26 มกราคม 2549 05:36 น.

ชายเทียมในโลกแท้ ( GayGuy in Straight World ) ตอนที่ 6 เดินเข้าสู่ความจริง

ชายชัช

ตอนที่ 6 เดินเข้าสู่ความจริง

		
หลังจากที่ผมหมดสิ้นภารกิจของการฝึกงานแล้วผมได้กลับมาเตรียมตัวเพื่อลงทะเบียนเรียนในชั้นปีที่ 4 ภายใต้การกลับมาครั้งนี้ของผม นอกเหนือที่จะต้องตั้งใจเรียนเพื่อฉุดเกรดเฉลี่ยให้ดีขึ้นกว่าเดิมแล้ว ผมมีเรื่องตั้งใจอีกเรื่องหนึ่งคือ...เรื่องของนุ่น


หลายต่อหลายครั้งที่ผมคิดว่าจะพูดกับนุ่นอย่างไรดีเพื่อให้นุ่นรู้สึกเจ็บน้อยที่สุดสำหรับการบอกเลิกรา และทุกครั้งที่คิดเรื่องนี้ ผมต้องถอนหายใจออกมาด้วยความอึดอัดว่าเรื่องทั้งหมดผมไม่น่าก่อให้มันเกิดขึ้นเลย การเปิดเทอมชั้นปีที่ 4 ของภาคการศึกษาอาทิตย์แรก ผมยังไม่ไปหานุ่นที่หอพักนักศึกษาแพทย์อย่างที่ผมเคยทำครั้งก่อนๆ ผมโทรศัพท์ไปที่หอพัก นัดเจอนุ่นที่อ่างเกษตรตอนหกโมงเย็น อ่างเกษตรเป็นอ่างเก็บน้ำหลังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่โดยบอกนุ่นว่ามีเรื่องจะบอก  เมื่อถึงเวลานัด วิวทิวทัศน์ที่อ่างเกษตรช่วงเวลาพระอาทิตย์ตกดินอาจทำให้ความรู้สึกเสียใจของนุ่นบรรเทาลงได้ ผมคิดแค่ตื้นๆในตอนนั้น
นุ่นยิ้มและทักทายเมื่อมาเจอหน้าผมที่อ่างเกษตร

ไม่ได้เจอกันเลยนะ ตั้งแต่เปิดเทอมมา

อื้อ     ผมตอบรับหน้ายิ้มๆ

มีเรื่องอะไรจะบอกเราเหรอ   นุ่นถาม

ผมมองตานุ่นสีหน้าจริงจังและบอกออกไปว่า

นุ่น ระยะเวลาที่เราคบกันมา พลมาลองคิดดู......เกี่ยวกับแล้วเรื่องต่างๆ พลคิดว่าเราสองคนคงเป็นได้แค่เพื่อนมากกว่านี้คงไม่ได้

นุ่นนิ่งเงียบหน้าถอดสี มองหน้าผมอย่างงงๆเหมือนต้องการหาคำตอบ

เป็นได้แค่เพื่อนเหรอ ?! ?  ตลอดเวลาที่ผ่านมาเป็นได้แค่เพื่อนเหรอ ?   นุ่นถามย้ำเสียงนุ่นสั่นเหมือนกับกำลังจะเริ่มร้องไห้

ผมรู้ว่านุ่นไม่ได้เตรียมใจมารับกับสถานการณ์แบบนี้ น้ำตาของนุ่นเริ่มคลอที่เบ้าตา นี่แหละเป็นเรื่องจริงที่ไม่ว่าใคร เพศไหนอายุเท่าไหร่ ต้องเจอกับความจริงที่ว่า คนถูกบอกเลิก มักจะเจ็บกว่าคนบอกเลิกเสมอ  ผมเข้าใจความรู้สึกของนุ่นดี เพราะผมเคยถูกทิ้งมาแล้วจากพี่ชัยยุทธเมื่อปีก่อน

พลขอโทษ

 เมื่อพูดคำว่าขอโทษเสร็จผมหลบสายตานุ่นเพราะผมก็สะเทือนใจไม่แพ้นุ่น เริ่มมีก้อนอะไรไม่รู้มาจุกอยู่ที่คอหอยของผม    ผมเริ่มที่จะสกัดไม่ให้ตัวเองร้องไห้ต่อหน้านุ่น พยายามควบคุมอารมณ์และควบคุมสถานการณ์  เวลาพลบค่ำของอ่างเกษตรตอนนั้นมันช่างเงียบทั้งๆที่ผมเลือกสถานที่นี้เป็นที่บอกเลิกเพราะคิดว่าผู้คนจะพลุกพล่านเพื่อเราจะไม่ต้องเสียงดังหากเกิดการไม่เข้าใจกันเกิดขึ้น แต่ดูเหมือนผมจะคิดผิด ในวันนี้อ่างเกษตรช่างดูไร้ผู้คน และผู้คนที่เดินรอบข้างเมื่อเห็นเราสองคน ต่างก็เดินห่างๆ ออกไปเพื่อให้เรามีความเป็นส่วนตัว ความเงียบเริ่มเข้ามาปกคลุม นุ่นไม่พูดอะไร นุ่นพยายามหายใจยาวๆ เพื่อควบคุมไม่ให้เกิดการสะอื้นที่เกิดจากการร้องไห้ ก่อนที่ความเงียบจะครอบงำมากกว่านี้ นุ่นเป็นคนทำลายความเงียบโดยถามคำถามที่ผมไม่อยากเจอกับคำถามนี้เลย

เพราะอะไรเหรอพล ?   ทำไมเราถึงเป็นได้แค่เพื่อน ?  
       
นุ่นน้ำตาไหลมองหน้าผมกับคำถามนั้น   ยิ่งนุ่นน้ำตาไหลยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิดยิ่งขึ้นคอผมตีบตัน แต่ผมก็พยายามเค้นเสียงออกมาเพื่อให้คำตอบ

เพราะ....เพราะเราจะเป็นเพื่อนได้ดีกว่าการที่เราจะเป็นแฟนกัน 
 
เป็นคำตอบที่คลุมเครือและเป็นคำตอบที่โง่ที่สุดในชีวิตของผม ผมไม่กล้าที่จะบอกว่าผมเป็นเกย์กับนุ่น ทั้งๆที่ผมสารภาพความจริงและเปิดเผยว่าตัวเองเป็นเกย์กับเพื่อนสนิททั้งหกคนก่อนวันเปิดเทอมอย่างไม่มีกังวล แต่กับนุ่นมันมีอะไรที่ลึกซึ้งกว่า  และผมคิดว่านุ่นไม่พร้อมสำหรับการรับความจริงในวันนี้ เวลานี้

แล้วที่ผ่านมามันไม่มีความหมายอะไรสำหรับพลเลยเหรอ  

ผมรู้ว่าคำถามนี้ นุ่นไม่ได้หมายถึงเวลาที่ผ่านมาทั้งหมด แต่นุ่นหมายถึงเรื่องราวในคืนนั้น คืนที่หอพักตอนที่ผมฝึกงานอยู่ที่กรุงเทพฯ คืนที่เราเป็นของกันและกัน

ทุกอย่างมีความหมายสำหรับพลเสมอ แต่พลรู้ว่าเราไม่เหมาะที่จะเป็นแฟนกัน แต่เราจะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดต่อกัน พลหวังว่านุ่นจะเข้าใจพล

แต่....แต่นุ่นไม่เข้าใจ 
  
นุ่นยกมือขึ้นปิดปากพยายามไม่ให้มีเสียงร้องไห้ดังออกมา ตัวของนุ่นสั่นเทาสะอื้นไห้ ใช่ว่านุ่นคนเดียวที่เสียใจ ตาของผมเริ่มพร่ามัวเพราะทั้งสองข้างเต็มไปด้วยน้ำตาที่คลอเบ้าตาของผม  ผมเอื้อมมือไปจับมือนุ่นอีกข้างมากุมไว้ ผมก้มหน้า   มองไปที่มือของนุ่นบนมือของผม หยดน้ำตาของผมร่วงลงสู่มือของนุ่น ปฏิกิริยาของนุ่นเปลี่ยนทันที่ที่มือของนุ่นสัมผัสกับหยดน้ำตาผม นุ่นเริ่มสงบอาการสะอื้น ผมเงยหน้ามองนุ่นมองทั้งน้ำตาว่า

ถึงยังไงพลก็ยังรักนุ่นอยู่ เพียงแต่ว่าความรักครั้งนี้ มันจะเป็นความรักของเพื่อนที่มีให้ต่อเพื่อน  ทั้งหมดมันเป็นความผิดของพลเองที่สานเรื่องขึ้นมา เมื่อพลรู้ว่าเราสองคนคงไปไกลเกินกว่าเพื่อนไม่ได้ พลถึงมาบอกเรื่องนี้กับนุ่น  นุ่น..... พลเองก็ไม่ได้เจ็บน้อยไปกว่านุ่นเลย ขอให้นุ่นรู้ไว้นะ นุ่นจะเป็นผู้หญิงคนสุดท้ายของพล  นุ่นเข้าใจพลนะ?
 
ผมพยายามพูดให้ใกล้ความจริงให้มากที่สุดเพื่อนุ่นจะได้รู้ถึงความหมายแฝงที่ผมจะสื่อ

เรื่องของเรามันมีมานาน มันก็ต้องใช้เวลาที่นุ่นจะพร้อมรับและทำใจ นุ่นตอบ

มันไม่ใช่เรื่องง่ายนะพล ที่จะทำให้เราลืมเรื่องทั้งหมดแล้วแกล้งทำเป็นเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของนุ่น  นุ่นเอามือเช็ดน้ำตาของตัวเอง การพูดของนุ่นเป็นปกติน้ำเสียงของนุ่นเข็มแข็งอีกครั้ง

นุ่นไม่รู้ว่า...จะ...จะทำใจได้แค่ไหน นุ่นต้องขอเวลาอยู่กับคนเดียวสักพัก และไม่ต้องมาหานุ่นนะ ถ้านุ่นพร้อมนุ่นจะมาหาพลเอง

นุ่นยังคงเป็นผู้หญิงที่เด็ดเดี่ยวและมีจุดยืนเหมือนวันแรกๆที่ผมรู้จัก นุ่นดึงมือของนุ่นออกจากมือของผม แล้วนุ่นก็หันหลังให้ผมเดินไปจากชีวิตผม   

ผมพยายามติดตามข่าวคราวนุ่นอยู่เสมอ แต่ผมก็ได้ข่าวจากเพื่อนคนอื่นๆของนุ่นว่านุ่นสบายดีไปเรียนตามปกติ ผมไม่กล้าสู้หน้านุ่นอีกต่อไป ผมทำได้แต่เพียงการไปที่หอพักคณะแพทย์แล้วฝากโน้ตเล็กๆที่ใต้หอพักแสดงความห่วงใจ แล้วลงชื่อใต้โน้ตทุกครั้งว่า จาก เพื่อน 

ความถี่ของการฝากโน้ตแสดงความห่วงใยของผมเริ่มห่างเพราะไร้วี่แววที่นุ่นจะติดต่อกลับหรือแสดงให้เห็นว่านุ่นพร้อมที่จะคุยกับผม  ผมไม่ได้รู้สึกโกรธเลย ที่ไม่ได้รับการตอบกลับ ผมไม่โทษนุ่นด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าผมรู้สึกเสียใจที่จะเสียมิตรภาพแห่งความเป็นเพื่อนระหว่างเราไปตลอดกาล  การห่างเหินของเรากินเวลายาวนานจนผมสำเร็จการศึกษา ผมไม่ได้รับการติดต่อจากนุ่นอีกเลย   ผมได้งานทำที่นิคมอุตสาหกรรมลำพูน  การงานและวันเวลาที่ล่วงเลยมาถึงสองปีทำให้นุ่น หายไปจากความคำนึงของผมไป....


ปีต่อมาเมื่อถึงกำหนดวันรับพระราชทานปริญญาบัตร เป็นวันแห่งความยินดี ครอบครัวผมมาแสดงความยินดีในวันสำเร็จการศึกษา ขณะที่ผมกำลังเดินถ่ายรูปกับพ่อแม่และพี่น้องที่บริเวณเสาธงใหญ่ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

พล ยินดีด้วยนะ    นุ่นปรากฏตัวพร้อมช่อดอกไม้ช่อใหญ่ยื่นมาให้ผม

นุ่น !    ผมอุทานพร้อมดีใจที่สุดที่ได้เจอนุ่นขณะเดียวกันผมก็เริ่มทำตัวไม่ถูก
  
ไม่แนะนำสาวคนสวยให้พ่อกับแม่รู้จักเหรอ  
 
ขอบคุณพ่อของผมที่เอ่ยปากช่วยชีวิตผมไว้ก่อนที่ผมจะทำอะไรไม่ถูก ผมแนะนำนุ่นให้รู้จักพ่อและแม่และพี่น้องญาติๆของผมบางส่วน จากนั้นผมกระซิบบอกพ่อว่า ให้ถ่ายรูปกันไปก่อน ผมอยากคุยกับนุ่นเพราะไม่ได้เจอกันนาน  ทุกคนหลีกทางให้ผมกับนุ่นเดินออกมาจากฝูงชน เราเดินมาที่แถวๆศาลาอ่างแก้วที่คนไม่ค่อยพลุกพล่าน

เป็นไงมาไงนี่ แล้วมาหาพลเจอได้ยังไง ?

ผมรู้สึกเหลือเชื่อที่เราได้เจอกันอีกครั้ง เพราะปีที่ผมรับพระราชทานปริญญาบัตรนั้น ได้จัดขึ้นที่หอประชุมใหญ่แห่งใหม่ ที่บริเวณถนนนิมมานเหมินทร์ แทนการรับปริญญาบัตรที่ถูกจัดขึ้นที่ศาลาอ่างแก้วเหมือนรุ่นก่อนๆทำให้บริเวณของการถ่ายรูปกว้างขึ้น ทั้งที่หอประชุมใหม่และที่หน้ามหาวิทยาลัยและที่สำคัญคนเป็นหมื่นๆมากมาย เพื่อนหลายคนที่จะมาแสดงความยินดีกับผมยังหาผมไม่เจอด้วยซ้ำทั้งๆ ที่เรามีโทรศัพท์มือถือติดต่อกัน แต่กับนุ่น นุ่นไม่มีเบอร์มือถือผม ไม่ได้ติดต่อกัน.....แต่นุ่นหาผมเจอ

นุ่นก็คิดว่าถ้านุ่นยังคงจะรักษาเพื่อนคงหนึ่งไว้ได้ โชคจะต้องเข้าข้างนุ่น

ตำตอบนั้นทำให้ผมยิ้ม 

นุ่นบอกแล้วไง ถ้านุ่นพร้อมนุ่นจะมาหาพลเอง

นุ่นสบายดีนะ? ขอบคุณมากสำหรับดอกไม้ ถึงพลจะฝากไว้ที่น้องสาวก่อนก็เถอะ 

ผมพูดอย่างอายๆที่ผมไม่ได้ถือช่อดอกไม้ของนุ่นที่ให้มาตอนนี้

สบายดี แล้วพลล่ะ? งานหนักไหม มีแฟนแล้วหรือยัง

พอได้ยินคำถามนี้ ผมก็มองหน้านุ่น....สุดหายใจลึกแล้วบอกออกไปว่า

ก็กำลังดูๆกันอยู่ ไม่รู้จะจริงจังหรือเปล่า....คือ ....ความจริงก็คือเรากำลังคบผู้ชายอยู่น่ะ

ผมยิ้มเหมือนคนโดนต้อนจนมุม บทที่ผมตัดสินใจบอกความจริงก็ง่ายๆ สั้นๆ นุ่นเมื่อได้รับคำตอบจากผม นุ่นยิ้มให้ผม สีหน้าของนุ่นยิ้ม...แต่ค่อยๆมีแววตามีคลอด้วยน้ำตาปากนุ่นสั่นเหมือนพยายามจะกลั้นการร้องไห้
 
แปลกนะ...นุ่นคิดว่านุ่นพร้อมสำหรับเรื่องนี้ นุ่นดีใจนะที่พลบอกนุ่นอย่างตรงๆ นุ่นก็คิดอยู่เหมือนกันว่าเรื่องจริงมันจะต้องเป็นแบบนี้....    น้ำตานุ่นไหลอาบสองแก้ม

นุ่นขอโทษ...นุ่นอยากจะมองหน้าพลโดยที่ไม่ร้องไห้แต่นุ่นก็ทำไม่ได้จริงๆ นุ่นขอโทษ

ถ้าย้อนเวลากลับได้...พลจะไม่ทำเรื่องนั้นให้นุ่นเสียใจอย่างนี้...พลขอโทษที่หลอกนุ่น
  
นุ่นไม่ได้เสียใจกับเรื่องนั้น นุ่นรู้สึกเจ็บ...เจ็บที่การที่เรารักใครสักคนแต่เราไม่สามารถที่จะเป็นของเค้าได้ทั้งตัวและหัวใจ  นุ่นไม่เคยรู้สึกว่าโดนหลอก...เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันเกิดจากความรักที่นุ่นเต็มใจให้มันเกิด ระยะเวลาที่ผ่านมานุ่นคิดเอาเองว่ามันไม่ใช่ความผิดของใคร และนุ่นก็ไม่เคยเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนั้นมันเกิดขึ้นเพราะความรัก

ผมน้ำตาคลอเมื่อได้ยินสิ่งที่นุ่นบอกกับผม

ขอบคุณที่เข้าใจ... พลก็อยากจะรักนุ่นอย่างที่นุ่นต้องการแต่ถ้าพลยังฝืนความจริงที่พลเป็น... พลจะยิ่งทำให้นุ่นเสียโอกาสที่นุ่นจะพบกับคนที่สามารถรักนุ่นอย่างที่นุ่นต้องการได้...พลจะยิ่งเห็นแก่ตัวถ้ายังต้องการให้นุ่นเป็นผู้หญิงที่จมปลักอยู่กับคนที่หลอกได้แม้กระทั่งตัวเอง...จริงๆคือเรารักกันได้ไม่เกินเพื่อน และเพื่อนต้องทำให้เพื่อนได้เจอกับสิ่งที่ดีกว่าเสมอ

ผมมองหน้านุ่นอย่างจริงจัง....น่าแปลกที่เราทั้งสองคนต่างสงบลงได้  อาจเป็นเพราะวันเวลาที่ผ่านไปทำให้เราสำรวจความเป็นตัวตนของแต่ละฝ่าย เราหยุดที่จะฟังเหตุผลของกันและกันอย่างใจเย็น สายน้ำตาเหือดแห้งจากแก้มของนุ่น

มันไม่ดีหรอกถ้าบังเอิญเราแต่งงานกันโดยที่พลรู้ทั้งรู้ว่าไม่ควรแต่งแล้วถ้าวันหนึ่งนุ่นเปิดประตูเข้ามาแล้วเจอพลนอนแก้ผ้ากับผู้ชายอื่น    

ผมพูดแล้วหัวเราะในลำคอ
นุ่นยิ้มหัวเราะไปกับผม  แล้วถามผมว่า

จะเป็นไรอะไรมั้ย ถ้าเพื่อนอยากจะกอดเพื่อนเพื่อแสดงความยินดีในวันรับปริญญา  เพื่อนอยากกอดเพื่อนเพราะว่าเพื่อนอยากจะได้เพื่อนคนเดิมกลับมา เพื่อนคนนี้คิดถึงเพื่อนมาก ตั้งสามปีที่เพื่อนไม่ได้คุยกับเพื่อน เพื่อนอยากจะขอโทษด้วยที่หายไปไม่ติดต่อ

ผมยิ้มกับคำถามนั้น และรู้สึกถึงอารมณ์ บริสุทธิ์ที่นุ่นให้ผมมา ผมตอบด้วยใจตื้นตัน

เพื่อนคนนี้ยินดีมากและรู้สึกเป็นเกียรติ

นุ่นเดินเข้ามาสวมกอดผม และผมก็สวมกอดนุ่น การที่นุ่นกลับมาครั้งนี้ เป็นของขวัญวันรับปริญญาที่ล้ำค้าที่สุดในวันนั้น...................

พล !  พล !  ฟังอยู่หรือเปล่า !  เสียงนุ่นพูดดังขึ้นมาทางโทรศัพท์ทำให้ผมได้สติจากอาการใจลอยที่คิดถึงเรื่องเก่าๆ

 ฟังอยู่ ว่าไงล่ะ

นึกว่าสายหลุด ถึงปีนี้นุ่นไปเชียงใหม่ไม่ได้ หวังว่าลุงพลคงมารับขวัญหลานที่กรุงเทพฯ ได้นะ

แน่นอนอยู่แล้ว   พลไม่พลาดหรอก

ใกล้เที่ยงแล้วแค่นี้ก่อนนะ บ้ายบาย 

แล้วนุ่นก็วางสายโทรศัพท์ไป
เรื่องของนุ่นทำให้ผมย้ำความคิดว่าผมจะต้องทำเรื่องที่ถูกสำหรับเล็กและนายตำรวจคนนั้น



วันศุกร์
เวลา 2000 น.


		ผมนั่งคอยน้องเล็กกับน้องกวางและหนุ่มปริศนาที่จะพามารู้จักอย่ากระวนกระวาย ที่กระวนกระวายไม่ใช่เพราะอะไรหรอก เพราะเลยเวลาทานข้าวเย็นของผม รู้สึกว่าคณะของน้องเล็กกำลังล้าช้ากว่าปกติ ผมกำลังจะโทรศัพท์เช็คว่าถึงไหนแล้ว ปรากฏว่าน้องเล็กโทรศัพท์เข้ามาที่มือถือผมพอดี

ถึงไหนแล้ว พี่รอหิวจะแย่แล้วนี่    ผมกรอกเสียงลงไปที่โทรศัพท์

ลงมาได้แล้ว พวกหนูรออยู่ใต้คอนโดพี่แล้ว    น้องเล็กตอบกลับมา

ผมรีบลงลิฟท์ไปที่ใต้คอนโด เมื่อถึงลานจอดรถเสียงแตร์ของรถคันหนึ่งเสียงดังเป็นสัญญาณอย่างไม่เกรงใจใคร ผมมองไปตามเสียงแตรนั้น ได้พบกับรถคันสีเขียวภายในรถมีคนขับเป็นน้องเล็กคนนั่งข้างๆเป็นผู้ชายหน้าตาดี และน้องกวางอยู่เบาะหลังยิ้มต้อนรับผม เมื่อทั้งสองเห็นผมน้องเล็กกับน้องกวางรีบลงจากรถ วิ่งเข้ามาสวมกอดผมอย่างดีใจเพราะเป็นเวลาเกือบ 4 ปี ที่เราไม่ได้เจอหน้ากันเลย

คิดถึงพี่พลที่สุด ทั้งสองรีบบอกผม

ตอแหลเหมือนเดิมน้องเรา ผมแกล้งพูดประชดแต่ผมก็อดยินดีไม่ได้ที่ได้เจอหน้ากับน้องทั้งสองอีก

ป๊ะ ไปกินข้าวกันพี่หิวจะแย่อยู่แล้ว ค่อยไปว่ากันในรถ ผมเอ่ยปากชวน 

เมื่อเราเดินมาที่รถ น้องเล็กก็ตะโกนเข้าไปในรถว่า

นี่!  ผู้ชายคนที่อยู่ในรถนะ ย้ายตัวเองไปนั่งข้างหลังได้แล้ว หนูมีผู้ชายคนใหม่มานั่งหน้ารถแล้ว  กรุณารู้หน้าที่ด้วย  น้องเล็กพูดด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง

เฮ้ย ! ไม่เป็นไร พี่นั่งข้างหลังกับกวางก็ได้ ผมรีบบอกเล็กเพราะไม่ต้องการให้ผู้ชายคนที่อยู่ในรถต้องเปลี่ยนที่นั่งเพราะผม

ไม่ได้ค่ะ วันนี้พี่พลต้องนั่งหน้ากับหนู ถึงแม้ว่าพี่พลจะชอบข้างหลังมากกว่าข้างหน้าก็เถอะ  เล็กแซว และหันไปพูดกับคนในรถต่อ

เอ๊ะ ! ไม่รู้ตัวอีกว่าหมดประโยชน์แล้ว ลงมาแล้วไปนั่งข้างหลังเลย เดี๋ยวนี้นะคะ...ไม่งั้นไม่ต้องกินข้าวเย็น

ชายคนนั้นเดินลงมาจากรถ และนี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นหน้าผู้ชายของน้องเล็กชัดๆ ใกล้ๆเป็นครั้งแรก ไม่ผิดเลยที่เล็กจะให้คำชมในอีเมล์ว่าผู้ชายคนนี้เป็นหนุ่มรูปหล่อ เมื่อเค้ายืนตรง ผมกะว่าเค้าสูงกว่าผม เขาน่าจะสูงสัก 180 เซนติเมตร เป็นตำรวจที่ดูจะผิดจากตำรวจที่ผมเคยเห็น เป็นตำรวจที่มีผิวเปล่งปลั่งสุขภาพดีแก้มและปากแดงยิ่งนัก และที่สำคัญเป็นชายหนุ่มที่มีรูปร่างดีมาก มีกล้ามแข็งแรงสมส่วน ที่เป็นลักษณะกล้ามเนื้อถาวรผ่านการออกกำลังกายมาหลายปีไม่ใช่กล้ามเนื้อที่เป็นแบบกล้ามปูฟิตเนส ชายหนุ่มคนนั้นแต่งตัวแบบที่ผมเริ่มจะวิตกแม้ผมยังไม่ได้ใช้คลื่นเกย์ด้าสแกนหาความจริงก็เถอะ เพราะว่า เสื้อที่เค้าสวมเป็นเสื้อคอวี สลิมฟิตทำให้มองเห็นรูปร่างได้อย่างไม่ต้องกะ กางเกงไซส์พอดีตัวเหมือนจงใจจะเน้นรูปร่างให้คนอื่นเห็นแบบไม่ต้องสงสัยว่าเรือรบได้วางเสาเรือไว้ด้านซ้ายหรือด้านขวาก่อนการชักใบขึ้นรบ...อืม....


