่งว่า ฉันกลับมาบ้านคราวนี้ สิ่งต่างๆเปลี่ยนแปลงไปทุกที แทบไม่เชื่อเลยว่า ท้องถิ่นที่เคยอยู่กันอย่างสุขสงบร่มเย็นจะกลายเป็นเมืองเดือดไปได้ถึงเพียงนี้ฆ่าแกงกันราวชีวิตเป็นผักปลา ทุกครั้งที่ฉันกลับมาเยี่ยมบ้านและได้พบเรื่องราวสะเทือนใจอย่างนี้ฉันอดคิดหวาดหวั่นไม่ได้ว่า ต่อไปนี้จะมีอะไรเหลืออยู่ให้ฉันพอจะจดจำแน่ใจหรือเชื่อได้ว่านี่คือท้องถิ่นที่ฉันเกิด ไม่ใช่แดนมิคสัญญีที่ไหนที่ฉันพลัดหลงเข้ามา
รถกระดอนด้วยหลุมบ่อขรุขระ อะไรอย่างหนึ่งที่สะเอวของมโนทิ่มแทงจนฉันรู้สึกในสัมผัสนั้นฉันพอรู้และไม่แปลกใจอะไรอีกแล้ว ที่เห็นเด็กหนุ่มที่นี่หมู่บ้านของฉัน พกปืนอย่างกับพกหวี
นี่ไม่ใช่เรื่องที่ฉันหวังให้ใครช่วยหรือร่วมรับรู้ด้วยหรอก เพียงแต่รู้สึกว่าชีวิตไม่ควรจะมีจุดจบเพียงแค่นี้ การที่ชีวิตหนึ่งจบสิ้นลง ก็ไม่ใช่ชีวิตหนึ่งจบสิ้นลง ก็ไม่ใช่ใบไม้เพียงใบหนึ่งหลุดร่วงจากขั้วเพียงเท่านั้น
13 กุมภาพันธ์ 2551 20:27 น.
ชินเดช ญาณรัตน์
การเดินทางของผิน
โดย..ชินเดช ญาณรัตน์
1.
ผิน ก้มลงมองฝ่าเท้าและลูบคลำมือตัวเอง นิ่งนาน เหมือนพบอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาต้องคิด มือนั้นหยาบกร้านหนาใหญ่ มีแผลเป็นประดับอยู่หายแห่ง บางครั้งดูเหมือนกับไม่ใช่มือ แต่มันคล้ายเท้าเล็ๆของสัตว์อะไรสักอย่าง เท้าแบนิ้วบานหนาเตอะ เกาแทบไม่รู้สึก มันพอกพูนด้วยหนังกำพร้าเพื่อต่อสู้กับงานหนักอันชาชิน
มือและเท้าคู่นี้ไม่ใช่หรือ ที่เคยจับจอบ คันไถ สร้างเมล็ดข้าวเลี้ยงคนทั้งเมืองมาแล้ว ก่อนความทารุณอันร้ายกาจของธรรมชาติและการเอารัดเอาเปรียบอย่างเลือดเย็นของผู้กุมผลประโยชน์กระหน่ำซ้ำเติมเข้มาบีบเค้น บังคับไสส่งให้เขาต้องผละทิ้งท้องนามาที่นี่
มือเท้าคู่นี้อีกเหมือนกันที่พาเขาเดินลับหายไปจากหมู่บ้าน หายไปจากอิสานบ้านเกิด หายไปเหมือนคนอื่นๆมุ่งหน้าเข้าสู่
เมืองใหญ่ ฝากความหวังไว้กับอนาคตผจญกับงานใหม่ อะไรก็ได้ไม่เกี่ยงเพียงเพื่อเอาชีวิตให้อยู่รอด
แต่ก้อพบว่า ชีวิตในเมืองหลวงนั้นไม่ได้สวยงามอย่างที่เข้าใจเลย ผู้คนของเมืองนี้ผิดแผกแตกต่างจากชีวิตบ้านนอกมากมาย มากประเภท มากเล่ห์เหลี่ยม จนเขารู้สึกหวาดกลัวในบางครั้ง กลุ่มนี้กอบโกยกันอย่างอ้วนพี แต่กลุ่มโน้นเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าสายตัวแทบขาด กว่าจะได้เงินเพียงจำนวนน้อยนิดมาต่อชีวิตผุๆ ถึงจะด้อยด้วยภูมิปัญญาความรู้ แต่ผินก็เข้าใจถึงบางสิ่งที่ดูไม่สมดุลย์กันเลย และดูห่างไกลกัน จนรู้สึกหดหู่
จึงวันหนึ่ง เมื่อเก็บเงินได้พอเป็นค่ารถ ผินก็เดินทางมาแสวงหาความหวังที่นี่ ตามคำชักชวนของเพื่อนคนอิสานด้วยกัน และข่าวคราวการแพร่สะพัดของกระแสเงินตราของหมู่บ้านแห่งนี้
2.