พี่พลคะ นี่พี่ช้าง  พี่ช้างคะ นี่พี่พล ตัวจริงเสียงจริงค่ะ เล็กแนะนำเราให้รู้จักกัน ผมยกมือขึ้นไหว้เพราะคะเน เขาน่าจะอายุเยอะกว่าผมสัก 3-5 ปี

หวัดดีครับ พี่ช้าง เห็นเล็กว่าพี่เป็นตำรวจ ไหว้อย่างเดียวนะครับ ผมตะเบะไม่เป็นนะครับ

 ไม่ต้องถึงขนาดนั้นครับ เล็กพูดถึงพี่พลบ่อยมาก เจอตัวจริงซะที เค้าตอบผมพร้อมหัวเราะในมุขที่ผมล้อเล่น

ไปกันเถอะค่ะ กวางหิวแล้ว  น้องกวางตัดบท

พี่ช้างทำท่าจะเดินไปนั่งเบาะหลัง ผมต้องรีบบอก

ไม่ต้องครับพี่ ผมว่าเล็กล้อเล่นมากกว่า เดี๋ยวผมจะนั่งหลังกับกวางเอง

ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวพี่ไปนั่งเบาะหลังเอง ไม่ได้เจอกันตั้งนานคงมีเรื่องคุยอะไรเยอะแยะ อีกอย่างพี่คิดว่า เล็กคงไม่ล้อเล่นมั้ง

 อย่างนี้สิถึงรู้ใจ ถูกต้องค่ะ หนูไม่ได้ล้อเล่น  น้องเล็กตอบมา  ทำให้พี่ช้างเดินไปนั่งหลังอย่างสงบๆ

เมื่อทุกคนอยู่บนรถ ผมบอกทางให้น้องเล็กขับไปที่ร้านอาหารพื้นเมืองที่ผมไม่เคยผิดหวังในรสชาติของอาหารแถวฟ้าฮ่าม ซึ่งไม่ไกลจากตัวเมืองนักชื่อร้าน  บ้านไร่ยามเย็น ด้วยความที่ไม่ได้อยู่เชียงใหม่นานทำให้เล็กหลงๆกับเส้นทางและการเปลี่ยนแปลงของเมืองเชียงใหม่พอสมควรกว่าจะถึงที่ร้านก็สองทุ่มครึ่ง เนื่องจากวันนี้เป็นวันศุกร์ทำให้คนเยอะแต่ผมได้โทรมาจองที่นั่งไว้ก่อนแล้วเพราะรู้จักกับเจ้าของร้านจึงทำให้เรามีที่นั่งพร้อมเมื่อไปถึง ด้วยความหิวผม น้องเล็กและกวางก็ตั้งหน้าตั้งตาสั่งอาหารที่คิดถึงนึกอยากจะกินกัน

เอา แกงฮังเล แกงโฮะ คั่วแคไก่  น้องเล็กสั่ง

ยำจิ้นไก่ แกงหน่อไม้ แกงผักปั๋งน้องกวางรีบเสริม  พนักงานเสิร์ฟจดรายการแทบไม่ทัน

แล้วพี่ช้างกินได้เหรอ ผมถามทั้งสองสาว  น้องเล็กชิงตอบว่า

จะอะไรนักหนา คนเป็นล้านเค้ากินกันก็ลำแต้ๆ มาเชียงใหม่ไม่กินอาหารเมืองก็ใช่ที่ ใช่ไหมพี่ช้าง เล็กหันไปทางพี่ช้างเหมือนขู่

ผมกินได้หมดครับไปราชการหลายที่ต้องหัดกินทุกอย่างไม่มีปัญหา

เลี้ยงง่ายเน้อ  กวางพูดหันมาทางผม 

เราสามคนมองหน้ากันแล้วอมยิ้มเพราะประโยคที่ว่า เลี้ยงง่าย ก็ความหมายไม่ต่างอะไรไปกว่า เชื่องจัง  เป็นการเม้าท์เผาขนทางสายตาของเราสามคนและเป็นพฤติกรรมไม่น่าเอาเป็นเยี่ยงอย่างยิ่งนัก

แล้วพี่พลล่ะจะสั่งอะไร   กวางหันมาถามผม

พี่เอา.....อาหารกลางๆ ก็แล้วกันเอา.....ปลาหลิมนึ่งหมากนาวครับ

พี่ช้างตาโตทำหน้าประหลาด ถามขึ้นว่า

มันคืออะไรเหรอครับ ปลาหลิมเนี้ย

เราสามคนก็ขำอาการของพี่ช้างอดนึกถึงตอนมาเรียนที่เชียงใหม่แรกๆไม่ได้เช่นกัน กับคำว่า ปลาหลิม     ปลาหลิมก็คือปลาช่อนนั้นเอง อาจจะเป็นคำที่แปลกใหม่สำหรับคนภาคกลางและคนต่างถิ่นอยู่สักหน่อย แต่ถ้าคุณได้ยินคนภาคเหนือเค้าเอาปลาหลิมมาทำอาหารอย่าตกใจ น้ำเสียงอาจจะดูปลาน่ากลัว แต่แท้ที่จริงมันก็คือปลาช่อนนั่นเอง

ปลาหลิมก็คือปลาช่อนครับ ผมบอก

อ้อ พี่ช้างดูท่าทางเบาใจและดูหน้ายินดีที่อย่างน้อยก็คงมีอาหารที่ถูกปากจำพวกปลาสำหรับคนที่มาจากจังหวัดสิงห์บุรีอย่างเค้าที่ยังไม่คุ้นกับอาหารเมืองเหนือ

เมื่อพนักงานเสิร์ฟจดรายการอาหารแล้วเดินไปจากโต๊ะเรา  ผมจึงเอ่ยขึ้นว่า

ถ้าพี่ช้างจะไปห้องน้ำก็เชิญนะครับ   ผมชี้ทางไปห้องน้ำ

ขอบคุณครับ พี่ช้างตอบแล้วนั่งเฉย

พี่ช้างไม่ปวดห้องน้ำเลยเหรอคะ  น้องกวางถามย้ำ

ไม่ครับ  พี่ช้างตอบ

........................     

เงียบเราสามคนมองหน้ากันน้องเล็กต้องบอกกับพี่ช้างว่า

พี่ไปห้องน้ำหน่อยเถอะค่ะ เราจะได้คุยลับหลังพี่ได้บ้าง นะค้า   เสียงน้องเล็กออดอ้อนมาก

อ้าว ? แล้วก็ไม่บอกพี่ตั้งแต่แรก 

พี่ช้างทำเขินๆ แล้วเดินไปห้องน้ำแต่โดยดี
เมื่อพี่ช้างลุกออกไประยะหนึ่ง สองสาวก็กระดี๊กระด๊ายิ้มหน้าตาอยากจะเม้าท์จนออกนอกหน้า

ว่าไงคะ พี่พล น้องเล็กเอ่ยปากถาม

โอ้ว...พระเจ้า  ซู้ด พูดเสร็จผมทำตาโตพร้อมกับทำเสียงซูดน้ำลายที่มุมปากแล้วอ้าปากค้าง

ไปหามาจากไหนนี่ ในโลกนี้ยังมีคนหล่อขนาดนี้เหรอ   ผมเอ่ยชม

	ศาสนาไม่ทำให้คุณผิดหวัง ตักบาตรเข้าไว้ค่ะ หมั่นตักบาตรเข้าไว้    น้องเล็กตอบ

พี่พลรู้ไหม พอมาเจอพี่ช้างกับนังเล็กมันนี่นะ ทำให้กวางต้องตื่นขึ้นมาหัดตักบาตรบ้าง แต่ทำไมแถวบ้านกวางพระไม่ค่อยแจ่มอย่างนี้นะ  กวางพูด

อ้าว ! เดี๋ยวนรกก็เปิดประตูรับหรอก ทำบุญหวังผลนะ แถมนี่ไม่หวังผลอย่างเดียว หวังผัวด้วย   ผมพูด

เป็นไงค่ะ พี่พลคิดว่าพี่ช้างเป็นไงบ้าง  น้องเล็กถาม

ก็ดูดีนี่ ผมตอบ

ไม่ใช่อย่างนั้น หนูหมายถึงเค้าเป็นไง แบบว่า เออ...จู๋หรือจิ๋ม 

นี่มันลงทุนมากนะพี่พล อุตสาห์เอามาให้พี่พลดูตัวที่นี่   น้องกวางอธิบายถึงความตั้งใจของน้องเล็ก

อุวะ แค่เจอกันไม่เท่าไหร่เอง พี่บอกยังไม่ได้หรอก ผมรีบแก้ตัว

ชู่ว์....พอก่อนเค้าเดินมาแล้ว ผมรีบปราม

เมื่อพี่ช้างเดินมาถึงก็พูดว่า.

คุยอะไรกันอยู่เหรอครับ

สารทุกข์สุกดิบนะครับ เรื่อยเปื่อย ผมตอบ

สมกับเป็นพี่พลจริงๆนะครับ เหมือนที่เล็กเล่าให้ฟังเลย

เล็กเล่าอะไรให้พี่ช้างฟังบ้างละครับ ผมเริ่มสนใจขึ้นมาทันที

ก็หลายเรื่องนะครับ

ลองยกตัวอย่างมาซักเรื่องสิครับ        

ผมไม่ลดละ อยากรู้ว่าน้องเล็กจะพูดถึงผมว่าอะไรบ้าง น้องเล็กหน้าตาเหวอๆ คงเพราะจำไม่ได้ว่าเล่าเรื่องผมอะไรไปบ้าง

ก็....เป็นต้นว่า เป็นคนฉลาด นิสัยดี เข้าใจเพื่อนฝูง เป็นคนมีน้ำใจ และก็เป็น...เออ...เป็น...

เป็นเกย์ด้วย ?     ผมพูดย้อน

คำพูดของผมทำให้พี่ช้างหยุดพูด แล้วยิ้มให้ผมเก้อๆเหมือนคนทำตัวไม่ถูก แต่พี่ช้างก็บอกกลับมาในสิ่งที่ผมแทบจะแทรกแผ่นดินหนี

เปล่าครับ เล็กไม่ได้บอกนี่ว่าคุณพลเป็นเกย์ เล็กบอกผมว่าคุณเป็นผู้ชายที่เล็กสนิทที่สุดผมยังนึกเลยว่าคุณอาจจะเป็นแฟนเก่าของเล็ก แล้วตกลงนี่คุณเป็นเกย์เหรอครับ

ผมอายมากที่คิดว่าน้องเล็กจะเอาผมไปนินทา แต่กลับกลายว่าเป็นตัวผมเองที่บอกกับพี่ช้างว่าเป็นเกย์  ไหนๆเรื่องมันก็มาถึงขั้นนี้แล้วผมจะปฏิเสธก็กระไรๆอยู่ ดีแล้วผมจะได้รู้ว่าพี่ช้างคิดอย่างไงกับผมด้วย

ครับ ผมเป็นเกย์ แล้วพี่ช้างมีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ     ผมถามรอคำตอบ

ไม่มีปัญหานี่ครับ ไม่เห็นแปลกพี่ก็มีเพื่อนเป็นเกย์

คำตอบนั้นทำเอาเราสามคนในโต๊ะอึ้ง เงียบ ผมฟังแล้วก็สงบกำลังคิดว่าจะคุยเรื่องอะไรต่อดี แต่คนที่อดรนทนไม่ได้กลายเป็นน้องเล็กที่อุทานออกมาด้วยอการที่แทบจะเก็บไว้ไม่อยู่

มีเพื่อนเป็นเกย์ !?! พี่ช้างมีเพื่อนเป็นเกย์ด้วย ทำไม่หนูไม่เคยรู้เลย  น้ำเสียงคำถามของน้องเล็กดูไม่พอใจเอามากๆ

ก็เล็กไม่เคยถามพี่นี่ครับ    พี่ช้างก็ตอบด้วยอารมณ์ปกติ

ถึงไม่ถามพี่ก็น่าจะบอกหนูบ้างว่ามีเพื่อนเป็นเกย์   เล็กไม่ลดละ

ทีเล็กมีเพื่อนเป็นเกย์ เล็กยังไม่เห็นต้องบอกพี่เลย พี่ช้างตอบด้วยน้ำเสียงปกติอีกครั้ง

ก็เล็กคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัว ถ้าพี่พลจะบอกว่าเป็นเกย์พี่พลควรบอกด้วยตัวพี่พลเอง  หนูไม่เห็นจำเป็นว่าต้องบอกใครนี่คะ ก็มันเป็นเรื่องของพี่พล หนูเคารพสิทธิของพี่พล

โอ้...ในที่สุดผมก็เข้าไปเป็นหัวข้อของการถกเถียงของคู่รักครั้งนี้โดยไม่ได้ตั้งตัวอีกต่างหากแถมดูเหมือนว่าเล็กจะโกรธเอาจริงๆด้วยสิที่สำคัญเธอโกรธเพราะอะไรหนอ โกรธที่พี่ช้างไม่เคยบอกว่ามีเพื่อนเป็นเกย์ หรือกลัวที่พี่ช้างจะเป็นเกย์เหมือนเพื่อนหนอ

แล้วทำไมเล็กไม่คิดว่าพี่ควรเคารพสิทธิของเพื่อนพี่บ้างล่ะ

พี่ช้างตอบได้อย่างมีเหตุผลมากๆ ทั้งยังเป็นผู้ใหญ่ นอกจากจะหน้าตาดีแล้วยังควบคุมอารมณ์ความรู้สึกในการโต้แย้งเล็กๆในครั้งนี้ คงไม่ใช่ผมคนเดียวที่คิดว่าพี่ช้างเป็นคนพูดจาดีมีจังหวะในการคุมสถานการณ์ เมื่อน้องเล็กได้ยินสิ่งที่พี่ช้างพูด น้องเล็กคงคิดได้ ที่เอาอารมณ์มาเป็นที่ตั้ง  เลยพูดอย่างไม่พอใจกับพี่ช้างว่า

หนูเกลียดที่สุด !?! พี่มีเหตุผลชนะหนูและที่สำคัญพี่พูดถูกซะด้วย

พี่พลคะ  ไปห้องน้ำกันไหมคะ  

น้องกวางเอ่ยปากชวนผม แล้วขยิบตาให้สัญญาณว่าเราลุกไปเดี๋ยวนี้กันเถอะซึ่งผมก็ทำตาม  ตอบตกลงและลุกจากโต๊ะอย่างว่าง่าย เมื่อผมและน้องกวางเดินมาถึงหน้าห้องน้ำน้องกวางก็คุยกับผมว่า

เราควรให้สองคนนั้นอยู่ตามลำพังบ้างค่ะ

ผมเห็นด้วยกับความคิดนี้แต่ไม่เห็นด้วยกับความคิดของน้องกวางที่บอกอีกว่า

แค่นี้ก็ทะเลาะกัน แล้วมันจะไปกันรอดเหรอคะพี่ว่ามั้ย

แค่นี้สรุปไม่ได้หรอกกวาง อีกอย่างนะ การทะเลาะกันไม่ได้หมายความว่าจะไปกันไม่รอดเสมอไปนะ ไม่เคยได้ยินเหรอ ผัวเมียทะเลาะกันลูกยิ่งดกนะ  ผมแย้ง

แต่แหม เรื่องมันก็ไม่ใช่อะไรใหญ่โต ทำไมต้องทะเลาะกันขนาดนั้นด้วย

กวางก็รู้นี่ว่าเล็กมันเป็นคนอย่างไง มันพูดก่อนคิดเสมอแหละ แต่พี่ช้างก็เป็นผู้ใหญ่นะแถมพี่ว่าเค้าดูจะแคร์เล็กเสียด้วยสิ การทะเลาะไม่ใช่ไม่ดีเสมอไปนะ บางครั้งการทะเลาะ... ถ้าคนทะเลาะมองในแง่ดี เราจะรู้ว่าคนที่เราทะเลาะด้วยเค้าแคร์พอที่จะมาเปิดใจทะเลาะกับเรา ลองคิดดูถ้าคนเราไม่แคร์กันพอเค้าก็จะเพิกเฉย ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนไม่สนใจ และปล่อยไปตามยถากรรม  ผมให้ข้อคิดกับกวาง

แต่ถ้าการทะเลาะกันจนถึงการลงไม้ลงมือกัน นั้นต่างหากไม่ใช่เครื่องของการแคร์ แต่เป็นเรื่องของการจะเอาชนะ เราไม่ควรเสียเวลากับคนที่ใช้กำลัง มาตัดสินในเรื่องของความรักนะ

ไม่เจอ 4 ปีเอง พี่พลนี่คมนะคะ คำพูดบาดลึกมาก บาดจนหนูปวดฉี่เลย ขอเข้าห้องน้ำก่อนแล้วกัน 

ผมหัวเราะที่น้องกวางทำตลก จริงๆเป็นนิสัยของคนหลายคนที่แก้เขินหรือได้ฟังอะไรดีๆ หรือ ได้ฟังอะไรเศร้าๆจะใช้มุขตลกแก้สถานการณ์เพื่อรักษาอัตตาของตัวเองไว้ซึ่งเป็นเกราะป้องกันเนื้อแท้ของจิตใจในการแสดงอารมณ์ออกมา และกวางก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น
 
เมื่อน้องกวางและผมทำธุระเสร็จ เรากลับไปที่โต๊ะ เห็นอาหารที่สั่งมาอยู่บนโต๊ะพร้อมและพนักงานกำลังตักข้าวเสิร์ฟพอดี ที่สำคัญพี่ช้างก็คุยหัวร่อต่อกระซิกกับน้องเล็กอีกต่างหาก ผมกับกวางรู้สึกโล่งใจที่เป็นตามที่ผมคิด ว่าแล้ว ผัวเมียทะเลาะกันลูกยิ่งดก เมื่อผมและกวางมานั่งที่โต๊ะ เราทั้งสี่เริ่มรับประทานอาหาร อาจเป็นเพราะความหิว แกงหน่อไม้ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย ยิ่งคั่วแคไก่ที่เสิร์ฟร้อนๆ พร้อมแกงโฮะที่มีหน่อไม้ดองเป็นส่วนประกอบทำให้รสชาติดีแล้ว ปลาหลิมหรือปลาช่อนนึ่งมะนาวยิ่งมีน้ำราดมี่ครบทั้งเผ็ดเค็มเปรี้ยวแซ่บได้ที่ จนพี่ช้างเอ่ยปาก

อาหารอร่อยเหมือนกันนะครับ

ถ้าไม่อร่อยพี่พลไม่แนะนำหรอกค่ะ ขานี้เชื่อเรื่องกินได้เลย แนะนำที่ไหนเป็นอันอร่อยทุกที่  น้องเล็กชมผมให้พี่ช้างฟัง

แล้วที่พักที่ไหนดีๆบ้างครับ ยังไม่รู้เลยว่าจะนอนที่ไหนดี    พี่ช้างถามผม

 อ้าว ทำไมงั้นละครับ    ผมถามด้วยความประหลาดใจเพราะน้องเล็กบอกผมในอีเมล์ว่าจะมาพักที่คอนโดผม

คือหนูบอกว่า หนูกับกวางจะพักกับพี่พลส่วนพี่ช้างไปหาที่นอนเอาเองค่ะไม่เกี่ยวกัน เล็กพูดหน้าตาเฉย

ทำไมเล็กใจร้ายจัง    ผมต่อว่าเล็ก 

ก็บอกพี่ว่าให้พี่เก็บคอนโดจะมาพักด้วย  พี่ก็จัดซะเรียบร้อยเลย

ไม่เป็นไรครับ จะได้อยู่กันเป็นส่วนตัวนานๆเจอกันที ผมไปนอนโรงแรมก็ได้  พี่ช้างเกรงใจและออกตัวเป็นคนที่ดูเรียบร้อยอย่างที่น้องเล็กได้เล่าไว้ในอีเมล์จริงๆ

เหลวไหลน่า ผมเตรียมที่นอนไว้แล้วไม่ต้องห่วงครับ ห้องกว้างพอ  เพื่อนผมเคยมาค้าง หกคนยังนอนพอเลย ผ้าเช็ดตัวผมก็มีพร้อมครับ เพื่อนผมนะชอบขึ้นมาเที่ยวเชียงใหม่ก็มาค้างกับผมประจำ 

 คำเชิญของผมดูสมกับเป็นเจ้าบ้านมาก หากใครมาได้ยินผมพูดตรงนั้นผมอาจโดนเชิญเป็นทูตต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองเป็นแน่แท้

จะดีเหรอพี่พล  เราไม่ได้เจอกันตั้งหลายปีนะ เล็กตัดพ้อ น้ำเสียงอ้อนวอน

ไม่ต้องมาสะดิ้งแถวนี้เลย พี่ช้างเป็นเพื่อนพวกหนูก็เป็นเหมือนเพื่อนพี่ และจะได้พิสูจน์ว่าพี่ช้างไม่ได้รังเกียจเกย์จริงหรือเปล่า  ไปพักด้วยกันเถอะ อีกอย่างเก็บเงินไว้ดีกว่า เปลืองเปล่าๆ

ใช่ เก็บเงินไว้จ่ายค่าเหล้าตอนไปเที่ยวคืนพรุ่งนี้ดีกว่า น้องกวางพูดเสริม
ดีมากกวาง เหตุผลน่าฟังมากๆ ผมกล่าวชม

เราทุกคนต่างหัวเราะ เป็นอันว่าพี่ช้างก็ต้องมาพักที่คอนโดผมเช่นกัน ทุกคนขับรถมาเหนื่อยจึงตกลงว่าคืนนี้ จะนอนเร็วหน่อย ตื่นเช้าวันเสาร์จะขับรถขึ้นไปนมัสการดอยสุเทพ แล้วลงมาไปเที่ยวสถานที่สำคัญต่างๆในเชียงใหม่ ไม่ว่าจะเป็นน้ำตกแม่ยะ หมู่บ้านถวาย ฯลฯ แล้วคืนวันเสาร์จะตะลุยราตรีของเมืองเชียงใหม่รำลึกวันเก่าๆกัน แล้ววันอาทิตย์ตื่นขึ้นมาซื้อของฝากแล้วขับรถกลับบ้าน แต่คืนนี้เมื่อทานข้าวเสร็จทุกคนก็มุ่งหน้ากลับมาที่คอนโดของผม


คอนโดของผมไม่เล็กและไม่กว้างมากเป็นคอนโดห้องชุดขนาด  48 ตารางเมตร แบ่งเป็นห้องรับแขกและห้องนอนทั้งสองห้องมีโทรทัศน์ไว้ให้ดูห้องละเครื่องมีตู้เย็น เฟอร์นิเจอร์ครบ ห้องนอนผมมีเตียงขนาดคิงไซส์ นอนสบายๆสามคนได้ แน่นอน ผม น้องเล็ก น้องกวางจะนอนกับผมบนเตียงที่ห้องนอน ส่วนพี่ช้างก็นอนคนเดียวข้างนอกห้องรับแขกตามลำพังบนที่นอนที่ผมเตรียมสำรองไว้สำหรับแขกอยู่แล้ว กว่าพวกเราจะอาบน้ำเสร็จเตรียมเข้านอนก็ปาเข้าไปเกือบห้าทุ่ม ก่อนที่จะปิดห้องนอน ผมก็บอกว่า

ถ้าพี่ช้างต้องการอะไรก็เคาะห้องเรียกนะครับ เคาะดังหน่อยนะครับ เพราะห้องนอนผมมันเก็บเสียงนะครับ