เกือบปีแล้วที่เขาทำงานในหมู่บ้านชายทะเลเล็กๆแห่งนี้ ผ่านฤดูฝนอันน่าเบื่อหน่ายนี้ไปนั่นแหละคือวันที่ฉันเดินทางมาที่นี่ ผินบอกกับตัวเอง รายได้จากการรับจ้างดำแร่ที่เขาได้รับช่างเทียบไม่ได้เลยกับรายได้ที่เคยได้รับจากงานสารพักชนิดในเมืองหลวง ผิดกันมากจนบางครั้งคิดว่าฝันไป เพราะเพียงสองสามชั่วโมงเท่านั้นผินจะได้เงินไม่ต่ำกว่าสองสามร้อยบาทและเมื่อครบอาทิตย์เมื่อทางเจ้าของแพนำแร่ไปขาย ผินก็ยังจะได้เปอร์เซ็นต์ในส่วนของเขาอีก
อย่างนี้นี่เองที่ทำให้คนจากจังหวัดใกล้เคียงหรือไกลออกไปเดินทางมาแสวงโชคจากสินใต้ทะเลในหมู่บ้านแถวนี้ยิ่งกว่าตื่นทอง
ก่อนหน้านั้น มันเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ เงียบเหงาแต่สุขสงบ มีครอบครัวของชาวเลอาศัยอยู่ไม่กี่หลังคาเรือน คึกคักอยู่บ้างก็เพียงในตอนเรือตังเกเข้าเทียบท่าถ่ายเทปลาที่จับมาได้ขึ้นฝั่งเท่านั้นแต่พอมีการค้นพบสายแร่ในทะเล จากนั้นไม่นานสิ่งต่างๆก็เปลี่ยนแปลงไปจนแทบหมดสิ้น จากหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว
คนหลั่งไหลมาทุกสารทิศ มีบาร์ ร้านเหล้า ร้านขายเสื้อผ้าหลากหลายชนิดผุดขึ้นราวกับดอกเห็ดรวมไปถึงที่สำหรับเสพกามประกอบกิจกันอย่างเป็นล่ำสัน
สิ่งที่ผู้คนเก่าแก่เจ้าของถิ่นไม่เคยพบเห็นเพราะไม่เคยเกิดขึ้นแล้ว เป็นอาภรณ์อย่างใหม่ที่เกิดตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น
3.
กระแสของเงินตราที่นี่ ไหลเชี่ยวยิ่งกว่ากระแสน้ำทะเลภายใต้คลื่นหัวเดิ่ง
ร้านเหล้าจะเต็มทุกร้านในทุกเย็นหรือวันที่มีฝนหรือลมแรงจนไม่อาจดำแร่ในทะเลได้ เหล้าขายดีจนต้องเขยิบราคากันตามใจชอบ แต่ไม่มีใครปริปากหรือปฏิเสธ สบู่ก้อนเดียวอาจราคาเกินยี่สิบบาท ไม่มีใครเกี่ยงเมื่อเงินร้อยไม่มีความหมาย
ผินเองก็ชาชินกับความสะพัดแห่งความเป็นไปนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น
บางสิ่งบางอย่างนั้นมันเหมือนตุ่มน้ำก้นรั่ว ที่เขานิ่งดูดายและไม่เคยใส่ใจเลย..นานนับเดือนและล่วงเลยมานาน
4.
ฝนยังคงกระหน่ำอย่างไม่ยอมหยุดติดต่อกันมาร่วมอาทิตย์แล้ว
ทั่วทั้งหมู่บ้านจะมองเห็นเป็นฝ้าขาวด้วยละอองฝนที่พัดตรงจากทะเล ราวกับน้ำพวกนั้นมีตีนก้าวขึ้นจากมหาสมุทรเดินซอกซอนไปในหมู่บ้านและทุกซอกทุกมุม ข่มขู่ผู้คนไม่ให้ยอมโผล่ออกจากบ้าน
ผินรู้สึกปวดร้าวกับฤดูกาลที่ผ่านไป เขาน่าจะเหลือเงินสักก้อนสำหรับการเดินทางกลับบ้านสายฝนที่กระหน่ำรุนแรงและมีน้กหนักอึ้งนั้น ทำให้ผินคิดถึงการทำนาที่อิสานบ้านเขา ซึ่งเขาไม่แน่ใจว่าจะมีฝนมีน้ำเหมือนที่นี่หรือเปล่า.. หรือมันยังแห้งแล้งอยู่อีกทั้งที่ฤดูฝนย่างเข้ามาแล้ว ธรรมชาติวิปริตขึ้นทุกวันอิสานแล้งไม่มีน้ำจะทำนาในฤดูหว่านดำ แต่ที่นี่ฝนตกมาก มีพายุ มีคลื่นใต้น้ำที่สามารถจับแพโยกราวกับมือยักษ์ไกวเปล จนการดำแร่ต้องชงักงัน ไม่มีใครอาจกล้ากับความไร้น้ำใจของมรสุม
รายได้ที่เคยสะพัดขาดหายไปไม่คึกคัก แพหลายลำต้องหยุดกิจการลงชั่วคราว คนงานกำลังว่างงานหรือแพถูกทิ้งให้กรำฝนอยู่อย่างเปลี่ยวเหงา นักดำแร่กำลังเดินทางกลับหรือพเนจรไปที่อื่นระลอกแล้วระลอกเล่า เพื่อจับงานอย่างหนึ่งอย่างใดไปก่อน เพื่อรอเวลาที่จะกลับมาเมื่อลมมรสุมผ่านพ้นไปแล้ว แต่ก็มีไม่น้อยที่ยังจับเจ่า ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรกับวันอันว่างเปล่าของวันนี้ พรุ่งนี้ ตอนนี้เงินเพียงร้อยสองร้อยดูจะมีค่ามากเหลือเกิน หลังจากได้ถลุงเงินพันเงินหมื่นจับจ่ายกันอย่างสนุกมือมาแล้วเมื่อวันวานที่ผ่านมา กว่าจะคิดได้ก็สายเกินกว่าจะยับยั้งเสียแล้ว
อะไรจะโหดร้ายไปกว่าการไร้ญาติขาดมิตรในต่างถิ่นโดยเฉพาะในภาวะขัดสนเห็นจะไม่มีอีกสำนึกหนึ่งผินรู้สึกสมน้ำหน้าสะใจที่ใครๆต่างพากันประฌามใส่หน้า ไอ้พวกเสี่ยว มีคำขมขื่นตามมาอีกมากมายกินแบบเสี่ยว เที่ยวแบบเสี่ยว และจนกรอบแบบเสี่ยว มีไม่กี่คนเท่านั้นที่หลีกหนีคำประฌามเหล่านี้มีเงินเก็บกลับบ้านได้ แต่ส่วนมาก ส่วนใหญ่ เหมือนผินเหมือนอีกหลายๆคนที่ระเริงหลงจนลืมตัว สมแล้ว.. สมจริงๆหนอที่พวกเขาว่ากันว่า พวกลาวพวกเสี่ยว ผินนิ่งคิดอย่างปวดร้าว หยาดน้ำฝนมันเหมือนหยาดความว้าเหว่ที่ถั่งท้นอยู่ในใจผินเสียเหลือเกิน
5.
หลายวันก่อน ผินเคยเดินตระเวณไปตามสวนยางในตำบลใกล้เคียง บางม่วง คึกคัก หรือย่านยาว เพื่อหางานไม่ว่าจะเป็นรับจ้างดายหญ้า ถางหญ้าในร่องสวนยาง แต่ก็ต้องผิดหวังกลับมา ไม่มีงานเหลือสำหรับเขาหรือใคร เพราะเจ้าของสวนยางหรือลูกหลานที่เคยผละงานไปก็ต้องกลับมาทำงานอย่างเดิมที่ละทิ้งไปนั้นด้วยตนเอง
ฤดูมรสุมจึงเป็นฤดูกาลอันโหดร้ายสำหรับนักดำแร่พเนจรอย่างผินเสียเหลือเกิน
แต่ในความหวังที่ดับวูบแล้วของผินสว่างวาบขึ้นอีก เมื่อนายหัวรอยเจ้าของแพรายใหญ่ในจำนวนไม่กี่คนของหมู่บ้านน้ำเค็มเรียกเขาไปพบเมื่อเย็นนี้
กูให้มึงสองพันทันทีที่มึงทำสำเร็จ.. นายหัวรอยสำทับเมื่อบอกเล่าถึงงานอย่างหนึ่งที่จะให้ทำจบ มึงยิงเสร็จ มึงก็หลบไปเสียสักพัก ที่ไหนก็ได้ ฤดูดำแร่คราวหน้า มึงอยู่ในรายชื่อนักดำมือหนึ่งของแพกู..
ชีวิตเป็นของเรา ผินบอกกับตัวเองอย่างนั้น อดอยาก หิวโหย อยู่หรือตายย่อมเป็นไปกับตัวเราเท่านั้น เขาตัดสินใจรับงานจากนายหัวรอยโดยไม่ลังเลใจอีก ผินลูบคลำมือตัวเองอีกครั้ง มือคู่นี้ หากจะจับสิ่งที่ไม่ใช่จอบ ไม่ใช่คันไถ เพื่อเงินเพื่อชีวิตสักครั้งจะเป็นไรไป
6.