ต้องการที่จะนอนตรงกลางผู้หญิงสองคนแทนพลนะครับ พี่ช้างตอบกวน

อะไรนะคะ เดี๋ยวเหอะ น้องเล็กหูผึ่ง ผมกับกวางอดหัวเราะไม่ได้

อิจฉาน้องพลนะครับได้นอนกับผู้หญิงสวยขนาบซ้ายขวาตั้งสองคน

แฮ่ม เสียงกระแอมของน้องเล็ก

พี่ช้างค่ะ พี่เป็นแฟนหนูพี่ควรบอกว่าหนูสวยที่สุดคนเดียวค่ะ จะทำให้หนูดีใจมาก เล็กพูดประชด

พี่ช้างจะนอนกลางระหว่างผู้หญิงสวยสองคนขนาบข้างก็ได้นะครับ แต่ว่าพี่ช้างต้องนอนคว่ำหน้าแล้วให้ผมนอนบนตัวพี่ช้างอีกทีหนึ่ง เอามั้ยละครับ   เจอมุขนี้พี่ช้างก็ยิ้มแห้งๆก้มหน้าแล้วบอกว่า

ฝันดีทั้งสามคนนะครับ พี่นอนคนเดียวข้างนอกดีที่สุดครับ

อีกอย่าง น้องเล็ก !  ห้ามออกมาลวนลามพี่ช้างด้วย พี่ไม่ไว้ใจเรา คอนโดของพี่ ต้องเคารพกฎของพี่ คนที่มีสิทธิจะมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายในห้องนี้คือพี่คนเดียวเท่านั้น เข้าใจมั้ย ส่วนพี่ช้างไม่ต้องห่วงครับ ตูดของพี่จะปลอดภัยตราบใดที่พี่ไม่เข้ามาที่ห้องนอนของผม 

ผมพูดเสร็จทุกคนก็ขำแต่คนที่ขำไม่ออกน่าจะเป็นพี่ช้าง เมื่อเข้านอนเสร็จ  น้องเล็ก น้องกวางและผมก็ล้มตัวลงบนเตียงปิดไฟทุกดวง แม้กระทั่งโคมไฟหัวเตียง เป็นไปอย่างพี่ช้างพูด น้องสาวผมทั้งสองให้ผมนอนตรงกลางเพื่อจะได้นอนกอดแขนผมคนละข้าง

คิดถึงพี่พลจริงๆนะเนี่ย   กวางพูดพร้อมเข้ากอด

ใช่ คิดถึงสมัยที่เราไปอยู่บ้านไอ้ปิ่นมันเน้อ เล็กกอดบ้าง  กอดไม่กอดเปล่าเอาขามาก่ายตัวผมอีก จนผมต้องปราม

นี่ ! เกาะแขนก็เกาะไป ขาไม่ต้องมาก่าย เดี๋ยวเหอะ เล่นมากๆระวังตื่นมามีผัวเป็นเกย์กันทั้งคู่หรอก   

พูดเสร็จ เราทั้งสามคนก็หัวเราะ เราไม่ห่วงเสียงของพวกเราเพราะผมได้บอกแล้วว่าห้องนอนผมเก็บเสียง หากไม่ตะโกนดังๆ รับรองห้องรับแขกข้างนอกไม่ได้ยินเสียงพวกเราแน่ จากนั้นพอความเงียบปกคลุม น้องเล็กก็เปิดประเด็นทำลายความเงียบด้วยคำถามว่า

ตกลงพี่พลคิดว่าพี่ช้างเป็นเกย์ไหมคะ

ผมนิ่งกับคำถามนั้นสักครู่ แล้วผมก็ตัดสินใจบอกออกไปว่า

พี่จะไม่โกหกเล็กนะ พี่ไม่รู้...เพราะพี่ไม่ได้ใช้เกย์ด้า และพี่จะไม่ใช้มันด้วย

หา !  อะไรนะ ! พี่ว่าอะไรนะ!  ตกใจไม่ตกใจเปล่าดันลุกขึ้นมากดเปิดโคมไฟที่หัวเตียงอีกต่างหาก

เอ๊า! แล้วนี่แกจะเปิดไฟทำซากอะไรละเนี่ย   กวางบ่นพร้อมกับหลับตาหลบเสียงโคมไฟ

มีอย่างเหรอ หนูอุตส่าห์ขับรถมาตั้ง 10 ชั่วโมงแล้วนี่พี่จะไม่สแกนช่วยหนูหน่อยเหรอ อย่างงี้หนูก็มาเสียเที่ยวนะสิ

ก็คิดว่ามาเที่ยว  มาเจอพี่ไง ผมบอกเล็ก

พี่พลไม่ดูให้มันจริงๆเหรอ   กวางถามผม

มันดูยากนะ  ผมบอก

พี่! พี่ช้างเค้าชอบฟังโอเปร่ามากเลยนะ

เล็ก !  เล็กลุกเดินไปดูที่โต๊ะเครื่องเสียงที่เก็บซีดีเก็บเทปของพี่ซิ มันมีเทปโอเปร่าหรือเปล่า พี่เกลียดจะตายเสียงร้องโหยหวนขนาดนั้น พี่ทนเสียงแบบนั้นไม่ได้แต่พี่ก็เป็นเกย์ มันตัดสินอะไรไม่ได้หรอก

ก็พี่มันเกย์กบฏนี่นา เป็นเกย์อย่างไงวะ ไม่ชอบโอเปร่า กวางแขวะผม

เอ้า! เอาเข้าไปพี่หมายถึงรสนิยมการชอบเพลงมันต่างกัน เค้าอาจจะรู้สึกถึงความเป็นตัวตนอยู่ในโลกของเค้าเมื่อฟังโอเปร่า ผู้ชายบางคนก็ชอบโอเปร่านะ อย่างริชาร์ด เกียร์ในหนังพริตตี้ วูเมนไง  

ผมอธิบาย แต่น้องเล็กก็เถียงว่า

ก็นั้นมันในหนัง  พี่เคยบอกหนูเองว่าคนทำหนังทำภาพยนตร์มันก็มีแต่เกย์ตั้ง 90 เปอร์เซ็นต์ 

 แต่สิบเปอร์เซ็นต์นั้นก็ยังมีความหวังอยู่ไม่ใช่เหรอ  ผมเถียงข้างๆคูๆ

ใครบอก!  พี่เคยบอกว่าชายจริงๆ มีแค่ 5 เปอร์เซ็นต์ เพราะอีก 5 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือกำลังตัดสินใจว่าจะเป็นเกย์ตามไอ้ 90 เปอร์เซ็นต์แรกต่างหาก

เออ ! ห้าเปอร์เซ็นต์ก็ห้าเปอร์เซ็นต์

ผมพูดเสร็จเล็กยิ่งหน้าเสีย

แต่เค้ามีเพื่อนเป็นเกย์ด้วยนะพี่ เล็กยังไม่อ้างหาเหตุมาให้ผมช่วย

พี่มีเพื่อนสนิทเป็นชายแท้ตั้ง หกคน ไม่เห็นต้องเป็นชายแท้ตามพวกมันไปเลยนี่นา อีกอย่างเล็กก็มีเพื่อนเกย์คือพี่ เล็กก็ไม่ต้องมาเป็นเกย์เหมือนพี่นี่นา คิดบ้างสิ

แล้วเล็กจะทำอย่างไงดีละค่ะถึงจะรู้ เล็กทำท่าเหมือนจะร้องไห้ในความคิดไม่ตก

ถามเค้าเล็ก.....ถามเค้าตรงๆ ผมบอก

มันจะดีเหรอพี่ เค้าจะบอกเหรอว่าเค้าเป็นเกย์  น้องกวางถาม

มันขึ้นอยู่กับว่าผู้หญิงจะคุยอย่างไงต่างหาก ผมให้คำตอบกวาง

ถามเค้าด้วยความจริงใจและเข้าใจ แต่ถ้าถามเค้าเพียงเพราะอยากรู้เพื่อที่จะเอาไปบอกกับคนอื่นว่า ชั้นรู้แล้วว่าผู้ชายคนนี้เป็นเกย์แล้วนินทาลับหลัง อันนั้นก็ไม่ใช่นิสัยของคนดีที่ทำกันมันเลวระยำมาก ที่เกย์ไม่กล้าบอกความจริง เพราะผู้หญิงจะชอบเอาไปพูดต่อนี่เป็นเรื่องใหญ่ทีเดียวที่ทำให้เกย์ไทยปกปิดฐานะ  น้องเล็กกับกวางถ้าไม่แน่ใจในตัวผู้ชายคนที่รักอยู่ก็ ถามตรงๆเลย  แต่ต้องรู้ไว้ว่าเราต้องรักษาความลับ เหมือนกับที่น้องเล็กก็ไม่ยอมบอกใครว่าพี่เป็นเกย์เพราะน้องเล็กคิดว่าเป็นเรื่องของพี่เองที่จะพูดอันนี้พี่ซาบซึ้งใจมากๆ      ทั้งสองคนฟังผมอย่างตั้งใจ ผมมองหน้าน้องทั้งสองแล้วบอกว่า

บอกเค้าว่า   ถ้าเป็นเกย์ก็จะไม่เสียใจ  ผู้หญิงทุกคนที่เกย์คนไหนสารภาพเปิดตัว  จงภูมิใจที่เค้าได้บอกความลับที่ได้แบกไว้ตั้งแต่เกิดมาบอก และผู้หญิงคนนั้นควรรักษาความลับนั้นอย่างที่เพื่อนคนหนึ่งพึงกระทำต่อเพื่อน ไม่ใช่เอาไปโพนทะนาประจานต่อคนอื่น เพียงเพราะว่ารู้สึกเสียหน้า เสียแรงที่รัก  แล้วอกหักเพราะรักเกย์ มันไม่ใช่เรื่องการเสียหน้านะ

แล้วถ้าเกิดถึงขั้นมีอะไรกันแล้วล่ะ มันไม่ยิ่งแย่เหรอ น้ำเสียงเล็กซีเรียส

เล็กเอ้ย...  เซ็กซ์ คือ เซ็กซ์ ถ้าเราอยู่ในห้องมืดถูกปิดตาแล้วมีคนมาออรัลเซ็กซ์ให้เราเราไม่รู้หรอกว่าเค้าเป็นเพศไหน ตอนแรกอาจกลัวๆ แต่ถ้าเล้าโลมดีๆ เราก็อดจะเผลอไปตามการเล้าโลมนั้นไม่ได้ การมีเซ็กซ์ระหว่างเกย์กับหญิงเช่นกันบางครั้ง ก็อาจเกิดขึ้น แต่ผู้หญิงอย่าคิดว่าเราต้องเสียโง่หรืออะไรเลย ผู้หญิงไทยโดนกดขี่เรื่องเพศอยู่แล้ว คือถ้าเราเจอคนที่รักเราจริงๆแล้ว เค้าไม่แคร์หรอกว่าเราจะเคยผ่านเกย์มาหรือเปล่า ถ้าผู้ชายคนไหนเลิกรักเราเพราะเราไม่มีพรมจรรย์ เพราะเราเคยเสียให้เกย์ ก็ไสหัวไอ้ผู้ชายที่บอกตัวมันเองว่าเป็นชายแท้ออกจากชีวิตเราไปซะ เพราะนั่นมันไม่รักเราจริง มันรักแค่ตรงนั้นของผู้หญิงต่างหาก เชื่อพี่ !  คนที่รักจริงเค้าไม่แคร์หรอกว่าคุณจะมีอะไรมาก่อน ไม่งั้นแม่ม่ายก็เฉาตายหมดโลกนะสิ

แล้วเล็กจะเหลืออะไรละ ถ้าเค้าบอกว่าเค้าเป็นเกย์จริงๆ เล็กถามผม

เห็นไหมสุดท้ายเล็กก็รับไม่ได้  ถ้าพี่ใช้เกย์ด้าสแกนบอกว่าเค้าเป็นเกย์เล็กจะรับได้เหรอ ถามเค้าตรงๆ.....เล็ก สิ่งที่เล็กจะเหลือคือมิตรภาพ  มิตรภาพของเล็กกับพี่เกิดขึ้นได้เพราะเล็กก็ถามพี่ตรงๆเรื่องที่เล็กสงสัยว่าพี่เป็นเกย์  ถึงเล็กจะเสียคนรักไปแต่เล็กก็จะได้เพื่อนที่เค้าไว้ใจเล็กที่สุดบอกความจริงกับเล็ก

กวางว่าเล็กมันคงไม่อยากได้เพื่อนนะ  มันคงอยากได้ผัวมากกว่า   

กวางแทรกทำให้บรรยากาศการคุยดีขึ้น ทำเอาเราสามคนหัวเราะคลายความเครียด

รับปากกับพี่สิ ว่าเล็กจะจัดการเรื่องนี้เอง อย่าไปพึ่งเกย์คนอื่นใช้เกย์ด้าช่วยเล็ก เพราะนั้นหมายถึงเล็กไม่ให้เกียรติที่จะมาขอคำแนะนำจากพี่ต่อไป

เล็กพยักหน้า

 เฮ้อ !     ผมถอนหายใจแล้วพูดปลอบเล็กว่า

อย่าคิดมากน่า ยังไงวันนี้ก็มาเจอพี่ พรุ่งนี้ก็เที่ยวกันสะบัด อย่าคิดมาก เรื่องทุกเรื่องอย่าเอามาแบกไว้ เที่ยวสนุกก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันเพราะอาทิตย์นี้เราตั้งใจว่าจะมาเที่ยวพักผ่อนนี่นา ใช่ไหม

โอเค  หนูจะไม่คิด เรื่องนี้อีกตอนเสาร์อาทิตย์นี้ นอนดีกว่า

เล็กปิดไฟที่หัวเตียงแล้วนอน ผมรู้ว่าผมได้ทำร้ายจิตใจน้องเล็ก ที่ไม่ยอมใช้เกย์ด้าสแกนพี่ช้าง แต่มันคือความสัจจริง ผมไม่อาจบอกเล็กว่าเค้าเป็นเกย์จริงหรือชายแท้เพราะผมคิดว่าเกย์ด้าของผมไม่แม่นอีกต่อไป  คืนนั้นผมตัดสินใจเล่าเรื่องระหว่างผมนุ่นให้น้องเล็กกับน้องกวางฟัง เพื่อเป็นการย้ำว่า มิตรภาพของผมและนุ่นมีอยู่จริง  ผมบอกให้เล็กก้าวเข้าสู่ความจริง  อย่าเหมือนผมที่กว่าจะกล้าสู้ความจริงผมก็รู้สึกผิดที่ได้ก่อให้เกิดเรื่อง  ทั้งๆที่สามารถห้ามไม่ให้เกิดได้ ปล่อยให้ความกลัวมามีอำนาจเหนือจิตใจจนเกือบทำร้ายจิตใจของทั้งนุ่นและผมตราบชั่วชีวิต     น้องเล็กหลับสนิทหลังจากฟังเรื่องของผมและนุ่น ผมได้ยินเสียงกรนเบาๆของเล็ก   ความเหนื่อยจากการเดินทางก็ช่วยให้น้องเล็กนอนหลับ หรือไม่ก็เพราะเล็กสบายใจจากสิ่งที่ผมคุยกับเธอ ผมหวังว่าเล็กจะนอนหลับเพราะอย่างหลัง

พวกเราตื่นขึ้นมาเมื่อเกือบเก้าโมงเช้า เราทำตามแผนที่นัดกันไว้ ครบถ้วนทุกอย่างจนวันอาทิตย์ทั้งหมดได้กลับ  ผมไม่รู้หรอกนะว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเค้าทั้งสองคนระหว่าง น้องเล็กกับพี่ช้าง เพราะเล็กก็ไม่โทรหาผม ผมรอเวลาที่ให้น้องเล็กพร้อมที่จะบอกเองมากกว่า


สามเดือนผ่านไป........

เมื่อผมกลับจากทำงานแวะตู้รับจดหมายใต้คอนโด ก็ได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจากสิงห์บุรี เปิดออกมาเจอการ์ดให้ผมร่วมเป็นสักขีพยานในงานมงคลสมรสระหว่าง น้องเล็ก และพี่ช้าง ที่จะจัดขึ้นในเดือนถัดไป ผมยิ้ม และโทรศัพท์ไปหาน้องเล็กกับจดหมายและข่าวเซอร์ไพร์นี้  ผมมาทราบภายหลังว่า เสื้อกางเกงของพี่ช้างที่ดูสลิมฟิต  คอวี กางเกงเน้นเป้าเหล่านั้น เป็นผลงานเลือกของเล็กเองที่อยากให้พี่ช้างดูดี พี่ช้างเองก็รักเล็กมากไม่อยากขัดใจเล็ก น้องเล็กให้ใส่อะไรก็ใส่ ทำให้ผมได้ข้อคิดว่า นอกจากเกย์จะชอบใส่เสื้อเข้ารูปคอวี ก็ยังมีชายแท้ที่ใส่เอาใจเมีย เหมือนนักฟุตบอลคนดัง.........เดวิด  แบคแฮม ไงครับ ชายแท้ที่ไม่หวั่นที่จะสูญเสียความเป็นชาย เค้าใส่อะไรก็ได้ครับเพราะเค้ารู้ตัวอยู่เสมอว่าเค้าเป็นชายแท้ไม่มีอะไรทำให้เค้าเปลี่ยนได้ฉะนั้น การแต่งกายภายนอกก็สรุปไม่ได้เช่นกันว่าใครเป็นเกย์ 
อ้อ !.....ยกเว้นเกย์ด้าตอบได้เสมอครับ

....................................จบ ตอนที่ 6........................				
25 มกราคม 2549 00:58 น.

ชายเทียมในโลกแท้ ( GayGuy in Straight World ) ตอนที่ 5 เรื่องเจ็บที่ต้องเผชิญ

ชายชัช

ตอนที่ 5 เรื่องเจ็บที่ต้องเผชิญ

		
วันศุกร์

เวลา 11.30 น

		ขณะที่ผมกำลังง่วนกับรายงานที่ต้องตามหลังจากสรุปงานประชุมของวันสุดสัปดาห์ตอนเช้า เสียงโทรศัพท์มือถือผมก็ดังขึ้น หน้าจอแจ้งว่าเป็นเป็นสายของน้องเล็ก  ผมรับสายนั้น

		 ฮัลโหล ว่าไง  
  
		พี่พลขา  ตอนนี้พวกหนูอยู่บนรถกัน  กำลังเดินทางมุ่งหน้าสู่เชียงใหม่ คาดว่าจะถึงเชียงใหม่ก็ราวๆทุ่มสองทุ่มนะค่ะ   น้องเล็กรายงานผ่านโทรศัพท์มือถือด้วยเสียงระริกระรี้

		เหรอ  มาถึงเร็วขนาดนั้นเชียว ดีเหมือนกันจะได้กินข้าวเย็นด้วยกันนะ พี่จะรอ

		ดีค่ะ หนูก็อยากกินข้าวกับพี่ม้าก มาก

		พี่พล คิดถึงพี่พลจังเลย เสียงกวางตะโกนเข้ามาผ่านโทรศัพท์น้องเล็ก

		คิดถึงเหมือนกันจ้า ผมตอบกลับ

		ขับรถระวังนะ เดินทางมาด้วยความปลอดภัยล่ะ แค่นี้ก่อนละกันแล้วค่อยเจอกันตอนเย็น

		ค่ะพี่พล แล้วค่อยเจอกัน เสียงเล็กตอบพร้อมกับวางสายไป   

		ผมคิดมาตลอดทั้งสัปดาห์ว่าผมกำลังทำสิ่งที่ถูกหรือไม่ ที่เป็นคนมาตัดสินว่า ผุ้ชายคนล่าสุดของน้องเล็กเป็นชายแท้หรือเกย์แอบแฝงโดยใช้เกย์ด้า ถ้าเกย์ด้าผมบกพร่องล่ะ  ? ! ? ความแม่นยำเกย์ด้าของผมอาจผิดพลาด ถ้าผมตัดสินเค้าว่าเป็นเกย์โดยที่เค้าเป็นชายแท้ ผมอาจทำลายความรักของทั้งสอง แล้วถ้าแฟนใหม่ของน้องเล็กเป็นเกย์จริงแต่ไม่ส่งสัญญาณเกย์ด้ามาที่ผม ทำให้เกย์ด้าผมอ่านผิดคิดว่าเค้าเป็นชายแท้ล่ะ!  น้องเล็กมิต้องกลายเป็นเครื่องมือตกเป็นแฟนหญิงบังหน้าของเกย์ไร้จรรยาบรรณหรอกหรือ ยิ่งเมื่อใกล้เวลาที่จะพบกันอีกประมาณไม่ถึง 10 ชั่วโมง ยิ่งทำให้ผมลนลายทั้งๆที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง 

ผมสะดุ้งจากความคิดเมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือผมดังอีกครั้ง ที่หน้าจอโทรศัพท์แจ้งว่าเป็นเบอร์ของ  นุ่น  นั่นเอง

หวัดดีนุ่น มีอะไรให้เรารับใช้ครับ ผมรับสายพร้อมกับทักทาย

พล  ธันวานี้เราคงไปเที่ยวเชียงใหม่เหมือนทุกปีๆไม่ได้แล้วนะ น้ำเสียงนุ่นเครียดๆ

เกิดอะไรขึ้นเหรอ?  ผมถามด้วย ความเป็นห่วงอย่างจริงใจ

นุ่นเงียบไปสักอึดใจ แล้วตอบว่า

นุ่นกำลังจะมีน้อง! นุ่นตะโกน 

ตกใจหมดนึกว่าเรื่องคอขาดบาดตาย ดีใจด้วยนะ   ผมตอบกลับด้วยความโล่งอก

อิอิอิ แบบนี้สนุกจังทำให้คนตกใจเล่น เสียงหัวเราะนุ่นยังไม่จบที่สามารถหลอกผมให้ตกใจได้สำเร็จ

แหมสนุกจังนะ แล้วท้องได้กี่เดือนแล้วล่ะ  ผมถาม

สามเดือนกว่าๆแล้วจ้ะ แต่กว่าจะถึงธันวาก็คงอุ้ยอ้ายเต็มที่เลยโทรมาหา  นึกขึ้นได้ว่าเรามีนัดกันทุกเดือนธันวา ช่วงนั้นก็ใกล้คลอดเต็มที่เลยนึกถึงพลขึ้นมาต้องแจ้งข่าวดีให้ลุงพลก่อน ให้รู้ตัวว่าจะมีหลานแล้ว
  
นุ่นยังคงคิดถึงผมสม่ำเสมอ เป็นคนเดิมที่ผมรู้จักไม่เคยเปลี่ยน รู้สึกถึงความโชคดีทีสามีของนุ่นว่าเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดที่มีนุ่นเคียงข้าง และยิ่งนุ่นดีต่อผมเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าผมช่างเป็นคนที่แย่ที่สุดสำหรับนุ่น

ผมเจอนุ่นครั้งแรกเมื่อตอนที่ผมอยู่ปีหนึ่งพึ่งเป็นน้องใหม่หน้าใสบริสุทธ์ จะพูดว่าพึ่งเป็นน้องใหม่ก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจนิดๆ เพราะเหตุการณ์นั้นมันผ่านมา สิบกว่าปีแล้ว ผมรู้จักนุ่นผ่านเพื่อนผมที่เรียนคณะเดียวกันบอกว่านุ่นเรียนอยู่คณะแพทย์ ผมทึ่งในความสามารถของนุ่นเพราะเรียนถึงคณะแพทย์  นอกจากนั้น นุ่นเป็นผู้หญิงที่สวยมาก สวยจริงๆ นุ่นเป็นผู้หญิงที่ไว้ผมยาว และนุ่นก็มีผมที่สวยนุ่มสลวยเงางามดำขลับ ผมรู้สึกถูกชะตากับนุ่นทันทีเมื่อแรกเจอ ใครบ้างเล่าที่ไม่อยากอยู่ใกล้ผู้หญิงสวยที่ฉลาดและนิสัยดี

โอเค ! ผมสารภาพก็ได้ครับผมเคยแอบหลงรักนุ่น ผมหลงรักจริงๆครับ แต่ประเด็นของผมคือ ในขณะเดียวกันตอนที่ผมหลงรักเธอ  ผมก็ทำเรื่องผิดอย่างร้ายแรงที่สุดต่อชีวิตผู้หญิงคนหนึ่งเช่นกัน