โน เขาทำอะไรกันหรือ.. ฉันถามมโนเด็กหนุ่มซึ่งรู้จักกันดี
เผาสดนะพี่ พี่โชคดีรู้ไหมมาถึงก็ได้ดูของดีเลย มะโนตอบ แต่ฉันยังไม่เข้าใจอีกว่าคนกำลังมุงดูอะไรกันที่กลางลานตลาดในหมู่บ้าน
มือปืนพี่ มันบุกยิงโกเหลียง แต่มืออ่อน หมู่ดำเลยสอยซะร่วง เมื่อสักครู่ก่อนที่พี่จะมาถึงนี่แหละ นี่เค้ากำลังจะเผากันสดๆนะ เพื่อประจานหรือข่มขวัญอะไรทำนองนั้น
ฉันพยักหน้าแล้วเดินแหวกผู้คนเข้าไป
ศพชายคนนั้นถูกราดด้วยน้ำมันเบนซิน สุมทับด้วยยางรถยนต์เก่าๆ มีรอยปรุพรุนที่หน้าอกสองสามแห่ง คงเป็นรอยกระสุนปืน
7.
ฉันซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของมดนกลับออกมาด้วยความรู้สึกอย่างหนึ่งว่า ฉันกลับมาบ้านคราวนี้ สิ่งต่างๆเปลี่ยนแปลงไปทุกที แทบไม่เชื่อเลยว่า ท้องถิ่นที่เคยอยู่กันอย่างสุขสงบร่มเย็นจะกลายเป็นเมืองเดือดไปได้ถึงเพียงนี้ฆ่าแกงกันราวชีวิตเป็นผักปลา ทุกครั้งที่ฉันกลับมาเยี่ยมบ้านและได้พบเรื่องราวสะเทือนใจอย่างนี้ฉันอดคิดหวาดหวั่นไม่ได้ว่า ต่อไปนี้จะมีอะไรเหลืออยู่ให้ฉันพอจะจดจำแน่ใจหรือเชื่อได้ว่านี่คือท้องถิ่นที่ฉันเกิด ไม่ใช่แดนมิคสัญญีที่ไหนที่ฉันพลัดหลงเข้ามา
รถกระดอนด้วยหลุมบ่อขรุขระ อะไรอย่างหนึ่งที่สะเอวของมโนทิ่มแทงจนฉันรู้สึกในสัมผัสนั้นฉันพอรู้และไม่แปลกใจอะไรอีกแล้ว ที่เห็นเด็กหนุ่มที่นี่หมู่บ้านของฉัน พกปืนอย่างกับพกหวี
นี่ไม่ใช่เรื่องที่ฉันหวังให้ใครช่วยหรือร่วมรับรู้ด้วยหรอก เพียงแต่รู้สึกว่าชีวิตไม่ควรจะมีจุดจบเพียงแค่นี้ การที่ชีวิตหนึ่งจบสิ้นลง ก็ไม่ใช่ชีวิตหนึ่งจบสิ้นลง ก็ไม่ใช่ใบไม้เพียงใบหนึ่งหลุดร่วงจากขั้วเพียงเท่านั้น
ดูเอาไว้ ใครมันกำแหง ใครอยากเป็นอย่างไอ้เสี่ยวนี่ มันก็จะเป็นรายต่อไปเหมือนหมาอย่างนี้หมู่ดำตะโกนก้องอยู่กลางวงแล้ว จ่อไม้ขีดลงที่ศพ ฉันพอรู้จักเขาบ้าง เขาเป็นตำรวจยศสิบตำรวจโทแต่อำนาจและความเป็นอยู่ของเขาที่นี่ไกลเกินกว่านั้น เขาเป็นคนใกล้ชิดของโกเหลียงเจ้าของแพรายใหญ่อีกรายหนึ่ง เป็นเจ้าของแพอิทธิพลที่คนในหมู่บ้านน้ำเค็มรู้จักกิติศัพท์ดี
ไฟโหมลามเลียศพของชายคนนั้นมากขึ้น มีกลิ่นเหม็นฉุนเฉียวลอยมาจนแทบทำให้อาเจียน
ไปที่ชอบเถอะไอ้ผิน..ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ใกล้กับฉันพึมพัมขึ้น เราสบตากันแว่บหนึ่ง มันเป็นลูกจ้างดำแร่แพเดียวกับผม..แกบอกโดยที่ฉันยังไม่ทันได้เอ่ยปากถามมันเป็นคนดี ไม่น่าเชื่อว่ามันจะคิดสั้นทำแบบนี้ มีความรู้สึกบางอย่างซึ่งทนไม่ได้ที่จะให้แกบอกเล่ามากไปกว่านี้อีก ฉันจึงผละจากมา
11 กุมภาพันธ์ 2551 23:01 น.