คนหนึ่งคน  ที่ไม่มั่นใจตัวเองว่ามีรสนิยมว่าชอบผู้หญิงหรือผู้ชาย จะรู้ได้อย่างไรว่าเราชอบผู้หญิงหรือผู้ชายกันแน่ หากเราไม่ได้ลองนอนกับทั้งสองเพศ    นอน  ในที่นี้ ผมหมายถึงมีเพศสัมพันธ์นะครับ หาใช่การนอนเฉยๆ ในห้องเดียวกันแต่คนละเตียงไม่ อย่างหลังไม่นับรวม  และอีกอย่างผมหมายถึงนอนกับผู้ชาย คนละเวลากันกับนอนกับผู้หญิงนะครับ ไม่ใช่นอนทีเดียวพร้อมกันทั้งสองเพศ เอ๊ะ หรือหรือว่าเราควรนอนพร้อมกันสามคนดี.......... ผู้อ่านชายแท้ที่อ่านถึงตรงนี้คงวาบหวามไม่น้อย เพราะตอนนี้ความคิดในหัวคุณคงนึกถึงผู้หญิงเซ็กซี่สองคนกึ่งเปลือยกายด้วยชุดชั้นในแฟนซีคลอเคลียกับคุณพร้อมกับป้อนความสุขให้แก่คุณ สุขสมทั้งสาม   แต่ผมขอทำลายความฝันนั้นโดยให้คิดใหม่เป็น ผู้ชายหน้าตาดีสองคนเซ็กซี่ในแบบผู้ชายของร่างกำยำกำลังคลุกเค้ากันอยู่โดยมีหญิงสาวร่างเปล่าเปลือยอยู่คั่นกลาง ความคิดนี้ขอเอาใจสาวซุกซนทางความคิดครับ

ที่นี่เรามาออกจากความคิดนี้โดยด่วน เพราะในเรื่องที่ผมจะเล่าไม่เกี่ยวกับกรณี Three-some ( three-some อ่านว่า ทรีซัม สำหรับคนที่ไม่ประสาเวอร์จิ้นทางความคิด ขอแจ้งให้ทราบว่า นี่คือศัพท์แสลงไว้เรียก การมีเพศสัมพันธ์พร้อมกันทีเดียวสามคนและสามรถใช้  four-some , five-some เมื่อเพิ่มจำนวนคนขึ้นเรื่อยๆ)  

ประเด็นที่ผมจะเล่าคือ ประเด็นของชายคนหนึ่งสมัยพึ่งเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย  โลกที่กว้างมากขึ้นกว่าสมัยมัธยม ถึงแม้ส่วนหนึ่งลึกๆ เค้าอาจจะพึ่งพอใจในรูปร่างและรู้สึกตื่นตัวเมื่อพึงพอใจกับเพศเดียวกัน แต่ความรู้สึกนั้นถูกกดไว้เพราะรอบข้างบอกว่าการรักเพศเพศเดียวกันเป็นสิ่งผิด และอาจโดนล้อจากกลุ่มเพื่อนหากคุณทำตัวแปลกแยก และรู้สึกว่า เราจะตัดสินว่าเราเป็นเกย์ได้อย่างไร ในเมื่อเราไม่เคยนอนกับผู้หญิงเลยและภายใต้ความคิดนี้ จึงเป็นโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นระหว่าง  ผมกับนุ่น

ยิ่งผมรู้จักนุ่นมากขึ้นเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้สึกรักเธอมากขึ้นเท่านั้น นอกจากความสวยฉลาดที่เธอมีเธอยังเป็นคนที่มีจุดยืนในด้านความคิดที่ผมชื่นชมอยู่เสมอ คราวหนึ่งเมื่อถึงเวลาที่รุ่นพี่ตามนุ่นไปเป็นเชียร์ลีดเดอร์ นุ่นปฏิเสธอย่างนุ่มนวลพร้อมกับให้เหตุผลว่า ยังมีคนที่ต้องการความช่วยเหลืออีกเยอะภายนอกรั้วมหาวิทยาลัย นุ่นต้องการเอาเวลาที่จะใช้การซ้อมเชียร์นั้นไปดูแลหาข้อมูล ออกอาสาตามหน่วยแพทย์ชนบท หรืออะไรก็ได้ที่สามารถรู้ข้อมูลและบรรเทาความเดือดร้อนของผู้คนที่อยู่ภายนอกที่ด้อยโอกาส นุ่นไม่เพียงแต่จะพูด นุ่นยังปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจัง 

ครั้งหนึ่งผมตามเธอไปช่วยเหลือในการหาข้อมูลช่วยองค์กร เอ็นจีโอ ในการต่อต้านเตาเผาขยะที่จะมาก่อสร้างในตำบลเล็กๆใกล้ๆ กับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จนหาเหตุผลเก็บข้อมูลจนสามารถเลิกล้มการก่อสร้างนั้นได้ เพราะเตาเผาขยะไม่ใช่หนทางแก้ปัญหา เพราะคนไทยยังอยู่กับขยะไร้ระเบียบไม่มีการแยกการจัดเก็บ ขยะเปียกขยะแห้งปนกัน มีเตาเผากี่เตาก็เสียหายแน่ 

เราสองคนช่วยกันกับองค์การเอ็นจีโอนั้นอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่จนทำให้เราสองคนรู้สึกดีๆต่อกัน  ถึงเพื่อนๆ ในคณะแพทย์จะดูนุ่นเป็นคนแปลก จนทำให้ผู้ชายที่เข้ามาจีบนุ่นหายไปทีละคน  เพราะนุ่นทำกิจกรรมอาสาซะจนไม่มีเวลาไปเที่ยวกับเพื่อนๆในคณะ แต่สำหรับผมแล้ว นุ่นเธอเป็นผู้หญิงที่มีความเสียสละต่อสังคมอย่างแท้จริงและถ้าผมไม่คิดเข้าข้างตัวผมเอง นุ่นก็คงมีความรู้สึกดีๆ กับผมเช่นกัน

คืนหนึ่งประมาณ 3 ทุ่ม ในเดือนกุมภาพันธ์ อากาศหนาวเย็นบรรยากาศดีที่สุดสำหรับช่วงเดือนของหน้าหนาว ผมได้ทำสิ่งที่ถือว่าโรแมนติกที่สุดในชีวิต วันนั้นขณะที่ผมกำลังเดินเข้าไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อสาขาหลังมหาวิทยาลัย มีชาวเขานำกุหลาบมาขายวางไว้หน้าร้าน ชาวขาวบอกว่าช่วยหน่อยอยากกลับบ้านแล้ว ผมกะสายตากุหลาบสีแดงก้านยาวดอกใหญ่ในกาละมังมีไม่ต่ำกว่า 100 ดอกแน่ๆ ผมสอบถามราคา ชาวเขาตกลงขายทั้งหมดในราคา 100 บาท ซึ่งถูกมากๆกับจำนวนกุหลาบที่สวนขนาดนี้ ผมควักเงินซื้อกุหลาบทันที   เมื่อซื้อเสร็จปัญหาคือ จะเอากุหลาบทั้งหมดนี้ ไปทำอะไร? ดอกไม้งามย่อมคู่กับสาวสวย ผมนึกถึงนุ่น ผมได้หอบกุหลาบร้อยกว่าดอกนั้นไปที่หอพักหญิงคณะแพทย์ทันที เพราะคิดอย่างเดียวว่านุ่นคือคนที่เหมาะสมมากที่สุดที่จะเป็นเจ้าของกุหลาบทั้งหมดนี้
เมื่อนุ่นเดินลงจากหอมาหาผมเจอผม สีหน้าของนุ่นรู้สึกดีใจ นุ่นยิ้มเผยฟันขาวมีระเบียบแล้วทักผม

พล   !  พรุ่งนี้ต่างหากวันวาเลนไทน์

ผมสะดุดอารมณ์ทางความคิดไปชั่วขณะเพราะผมลืมไปว่าวันนี้วันที่ 13กุมภาพัน์ซะสนิท แต่ผมก็ลื่นไหลไปว่า

ถ้าเราต้องการให้ดอกไม้กับคนที่เรารู้สึกดีๆด้วย จำเป็นต้องรอให้ถึงวันวาเลนไทน์เหรอ

นุ่นยิ้มรับผมไม่เคยเห็นนุ่นยิ้มอย่างมีความสุขอย่างนี้มาก่อน  เราสองคนสบตากันและนั้น.....นั้นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องเศร้าทั้งหมด

พลกำลังจะบอกว่า...ต่อไปนี้เราสองคน... 

ใช่เราอยากให้นุ่นเป็นคนพิเศษสำหรับเรา  
 
มันคือคำตอบอย่างเด็ดเดี่ยวของผม ในตอนนั้น  ในหัวผมคิดเพียงแต่ว่า นุ่นคือผู้หญิงที่ผมรัก และผมจะหายจากอาการที่ชอบมองผู้ชายด้วยกัน  ช่วงปีสองถึงปีสามในมหาวิทยาลัยเป็นช่วงที่ผมมีความสุขมากที่ผมได้คบนุ่นเป็นแฟน  และการคบกันของเราสองคนก็ดูเหมือนว่าจะทำให้ผมลืมการมองผู้ชายไป ผมสนใจแต่นุ่น เราเป็นเหมือนปาท่องโก๋ ผมคิดว่าผมคงหายจากอาการชอบผู้ชายเพราะนุ่นแน่ๆ แต่ความรักระหว่างเราสองคนก็ไม่ได้ล่วงเกินกันถึงขั้นชิงสุขก่อนห่ามจนกระทั่ง

การปิดเทอมของปีที่สาม ปีที่นักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์สามารถยื่นเรื่องขอฝึกงานเพื่อเรียนรู้ชีวิตการทำงานในสถานที่จริงในช่วงภาคฤดูร้อน ผมได้รับการการตอบรับจากสำนักงานการออกแบบด้านวิศวกรรมแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร ที่ทำงานนี่เองทำให้ผมได้พบกับ พี่  สมชาย

พี่สมชาย เป็นหัวหน้าแผนกที่ผมฝึกงานอยู่อายุ 35 ปี พี่สมชายมีรูปร่างสูงใหญ่ สูงประมาณ 185 เซ็นติเมตร หน้าตาสะอาดหมดจด ขาว ตี๋ ปากแดงๆ ใส่แว่นน่ามองยิ่งนัก  ตั้งแต่วันแรกที่ผมเข้ามาฝึกงานในที่สำนักงานแห่งนี้ ผมรู้สึกได้ว่าพี่สมชายแอบลอบมองผมอยู่บ่อยๆ  ในตอนนั้น ผมไร้เดียงสาเกินกว่าจะรู้ว่านั้นคือ เกย์ด้า ที่พี่สมชายต้องการจะส่งสัญญาณให้ผมตอบรับ ผมรักษาระยะการพูดคุย การวางตัวของผมต่อพี่สมชายทุกครั้งตลอดเวลาของการทำงานเพราะผมต้องเตือนสติตัวเองอยู่ตลอดเวลาผมคือนักศึกษามาฝึกงานผมต้องรักษาชื่อเสียงเกียรติของสถาบันเอาไว้ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดี รุ่นน้องจะได้โอกาสมาฝึกงานที่นี่ต่อไป อีกอย่าง ตอนที่ผมเรียนอยู่ปีสอง ผมก็เจอกรณีของพี่ชัยยุทธ ผมไม่อยากมีประวัติซ้ำรอย และที่สำคัญ ผมคิดว่าผมหายจากอาการเป็นเกย์ ผมคิดเอาเองของผม ซึ่งอาการเหล่านั้น หายได้เพราะผมคบกับนุ่น....  


วันหนึ่งขณะที่ผมกำลังทำงานที่ได้รับมอบหมาย โทรศัพท์ของสำนักงานบนโต๊ะทำงานชั่วคราวของผมก็ดังขึ้น นุ่นนั้นเอง นุ่นโทรมาบอกผมว่าคณะแพทย์ของเธอปิดเรียนแล้ว  ( คณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จะเปิดปิดไม่ตรงกับคณะอื่น ) จะตามลงมาอยู่กับผมที่กรุงเทพฯสัก 2-3 วัน ก่อนที่จะกลับบ้าน ผมดีใจที่ได้รับข่าวนั้น เหมือนระฆังช่วยชีวิต  !   สวรรค์ส่งนุ่นมาช่วยให้ผมไม่วอกแวกต่อพี่สมชายเป็นแน่ 

วันต่อมาผมไปรับนุ่น และให้นุ่นพักกับผมที่หอพักที่ผมเช่าไว้ขณะฝึกงานและนัดกันว่าหลังผมเลิกงานเราจะไปทานข้าวด้วยกันสองคนเป็นการต้อนรับนุ่น
ตอนบ่ายสามของวันนั้นพี่สมชายเดินมาที่โต๊ะพร้อมแบบผังโครงการมาให้ผม   ยิ้มพร้อมกับบอกว่า

พล วันนี้น้องพลต้องช่วยพี่หน่อยล่ะ งานนี้ต้องส่งให้ทันมือลูกค้าแต่เช้าตรู่ เพราะฉะนั้นงานชิ้นนี้จะต้องเสร็จภายในวันนี้ ไม่ว่าจะดึกแค่ไหน พลคำนวณขนาดท่อและความลาดเอียงของระบบท่อน้ำทิ้งของโครงการให้เรียบร้อย แล้วพี่จะตรวจสอบนะ

ครับพี่                   

ผมยิ้มตอบด้วยความเต็มใจเพราะเรื่องการคำนวณและการวางแผนงานท่อเป็นเรื่องที่ผมถูกสอนมาแล้วจากพี่สมชายเองนั้นแหละ

การทำงานของผมดำเนินไปต่อเนื่องแต่เมื่อใกล้เวลา 5 โมงเย็น  งานของผมไม่มีวี่แววว่าจะเสร็จแน่ ผมจึงโทรไปบอกเลิกนัดกับนุ่นที่หอพักพร้อมกับให้นุ่นทานข้าวก่อน เพราะผมไม่รู้ว่างานจะเสร็จเมื่อไหร่  นุ่นมีน้ำเสียงที่ผิดหวังเล็กน้อยแต่ก็เข้าใจถึงสภาพงานของผมว่ามันฉุกละหุกจริงๆ  ผมบอกว่าจะชดเชยให้วันพรุ่งนี้ นุ่นอวยพรให้ผมทำงานเสร็จไวไว จะได้กลับมาเจอกัน

ผมทำงานไปด้วยความบากบั่น ดูเหมือนงานจะต้องใช้เวลามากกว่าที่ผมประเมินไว้  คนอื่นๆ กลับบ้านไปทีละคนสองคน จนทั้งออฟฟิตเหลือกันอยู่แค่สองคน   โดยที่ผมอยู่คนเดียวในห้องกว้างและพี่สมชายกำลังตรวจงานอื่นๆ และรอตรวจงานของผมอยู่ในห้องประจำตำแหน่ง เมื่อผมทำงานเสร็จผมเหลือบไปที่นาฬิกาเป็นเวลา 2030 นาฬิกาแล้ว  ผมเงยหน้าถอนหายใจแล้วก็เจอพี่สมชายกำลังเดินมาที่โต๊ะผม ในมือทั้งสองข้างของพี่สมชายมีถ้วยกาแฟถ้วยใหญ่ทั้งสองมือ  พี่สมชายยิ้มให้ผมเช่นแล้วพูดกับผมว่า

เลยเวลากินข้าวแล้วพี่กลัวเราหิวเลยชงโอวัลติลร้อนๆมาให้รองท้องก่อน

ขอบคุณมากครับพี่    พูดเสร็จผมก็รีบลุกจากเก้าอี้มารับถ้วยจากมือพี่สมชายพร้อมกับบอกพี่สมชายว่า

งานเสร็จแล้วครับพี่ เชิญพี่ตรวจทานได้เลย ผมเช็คตัวเลขคำนวณสองรอบครับ ไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาด

เท่าที่ตรวจงานที่ผ่านมา พลก็ไม่เคยทำงานพลาดนะครับ พี่ขอชม      พี่สมชายบอก

พี่สมชายก็ใจดี ดูแลผมช่วยผมให้ผมรู้จักการทำงานผมก็ต้องขอบคุณพี่สมชายมากๆ เพราะพี่ใจดีจริงๆ         ผมบอกพี่สมชายด้วยความจริงใจ

 ไม่ใช่ทุกคนนะ ที่พี่จะใจดีด้วย พี่สมชายบอกผมด้วยประโยคที่แฝงความหมาย  

เราสองคนเงียบจ้องตากัน หัวใจผมเริ่มเต้นถี่  หายใจแรง แล้วพี่สมชายก็วางถ้วยกาแฟ ก้าวเข้ามาประคองหน้าผมเงยขึ้นไปจูบกับพี่เค้า ผมสัมผัสถึงความเร่าร้อนของรสจูบพี่สมชายที่ผ่านริมฝีปากคู่นั้น  มือข้างขวาของผมยังถือถ้วยกาแฟอยู่ทำอะไรไม่ถูก พี่สมชายดึงตัวผมเข้าไปเบียดกับร่างกายของเค้ามือพี่สมชายลูบไล้ทั่วแผ่นหลังของผม ผมสัมผัสถึงความเป็นแข็งแกร่งเบื้องล่างของพี่สมชายผ่านเป้ากางเกง มือพี่สมชายดันสะโพกของผมเข้าไปเบียดให้ผมรู้ว่าเค้ามีความต้องการมากแค่ไหน ขณะเดียวกันผมคงจะปฏิเสธว่าผมไม่รู้สึกรู้สาเลยก็ไม่ถูก เพราะผมเต็มใจที่จะจูบตอบ  ช่วงล่างผมเบียดและบดคลึงสนอง จนคะเนได้ว่า พี่สมชาย....สมชายสมชื่อ 

 
แต่แล้วขณะที่ ผมเคลิ้บเคลิ้มกับรสจูบที่พี่สมชายจูบผม  สติสัมปชัญญะ ผมก็เรียกผมมาสู่ความรู้สึกถึงความเหมาะสม แม้ขณะที่ลิ้นของพี่สมชายอยู่ในปากผมก็ตามเถอะ แต่สิ่งที่เรียกสติกับมาคือแว่นตาของพี่เค้า เนื่องจากการจูบที่เร่าร้อน แว่นตาของพี่สมชาย ได้กระทุ้งกับหน้าผากผมจนรู้สึกเจ็บ  ผมรีบถอนจูบนั้น แล้วรีบพูดกับพี่สมชายด้วยอาการละล่ำละลัก


 พะ..พะ..พี่ครับ ผมว่าเรากำลังทำให้สิ่งที่ไม่ควรนะครับ ผมมาฝึกงาน....พี่เป็นเจ้านายของผม ผมคิดว่าผมกำลังทำผิดครับ 
 
 ผมหายใจหอบเพราต้องเรียกสติกลับมา ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ไม่กี่นาทีนี้คือสิ่งที่ผมกำลังเอ็นจอยก็ตามเถอะ  ได้ผล.....พี่สมชายถอนหายใจ หายใจแรงถี่คลายอ้อมกอดผม สีหน้าพี่สมชายเปลี่ยน

 ผมขอโทษ ผม...  ผมพูดต่อ

ไม่...ไม่... ไม่ต้องขอโทษพี่  พลพูดถูก เรื่องเหล่านี้ไม่ควรเกิด พี่ผิดเอง       พี่สมชายพูดแทรก

 ผม.. เออ...ผม   ผมพูดไม่ออก  การพูดผมตะกุกตะกักไปหมด

 พลกลับไปก่อนไป  งานก็เสร็จแล้ว ขอพี่ตรวจทานก่อนถ้ามีอะไรผิดพลาด พี่จะแก้ไขตัวเลขเองไม่ต้องห่วง   พี่สมชายเปลี่ยนเรื่องพูด หอบแบบงานเดินหันหลังให้ผม ผมรีบพูดออกมาจนรู้สึกว่าผมเสียงดังไป  
 
พี่สมชายครับ!   ถึงยังไง ผมก็นับถือพี่และพี่คือพี่ที่ใจดีสำหรับผมครับ! 

พี่สมชายหยุดเดินหันหน้ามาให้ผม   แล้วยิ้ม...เป็นยิ้มที่ผมรู้สึกว่ายิ้มนั้นทั้งดีใจ ทั้งขมขื่นปนกันแล้วเอ่ยว่า

อย่าบอกเรื่องนี้กับใครในออฟฟิตนะครับ พี่ขอร้อง

ผมพยักหน้าตอบรับ  แล้วพี่สมชายก็เดินเข้าห้องประจำตำแหน่ง...เสียงประตูปิด  ผมรู้สึกถึงความเดียวดายของพี่สมชาย และตอนนี้ ผมกำลังทำความรู้จักกับความเดียวดาย....ความเศร้าที่เกิดขึ้นกับตัวผมเอง   ผมรู้สึกสับสนเคว้งคว้าง บอกไม่ถูกว่ามันคือความรู้สึกอะไรกันแน่ ผมอึ้งหนักอก เดินทางกลับหอพักด้วยอะไรๆหลายๆอย่างที่เกิดจากความครุกรุ่นในจิตใจ

เมื่อผมกลับถึงหอพัก เจอกับนุ่น ผมคงมีสีหน้าที่เคร่งเครียดจนนุ่นสังเกตได้

งานหนักมากเหรอ แล้วทานข้าวเย็นยัง        

นุ่นถามผมด้วยความเป็นห่วง
ผมบอกนุ่นไม่ถูก ได้แต่พยักหน้า ทั้งๆที่ผมยังไม่ทานข้าวเย็น ผมเข้าไปอาบน้ำ ไม่เอ่ยปากใดๆอยากทิ้งตัวลงนอนบนเตียง 

ขอนอนก่อนนะ 

ตั้งแต่เดินเข้ามาในห้องนี่คือประโยคเดียวที่ผมพูดกับนุ่น แล้วผมก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง มองเพดาน นุ่นค่อยๆ ลมตัวลงมานอนข้างๆตัวผม แล้วกอดผม ผมมองหน้านุ่น  นี่เป็นครั้งแรกที่นุ่นกอดผม  ถึงแม้เราจะเคยอยู่กันสองต่อสองในที่รโหฐานมานับครั้งไม่ถ้วน  แต่นี้เป็นครั้งแรกที่นุ่นกอดผม มองหน้าผม แล้วเราก็จูบกัน ผมไม่รู้ว่าว่าใครจูบใครก่อน นุ่นโน้มตัวมาจูบผมก่อน หรือผมดึงตัวนุ่นเข้ามาจูบเอง  ผมรู้เพียงแต่ว่าผมเหงา ผมสับสน ผมพูดอะไรไม่ออก และการกอดสัมผัสของนุ่น มันช่างอบอุ่นละมุนละไมมันทำให้ผมรู้สึกว่าผมไม่ได้อยู่โดดเดียวในจักรวาลนี้  ผมถอนริมฝีปากผมออกมาจากริมฝีปากของนุ่น เรามองหน้ากัน  ผมถามนุ่นว่าพร้อมกับสิ่งที่กำลังจะเกิดหรือไม่

แน่ใจนะนุ่น...ว่านุ่นพร้อม

นุ่นพยักหน้า ตอบรับ แล้วทุกอย่างก็ดำเนินไปตามวิถีที่ควรจะเกิด ผมไม่ใช่ไม่เคยมีประสบการณ์ทางเพศกับผู้หญิง ผมมีบ้างแต่ที่ผ่านมาคือการมีเซ็กส์แบบไม่ได้มีความหมายอะไร แต่ในครั้งนี้ ผมกำลังมีกับผู้หญิงที่ผมรัก  ผมเล้าโลมนุ่น จูบนุ่นทั่วร่างกาย ค่อยๆถอดชุดนอนออกทีละชิ้นๆ จนเราทั้งสองตัวเปลือยเปล่า ผมถาโถมเข้ากอดและรวมตัวผมกับนุ่นเป็นหนึ่งเดียวกัน 

แต่...ถึงแม้คนที่อยู่ตรงหน้าคือนุ่นหญิงสาวที่สวยสดและมีรูปร่างอวบอิ่มสารีระ เป็นหญิงงามทั้งร่างกายไม่มีที่ติ แต่ภาพในหัวของผมกลับกำลังคิดว่าได้ร่วมรักกับผู้ชายคนนั้น...พี่สมชาย

ผมยอมรับว่าการร่วมรักของผมกับนุ่นในความรู้สึกของผมนั้นเป็นไปอย่างลำบาก เพราะผมต้องต่อสู้กับพลังภายในที่ต่อต้านอยู่ในตัวของผมเอง การร่วมรักยาวนานแค่ไหนไม่รู้ แต่ผมรู้สึกโล่งใจเมื่อทุกอย่างถึงจุดสุดยอด.......