ชินเดช ญาณรัตน์
กลับบ้าน วิทยาบอกกับตัวเองและใครๆอย่างนั้น
คุณจะกลับมาที่นี่อีกไหม กลับมานะพวกเราจะคอย คุณเป็นคนดี เป็นเพื่อนที่ดีของพวกเรา เพื่อนๆที่ทำงานอยู่ในตึกสูงแห่งเดียวกันบอกอย่างนั้น เมื่อวันลาที่บริษัท
กลับมาที่นี่ วิทยาย้ำคำนั้นในใจ แล้วยิ้มเยาะตัวเอง กลับมาทำไมกัน หลายปีแล้ว กาลเวลาเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างไปจนแทบหมดสิ้น เพียงพอแล้ว สำหรับการใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ ความตั้งใจเดิมถูกริดรอนไปอย่างเยาะเย้ยหยามหยัน ตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัยปีสุดท้ายแล้ว นานพอที่เขาพ่ายแพ้ต่อความตั้งใจเดิมที่จะกลับไปสู่หมู่บ้านเล็กๆที่ไม่มีแสงสี ไม่มีไนท์คลับ หรือสถานอาบอบนวด ไม่มีโบลว์ ไม่มีอะไรๆที่เมืองใหญ่มี แต่มีความเป็นคน มีความซื่อบริสุทธิ์ มีความแร้นแค้นยากเข็ญอยู่พร้อมมูล อย่างที่เขาและบรรพบุรุษเคยพบพานมาแล้วเมื่อเยาว์วัย
เขาจะกลับไปที่นั่นเสียที เขานึกถึงทิวมะพร้าวยาวเหยียดริมฝั่งทะเลในสวน หาดทรายขาว เสียงคลื่นซัดสาดโขดหินดังโครมครืนไม่ขาดระยะสายลมเฉื่อยฉิวคอยปลอบขวัญให้กำลังใจเมื่อยามท้อแท้ นึกถึงภาพเด็กๆเปลือยกายวิ่งเล่นกรูเกรียวในหมู่บ้านมอมแมมผอมหัวโตเพราะเป็นโรคขาดอาหาร เติบโตอย่างไม่รู้อนาคต เหมือนดอกไม้ป่า รอเวลาเป็นเหยื่อของสัตว์ เมืองที่แข็งแรงด้วยสติเปัญญากว่า ตกเป็นทาสทางผลประโยชน์อย่างไม่มีวันดิ้นหลุด
ขาน่าจะกลับไปที่นั่นนานแล้ว เพื่อนๆที่เคยเรียนด้วยกันหลายคน มาจากดินแดนต่างๆกัน จากเหนือ อิสาน หรือใต้สุดพูดเล่าเรื่องถึงหมู่บ้านที่จากมากด้วยกัน บัดนี้พวกเขากลับไปหมดแล้ว เขาคนเดียวที่ถูกทิ้งเหลืออยู่
เขาทนอยู่อย่างไรนะ ทนอยู่กับชีวิตที่สับสน แก่งแย่ง เร่งรีบกันหาเงินให้ได้มากที่สุดในวันหนึ่งๆ ทุกเช้า,ทุกเย็นและเกือบทุกเวลา ต้องผจญกับความแออัดยัดเยียดทุกอย่างดำเนินไปเหมือนเครื่องจักร อยู่กันอย่างคนแปลกหน้าในสังคมใหญ่ มีสวรรค์ มีนรกจกเปรตอยู่พร้อม มีวัด มีโรงแรม บาร์มืดที่เปิดอย่างโจ่งแจ้งโชว์การประกอบกามกิจกันเกร่อเป็นล่ำเป็นสัน ศีลธรรมถูกซุกอยู่ในซอกมืด
ทุกๆวินาทีผ่านพ้นไป ทุกคนต้องเร่งรีบไปทำงาน ไปกินเลี้ยง ไปเสพกาม ไปคดโกง ไปตายโหงตายห่าที่ไหนต่อที่ไหน ฯลฯ
หลายครั้งเขาเคยเห็นคนเสนอตัวขึ้นไปพูด ไปวางความหวังถึงความฝันที่ทุกคนใฝ่หา แต่แล้วก็ผ่านเลยไปเหมือนสายลมคนเหล่านั้นถูกกลืนหายไปหมด หายไปกับกระแสแห่งความผันผวน ความฝันก็คงเป็นอยู่อย่างนั้น เขาทนอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน ทนอยู่เกือบสิบปีแล้ว สิบปีที่เหมือนความว่างเปล่า ในแก้วบรั่นดี ในสังคมหรูหรา ในห้องอาหารประดับประดาสวยงาม ไม่ได้ให้อะไรที่เป็นความภาคภูมิใจให้แก่นสารที่เป็นความจริงแก่เขาเลย นอกจากความเป็นสัตว์เมือง