ผมและนุ่นเราได้นอนกอดกันหลังจากร่วมรักเสร็จ เมื่อนุ่นหลับสนิท ผมค่อยๆคลายอ้อมกอดนั้น แล้วนอนหันหลังให้นุ่น   น้ำตาของผมค่อยๆไหลเพราะผมรู้ตัวว่าผมได้ทำความผิดต่อนุ่น ในขณะเดียวกัน ผมก็ค้นพบตัวเองว่าผมต้องการอะไรในชีวิตในเรื่องรสนิยมทางเรื่องเพศ  แต่ต้องแลกกับเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่ยุติธรรมสำหรับนุ่นเลย    ผมด่าตัวเองในใจ ทำไม !  เราห้ามไม่ให้เกิดเซ็กส์ระหว่างเจ้านายและลูกน้องได้ แต่ทำไมเราห้ามใจที่จะทำลายผู้หญิงที่ดีที่สุดต่อเราไม่ได้ ทำไม ทำไม และทำไม....


ผมนอนแน่นิ่งแต่ผมไม่สามารถข่มตาให้หลับได้จนล่วงเวลาถึงเช้า ผมดันตัวเองลุกขึ้นอาบน้ำ แต่งตัวพยายามทำตัวค่อยๆที่สุดเท่าที่จะค่อยได้ เพื่อไม่ให้นุ่นตื่น ผมรีบออกจากห้องไปทำงานโดยไม่บอกอะไรนุ่น   นุ่นหลับอยู่ที่เตียงอยู่โดยที่ผมไม่ได้ปลุก หรือกล่าวสิ่งใดกับเธอเลย

เมื่อผมไปถึงออฟฟิต บรรยากาศของผมกับพี่สมชายเป็นไปอย่างกระอักกระอ่วน เหมือนพี่สมชายทำอะไรไม่ถูก และผมก็เช่นกัน วันนั้นเป็นวันแห่งการทำงานที่ช้ามากที่สุดในความรู้สึกผม เพราะมีเรื่องให้ผมคิดหลายอย่างว่าผมจะทำอย่างไร จะรับผิดชอบอย่างไรกับนุ่น ทิศทางความสัมพันธ์ของผมกับนุ่นจะเป็นแบบไหน และผมเริ่มรู้สึกว่าผมได้มองพี่สมชายไปในวิธีที่แปลกออกไปเพราะเรื่องเมื่อวาน
เมื่อเลิกงาน การก้าวเท้าเดินกลับบ้านของผมเป็นเรื่องที่ฝืนใจมาก เพราะผมต้องกลับไปเจอนุ่น ผมเริ่มไม่ถูกที่จะพูดกับนุ่นอย่างไร และเมื่อผมถึงหน้าประตูห้องพัก เปิดประตูเข้าไป ผมพบกับ....ความว่างเปล่า.....นุ่นได้เก็บข้าวของออกจากหอพักผมแล้ว นุ่นทิ้งจดหมายไว้ที่หมอนบนเตียงที่เก็บในสภาพเรียบร้อย โดยมีข้อความสั้นๆ ว่า

 
พล
นุ่นขอกลับบ้านก่อนหนึ่งวันนะ  เจอกันตอนเปิดเทอม 
คิดถึงและ...รัก
นุ่น


ผมโล่งใจที่ไม่ต้องประจันหน้ากับนุ่น แต่แล้วความเป็นห่วงนุ่นก็มาแทนที่ ผู้หญิงหนึ่งคนที่พึ่งจะมีความสัมพันธ์ทางกายจะต้องแบกรับความกังวลแค่ไหน แม้แต่ตัวผมเองเป็นฝ่ายชาย ยังอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก นุ่นเป็นผู้หญิง  และที่สำคัญเป็นผู้หญิงไทย ที่เกิดมาในสังคมที่ไม่เปิดโอกาสให้ผู้หญิงได้มีเสรีในเรื่องของการแสดงออกในเรื่องเพศเท่าใดนัก นุ่นคงยิ่งจะลำบากกว่าผมเป็นแน่ ผมรีบโทรศัพท์ไปที่บ้านนุ่น  แต่พบกับเสียงของพ่อของนุ่น บอกว่านุ่นเข้านอนแล้ว ทั้งๆที่มันเป็นเวลาแค่ สองทุ่มครึ่ง  ถึงแม้ผมจะไม่ได้คุยกับนุ่นเลย แต่เมื่อผมรับรู้ว่า นุ่นถึงบ้านอย่างปลอดภัย ผมก็โล่งใจ อย่างน้อย...เธอก็อยู่ภายใต้ชายคาที่มีคนให้ความรักกับเธอ


ผมไม่กล้าโทรไปที่บ้านนุ่นอีกเลย ผมพยายามทำตัวให้ยุ่งเพื่อจะทำไม่ให้ผมมีเวลาคิดเรื่องความไม่สบายใจนั้น ผมตั้งหน้าตั้งตาฝึกงานจนครบกำหนดวันสุดท้ายของการฝึกงาน ผมเข้ารับใบประเมินการฝึกงานที่ห้องทำงานของพี่สมชาย ในห้องประจำตำแหน่งของเค้า พี่สมชายยื่นซองให้ผม

นี่คือใบประเมินความสามรถทั้งหมด รับไว้นะครับ อย่าทำหายและอย่าเปิดดูก่อนที่จะส่งถึงมืออาจารย์ประจำภาควิชานะครับเพราะไม่งั้นเดี๋ยวน้องพลไม่ผ่านการฝึกงานพี่ไม่รู้ด้วย

ผมรับซองประเมินการฝึกงานมา ผมกังวลกับคะแนนที่ได้พี่สมชายคงเห็นสีหน้ากังวลนั้นจึงบอกว่า

อย่าห่วงเลย  ผ่านอยู่แล้ว น้องพลทำงานดีอย่างนี้ แต่พี่อยากเสริมอย่างหนึ่ง วิชาการบางเรื่องของน้องพลยังไม่แน่นพอขอให้เสริมตรงนี้ จบมาทำงานจะได้ไม่มีใครว่าได้

 พี่สมชายให้คำแนะนำผม ผมยิ้มและขอบคุณ แล้วสิ่งที่ผมคาดไม่ถึงก็เกิดขึ้นเมื่อพี่สมชายกล่าวขึ้นว่า

ตอนนี้น้องพลก็พ้นสภาพเด็กฝึกงานแล้ว เราก็คงเป็นแค่พี่กับน้องและคนรู้จักกันไม่ได้ทำงานที่เดียวกันอีก พรุ่งนี้ก็วันเสาร์น้องพลจะว่าไงถ้าเราจะขับรถไปเที่ยวพัทยากันหลังเลิกงานเลี้ยงส่งน้องพลคืนนี้

ผมมองหน้าพี่สมชายไม่ตอบใดๆ พี่สมชายไม่เปิดโอกาสให้ผมคิดพร้อมกับพูดต่อว่า

พี่ไม่หวังว่าน้องพลจะมารักคนอย่างพี่หรอกนะ   แต่เรื่องคืนนั้นทำให้พี่สลัดน้องพลออกจากความคิดพี่ไม่ได้ซักที  ถ้าน้องพลไม่อยากไป  พี่ก็ขอโทษในสิ่งที่พี่...

ตกลงครับ      

ผมตอบตกลงทั้งๆที่พี่สมชายยังพูดไม่จบประโยคด้วยซ้ำ   พี่สมชายเงียบ ไม่มีเสียงตอบ พี่สมชายดีใจขึ้นและยิ้ม ผมชอบพี่สมชายตรงที่พี่สมชายเป็นคนที่ซื่อๆคิดอย่างไรก็บอกไปอย่างนั้นไม่มีมาดมากมายเหมือนคนหลายคนที่ผมเคยรู้จัก   ผมเดินออกมาจากห้องพร้อมซองประเมินการฝึกงานในกำมือ ผมดีใจที่การฝึกงานเสร็จสิ้น และในใจผมรู้ว่า ผมเลือกแล้วกับสิ่งที่ผมกำลังจะตัดสินใจ
หลังงานเลี้ยงอำลาผมที่พี่สมชายจัดขึ้น พี่สมชายบอกให้ผมไปกับรถพี่สมชายบอกว่าพี่สมชายจะมาส่งผมเอง แต่จริงๆ เราสองคนรู้อยู่แล้วว่าเส้นทางที่เรามุ่งตรงคือ โรงแรมที่พัทยา ระหว่างทางเราคุยกันเรื่องชีวิตของแต่ละคนจนกระทั่งผมเอ่ยปากว่า

ผมคิดว่าจะมีอะไรกับพี่สมชาย โดยพี่จะเป็นคนสุดท้ายและครั้งสุดท้ายของผม แล้วผมจะหันหลังให้กับสิ่งเหล่านี้ตลอดไป

พี่สมชายนิ่งถามผมว่า

ทำไมละครับ

อาจเป็นเพราะผมอัดอั้นมานาน ผมจึงเล่าเรื่องผมกับนุ่นให้พี่สมชายฟังและผมรู้สึกผิดต่อนุ่นและกำลังจะตัดสินใจจะไม่ยุ่งกับผู้ชายอีก เมื่อเล่าเสร็จพี่สมชายให้ความคิดเห็นสั้นๆว่า

ตามใจน้องพลแล้วกัน อีกเดี๋ยวน้องพลก็จะได้คำตอบ

เมื่อเรามาถึงพัทยา พี่สมชายได้เช็คอินเข้าโรงแรม เมื่อถึงห้องปิดประตูเท่านั้น เราสองคนก็โผเข้าหากัน กอดรัดฟัดเหวี่ยงแลกจูบกันอย่างเร่าร้อนเหมือนคนที่อัดอั้นและสามารถมาระบายได้ในคืนนี้ ต่างคนต่างรีบถอดเสื้อผ้าของตัวเองอย่างรวดเร็ว เมื่อร่างชายสองคนที่เปล่าเปลือยได้กอดบดคลึงกันและกัน ทุกอย่างเป็นไปตามความต้องการดิบของแต่ละฝ่าย แต่แล้วพี่สมชายก็หยุดการกระทำทั้งหมดพร้อมกับบอกว่า

ไม่ได้ พี่ทำอย่างนี้ไม่ได้ พี่จะทำกับคนที่ไม่รู้จักตัวเองไม่ได้

ผมชะงักกับสิ่งที่พี่สมชายพูด ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนกับกองไฟกำลังลูกโชนแต่โดนกระสอบป่านตบลงกองไฟให้ดับในทันที ผมมองหน้าพี่สมชายงงๆ พี่สมชายยิ้มแล้วขำพร้อมกับพูด

พี่ขอโทษ พี่ทำไม่ได้จริงๆ ฮ่าๆๆๆ     

พี่สมชายหัวเราะพร้อมกับทิ้งตัวเปล่าเปลือยลงบนเตียง

มานี่มา 

พี่สมชายเรียกผมให้ไปนอนข้างๆ  ให้ผมนอนหนุนแขนของเค้า แล้วนอนลงกอดพี่สมชายโดยที่เราไม่ได้ใส่ผ้าสักชิ้น แต่น่าแปลกที่เราสองคนกลับไม่ตื่นตัวทางเพศเลยแม้แต่น้อย  พี่สมชายจูบผมที่หน้าผากแล้วพูดอย่างถอนหายใจว่า

น้องพลเอ้ย...น้องพล   แล้วน้องพลจะทำอย่างไงกับน้องนุ่นต่อล่ะ    พี่สมชายถาม

ผมไม่รู้ ผมตอบตามความสัจจริง

บอกเค้า บอกความจริงทั้งหมดให้เค้ารู้               เสียงที่แนะนำของพี่สมชายจริงจังนัก

.............                 ผมนิ่งไม่มีความเห็น

พี่ไม่เชื่อว่าการเป็นเกย์จะหายเพียงเพราะคุณหันหลังไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้ชายแล้วไปแต่งงานกับผู้หญิง เหมือนคำพูดสั่วๆของผู้ชายโง่ๆบางคนว่าผู้หญิงจะหายเป็นทอมถ้าได้ลองนอนกับผู้ชาย
พี่สมชายพูดยาว

มันไม่ใช่เรื่องของการถูกหรือสอดใส่อวัยวะเพศแล้วจะหายนะ มันเป็นเรื่องของจิตใจความพอใจและมันคือสิ่งที่เราเป็นมาตั้งแต่เกิด

แต่ผมกลัวนุ่นจะโกรธผมว่าผมหลอกเค้า ผมแทรก

นั้นมันเป็นเรื่องของพลเองที่จะจัดการกับความกลัวนั้นยังไง ทุกคนมีความกลัวด้วยกันทั้งนั้นแหละ แต่พลคิดดูให้ดี พลกลัวจะทำร้ายจิตใจเค้าจะถึงขั้นหลอกตัวเอง ซึ่งจริงๆ พลไม่ได้หลอกแค่ตัวเอง พลกำลังหลอกผู้หญิงคนหนึ่งทั้งชีวิต เพียงเพราะกลัวทำร้ายจิตใจเค้า ถามใจตัวเองเถอะ จริงๆพลรักนุ่นหรือรักตัวเอง ถ้าพลกลัวเค้าโกรธเพราะว่าโดนหลอกแล้วเค้าจะเปลี่ยนไป นั้นคือ พลกำลังทำทุกอย่างเพื่อพลเอง ไม่ได้ทำเพื่อเค้า พลกลัวที่จะสูญเสียมิตรภาพดีๆ ต่างหาก พลทนไม่ได้ที่จะหาผู้หญิงที่ดีต่อพลไม่ได้อีกต่างหาก จริงๆ พลกำลังกลัวเสียเพื่อนรักไม่ได้กลัวเสียคนรัก

ผมรู้สึกหน้าชาเมื่อคนหนึ่งคนที่ผมรู้จักเฉพาะเวลาทำงานได้ไม่กี่เดือนจะอ่านผมทะลุปรุโปร่งขนาดนี้

และที่สำคัญที่พี่รู้ว่าพลรักนุ่นแบบเพื่อนที่รักมากที่สุด ไม่ใช่รักแบบคนรักมากที่สุดก็คือ...ไม่มีผู้ชายคนไหนหรอกที่จะทิ้งผู้หญิงที่ตัวเองรักอย่างสุดหัวใจเพียงเพราะมานอนกับผู้ชายอีกหนึ่งคน เพราะพี่เชื่อเสมอว่าอยู่เสมอว่าถ้าคนหนึ่งคนรักใครอย่างสุดหัวใจแล้วจะไม่มีวันนอกใจเป็นอันขาด

พี่สมชายกอดผมกระชับแน่นขึ้นจูบที่ปากของแผ่วเบาผมช่วงเวลาสั้นๆ  มันเป็นจูบที่บริสุทธ์ผมรู้สึกได้   ไม่มีความรู้สึกของรสจูบที่ปนด้วยเสน่หาเลยแม้แต่น้อย

พี่ไม่รู้ว่าทำไมพี่ต้องรู้สึกดีกับพลขนาดนี้  พี่คงบอกพลได้เท่านี้ที่เหลือต้องเป็นพลเองที่จะตัดสินใจ 

..............................   

 ผมเงียบกอดพี่สมชายไว้เหมือนรู้สึกว่าในโลกนี้เรามีคนเข้าใจตัวเราจริงๆครั้งแรก   เราสองคนกอดกันทั้งๆที่ตัวเปล่าเปลือย ดื่มด่ำกับความเงียบของห้อง    เสียงเครื่องปรับอากาศที่ตอนแรกเราไม่ได้ยินก็กลับได้ยินเสียงของมัน เรากอดกันหลับ ปล่อยให้ความเงียบเป็นเสียงดนตรีกล่อมให้เรานอน และคืนนั้นเป็นคืนแรกที่ผมรู้สึกว่าผมหลับสนิทที่สุดหลังจากที่ผมนอนแทบไม่หลับมาหลายคืน
รุ่งเช้าเราไปท่องเที่ยวที่ต่างๆในเมืองพัทยาและชานเมืองทางชลบุรี ใกล้ค่ำเราสองคนก็ขับรถเข้ากรุงเทพฯ โดยเราสองคนไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องเซ็กส์ที่เกิดขึ้นระหว่างเรา นั้นอาจเป็นเพราะเราสองคนรู้ว่าความเป็นพี่เป็นน้องถึงแม้ไม่ใช่พี่แท้ๆก็แนบแน่นได้หากเราเข้าใจกัน และเราสองคนอยากดำรงมันไว้อย่างนั้น ไม่อยากให้เซ็กส์เป็นเงื่อนไขของการคบกันของเราสองคน  ตอนขับรถกลับพี่สมชายถามผมว่า

เป็นไง   สบายใจขึ้นไหม ?

ผมพยักหน้าแต่เมื่อพี่สมชายเอ่ยถึงเรื่องนี้เหมือนมีการมาสะกิดแผล ผมเริ่มอึดอัดอีกครั้งแต่ผมก็ถามพี่สมชายไปตรงๆว่า

ถ้าเรื่องผมกับนุ่นมันจบไม่สวยต่างคนต่างเจ็บละครับ ? 

พี่สมชายนิ่งสักอึดใจแล้วถามผมว่า

พลจำตอนที่เป็นเด็กหัดขี่จักรยานไหม   มีเด็กคนไหนบ้างที่หัดขี่จักรยานแล้วไม่เคยล้ม เด็กทุกคนเจ็บก่อนที่จะรู้ว่าลมปะทะหน้าตอนขี่จักรยานลู่สู่เนินถนน มันทั้งตื่นเต้นและสดชื่นแค่ไหน เด็กจะไม่รู้สึกถึงเรื่องเหล่านี้ ถ้าทุกคนไม่ยอมเจ็บและบากบั่นจนขี่จักรยานเป็น

ผมยิ้มกับคำตอบที่เปรียบเทียบอันชาญฉลาดของพี่สมชาย ผมมองออกผ่านกระจกรถยนต์ด้านข้างเห็นวิวทิวทัศน์  ผมคิดออกแล้วว่าทางออกที่ผมกับนุ่นจะมีนั้นมันควรเป็นไปในทิศทางใด....


..................จบตอนที่ 5 ...................				
23 มกราคม 2549 23:55 น.

ชายเทียมในโลกแท้ ( GayGuy in Straight World ) ตอนที่ 4 ใช่...ไม่ใช่ เอ๊ะ ใช่ หรือ ไม่ใช่กันแน่หนอ

ชายชัช

ตอนที่ 4 ใช่...ไม่ใช่ เอ๊ะ ใช่ หรือ ไม่ใช่กันแน่หนอ


		
		เช้าวันจันทร์อันวุ่นวาย   หลังจากที่ผมเคลียร์งานในโปรดักชั่นไลน์ที่ผมทำงานอยู่ในโรงงานแห่งหนึ่งในนิคมอุตสาหกรรมลำพูน   ผมเปิดอีเมล์เพื่อเช็คข้อความจากเพื่อนฝูงและบุคคลที่ผมติดต่อทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว ผมก็ได้รับอีเมล์หัวข้อ อยากให้พี่ช่วยดู ใช่ หรือ ไม่ใช่ จากน้องเล็ก น้องสาวที่ผมรู้จักช่วงเรียนมหาวิทยาลัย โดยมีข้อความยาวเหยียดดังนี้


พี่พลที่คิดถึงที่สุด ( หนูรู้ค่ะว่าพี่กำลังคิดว่าหนูตอแหล แต่หนูไม่สนค่ะ)


พี่พลขา.......ตั้งแต่หนูเรียนจบมาทำงานฟาร์มโคนมช่วยพ่อแม่ที่สิงห์บุรีนี่ ชีวิตอันแสนบรรเจิดของหนูก็เปลี่ยนไป  ไม่มีอีกแล้วสาวสังคมเมือง มีแต่อีหนูชนบททรหดกับความอัตคัดต้องสู้กับความเปล่าเปลี่ยวอันเหงาหัวใจ อยู่ที่นี้เหงามากค่ะ ที่พักและที่ทำงานหนูอยู่ไกลจากตัวเมืองตั้ง 40กว่ากิโลจะมีโอกาสเจอเพื่อนๆที่กรุงเทพก็ต้องรอ เสาร์อาทิตย์โน้นค่ะถึงจะเจอกัน ล่าสุดเจอกันก็เดือนที่แล้วทุกคนบ่นคิดถึงพี่พลใหญ่เลย โดยเฉพาะเวลาความเห็นไม่ตรงกันแล้วไม่มีใครมาตัดสิน  ไม่ว่าจะเป็น นุช ,กวาง, เก๋, หมวย และปิ่น ต่างก็ลงความเห็นว่า   เวลาเที่ยวหากขาดพี่พลไป เหมือนไม่ได้ใส่กางเกงในก่อนออกจากบ้าน...คือมันไม่มั่นใจมันหวิวๆค่ะ  อยากไปให้ถึงเชียงใหม่ไวไวจัง อ๊ะ งง ละสิ  เซอร์ไพร์!!!!!! ถูกต้องค่ะหนูกับกวาง จะเดินทางมุ่งตรงสู่เชียงใหม่ในวันศุกร์นี้ ย้ำค่ะ ศุกร์นี้ๆๆๆๆๆๆๆ ( กรุณาเก็บคอนโดให้เรียบร้อยพวกหนูจะไปพักด้วย ) นอกจากเรื่องที่พักแล้วหนูมีเรื่องจะรบกวนพี่พลค่ะ คืองี้ค่ะ



พี่พลขา........พี่พลรู้ไหมค่ะว่าทำงานแถบชนบทมันเหงาจับจิตแค่ไหนกิจกรรมแต่ละวันก็เป็นประจำซ้ำๆซากๆตื่นมาก็ตักบาตร ดูแลวัว ทำบัญชี ไปส่งนม แล้วก็เข้านอนตอนสี่ทุ่มกว่าๆ  ละครหลังข่าวที่ชีวิตนี้ไม่คิดจะดูก็ต้องดูเพราะเป็นความบันเทิงเดียวที่หาได้  ส่วนผู้ชายแถวนี้ ก็มีน้อย  จะมีก็ลูกจ้างที่กล้ามเป็นมัดแต่หน้าตาไม่ผ่านแล้วหนูมีกฎเหล็กของหนูคือสมภารไม่ควรกินไก่วัด แต่เหมือนฟ้าดินกลั่นแกล้งค่ะพี่พล คือ หนู...หนู...อยากกินสมภารค่ะ อันเนื่องมาจากแถวนี้ไม่มีผู้ชายถูกใจ  หนูก็เลยหันมาเหล่พระค่ะ พี่อ่านไม่ผิดค่ะหนูเหล่พระ ( แบบว่าแอบชำเลืองพินิจยามตักบาตร )  ถือเป็นความบันเทิงเริงใจอันหมิ่นเหม่ระหว่างศีลธรรมและนรกมากๆค่ะหนูรู้ แต่แล้ววันหนึ่งเหมือนกามเทพเล่นตลก สายตาที่หนูแอบชำเลืองไปจ๊ะเอ๋กับสายตาคู่หนึ่ง ....พระหล่อมากกกก (กรุณาออกเสียงด้วยความ กระเหี้ยนกระหือรือ) หล่อจริงๆค่ะพี่พล หล่อหมดจด ตั้งแต่วันนั้นหนูก็ตื่นด้วยความกระตือรือร้นที่จะสรรหาการทำกับข้าวให้อร่อยๆสุดฝีมือมาตักบาตรทำบุญ ช่วงนั้นหนูมีความสุขมากโดยเฉพาะหากวันไหนพระท่านยิ้มให้หนูขณะตักบาตรวันนั้นทั้งวันหนูจะอารมณ์ดีตลอดวันค่ะ



พี่พลขา......แต่แล้วก็เหมือนฟ้าดินกลั่นแกล้งวันหนึ่งพระรูปนั้นหายไปค่ะปล่อยให้หนูรอตักบาตรเก้อ  หนูกำลังจะเอ่ยปากถามพระรูปอื่นว่าพระที่หนูหมายตา เอ๊ย! พระที่หนูสบตา เอ๊ย! หนูจะใช้คำไหนหนูก็ตกนรกใช่ไหมคะ ด้วยความที่กลัวตกนรกหนูเลยสำรวมเก็บกริยาเงียบไว้ แต่ก็มีเสียงหนึ่งถามค่ะ ถามเจ้าอาวาสว่า 