เครื่องยนต์กระหึ่มขึ้น เสียงเตือนเสียงกล่าวคำอำลาดังเซ็งแซ่ รถกำลังจะออกแล้ว ชายชราคนนั้นแหวกกลุ่มคนที่ต่างมาโบกมือไหวๆ โชเฟอร์ชงักการนำรถออกยังมีผู้โดยสารอีกคน เขาบอกเด็กรถ
ชายชราทรุดนั่งตรงที่ว่างติดกับวิทยา รถเคลื่อนออกไกลออกไปทุกที
ลาก่อน ฉันจะกลับบ้าน กลับไปที่นั่นแล้ว วิทยาบอกลาอย่างนั้นกับตึกรามแสงไฟระยิบระยับที่ผ่านพ้นไปอึงคนึงในใจ
ไม่นานก็ผ่านพ้นย่านแออัดออกสู่ถนนใหญ่ รถพุ่งลิ่วสู่จุดหมายปลายทาง จมูกพลันได้กลิ่นยาฉุนลอยมาสัมผัส นานหลายปีที่ไม่เคยได้พานพบกลิ่นเช่นนี้ ชายชราคนนั้นนั่นเอง
ขอโทษนะหลานชาย หากยาฉุนมันรบกวน แกกล่าวประโยคแรก
ตามสบายครับพ่อลุง เขาตอบและยิ้มให้แกด้วยไมตรี
คนบ้านนอกคอกนาเป็นที่น่ารำคาญน่ารังเกียจอย่างนี้แหละ
แกพูดอีกพร้อมๆกับอัดยาสูบอย่างระมัดระวัง คงเกรงจะรบกวนเขาและคนอื่นๆ วิทยารู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด คิดถึงพ่อขึ้นมาอย่างจับใจ พ่อสูบยาฉุนอย่างนี้เสมอๆ ชีวิตเมื่อจบสิ้นแล้วจะไปไหนหนอ พ่อจะต้องเดินทางอีกหรือไม่ คงไม่หรอก ทุกสิ่งของพ่อจบสิ้นแล้ว
รถคงตะบึงฝ่าความมืดมิดไปข้างหน้าไม่หยุดยั้ง นานๆจึงจะมีรถสวนทางส่องไฟจ้ามาสักคัน ผู้โดยสารเงียบงันไปหมดแล้ว หลายคนกำลังหลับไหลรวมทั้งชายชราแกกรนเบาๆแล้วด้วยซ้ำ หลับง่าย กินง่าย ซื่อ ไม่มีพิธีรีตองอย่างนี้แหละ เขาคิดถึงหลายๆคนในหมู่บ้าน ลุงดำ ลุงเขียด น้าปรุง น้าสำอางค์ ยาโก๊บ บังเสม ทุกคนยังอยู่ครบ ยังลากอวนเล่นสะบ้าและสบายดีอยู่หรือ อย่างนี้เหมือนๆกันทั้งนั้น
ทุกคนจะดีใจไหม หากรู้ว่าเด็กเล็กๆคนหนึ่งที่จากไปเสียนานกำลังกลับมาหมู่บ้าน มาเป็นครูสอนหนังสือเด็กๆที่นั่น
เขามองฝ่าความมืดออกไปนอกหน้าต่างรถ ปล่อยความคิดล่องลอยไปในความเงียบ การเดินทางของชีวิตบางช่วงก็มืดมิดอย่างนี้ หากไม่หยุดอยู่กับที่เสียก่อน ไม่ท้อแท้กับการแสวงหา ไม่ปล่อยชีวิตกับความมืดมิดอันว่างเปล่า สิ่งรอบตัวจะไม่ไกลโพ้น ความมืดมิดจะไม่ยาวนาน หากมีอะไรสักอย่างที่เป็นความหวัง เป็นจุดวาบของความสว่างในความมืดมน มั่นใจเถิดสิ่งนั้นอาจนำสู่แสงสว่างของวันพรุ่งนี้ก็ได้และเมื่อถึงจดนั้น จะรู้ว่าเราก้าวพาตัวเองไกลจากจุดเดิมหลายก้าวทีเดียว ฟ้าเรื่อแดงปล่อยลำแสงแรกตรงขอบฟ้าแล้ว วิทยาไม่รู้สึกอิดโรยที่ไม่ได้งีบหลับเลยตลอดคืน กลับรู้สึกสดใสยิ้มรับกับเช้าของชีวิตอีกวันหนึ่ง แต่วันนี้สดชื่นกว่าวันวาน อีกเพียงชั่วโมงเศษจุดหมายปลายทางที่เฝ้ารอมาเต็มคืนก็จะสิ้นสุดเสียที