พระองค์ที่หน้าตาดีๆอาพาธเหรอคะ ทำไมวันนี้ไม่มาบิณฑบาต


เสียงยายหนูเองค่ะ หนูเริ่มใจชื้นที่ไม่ได้มีแต่หนูคนเดียวที่เหล่พระ  ยายหนูก็ใช่เล่น อายุจะ80อยู่แล้วก็ยังหาความรื่นรมย์ให้กับชีวิตตัวเองอยู่  หนูเริ่มดีใจค่ะ หากตกนรกหนูยังคงมียายเป็นเพื่อน ไม่เหงาแล้ว..เย้      เจ้าอาวาสบอกว่า พระรูปนั้นสึกไปแล้วเค้าบวช 15 วัน สึกไปเมื่อวาน คำตอบนั้นทำให้หนูหัวใจแทบสลายหงุดหงิดทั้งวัน  เช้าวันต่อมาหนูก็ต้องตื่นเช้ามาตักบาตร แต่การตักบาตรแต่ละเช้ามาเต็มไปด้วยความทรมานของแรงคิดถึง จากวันเป็นอาทิตย์  จากอาทิตย์เป็นเดือน เวลาที่นานขึ้นทำให้หนูคลายความคิดถึงลงไปบ้าง แต่แล้ววันหนึ่ง ขณะที่หนูทำบัญชีที่ออฟฟิต ( เรียกดูหรูค่ะจริงๆมันเป็นเพลิงหมาแหงนมีโต๊ะหนึ่งตัวตั้งอยู่ข้างๆคอกวัวค่ะ )



พี่พลขา.....มีรถตำรวจแล่นเข้ามาที่ฟาร์มของหนูค่ะ หนูชักวิตกว่าเกิดอะไรขึ้น หนูรีบวิ่งออกไปดู แล้วเจอนายตำรวจคนหนึ่งเค้าเจอหน้าหนู แล้วถามว่า

   		จำผมได้หรือเปล่าครับ

หนูนะจำได้ดีค่ะมีหรือหนูจะลืม ...แต่ด้วยความเป็นหญิงไทยหรืออาจจะเป็นอิทธิพลของละครหลังข่าวที่หนูหัดดูทำให้หนูต้องตอบว่า

คุ้นๆค่ะ แต่จำไม่ได้ว่าเราเคยเจอกันที่ไหน

		ลองดูผมดีๆแล้วจินตนาการหัวผมไม่มีผมและก็ไม่มีคิ้วและก็ไม่ได้ใส่ชุดนี้.....เออ.... ผมหมายถึงอยู่ในชุดอื่นนะครับไม่ได้หมายถึงไม่ใส่เสื้อผ้า

สายไปแล้วค่ะ.....ร่างเปลือยของเค้าโดนหนูจินตนาการเรียบร้อยแล้ว        ก่อนที่เขาอาจจะตัดสินว่าหนูเป็นคนความจำไม่ดีหนูก็รีบตอบไป

		จำได้แล้วค่ะ พระนั้นเอง  ที่ดิชั้นเคยใส่บาตรทุกๆเช้า

ดูเค้าดีใจในคำตอบของหนูหนูรู้  หนูไม่เคยใช้มารยาหญิงเลยแต่ต้องงัดมาใช้วันนั้นละค่ะในใจเปิดแชมเปญฉลองแล้วค่ะแต่ภายนอกต้องสำรวมกริยาพร้อมกับถามเค้าว่า

		แล้วนี่เกิดเรื่องอะไรคะ ลูกจ้างดิชั้นไปทำความเดือดร้อนอะไรหรือเปล่า

		ไม่มีอะไรครับ ผมอยากจะมาขอบคุณที่ตักบาตรอุปถัมภ์ตอนที่ผมบวชนะครับ

		ดิชั้น ก็ทำหน้าที่เป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีนะค่ะ ( คำตอบนางเอกได้ใจมากค่ะ พี่พลขา)


หลังจากนั้นเราก็สานความสัมพันธ์เรื่อยมาค่ะพี่พลขา จนถึงตอนนี้ก็ปีกว่าๆแล้วที่เราคบกัน แต่หนูตะขิดตะขวงใจอย่างหนึ่งคือเค้าไม่เจ้าชู้เลยค่ะ ผิดวิสัยตำรวจมากๆและที่ทำให้หนูคาใจคือตอนที่หนูไปเที่ยวบ้านเค้า หนูเจอซีดีเพลงโอเปร่าค่ะ ไม่ใช่แค่แผ่นเดียวนะค่ะ มีเป็นคอเล็กชั่น หนูวิตกมากหนูกลัวเค้าเป็นเกย์แล้วมาจีบหนูบังหน้า เหมือนที่พี่เคยเล่าให้หนูฟังเรื่องเกย์ที่แอบแฝงใช้หญิงบังหน้า



พี่พลขา......พี่เป็นพี่ที่ใกล้ชิดที่สุดของหนู หนูรักพี่เหมือนหนูเป็นพี่ชายแท้ๆที่หนูไม่เคยมี ศุกร์นี้ที่เราจะไปเชียงใหม่ หนูชวนเค้าไปเที่ยวด้วย เราสามคน หนู เค้า และก็กวางจะขับรถไปกันเองค่ะ หนูอยากให้พี่พลเจอหน้าแฟนหนู แล้วช่วยดูให้หน่อยว่าแฟนของหนู...ใช่ หรือ ไม่ใช่ เกย์กันแน่ก่อนที่หนูจะถลำลึกไปกว่านี้



ช่วยหนูทีค่ะ 
  
 คิดถึงนะคะ

 จาก เอ็กซ์ลี อีเล็ก  



ผมอ่านเนื้อความในอีเมล์ของเล็กด้วยความอารมณ์ดี เล็ก เป็นรุ่นน้องคณะมนุษยศาสตร์ที่เจอกับผมตอนที่ผมไปลงเรียนวิชาจิตวิทยา เล็กและชาวแก็งของเธอจะมี กวาง นุช  เก๋ หมวย และ ปิ่น  เป็นซี้ตึ๋งหนึบ  ทุกคนมาอยู่บ้านของปิ่น  ที่พ่อของปิ่นเช่าไว้ให้ปิ่นขณะที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ บ้านนี้หญิงล้วน ผมจำได้ดีตอนที่ได้รู้จักกับกลุ่มน้องๆเหล่านี้  กลุ่มหญิงที่ทำให้ผมรู้จักว่าการเป็นผู้หญิงในปัจจุบันใช่ว่าจะเป็นเรื่องง่ายๆในการเอาตัวรอดในสังคมทุกวันนี้ ผมยังจำคำที่นุชประกาศกร้าวต่อหน้าทุกคนว่า

		ผู้ชายแม่งเลวว่ะ ต่อไปนี้จะใช้ชีวิตอยู่กับทอม

		เป็นคำพูดที่อันเนื่องจากนุชพึ่งโดนสลัดรักมาหมาดๆ แต่แล้วเชื่อไหมครับ เมื่อเรียนจบยังไม่ทันได้เข้าพิธีรับพระราชทานปริญญาบัตร นุชก็ก้าวเข้าสู่พิธีวิวาห์ก่อนใครเพื่อนอย่างน่าใจหายในความรวดเร็ว เธอลืมทุกอย่างลืมแม้กระทั้งว่าจะอยู่กับทอม บัดนี้ ผมคิดว่าน่าจะเป็นคราวของน้องเล็กบ้างที่จะเข้าพิธีวิวาห์   คิดมาคิดไปก็นึกถึงวันที่ได้ใช้ชีวิตการเป็นซุปเปอร์ในมหาวิทยาลัยกับเด็กพวกนี้ เรื่องที่ต้องมาใกล้ชิดเด็กพวกนี้ก็มาจากการแบ่งกลุ่มการทำรายงานตอนเรียนจิตวิทยาเมื่อผมอยู่ปี 5  แล้วน้องๆพวกนี้อยู่ปี 4  การแบ่งกลุ่มอาจารย์ให้จับกลุ่มกันทำรายงานกันสองคน 



ตอนนั้นหลังจากที่ผมเลิกประพฤติตัวเสเพลแล้วตั้งหน้าตั้งตาเรียน เพื่อดึงเกรดให้จบทันเวลา 5 ปีให้ได้  ผมจะเข้ามาเรียนวิชาไหนผมก็จะนั่งหน้าสุดทุกครั้ง  วิชานี้ก็เช่นเดียวกัน แต่เนื่องจากคงเป็นลิขิตของสวรรค์ในเทอมนั้น ทั้งห้องเรียนนั้นมีผมเป็นนักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์เพียงคนเดียวในหมู่นักศึกษาคณะอื่น นักศึกษาสาวคนหนึ่งที่นั่งถัดมาหน้าตาจิ้มลิ้ม ก็คือเล็กนั่นเอง ตอนแรกเราก็รู้จักกันแต่ชื่อ รู้จักกันในฐานะรุ่นพี่รุ่นน้องที่มาเรียนเซกชั่นเดียวกัน แต่เมื่ออาจารย์ให้แบ่งกลุ่มทำรายงาน ผมเห็นว่าเล็กตั้งใจเรียนและนั่งหน้าข้างผมมาตลอดไม่เคยขาดเรียนเลย เมื่อผมเห็นผลประโยชน์อยู่ตรงหน้าว่าน้องเล็กจะต้องเป็นรับผิดชอบในการทำงานแน่ๆ จึงรีบชิงเอ่ยปากขออยู่กลุ่มเดียวกันกับน้องเล็กก่อนที่น้องเล็กจะโดนคนอื่นชวนไปทำรายงานด้วย


		น้องเล็กครับ น้องเล็กมีคู่ทำรายงานยังครับ พี่ยังไม่มีคู่ถ้าน้องเล็กยังไม่มีคนทำรายงานด้วยขออยู่กลุ่มน้องเล็กได้ไหม

		น้องเล็กยิ้มอย่างเป็นมิตรและดูท่าทางดีใจเกินเหตุแล้วตอบว่า

		ยังไม่มีค่ะ นี่กำลังจะชวนพี่อยู่เหมือนกัน ดีแล้วค่ะหนูก็อยากให้พี่มาทำงานกับหนูเหมือนกัน

ผมรู้สึกราบรื่นยังไงบอกไม่ถูกในมิตรจิตมิตรใจนั้น เรานัดกันทำรายงานที่โต๊ะม้าหินอ่อนข้างหอสมุด 

วันนั้น วันที่สวรรค์เผยความจริงทั้งหมด

น้องเล็กว่าเราจะแบ่งการทำงานอย่างไงดีครับ         ผมเปิดประเด็น

พี่เป็นคนร่างเนื้อหาเป็นคนหาข้อมูลแล้วหนูเป็นคนพิมพ์ดีไหมคะ        คำตอบนั้นทำให้ผมรู้สึกแปลกใจไม่นึกว่าน้องเล็กจะตอบแบบนี้

อ้าว ทำไมอย่างงั้นละครับ การทำรายงานจะต้องไปหาข้อมูลด้วยกันแล้วนำมาแชร์แลกเปลี่ยนกันสิครับ

คือหนูเรียนไม่รู้เรื่องเลยค่ะ        เล็กโผล่งออกมา

อ้าว ! ก็เห็นน้องเล็กนั่งหน้าตั้งใจเรียนประจำ เรียนไม่รู้เรื่องเลยเหรอ     ผมถาม

หนู....หนูจะบอกตรงๆก็ได้ค่ะ ที่หนูลงเรียนวิชานี้เพราะหนู  ฮักเมา   อาจารย์ค่ะ         เล็กตอบปัญหาที่ผมถาม    ฮักเมา เป็นคำภาษาคำเมืองท้องถิ่น แปลว่า ปลาบปลื้มแอบหลงรักแบบเงียบๆมกมุ่นใฝ่ใจในเชิงเสน่หา โห นี่น้องเล็กเล่นข้ามรุ่นเลยเหรอเนี่ย

 อาจารย์เป็นคนเก่งในสายตาหนูมากๆ หนูเป็นปลื้มทุกครั้งที่ได้ไปเรียน หนูมัวแต่จ้องหน้าอาจารย์จนไม่ได้ฟังค่ะว่าอาจารย์สอนอะไรบ้าง เรียนแทบไม่รู้เรื่อง หนูขอโทษค่ะ แต่พี่รู้มั้ยคะ หนูดีใจมากที่พี่ชวนหนูมาทำรายงานกับพี่ เพราะพี่ตั้งใจเรียนตลอด หนูรู้ว่าพี่ต้องรับผิดชอบงานเหมือนสวรรค์ส่งพี่มาให้พี่มาช่วยเหลือหนู

......................  
     
ผมอึ้งนึกไม่ถึงว่าน้องเค้าตกลงทำรายงานกับผมเพราะเห็นผลประโยชน์ว่าผมท่าทางจะรับผิดชอบงาน โทษน้องเค้าก็ไม่ได้ เพราะผมก็เลือกเค้ามาทำรายงานเพราะดูท่าทางน้องจะมีความรับผิดชอบทำให้การทำรายงานสะดวกและง่ายเข้า ได้ยินแบบนี้นี้ผมเชื่อทันทีว่า บาปมีจริงและตอนนี้สวรรค์ก็กำลังจะลงโทษเราทั้งคู่

เมื่อรู้ดังนั้นผมกับน้องเล็กต้องตกลงการทำรายงานแบ่งงาน ผมลงทุนติวย้อนหลังที่เรียนมาให้เล็กเข้าใจและตามทัน   และการที่ผมทำแบบนั้นทำให้น้องเล็กรู้สึกดีกับผม  และนับถือผมเป็นเหมือนพี่ เหมือนเพื่อนสนิท เพราะน้องเล็กเป็นคนอารมณ์ดี พูดจาตรงไปตรงมาเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ขัน จึงทำให้เราสนิทกันอย่างรวดเร็ว    การทำรายงานผ่านไปได้ด้วยดี มิตรภาพระหว่างผมกับน้องเล็กขยายไปสู่หมู่เพื่อนน้องเล็ก นั้นคือ กวาง  นุช เก๋ หมวย และปิ่น เด็กสาวกลุ่มนี้ เป็นเด็กที่จัดว่าหน้าตาดี ถึงดีมากแต่ขณะเดียวกัน การใช้ชีวิตของเด็กกลุ่มนี้สมัยเป็นนักศึกษาบางเรื่องก็ทำให้ผมตกใจไปไม่ใช่น้อย เช่น การเที่ยวกลางคืนทุกวันเสาร์ น้องเล็กรู้ว่าเพื่อนร่วมรุ่นของผมเรียบจบไปแล้วแต่ผมยังเรียนไม่จบ จึงชอบชวนไปเที่ยวกลางคืนด้วยประจำ 

ขอบคุณที่ชวนนะ แต่พี่คิดว่าพี่ไม่ไปดีกว่า       ผมบอกน้องเล็กเมื่อน้องเล็กชวนผมเที่ยว

อะไร พี่พล ตั้งแต่รู้จักกันมา พี่ไม่เคยออกไปเที่ยวกับพวกหนูเลยนะ        เล็กตัดพ้อแบบเสียดาย

ขอโทษ คือช่วงหนึ่งพี่เที่ยวมากเที่ยวจนตื่นสายไม่ไปเรียนนะ พี่ไม่อยากทำให้พ่อแม่ผิดหวังอีก        ผมบอกน้องเล็ก

อะไรวะ ?!  พี่ก็ นี่หนูชวนเที่ยวคืนวันเสาร์นะ วันอาทิตย์ผีที่ไหนเค้าจะมาเรียนมาสอนกัน อีกอย่างถ้าไม่เที่ยวพี่จะตื่นเช้ามั้ยตอนวันอาทิตย์นะ  ห๊า ! ?  หนูก็เห็นทุกวันอาทิตย์แหละที่ชีวิตมหาวิทยาลัยจะเริ่มขยับตัวทีก็ใกล้เที่ยง

พี่ก็อยากไปนะ แต่...        ผมกำลังจะพูดให้จบเล็กก็ตัดบทว่า

ไม่มีต่งมีแต่อะไรทั้งนั้น วุ้ย ! ออกไปเปิดหูเปิดตาบ้าง ถึงเที่ยวนะหนูก็ไม่เคยขาดเรียน พี่ก็คิดดูแล้วกันว่าจริงๆที่เราเรียนไม่ดี เพราะเที่ยวหรือเราไม่เข้าเรียน จริงๆก็คือไม่เข้าเรียนตามเพื่อนไม่ทัน แต่ถ้ารับผิดชอบแยกแยะว่าอันไหนเที่ยวอันไหนเรียนต้องเต็มที่ มันก็ไม่มีอะไรจะพลาดหรอก พี่ว่ามั้ย? 
       
เล็กพูดเป็นฉากๆผมได้แต่พยักหน้าตามความเห็นของน้องเล็กนี่ผมให้เด็กที่อ่อนกว่าผมมาให้สอนเรื่องชีวิตเหรอเนี่ย

 สองทุ่มคืนนี้จะขับรถมารับที่หน้าหอ เข้าใจมั้ย ถ้าไม่ไปหนูโกรธจริงๆ

 แน้.....น้องเล็กขู่ผมด้วย ผมจึงตอบตกลง

หากมองภาพภายนอกแล้วเด็กสาวกลุ่มนี้ช่างเป็นกลุ่มเด็กที่โดนพ่อแม่สปอยด์เต็มที่ ทุกคนอาศัยอยู่บ้านเช่าที่พ่อของปิ่น เช่าไว้ให้ ปิ่นมีรถยนต์ที่พ่อให้เอาไว้ใช้ 1 คัน นุชก็มีรถใช้ 1 คัน รวมทั้งน้องเล็กก็มีรถใช้ 1 คัน แต่เมื่อเข้ามาอยู่และใช้ชีวิตในกลุ่มนี้แล้วผมถึงได้รู้ว่า การเที่ยวทุกวันเสาร์เป็นแค่ปัจจัยความสนุกเท่านั้นที่เหลือ เด็กสาวทั้งหมดมีความรับผิดชอบที่สูงมาก  ช่วยกันเรียน ช่วยกันติวให้เพื่อนที่ไม่เข้าใจ เด็กกลุ่มนี้อาจจะดูใช้ชีวิตอย่างคึกคะนอง แทบไม่น่าเชื่อ เหล้า บุหรี่ เป็นเรื่องปกติในชีวิตตอนนั้น แต่เด็กพวกนี้รู้ตัวเสมอว่าหน้าที่หลักคือต้องเรียนให้ดีที่สุด


คืนนั้นหลังจากเที่ยวเสร็จ คนอื่นๆกลับรถไปกับรถของปิ่น และรถนุชบ้าง  ส่วนผมก็นั่งรถของเล็กมาโดยที่น้องเล็กเป็นคนขับ เมื่อขับรถมาถึงสี่แยกติดไฟแดง น้องเล็กลดกระจกลง แล้วหยิบบุหรี่ให้ผมหนึ่งตัว และก็สำหรับตัวเธอเอง อัดบุหรี่เข้าปอดแล้วพ่นออกมานอกกระจก แล้วมีวัยรุ่นชายสองคนนั่งซ้อนรถจักรยานยนต์มาเทียบข้างรถฝั่งน้องเล็กแล้วแซวว่า

จะไปไหนต่อจ้ะ คนสวย

น้องเล็กอัดบุหรี่เข้าปอดแล้วพ่นควันอย่างใจเย็น....ยิ้ม.....พร้อมกับตอบด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า

จะกลับซ่องค่ะหมดเวลาหากินแล้ว วันนี้ได้หลายประตูแล้ว ...... เหนื่อย!

วัยรุ่นชายสองคนอ้าปากค้าง รวมทั้งผมด้วยไม่นึกว่าจะได้ยินคำตอบแบบนี้ชายทั้งสองมองหน้าเล็กไม่วางตาน้องเล็กถือโอกาสพูดต่อ

มองอะไรกันจ้ะ ไม่เคยเห็นหรือไงยะ ! ? ! กะหรี่สูบยานะ ห๊า !

ไฟเขียวพอดี น้องเล็กเหยียบคันเร่งออกตัว พร้อมกับเร่งความเร็วให้พ้นจากสี่แยกนั้นเมื่อมาได้ระยะหนึ่งผมกับเล็กมองหน้ากันพร้อมกับระเบิดเสียงหัวเราะในสิ่งที่พึ่งทำความระห่ำไป

 ฮ่าๆๆๆๆๆๆ โอ้ย ขำ สนุกจัง          ผมหัวเราะ  น้องเล็กก็หัวเราะ
แล้วน้องเล็กก็เอ่ยปากพูดในสิ่งที่ผมอึ้ง

พี่พลเป็นเกย์ใช่ไหมคะ  
 
คำถามนั้น  ทำให้ผมผมหยุดหัวเราะทันที อึดใจเดียวเท่านั้น ผมก็ตอบว่า

 ใช่  พี่เป็นเกย์      น้องเล็กถอนหายใจแล้วบอกผมว่า

ก็แค่สงสัยค่ะ แต่ตอนนี้หายสงสัยแล้ว....เพราะได้ยินจากปากพี่เอง ตั้งแต่รู้จักเป็นเพื่อนกับผู้ชายมาก็มีพี่เท่านั้นละค่ะ ที่เลิกเที่ยวเธคแล้วขับรถมาไม่ลูบขาอ่อนหนู ที่เจอมา แม่ง ! พอขึ้นรถมา...มือแต่ละคนยังปลาหมึกจะลูบเข้าไปถึงโคนขาให้ได้ เห็นหนูเป็นเด็กเที่ยวแล้วก็คิดว่าหนูง่ายกับใครก็ได้ซะงั้น      น้องเล็กบอกผมอย่างเซ็งๆ

.............................       ผมเข้าใจในความระอากับสิ่งที่น้องเล็กบอก    น้องเล็กมองหน้าผมเรามองตากัน น้องเล็กยิ้ม

แต่หนูดีใจนะค่ะ ที่พี่บอกความจริงกับหนู ทำให้หนูรู้สึกปลอดภัยดี ก่อนหน้านี่หนูก็ไม่แน่ใจนะ สงสัยพี่เหมือนกันแต่ไม่แน่ใจ

ว้า  หมดความสงสัยแล้ว    อยากรู้อะไรอีกไหม ผมมองหน้าตอบด้วยสีหน้า หน้าเป็นกวนๆไป

เยอะแยะค่ะพี่ อูย....ที่หนูอยากรู้ ว่าแต่ว่าพี่ไม่ต้องเข้านอนหอในมหาลัยนะ ไปนอนบ้านปิ่นกัน ที่บ้านมีผ้าห่มหมอนเยอะแยะ คุยกับพี่สนุกดี เราจะได้คุยทั้งคืน

ทราบภายหลังว่าผมเป็นผู้ชายคนแรกและคนเดียวที่กลุ่มนี้ให้เข้าไปพักค้างคืนในบ้านได้ ในเวลาต่อมาผมก็เป็นสมาชิกที่เข้านอกออกในได้ทุกเวลา  ผมว่าเรื่องที่เล็กไม่มั่นใจในเรื่องนายตำรวจคนรักคนปัจจุบันของเล็กอาจมากจากเรื่องที่เรามีประสบการณ์ร่วมกันระหว่างน้องเล็กกับผมก็ได้ นั่นคือเรื่อง  พี่วิฑูรย์


เรื่องพี่วิทูรย์นี่ เกิดเมื่อตอนที่พวกผมและพวกน้องเล็กสอบเสร็จและเรียนจบกันใหม่ๆตอนนั้นเราเริ่มหาที่สมัครงาน แต่ยังใช้ชีวิตอยู่บ้านปิ่นประมาณสิงอยู่บ้านปิ่นเวลาหลายเดือน กลางวันหางาน กลางคืนเที่ยวเธค ดูๆไปก็เหมือนสิ้นเปลือง แต่เรารู้ว่าควรเที่ยวอย่างไร เราไม่เน้นดื่มครับ เราเน้นเต้น โค้ก หรือเหล้าแก้วเดียวก็อยู่ได้จนเธคปิด


วันนั้นผมกับน้องเล็กออกมายืนรับอากาศบริสุทธ์นอกเธคให้เต็มปอดก่อนจะเข้าไปผจญอากาศในเธคอีก  พลันน้องเล็กก็สะกิดผมแล้วบอกว่า

พี่พลขา  ที่ 9 นาฬิกาค่ะ เสื้อฟ้า ยืนคนเดียวซะด้วย

ผมมองไปตามที่น้องเล็กบอกตามตำแหน่ง 9 นาฬิกาเจอชายอายุประมาณ ยี่สิบตอนปลายสูงโปร่ง หน้าตาคงเป็นที่ถูกใจของสาวๆ หลายคน คือ ขาว ตี๋ สูง ดูท่าทางแมนมากๆท่าทางสะอาดๆ เมื่อผมสำรวจที่ใบหน้าของชายคนนั้น 

พลัน!.....ผมก็รู้สึกถึงแรงดึงดูด หรือ คลื่นบางอย่างที่เค้าต้องการส่งมาที่ผม หลายคนคงไม่รู้ว่าคนที่เป็นเกย์นั้นจะมีคลื่นความถี่จูนหากันว่าใครมีความถี่ประเภทเดียวกันหรือเปล่า คล้ายๆคลื่นเรย์ด้า ผิดแต่ว่านี่คือคลื่น เกย์ด้า หลายคนอาจจะบอกว่า เราไม่สามารถตัดสินคนที่ภายนอกได้ ถูกต้องครับ เราไม่สามารถตัดสินคนที่ภายนอกได้ แต่เกย์ด้วยกันเมื่อทั้งสองฝ่ายปล่อยคลื่นพลังเกย์ด้าออกมาสแกนหากันและกันแล้ว รับรองไม่มีพลาด   ขณะที่คลื่นเกย์ด้าของผมได้กำลังตอบสนองคลื่นเกย์ด้าผ่านตาตี่ๆ ของตี๋คนนั้นอย่างวาบหวามเสียงน้องเล็กที่พูดกับผมด้วยท่าทีระริกระรี้ก็เอ่ยขึ้นอย่างดีใจ