ลงที่ไหนหรือหลานชาย ชายชราคงตื่นนานแล้ว วิทยามัวชื่นชมกับธรรมชาติทิวทัศน์สองข้างทางลืมสังเกตุ
ต้นแซะครับพ่อลุง เขาตอบ
ที่เดียวกันเลย แกยิ้มอย่างดีใจ แต่ลุงต้องต่อสองแถวเข้าไปในเขาปิหลายอีกที เอ..หลานชายไปทำอะไรที่นั่น หรือมีญาติ แกถามพลางมวนยาฉุนช้าๆ
บ้านผมอยู่ที่นั่น เขาปิหลาย เราไปจุดหมายเดียวกันพ่อผมเกิดและตายบนผืนดินเล็กๆของเรา ผมจะกลับไปจากมันนานเหลือเกิน เขาพูดเหมือนรำพึงกับตัวเอง แต่ชายก็ตั้งใจฟัง
ลุงไม่ใช่คนเขาปิหลายหรอก บ้านลุงอยู่กระบี่ ลุงมาดำแร่สามปีเข้านี่แล้ว จึงไม่รู้จักหลานชาย.. นั่นคือ บางสิ่งในตัวแก
ดำแร่ ? เขารู้ หมายถึงการขุดแร่ในทะเลด้วยแพเล็กผลัดเปลี่ยนกันดำลงไปในน้ำเพื่อจับสายดูด ดูดดินที่สำรวจพบสายแร่ขึ้นมาบนแพแล้วนำไปแยกเอาแร่ทีหลังด้วยกรรมวิธี เมื่อไม่นานมานี้เขาก็ได้ข่าวเหมือนกันทำกันเพียงแห่งเดียวที่เดียวคือที่หมู่บ้านน้ำเค็มอำเภอตะกั่วป่าเท่านั้น มันกินดินแดนรวดเร็วมากจนเขารู้สึกประหลาดใจ บัดนี้ มันได้มาถึงหมู่บ้านเขาปิหลายของเขาแล้วช่างรวดเร็วนัก
ใช่ มันเป็นอาชีพสำคัญของชาวเขาปิหลาย,นาใต้หรือโคกกลอยไปแล้ว ทำเงินได้หลายตังค์อยู่ มากพอที่จะเรียกคนจากถิ่นอื่นๆให้มาแสวงโชค จากนครศรีธรรมราช ตรัง กระบี่ หรือพวกมาจากภาคอิสาน วันๆทำกันอย่างขี้คร้านนะสองสามร้อยได้อยู่แล้ว คิดดูเถิดอาทิตย์หนึ่งเท่าไหร่หลานชายคงจากไปนานจริงๆ ถึงไม่รู้ว่าคนที่นั่นเขารวยกันขนาดไหน..
ร่ำรวย เขาย้ำคำนั้นอีก ใช่ เขาควรจะดีใจในความสำเร็จของคนในหมู่บ้านของเขา แต่หวั่นเกรงหวาดกลัวบางสิ่งบางอย่างเท่านั้น ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
อย่าว่าลุงโม้เลยหลานชาย ชายชราพูดต่อ เดี๋ยวนี้อะไรๆที่ภูเก็ตหรือแม้แต่ที่กรุงเทพฯมี เขาปิหลายเราก็มีทั้งนั้น บาร์ ห้องอาหาร ทุกอย่างมันเจริญตามกันไปหมดแหละ รับรองคนหนุ่มอย่างหลานชายต้องชอบไม่แพ้กับเที่ยวในกรุงเทพฯเลย.. ชายชราหยุดพูดนิดหนึ่งเมื่อล้วงมือลงไปในกระเป๋าสัมภาระของแก ดึงเอากล่องขนาดกล่องรองเท้าออกมาวางบนตัก
นี่ ลุงเองก็ควักทุนไปหลายเหมือนกัน เหมาซื้อจากสนามหลวงน่ะ เด็ดๆทั้งนั้น พวกหนุ่มๆดำแร่มันชอบ ลุงเอาไปแบ่งขายเป็นชุดๆชุดหนึ่งก็มีสักห้ารูปกำไรเท่าตัวเลย ลุงขึ้นกรุงเทพฯทีหนึ่งก็ไม่เสียหลายหรอก มันเป็นลำไพ่พิเศษที่ไม่เลวเลยจริงๆ แกพูดอย่างภาคภูมิใจ แล้วเก็บภาพเหล่านั้นไว้ตามเดิม แน่นอน ภาพท่าเสพกามที่บางท่าเหมือนสัตว์เสพสมกันมันคงทำกำไรให้แกได้มากทีเดียว ความรู้สึกบางอย่างเริ่มหวดกระหน่ำวิทยาแล้วและหนักขึ้นทุกที
รถจอดที่โคกกลอย คนที่จะเดินทางไปหาดใหญ่หรือลงใต้ไปไกลกว่านี้จะต้องลงเพื่อต่อรถที่นี่