		อุ้ย !  พี่พลขา เค้ามองมาทางนี้ด้วย ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้  !  น่ารักจังเลย

		เมื่อผมได้ยินดังนั้นผมก็พูดเป็นการเตือนและปรามๆว่า

		เค้าอาจไม่ได้มองเล็กอยู่ก็ได้

		พี่พลน่ะ !         เล็กดุผมเหมือนไม่พอใจในคำพูดผม

		หนูจะมีผู้ชายยิ้มให้หน่อยก็มาทำลายบรรยากาศ ใครจะรู้คะ นี่อาจจะเป็นเนื้อคู่หนูก็ได้

		พี่ว่าไม่นะ        ผมตอบ

		เอ๊ะ ! พี่พลนี่ เมาหรือเปล่าขัดคอหนูจริงๆ

		 เปล่า พี่ไม่ได้ขัด แต่พี่กำลังบอกว่า เค้ากำลังมองมาที่พี่ ไม่ใช่ที่เล็ก       น้องเล็กมองหน้าผมประมาณว่านี่มันเรื่องอะไรกันนี่  แล้วน้องเล็กก็พูดว่า

		ไม่จริง  หนูไม่เชื่อหรอก เค้าออกจะดูดีจะตาย เค้ามองมาที่หนูต่างหาก      ดูน้องเล็กมีความมั่นใจที่สูงอย่างไม่ลดละ ทำให้ผมเริ่มรำคาญ เพราะผมก็มั่นใจในการปล่อยคลื่นเกย์ด้าของผมในระดับหนึ่งเช่นเดียวกัน ผมจึงท้าทายกับน้องเล็กด้วยความคึกคะนองว่า

		 เอางี้ เรามาดูกันดีกว่า ว่าผู้ชายคนนั้นจะตอบสนองอะไร ระหว่างจิ๋มกับจู๋  ? ถึงทั้งสองจะ จอ จานเหมือนกัน แต่เรามาดูว่าเค้าจะเลือก จอ ไหนก่อน

		โอ้ว..... นี่พี่พลกำลังจะบอกว่า พี่มั่นใจว่าเค้าจะเลือกพี่ แทนที่จะเลือกสาวเซ็กซี่อย่างหนูงั้นเหรอ ?          เล็กพูดด้วยน้ำเสียงล้อเลียน ดูเหมือนว่ามิตรภาพของเราเริ่มสั่นคลอนสาเหตุจากผู้ชายหน้าตาดีที่เราทั้งสองยังไม่รู้จักชื่อด้วยซ้ำ

		เดี๋ยวก็รู้      ผมขึ้นเสียงสูงท้าทายเล็กพร้อมกับพูดกับเล็กต่อว่า

		เล็ก ! พี่ไม่อยากให้เล็กเสียเซ้วนะ แต่ขอให้รู้ว่าพี่จะทำให้เค้าทิ้งสาวเซ็กซี่อย่างเล็กมากับพี่  โอะ โอะ โอะ จะว่าทิ้งไม่ได้สิ เพราะเค้าไม่มองสาวเซ็กซี่ตั้งแต่แรก เค้าอยากจะเอาผู้ชายที่มากับสาวเซ็กซี่ต่างหาก         ประโยคสุดท้ายผมก็ทำเสียงล้อเลียนเล็กคืน

		นี่พี่กำลังล้อเลียนหนูอยู่เหรอ    น้องเล็กไม่พอใจ

		ดี ! เรามาดูกันว่าเค้าจะเลือกใคร   พี่หรือหนู?  จู๋หรือจิ๋ม ?    น้องเล็กท้าทายกลับ

		ผมยิ้มรับคำท้าทาย จากนั้นผมปรายตาไปที่ชายหนุ่มคนนั้น น้องเล็กก็เช่นเดียวกัน ประมาณผูกมิตรกับชายหนุ่มคนนั้นสุดชีวิต ชายคนนั้นค่อยยิ้ม ตาเป็นประกายตอบรับสายตาของเราทั้งคู่ เค้าค่อยๆเดินมาหาเรา ผมยิ้มพร้อมกับเค้นเสียงที่ได้ยินกันแค่สองคนโดยไม่มองหน้าเล็กว่า 

 		แล้วเล็กจะรู้ว่าผู้ชายไม่ได้สร้างเมื่อเพื่อผู้หญิงอย่างเดียว    น้องเล็กตอบสวนกลับทันที

		เค้าเดินมาแล้วเตรียมตัวรับความพ่ายแพ้ได้แล้วค่ะ พี่พล

		ชายคนนั้นเดินมาอยู่ตรงหน้าเราสองคน แล้วทักว่า

		มาเที่ยวเหรอครับ

		เปล่าครับ  ผมเอาผ้ามาส่งซักแห้งนะครับ พอดีเธคนี้รับซักแห้งเลยกะจะใช้บริการ

		พอได้ยินผมตอบชายคนนั้นหน้าเจื่อน  ผมจึงรีบพูดขึ้นว่า

		มาเที่ยวสิครับ แหม ถามได้ เที่ยงคืนหน้าเธค

		อย่าถือสา พี่ชายหนูเลยค่ะ เค้าชอบพูดไม่ค่อยเข้าหู มีพี่ชายไม่ได้เรื่องก็แบบนี้แหละ หนูก็เป็นน้องสาวเค้าคะ  เราไม่ได้เป็นแฟนกันค่ะเป็นแค่พี่น้อง

		น้องเล็กแย่งพูดและชิงทำคะแนนเปิดโอกาสให้หนุ่มคนนั้นรู้ว่าเราไม่ได้เป็นแฟนกัน

		หวัดดีครับ พี่ชื่อ วิฑูรย์ อยู่กรุงเทพ มาเที่ยวเชียงใหม่สุดสัปดาห์นะครับ นึกไม่ถึงว่าเด็กเชียงใหม่จะน่ารักขนาดนี้   

ชายคนนั้นแนะนำตัวพร้อมกับสบตาผมอย่างมีความหมาย ผมยิ้มรับบอกว่า

		ผมชื่อพลครับ ดีใจที่ได้รู้จักครับ และนี่ น้องเล็ก น้องสาวผมครับ ผมเองก็ใช่ย่อยการแนะนำตัวคราวนั้นผมก็ส่งสายตาให้เค้าเชิงรุกเช่นเดียวกัน

		 พี่วิฑูรย์ชื่อเพราะจังเลยค่ะ แถมหน้าตาดีซะด้วย    เล็กถือโอกาสชม พี่วิฑูรย์ยิ้มแล้วสบตาผมไม่วางตาพร้อมกับพูดว่า

		ขอบคุณครับ

		ก่อนที่บทสนทนาจะเริ่มมากกว่านั้นผมจึงพูดว่า

		 พี่ครับ ขอผมคุยกับน้องผมแป็บเดียวนะครับ

		จากนั้นผมดึงตัวน้องเล็กออกมา 7-8 ก้าว กระซิบให้ได้ยินกันสองคนว่า

		 ประเดี๋ยวพี่จะทำฟอร์มเข้าห้องน้ำนะ  ถ้าสักพัก เค้าตามพี่เข้าห้องน้ำละก็ คงคิดเองได้นะ ว่าถ้าเค้าจะหน้าหม้อกับเล็กจริง เค้าจะต้องไม่ทิ้งโอกาสที่จะอยู่กับเล็กสองต่อสองแน่   แต่เค้าตามพี่ไป  เล็กก็ต้องทำใจนะ ว่าน้องเล็กผิดมาตั้งแต่เกิดแล้ว ช่วยไม่ได้นะครับ ที่ดันเกิดมาไม่มีจู๋เอง

		 ได้ เรามาพิสูจน์กัน      เล็กตอบด้วยน้ำเสียงมั่นใจสุดฤทธ์อยู่อย่างเดิม

		ผมกับเล็กเดินมาที่เดิมโดยที่พี่วิฑูรย์ยังยิ้มให้ไม่ยอมหุบ แล้วผมก็พูดขึ้นว่า

		 เออ ผมขอตัวแป้บหนึ่งนะครับ ขอตัวเข้าห้องน้ำก่อนรู้สึกไม่ค่อยสะดวกนะครับ คือถ้าเข้าห้องน้ำแล้วทำอะไรมันคงสะดวกขึ้น ฝากน้องสาวคุยด้วยแป้บหนึ่งนะครับ 

ผมพูดเป็นนัยให้เค้ารับทราบ แล้วผมก็ยักคิ้วให้พี่เค้าหนึ่งครั้งพร้อมกับทิ้งสายตาจิกประมาณว่า ตามมานะครับ ผมจะรออยู่ที่ห้องน้ำ ซึ่งรหัสผ่านสายตานี้ หากเลือดของพี่วิฑูรย์ไม่สูบฉีดด้วย คำว่า กอ-เอ-ยอ-การันต์ อ่านว่าเกย์แล้ว ให้ตายเถอะ ไม่มีชายแท้คนไหนสนใจหรอกว่าผมจะพูดอะไรหากเค้าสนใจผู้หญิงหน้าตาสะสวยที่อยู่ตรงหน้าของเค้าอยู่   ผมแกล้งเดินช้าๆออกไป  ระหว่างทางถึงห้องน้ำ ผมเดินไปเรื่อยๆ ดูผู้คนไปไม่ได้รับร้อนอะไร เวลาผ่านไปสัก 5 นาที ก็ไร้วี่แววว่าเค้าจะเดินตามเค้ามา ผมชักไม่มั่นใจว่าเกย์ด้าของผมทำงานผิดหรือนี่ แต่แล้วผมก็ยิ้มอย่างผู้มีชัยเมื่อผมมองเห็นพี่วิฑูรย์ผ่านทางหางตา เค้ากำลังเดินเข้าประตูเธคมา เดินตรงมาที่ผม เค้ารีบเดินมา พยายามพูดเสียงแข่งกับดนตรีในเธคอันดังกระหึ่มกับผมโดยใช้วิธีดึงตัวผมเข้าไปใกล้ๆ เอาหน้าแทบจะมาแนบกับหน้าของผมพร้อมกับพูดที่ข้างๆ หูผมว่า

น้องพลครับ น้องน่ารักจังเลยครับ

ผมรู้สึกดีกับพูดนั้นพร้อมกันนั้นเค้าได้ถือโอกาสนั้นหอมแก้มผมเล็กๆ ทำให้ผมรู้สึกวูบวาบขึ้นมา แต่แล้วความวูบวาบและความรู้สึกซาบซ่านของการหอมแก้มก็หายไปในบัดดลเมื่อเค้าพูดต่อว่า

พี่รู้สึกโชคดีมากที่มาเที่ยวเชียงใหม่ พี่มองตาน้องครั้งแรกพี่ก็รู้เลยว่าน้องคือคนที่ใช่  วันนี้พี่เชื่อเลยครับว่ารักครั้งแรกมีจริง

โอ้ พระเจ้าช่วย ไม่นึกว่าอิทธิพลละครน้ำเน่าจะส่งผลต่อชายคนนี้ คำพูดนี้อาจจะทำให้เกย์วัยมัธยม และเกย์อุดมศึกษาบางส่วนระทวยตกสู่ในอ้อมแขนของพี่วิฑูรย์พร้อมกับถวายพรมไทเป เอ๊ย พรมจารีย์ให้ แต่ไม่ใช่สำหรับผม ผู้ซึ่งกร้านโลกมาบางส่วน ผมแทบจะหัวเราะกับคำพูดนั้นแต่ก็ยิ้ม เอ้า ไหนๆ เราก็เล่นบทนี้มาแล้วนี่ เล่นต่อไปจะเป็นไรไป จึงตอบกลับไปว่า

รักแรกมักจะมาไม่ทันตั้งตัวเสมอครับ    ผมยิ้มส่งตาเป็นประกายให้ พร้อมกับเสแสร้งทำเขินอายเหมือนต้องมือชายครั้งแรก

ก่อนพี่ขึ้นมาเชียงใหม่ หมอดูทักว่า พี่จะมีแฟนเป็นคนเหนือ พี่ไม่นึกว่ามันจะแม่นจริงๆ 

พี่วิฑูรย์ยิ้มให้ผมพร้อมสายตาเจ้าชู้  ผมได้ยินประโยคหลังสุด ในใจผมตะโกนสุดเสียงว่า  กูคนอิสานโว้ย! ไอ้ตอแหลได้โล่ห์  แค่มาเรียนมหาลัยเชียงใหม่เว้ย! หนอย เห็นผู้ชายผิวดี ขาวหน่อยละก็ทักเป็นคนเหนือหมด      ณ ตอนนั้นภายนอกผมอาจจะแสดงท่าทีตื่นเต้นต่อการโดนจีบและหว่านเสน่ห์ของพี่วิฑูรย์แต่ภายในนั้นเซ็งสุดๆกับบทจีบที่จอมปลอมและน้ำเน่าอยากจะบอกเหลือเกินว่า   นี่ เคยเจอคนจีบที่เก่งกว่าคุณเย้อะ คุณเทียบไม่ติดกับที่ผมเจอมา    แต่เพื่อรักษาหน้าจึงเอ่ยปากตัดบท


		เดี๋ยวขออนุญาต ไปดูน้องเล็กแป๊บหนึ่งครับ

		แล้วน้องพลนั่งโต๊ะไหนครับพี่จะไปสมทบน้องพลกับเพื่อนๆน้อง  พี่วิฑูรย์พูดไปพร้อมกับถือโอกาสเอามือมาโอบเอวผมอีก  ผมชักเริ่มทนไม่ไหว เริ่มรำคาญ แต่ยังคงรักษามารยาทไว้

		ผมนั่งอยู่โต๊ะแถว.....                ผมเกือบหลุดปากบอกสถานที่ของโต๊ะที่ผมนั่งในเธคใหญ่แห่งนี้ แล้วผมก็พบทางออกในการสนทนา

		เอางี้ดีกว่าครับพี่วิฑูรย์ พอผมเคลียร์กับน้องเสร็จ  ผมจะให้น้องและเพื่อนๆกลับไปก่อน แล้วผมจะเดินตามหาพี่วิฑูรย์เอง  ถ้าเราถูกสร้างมาคู่กันจริง ผมต้องหาโต๊ะพี่วิฑูรย์เจอแน่ จากนั้นเราจะมาดูกันว่าหมอดูที่พี่ดูมาแม่นจริงหรือเปล่า

		พูดเสร็จผมก็ยิ้มพร้อมกับกระพริบตาขวาให้สัญญาณหนึ่งครั้ง พี่วิฑูรย์มีสายตาหื่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัดประมาณว่าถ้าเสพสังวาสกันตรงนั้นได้คงทำไปแล้ว แล้วผมก็เดินออกมาพร้อมกับแกล้งเอามือไปโดนพี่วิฑูรย์ตอนจะปลีกตัวออกมาให้ความหวังแก่เค้า     ผมรีบเดินออกมานอกเธคยังเจอน้องเล็กอยู่ยืนอยู่ที่เดิม อัดบุหรี่อยู่เห็นได้ชัดว่าน้องเล็กกำลังอารมณ์เสีย เมื่อน้องเล็กเจอหน้าผมเธอก็ทักผมทันที

		ได้กันหรือยังละคะพี่พล 

		เล็ก! ก่อนจะพูดอะไร รีบไปที่รถแล้วกลับบ้านเดี๋ยวนี้   ผมเดินนำหน้าไปที่จอดรถอย่างรีบร้อน น้องเล็กเดินตามผมมาอย่างงงๆ พร้อมกับเร่งฝีท้าวให้เดินตามผม

		เกิดอะไรขึ้นเหรอพี่     น้องเล็กถามทั้งงง ทั้งตกใจ

		เออน่า  ออกไปจากที่นี่ก่อนเถอะเดี๋ยวพี่จะเล่าให้ฟัง

		เมื่อเราสองคนเข้ามาในรถก่อนที่น้องเล็กจะสตาร์ตเครื่งยนต์ก็ถามคำถาม

		แล้วพวกนั้นมันจะว่ายังไงที่เราสองคนกลับกันไปก่อน   น้องเล็กหมายถึงกวาง นุช  เก๋ หมวย และ ปิ่น  ที่ตอนนี้คงกำลังดิ้นอย่างเมามันกับเสียงดนตรีในเธค

		เราหายไปสองคนพวกนั้นคงไม่ห่วงมากเท่ากับหายไปคนเดียว อีกอย่างพวกนั้นกลับไปเจอเราที่บ้านเรื่องก็โอเคแล้วน่า

		เมื่อขับรถออกมาได้สักระยะหนึ่งผมก็พูดเยาะเย้ยน้องเล็กว่า

		เชื่อพี่หรือยังว่าเค้าไม่ได้มองเล็ก

		พี่รู้ได้ไงนี่ หนูล่ะไม่อยากจะเชื่อเลย พูดไปพูดมาก็ยังเสียเซ้วไม่หาย อะไรนี่ ผู้ชายเดี๋ยวนี้เค้าไม่มองผู้หญิงกันแล้วเหรอ  พี่พลรู้มั้ย พอพี่พลบอกจะเข้าห้องน้ำเดินไปเท่านั้นละ เค้าก็มองพี่พลตาม   ตางี้ หวานเยิ้มเชียว ชมว่าพี่พลน่ารักเน้อ  แถมถามหนูว่าพี่พลทำงานเรียนอยู่ที่ไหน หนูก็บอกว่า พวกเราเรียนจบแล้วกำลังหางานทำอยู่...        ผมกำลังอ้าปากพูดน้องเล็กก็ชิงพูดต่อว่า

 ยังค่ะ ยัง  ยังไม่เลิกสนใจ ถามว่าพี่พลมีแฟนหรือยัง หนูนึกในใจ อะไรวะ ถามหาแต่พี่พลอยากจะบอกไปว่าถ้าชอบกันนักทำไมไม่ตามกันไปห้องน้ำซะล่ะ คิดจบเท่านั้น อีพี่นั้นก็เอ่ยปากว่า น้องเล็กยืนคนเดียวนะครับ พี่ขอตัวเข้าห้องน้ำก่อน  หนูยังไม่ได้ตอบเลยว่าอยู่คนเดียวได้ไหม พี่เธอก็เดินงุดๆ ตามพี่ไปเข้าห้องน้ำเลย  รู้ตัวอีกทีอีพี่วิฑูรย์หัวคะยวย  ก็ใช้หนูเป็น ขัว ข้ามไปหาพี่ 

ผมขำที่น้องเล็กเปรียบเทียบว่าโดยใช้เป็น ขัว  คำว่าขัวนี้เป็นคำมาจากภาษาเหนือท้องถิ่น แปลว่า สะพาน  น้องเล็กหนอน้องเล็กคืนนี้เล็กคงเรียนรู้บทเรียนการเป็นสะพานให้คนอื่นข้ามไปแล้ว

 แล้วนี่เป็นไง ได้เสียกันหรือยังล่ะ    น้องเล็กพูดประชดแบบเล่นๆ

จากนั้นผมก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเธคระหว่างผมกับพี่วิฑูรย์ให้เล็กฟัง  เล่าเสร็จแล้วเล็กก็ถาม

อ้าว  แล้วทำไมพี่หนีออกมาล่ะ  พี่น่าจะไปต่อกับเค้านะ ผู้ชายด้วยกันไม่น่าจะมีอะไรเสียหายนี่

ทำไมเราต้องสานความสัมพันธ์ต่อล่ะ ในเมื่อพี่รู้อยู่แล้วว่าจุดจบมันอยู่ตรงไหนเค้าก็แค่คนมาเที่ยวต่างเมือง อยากมีอะไรแค่ชั่วข้ามคืน พี่ก็แค่คนนึกอยากจะสนุก...... ไม่ดีกว่าปล่อยให้คนอื่นหลงคารมเรื่องหมอดูของเค้าดีกว่าเกย์อ่อนหัดยังมีอีกเยอะบนโลกนี้ พี่ขอบายดีกว่า  
   
ผมตอบให้เล็ก เล็กยิ้มที่เข้าใจในความคิดของผม ในเมื่อรู้อยู่แล้วสัมพันธ์นี้ไม่ยืนยาวเราจะหาเรื่องไปทำไม เล็กมองหน้าผมแล้วชมผมว่า

พี่นี่ดีเน้อ หาวิธีปลีกตัวออกมาเก่งนะ อ้อ   อีกอย่างหนึ่งหนูงงจริงๆพี่รู้ได้ไงว่าพี่วิฑูรย์เค้าเป็นเกย์

เมื่อถึงบ้านผมก็อธิบายเรื่องของ เกย์ด้า คลื่นความถี่ลึกลับของเกย์ให้เล็กฟัง เมื่อพวกน้องๆ ที่ตามมาถึงบ้าน ต่างก็ต่อว่าเราที่หนีกลับมาก่อนโดยไม่บอกกล่าว  แต่เรื่องน้องเล็กเป็นขัวนี่ เป็นเรื่องเล่าไถ่โทษให้ทุกคนหายโกรธได้อย่างดี  ตั้งแต่นั้นมา...หากน้องในบ้านผู้หญิงคนไหนแอบชื่นชมผู้ชายคนใดเป็นพิเศษ หากผ่านเกย์ด้าที่ผมสแกนให้แล้วแล้ว รับรองหายห่วง 
นี่อาจจะเป็นเหตุการณ์หนึ่ง ที่อาจมีอิทธิพลต่อน้องเล็กในตอนนี้ก็ได้ ถึงขนาดเอาพระ เอ้ย นายตำรวจอดีตพระมาให้ผมดูตัว
วันศุกร์นี้แล้วสินะ ที่เราจะได้รู้ความจริง ....                                                                                                            

จบตอนที่ 4......................................................				
21 มกราคม 2549 01:13 น.

ชายเทียมในโลกแท้ ( GayGuy in Straight World ) ตอนที่ 3 เราล้วนต่างอยู่เพื่ออะไร

ชายชัช

ตอนที่ 3 เราล้วนต่างอยู่เพื่ออะไร 

		
         	  เมื่อผมเล่าเรื่องที่ผมอกหักให้เพื่อนฟังเสร็จ  อาหารก็เริ่มจะหมดโต๊ะพอดี อาจเป็นเพราะทุกคนหิวหรืออาจเป็นเพราะบรรยากาศของเพื่อนฝูงกลับมาอีกครั้งจึงทำให้ทุกคนเจริญอาหารก็ได้ หลังจากที่ทุกคนเริ่มวางช้อนส้อมสำหรับมื้อนั้น ผมได้สั่งให้บริกรเคลียร์โต๊ะ เพื่อให้ทุกคนได้ดื่มและพูดคุยกันได้สะดวกยิ่งขึ้น ไอ้เอกได้สั่ง ยำแหนม  มันฝรั่งทอด และผลไม้รวม มาเป็นของกับแกล้ม

		 เรื่องอกหักของมึงนี่กูไม่เห็นมันจะเศร้าตรงไหนเลยว่ะ ไอ้ภูมิเปรยขึ้น

		 แหมมึง เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว ไอ้เศร้านะ...หลังอกหักใหม่ๆ มันไม่เศร้ามากหรอก มันเศร้าหลังจากนั้นต่างหาก  พอหลังจากที่กูได้รู้ว่าโลกที่กูได้เหยียบเข้าไปหา...มันน่าค้นหาสำหรับเกย์ฝึกหัดอย่างกูในตอนนั้นมากแค่ไหน  กูก็เริ่มใช้ชีวิตของกูอย่างคุ้มค่า มีเรื่องหนึ่งที่กูอยากจะขอบใจพี่ชัยยุทธด้วย  ผมตอบมัน

		 ขอบคุณ ?? ทั้งที่นายโดนนอกใจนะเหรอ ??  เต้ถามผมบ้าง

		 นั่นสิ ! เราไม่เห็นว่าพลจะต้องไปขอบคุณเค้าตรงไหนเลย  ทิวออกความเห็นบ้าง

		 ต้องขอบคุณสิ อย่างน้อยเราก็ได้ประโยคเด็ดในการชวนหนุ่มไปกินข้าวด้วย โดยไม่ต้องชวนตรงๆ แค่บอกว่า....ผมอยากกินอาหารหลายๆอย่าง ว่าจะสั่งมาทั้งหมด แต่ผมคนกินคนเดียวไม่หมดแน่ ไม่ทราบว่าคุณว่างพอจะไปกินเป็นเพื่อนผมไหมครับ.... อย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลยว่ะ ถ้าเค้ามีใจให้อยากไปกับเราอยู่แล้ว.....เป็นอันเสร็จเราทุกราย    ผมพูดจบพร้อมกับยิ้มด้วยสีหน้าอวดเล็กๆ ยังไม่ได้พูดอะไรต่อ ไอ้เอกก็สอดมาว่า

		 มิน่า มีอยู่ช่วงหนึ่งมึงชอบไปกับผู้ชายไม่ซ้ำหน้าเลยที่แท้มึงก็..... 