ลงกันที่นี่เถอะหลานชาย เดี๋ยวเราต่อรถสองแถวเข้าไปเขาปิหลายอีกที ต้นทางอย่างนี้รถมันไม่แน่นจะได้นั่งสบายๆ ชายชราบอก เขาก้าวตามหลังลงไป
หลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว บ้านเรือนที่เคยมีรูปทรงเป็นแบบฉบับดั้งเดิมหายไป ตึกสูงรูปทรงที่เขาเบื่อตาผุดขึ้นมาแทน นั่นบาร์ ไนต์คลับ ห้องอาหาร นั่นซ่องสำหรับเสพกาม แต่โน่นวัด ดูเหมือนจะเป็นเพียงสถานที่เดียวที่ยังชนะความเปลี่ยนแปลงยังมีเพียงแห่งเดียวเท่าเดิม
เสียงเพลงชักกระตุกดังสนั่นจากตู้ เด็กหนุ่มสาวแต่งตัวเหมือนถอดแบบมาจากหนังสือแฟชั่นรายสัปดาห์ นั่นจับกลุ่มคุยกัน แต่ละร้านมีลูกค้าเต็มไปมหด ขวดเหล้าเบียร์กลาดเกลื่อนเต็มอยู่บนโต๊ะ สาวสวยในจำนวนหลายคนยืนสูบบุหรี่ส่งตาหวานมายังเขา เหมือนเชื้อเชิญให้ชมสินค้าของหล่อนที่มุมร้านด้านหนึ่ง
นี่หรือ บ้านเกิดที่เคยสงบเสงี่ยมเหงาหงอยเมื่อหลายปีก่อน เขารู้สึกขมขื่นต่อสิ่งที่เรียกว่าความเจริญที่เขาอุตส่าห์หนีมาจากเมืองใหญ่ เขากลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับที่นี่ไปเสียแล้ว
รถสองแถวมาพอดี ไปกันเถอะ เย็นนี้ลุงขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงเหล้าหลานชายสักมื้อ รับรองบรรยากาศที่เขาปิหลายไม่แพ้ที่นี่หรอกแล้วทำทีกระซิบกระซาบเด็ดกว่านี้อีกหลายเท่า ลุงรับรอง
"ไม่ละครับ ผมเปลี่ยนใจจะไม่ไปที่นั่นแล้ว
อ้าว..!!! ชายชราอุทานอย่างแปลกใจ ไม่กลับบ้าน หรือหลานชาย
บ้าน..? เขารำพึง รู้สึกผมจะหลงทางหลงบ้านเสียแล้วหมู่บ้านชายทะเลของผมไม่มีอะไรๆอย่างนี้หรอก มันเงียบสงบ ชาวบ้านยากจนแต่ช่วยเหลือกัน ผมจะไปสอนหนังสือที่นั่น ผมไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน..ที่ไหน.. เขาพูดเหมือนคนละเมอ แหบโหยอย่างคนได้รับความเจ็บปวด พอดีกับที่แท็กซี่คันหนึ่งโฉบเข้ามา วิทยาเปิดประตูเข้าไปในรถทันที
ไปไปที่ไหนก็ได้..
ภูเก็ตนะครับโชเฟอร์เสนอ
ไปเถอะ นำผมไปจากที่นี่
โชคดี ลาก่อนพ่อลุง วิทยากล่าวเป็นคำสุดท้ายแก่ชายชราที่ยังไม่เข้าใจ งุนงงจนรถแล่นลับหายไปจากสายตา
ชายชราไม่รู้ไม่เข้าใจหรอก ถึงความผิดหวังบางอย่างของเขา เพราะที่นั่นไม่ใช่บ้านเกิดของแกแกเป็นเพียงคนต่างถิ่นที่เข้าไปแสวงโชคเท่านั้น แกไม่สามารถรู้ถึงความเจ็บปวดขมขื่นของเจ้าของถิ่นคนหนึ่งได้หรอก บางทีอือมม..บางที อาจจะมีเขาเพียงคนเดียวก็ได้ที่รู้สึกเช่นนี้
ภายในรถแท็กซี่ร้อน อบอ้าว จนเหงื่อไหลชื้น แต่วิทยากลับรู้สึกหนาวเหน็บ อ้างว้าง เหมือนความรู้สึกของคนแปลกหน้าพลัดถิ่นคนหนึ่ง ต่างแต่เขาพลัดหลงในถิ่นเกิดของตัวเองเท่านั้น
กลับบ้าน เขาจะบอกอย่างนี้กับใครๆ ไม่ได้อีกแล้ว