		 ใช่ กูมีอะไรกับผู้ชายหลายคนในตอนนั้น   แล้วไง?? กูไม่เห็นว่ามันจะแปลกตรงไหน พี่ชัยยุทธเค้ามีของเค้าไปเรื่อยๆได้ ทำไมกูจะมีเรื่อยๆ ของกูบ้างไม่ได้งั้นเหรอ   ผมตอบ

		 นาย ก็เลยถือว่าการมีอะไรกับคนอื่น...ถือเป็นการ...แก้แค้นเค้างั้นเหรอ ???  ตุลย์ถามผม

		 บอกตามตรง...ใช่ ! นายคิดดูในตอนนั้น กับการที่เราต้องอกหักแล้วต้องมาเจอเค้าที่สปอร์ตคลับเดิม เห็นการมีความสุขของเค้าทุกวันๆกับผู้ชายคนใหม่ มันไม่ใช่เรื่องง่ายนะที่จะผจญเรื่องแบบนั้น เราเลยคิดอยู่อย่างเดียว ในเมื่อเค้ามีความสุข แล้วทำไมเราจะมีความสุขด้วยตัวของเราเองบ้างไม่ได้  เค้ามีความสุขแค่ไหน...เราต้องมีความสุขมากกว่าเค้าให้ได้ 

		 แล้วมันคุ้มกันไหมว่ะ   ตุลย์ถามผม ผมมองหน้าตุลย์   ยิ้มแล้วส่ายหน้า

		 ตอบตามวุฒิภาวะของเราตอนนี้   เฮ้อ ! ไม่มีทางที่มันจะคุ้ม เราเสียหลักไปพักใหญ่ๆ เราเที่ยว เรามั่วผู้ชาย มันทำให้เราสนใจการเรียนน้อยลง เราเที่ยวกลางคืนมากขึ้นเที่ยวดึกตื่นไม่ทัน โดดเรียน เรียนไม่ทันเพื่อน  แล้วไงนะเหรอ  เทอมนั้นเราได้เอฟเป็นของรางวัลมาสามตัว มันไม่คุ้มกันหรอกว่ะ กับคะยวยหลายอันที่ได้มาแลกกับเอฟสามตัว และที่แย่กว่านั้นพอติดเอฟก็ลงวิชาต่อไม่ได้ทำให้เราเรียนไม่จบภายในสี่ปี และที่แย่ของแย่กว่านั้นคือ การต้องตอบคำถามกับพ่อแม่ว่าทำไมถึงได้เอฟสามตัวในเทอมเดียวกัน นั้นล่ะมันเศร้ากว่าตอนอกหักอีก การอกหักตอนนั้น เราเกือบจะเอาตัวแทบไม่รอด....ดีที่เรามีพ่อแม่ช่วยไว้  แต่ชีวิตเราในวันนี้ก็เกือบต้องแลกด้วยชีวิตอีกหนึ่งชีวิตเหมือนกันนะ พูดจบผมก็ยกแก้วเหล้าขึ้นมาดื่มรวดเดียวจนหมดแก้ว

 ลุงพล เราขอถามลุงพลอะไรอีกอย่างได้ไหม   กิมหันมาพูดกับผม

		 หลายอย่างก็ได้กิม  ผมตอบกวนๆ

		  แล้วพ่อแม่ของลุงพลรู้ไหมว่า ลุงพลเป็น....เออ......  กิมเริ่มประเด็นแต่ก็ดูเกรงใจกับคำถามที่ได้เอ่ยออกมาถามผม

		 เป็นเกย์นะเหรอ ?  ผมแทรกคำถาม 

		 ใช่    กิมตอบ 

		 ไม่เป็นไรกิม..... พูดออกมาเถอะ คำว่า เกย์  น่ะ เราไม่มีปัญหากับคำๆนี้ หรอก พูดให้ชิน อีกหน่อย.... นายก็พูดคุยกับคนอื่นๆได้ว่า  นายมีเพื่อนเป็นเกย์   ฝึกพูดให้คุ้นเคยซะ   ผมพูดอย่างติดตลก

 นั่นสิ  มึงบอกพวกกูแล้วนี่ แล้วที่บ้านมึงรู้หรือเปล่ามามึงเป็นเกย์  ไอ้ภูมิสอดขึ้นบ้าง

 อือหือ ไอ้ภูมิมึงนี่ช่างผสมโรงอยากรู้ทุกเรื่องเลยนะมึง เห็นไหมกิม  ? ไอ้ภูมิมันยังพูดได้เต็มปากกับคำว่าเกย์  อย่างกะมันมีเพื่อนบ้านเป็นเกย์ ยังไงยังงั้นแนะ    ผมแขวะ

		 นี่ ไอ้พล ! แล้วตกลงที่บ้านมึงรู้เปล่าล่ะ   ไอ้เอกถามผมบ้าง 

		ผมนิ่งไปนิดหนึ่งในคำถามที่เพื่อนๆช่วยกันถาม
  
		 ไม่รู้หรอก กูไม่ได้บอกพ่อแม่กูตรงๆ  ผมตอบ

		  อ้าว แล้วที่บ้านนายก็คิดว่านายเป็นผู้ชายปกติสิวะ  ไอ้ตุลย์ออกความเห็น

		 เป็นเกย์มันผิดปกติตรงไหนวะตุลย์ ?? เรามีอะไร ที่ทำเหมือนพวกนายไม่ได้บ้าง เราก็มีสองมือสองเท้า เท่ากับพวกนาย มีสมองสติปัญญาร่ำเรียนมาในคณะเดียวกับพวกนาย และก็ทำงานไม่เป็นภาระให้ใคร  เราไม่เห็นว่าการเป็นเกย์อย่างเราจะผิดปกติตรงไหนนะ    ผมตั้งคำถาม  ทุกคนเงียบไปได้อึดใจแล้วก็มีเสียงทุ้มๆของเต้พูดขึ้นมาว่า

		 นายเอากับผู้หญิงไม่ได้เหมือนพวกเรา   เต้พูดออกมาเหมือนภาคภูมิใจ

		ผมมองไปที่เต้ ยิ้มและก็ตอบอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง ภาคภูมิใจไม่แพ้กันไปว่า

		 น้อยๆหน่อยเต้  การเป็นเกย์ไม่แน่เสนอไปว่าจะเอากับผู้หญิงไม่ได้นะ   อีกอย่างเราก็ไม่เคย พูดว่าเราไม่เคยเอาผู้หญิงนะ   เอาประเด็นนี้ดีกว่า ....  แล้วพวกนายเอากับผู้ชายได้อย่างเราหรือเปล่าล่ะ

		ทุกคนรีบส่ายหัวปฏิเสธกันใหญ่ ผมจึงทำตาลุกวาวเหมือนถือไพ่เหนือกว่า และก็พูดต่อว่า

		 เห็นมั้ย เราถือว่าความสามารถเฉพาะตัวนี้ ถือว่าเจ๊ากัน  และเสมอกัน เราถึงไม่คิดว่าการเป็นเกย์มันจะผิดปกติตรงไหน เซ็กส์ก็คือเซ็กส์ ถึงจุดสุดยอดได้เหมือนกัน ผิดกันแค่รสนิยม  

		 เราไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เออ!  นายมันปกติ  เราหมายถึงที่บ้านนายก็ไม่รู้.....แล้วคิดว่านายเป็นผู้ชายธรรมดาต่างหากเล่า ไอ้ผู้ชายมหัศจรรย์    ตุลย์อธิบายและดูหงุดหงิดเล็กๆกับคำพูดที่ผมประชดประชัน

		ผมรู้ว่าตุลย์ไม่ได้มีเจตนาต่อคำถามในเชิงดูหมิ่นหาว่าผมไม่ปกติ แค่ผมอยากจะย้ำให้ทุกคนรู้ว่าการเป็นเกย์ไม่ได้ผิดปกติ เพราะผมเป็นเกย์มาตั้งแต่เกิด ไม่ใช่พึ่งโดนยุงที่เป็นเกย์กัดแล้วติดเชื้อจากยุง   และไม่อยากให้พวกเพื่อนคิดว่าผมผิดปกติด้วยนั่นคือจุดสำคัญ

		 แล้วทำไมพลไม่บอกกับพ่อกับแม่ล่ะ   ทิวถามขึ้นบ้าง

		 มันไม่เหมือนกันนะทิว คนเราต่างคนต่างก็เกิดกันคนละยุค คนละสมัยตอนแรกเราก็คิดว่ามันจะง่ายๆ แค่เดินไปยืนอยู่ตรงหน้าพ่อกับแม่แล้วบอก .......พ่อครับ แม่ครับ ผมเป็นเกย์...... แต่เรามาคิดๆดูแล้วเรื่องบางเรื่องสำหรับบางคนก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องรู้ทุกเรื่องนี่   ผมตอบคำถามทิว

		 นี่ก็แสดงว่ามึงก็ยังหลอกโกหกพ่อแม่ไปวันๆนะสิ    ไอ้ภูมิด่วนสรุป

		 กูไม่บอกพ่อแม่กูตรงๆ ไม่ได้หมายความว่ากูจะไม่บอกทางอ้อมนี่หว่า ไอ้หนูสกปรกภูมิ !!!  กูมาลองคิดๆดูนะเว้ย ถ้ากูเดินเข้าไปบอกพ่อกับแม่ว่า.......พ่อครับ แม่ครับ ผมทำผู้หญิงคนหนึ่งท้อง........ กูว่าพ่อแม่กูคงจะมีคำถามน้อยกว่าที่กูจะบอกว่า.......พ่อครับ แม่ครับ ผมมีเมียแล้ว แต่เมียผมเป็นผู้ชายครับ......ปัญหากับเรื่องหลังมันต้องมากเป็นทวีคูณแน่ๆ   

		 หรือไม่ก็บอกว่า พ่อครับ แม่ครับ ผมมีผัวแล้วครับ   ไอ้เอก ก็กัดผมอีกจนได้ ทำให้ทุกคนหัวเราะขึ้นมา

		 ไอ้เชี่ยเอก !  เกินไปแล้วนะมึง     ผมด่ามันแบบไม่จริงจังเพราะผมก็อดหัวเราะไปกับคำที่มันกัดผมไม่ได้ และก็พูดต่อไปว่า

		  กูเคยบอกเค้าอ้อมๆ เหมือนกัน พอหลังจากกูทำตัวเละเทะได้คะยวยมาหลายอันพร้อมกับได้ เอฟมาสามตัวในเทอม ทำให้ลงวิชาต่อไปไม่ได้เพราะต้องผ่านวิชาพรีก่อน   เสียเวลาไปปีหนึ่ง ทำให้กูจบช้าทีหลังพวกมึง  ผมตอบ

		 เฮ้ย ! เราก็จบช้า เราจบพร้อมนาย อย่าลืมสิวะ   ตุลย์แย้ง ผมมองไปที่ตุลย์แล้วบอกว่า

		 เออใช่  .....แต่ตอนที่กูจบช้ากูไม่ได้บอกทางบ้านเว้ย แล้ววันหนึ่งแม่กูก็โทรศัพท์มาร้องห่มร้องไห้ให้กลับบ้านด่วน พ่อกูหัวใจล้มเหลวอยู่ในห้องไอซียู เพราะได้รับจดหมายจากทางคณะแจ้งผลการเรียน และบอกว่ากูเรียนไม่จบ...... พ่อกูเป็นโรคหัวใจอยู่แล้วถึงกับล้ม  ความรู้สึกตอนนั้นทำให้กูรู้สึกว่ากูเป็นต้นเหตุให้พ่อกูต้องเข้าโรงพยาบาล กูไม่อยากนึกต่อเลยวะ ถ้าพ่อกูเป็นอะไรไป กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากูจะทำอย่างไง เหมือนกูเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องเลวร้ายทุกอย่าง.....และถ้าพ่อกูตายกูคงไม่ให้อภัยตัวเองแน่ๆ

 
ถึงตรงนี้	 ความทรงจำเก่าๆก็ได้ปรากฏเป็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น วันนั้นหลังจากที่ผมยกหูโทรศัพท์จากแม่ของผมแม่โทรมาบอกว่า พ่อหัวใจกำเริบ หลังจากที่ได้จดหมายจากมหาวิทยาลัยแจ้งผลการเรียนของผม ตอนนี้พ่อผมยังอยู่ที่ห้อง ไอซียู  ผมนิ่งเงียบ........พร้อมกับอึ้งเหมือนมีอะไรมาจุกที่คอเมื่อแม่ถามว่า

  เกิดอะไรขึ้นเหรอพล ? ทำไมการเรียนลูกถึงได้ตกขนาดนี้    

เสียงแม่สั่นเครือ ผมรู้ว่าแม่กำลังร้องไห้อยู่ ผมจะตอบอย่างไรดีเหล่าจะบอกความจริงว่าผมเอาแต่เที่ยวเพราะต้องการประชดผู้ชายจนไม่ไปเรียนอย่างนั้นเหรอ...ผมทำไม่ได้

   ผมจะรีบกลับบ้าน ไปหาพ่อกับแม่ครับ แล้วเราค่อยคุยกัน...  
  
นั้นคือคำตอบที่แม่ได้จากปากผม...

ผมรีบกลับบ้านเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ผมเป็นเด็กจากจังหวัดอื่นที่มาเรียนที่มหาวิทยาวัยเชียงใหม่ ต้องอาศัยการเดินทางโดยใช้รถปรับอากาศ  หัวใจผมกระวนกระวายไม่สามารถนอนหลับขณะเดินทางได้ ได้แต่ภาวนาอย่าให้เกิดเรื่องร้ายกับพ่อของผมเลย ช่วงเวลา 10 ชั่วโมงในการเดินทางคืนนั้นเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานที่สุดในชีวิตของผม มันเหมือนกับว่าการเดินทางของเวลามันช้าลงกว่าที่มันควรจะเป็น เมื่อเดินทางมาถึงบ้านเกิด ผมตรงไปที่โรงพยาบาลทันที ถามประชาสัมพันธ์ ได้รับข่าวดีว่า พ่อของผมออกจากห้อง ไอซียู มาพักฟื้นที่ห้องพิเศษแล้ว คำพูดของเจ้าหน้าที่ที่แจ้งผมในตอนนั้นมันมีความหมายมาก เหมือนยกความกดดันออกจากบ่าได้หนึ่งก้อน แค่นี้ ก็ทำให้ผมโล่งใจไปขั้นหนึ่งแล้ว  แต่เมื่อถึงหน้าห้องที่พ่อผมพักผมพบแม่ออกมายืนอยู่คนเดียวนอกห้อง น้ำตาไหลอาบทั้งสองแก้มของแม่  แต่เมื่อแม่เห็นผม แม่ก็เอามือมาปาดน้ำตาออกจากแก้ม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แค่นั้นมันก็ทำให้ผมรับรู้ว่าแม่กำลังเป็นทุกข์ขนาดไหนทั้งเรื่องพ่อ บางทีที่หนักที่สุดก็คือ.....เรื่องของผม แต่ด้วยความเป็นแม่ที่ไม่ต้องการให้ลูกเห็นน้ำตาแม่จึงต้องทำตัวเข้มแข็ง


   สวัสดีครับแม่  
 
ผมยกมือขึ้นไหว้แม่   เค้นเสียงให้ดูเหมือนปกติที่สุดทั้งๆที่ตอนนั้นน้ำตามันคงท่วมหัวใจผมไปแล้ว

  มาถึงแล้วเหรอลูก นั่งรถมาเหนื่อยมั้ย   

แม่ถามผมเสร็จ อาการที่แม่ต้องการเก็บทั้งหมดมันเหมือนเขื่อนที่แตกพังทลายออกมา แม่ร้องไห้กลั้นน้ำตาไม่ได้อีก แต่แม่ก็ยังพยายามควบคุมเสียงไม่ได้ดังเกินไปนัก

  เกิดอะไรขึ้นลูก มันเกิดอะไรขึ้น....    
 
สายตาของแม่เต็มไปด้วยคำถามที่รอคำตอบจากผม  ผมตัวแข็งทื่อ  พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลอยากจะสารภาพความจริงว่าลูกคนนี้มันเลว มันทำให้แม่ผิดหวัง มันหลงผิดไปเพราะแค่อกหัก ถึงตอนนี้ ผมอยากจะย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีต ไม่อยากเที่ยวประชดชีวิต จะไปเรียนทุกคาบ ทุกวิชา แต่ชีวิตไม่เหมือนในการ์ตูน ชีวิตจริงไม่มีไทม์แมชชีน เราต้องอยู่รับมือกับสิ่งที่เราก่อ

  ผมขอโทษครับแม่ ......   
        
ผมพูดได้เท่านั้นจริงๆในตอนนั้น   ผมทำอะไรไม่ถูกนอกจากสะอื้นไห้จนตัวสั่นเทา แต่ความเศร้าของผมมันคงเทียบไม่ได้กับความเศร้าที่แม่ผมแบกรับอยู่ขณะนี้  เป็นแม่เสียอีกที่เรียกสติผมกลับมา

  อย่าร้องไห้ลูก อย่าร้องไห้ เช็ดน้ำตาซะ เข้าไปดูพ่อก่อน พ่อรอลูกอยู่...อย่าให้พ่อเห็นน้ำตา  

แม่ใช้มือของแม่ปาดน้ำตาให้ผมพร้อมกับเข้ามากอดปลอบประโลม ครอบครัวเราไม่ได้กอดกันบ่อยนัก แต่การกอดครั้งนั้นทำให้รู้ว่า สิ่งที่ผมทำผิดพลาดที่สุดคือการทำร้ายจิตใจของพ่อและแม่ และสิ่งที่เจ็บปวดกว่าคือ แม่มิได้ดุด่าและตบตีอย่างที่ผมต้องการอยากให้แม่ทำ หากแม่เงื้อมือขึ้นมาตบหน้าทำให้ผมเจ็บแม่ก็ทำได้ และผมก็ยินดีที่จะน้อมรับความเจ็บปวดที่แม่ตีลงมาเหมือนสมัยที่ผมยังเด็กเพราะความซุกซน  แต่.......มือของแม่กลับเอามาปาดน้ำตาเรียกสติให้ผม ผมสงบจิตใจภายใต้อ้อมกอดแม่แม่ผมนิ่งแม่พูดขึ้นว่า

    ไป เข้าไปหาพ่อ คุยกับพ่อซะคุยดีๆนะ พ่อพึ่งฟื้นจากห้องไอซียู  แม่จะให้ลูกคุยกับพ่อตามลำพังประสาพ่อลูก

   ครับแม่   ผมตอบ

ผมหมุนลูกบิดและเปิดประตูเข้าไป พ่อผมกำลังนอนหลับอยู่ที่เตียง สายน้ำเกลือที่ต่อเข้าที่แขนของพ่อมันทำให้ผมรู้สึกผิดมากขึ้นกว่าเดิม หากผมไม่เกิดเรื่องพ่อคงไม่ต้องมาเจ็บตัวขนาดเข้าห้องไอซียู หน้าพ่อที่หลับอยู่แดงก่ำ ผมคาดคะเนว่าความดันของพ่อคงสูงอยู่ น่าแปลกในตอนนั้นผมมองพ่ออย่างพินิจพิจารณา เมื่อก่อนตอนเด็กพ่อตัวใหญ่เคยอุ้มผมขี่คอ ในตอนนี้ พ่ออายุเยอะขึ้นตัวเล็กลง ไม่ใช่สิ พ่อตัวเท่าเดิม แต่ผมตัวโตขึ้น สูงขึ้น ผมค่อยๆเดินจนไปถึงข้างเตียง ไม่อยากปลุกให้พ่อตื่น ผมค่อยๆกราบลงไปที่ข้างเตียงแต่ไม่ให้โดนตัวพ่อเพราะเกรงจะเป็นการปลุกพ่อให้ตื่น แต่การกราบของผมคงไม่เบาพอ เมื่อผมเงยหน้าขึ้นจากการกราบ ผมก็เจอสายตาพ่อที่ลืมตาขึ้นมามองผมอยู่พอดี

 มาถึงแล้วเหรอ หมาพล 

เสียงพ่อเรียกผมว่าหมา มันไม่ใช่คำหยาบเลยแม้แต่นิดเดียว พ่อจะเรียกลูกทุกคนโดยมีคำว่า  หมา  นำหน้าชื่อเล่นเสมอ พี่สาวผมคือ   หมาพิม  พี่ชาย ของผมคือ    หมาพัฒน์  น้องสาวของผมคือ    หมาแพรว และตัวผมคือ  หมาพล  การเรียกลูกๆ ว่าหมานั้นหมายถึงพ่อของผมอารมณ์ยังดีอยู่ หากเรียกชื่อจริงเต็มๆโดยปราศจากคำว่า  หมา  นั้นต่างหาก หมายถึงคุณพ่อได้ถึงขีดสุดทางอารมณ์จนต้องคาดคะเนไว้ก่อนว่าจะต้องมีเรื่องแน่ๆ แต่นี่พ่อเรียกว่า หมาพล ผมใจชื้นขึ้นมาหน่อย

 พ่อเป็นไงบ้างครับ   ผมถามอาการของพ่อ

 ซำบายดีอยู่ ยังหายใจรอลูกได้      พ่อผมตอบอย่างติดตลก ผมยิ้มกับคำตอบนั้นเสมือนผมตลกไปกับสิ่งที่พ่อพูด  แต่มันไม่ตลกเลยในความรู้สึกผมตอนนั้น ผมจับมือพ่อแล้วบอกว่า

 ผมขอโทษครับพ่อที่เกิดเรื่องอย่างนี้

 แล้วมันเกิดอะไรขึ้นละ บอกพ่อมาซิ พ่อช่วยได้ไหม มันเหลือบากกว่าแรงที่พ่อจะช่วยหรือเปล่า 

พ่อถามผมด้วยน้ำเสียห่วงใยที่ออกมาจากใจจริงๆ จนผมรู้สึกอาย สำนึกต่อสิ่งที่เกิดขึ้น  แต่การสำนึกครั้งนี้ มันอาจจะดูสายไปเสียแล้ว

  ผม...ผมไม่รู้จะเริ่มยังไงดีครับพ่อ ผมพูดไม่ถูก  

เชื่อผมเถอะครับ ผมไม่กล้าจะร้องไห้ต่อหน้าพ่อเลยในชีวิตนี้แต่วันนั้นผมกลั้นน้ำตาของความรู้สึกผิด  รู้สึกเสียใจต่อเหตุการณ์ทั้งหมดไม่ได้แม้แต่น้อย

 ผมเงียบ ผมไม่รู้จะตอบว่าอะไรจริงๆ

 ลูกติดยาใช่ไหม   พ่อผมถามผมด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด

ผมหัวเราะออกมาทั้งๆที่กำลังร้องไห้ต่อคำถามที่พ่อถามผม  ผมรีบตอบทันที

  ไม่ครับพ่อ ผมไม่เคยคิดที่จะยุ่งกับเรื่องยาเลย 

  งั้นก็เรื่องความรัก  พ่อผมยังยิงคำถามต่อ ทำให้ผมอึ้ง  แต่ผมก็พยักหน้าตอบรับ
พ่อนิ่งต่อการตอบรับของผม ก่อนที่จะรู้สึกอึดอัดไปกว่านี้ ผมกำลังจะเอ่ยปากพูดบางสิ่งบางอย่างต่อพ่อ แต่ก็ไม่ทันต่อคำพูดที่พ่อผมได้เอ่ยขึ้นมาก่อน

 ก็ยังดี...รู้หรือเปล่าว่าแม่ของลูกคิดมากนึกว่าลูกต้องติดยาแน่ๆ 

 ไม่ครับ ไม่....แน่นอน!  ผมยืนยันต่อคำตอบอีกครั้ง

  แล้วนี่ลูกจะเรียนจบไหม  พ่อผมถามอีกครั้ง

 จบครับ จบแน่ แต่คงไม่ใช่ 4 ปีแล้วครับ 

ผมมองตาของพ่อ ผมรู้ว่าสายตานั้นคือสายตาที่ผิดหวังต่อคำตอบที่ผมมีให้ แต่มันก็เป็นความจริงที่สุดที่ผมต้องบอกออกไป  

 ผมพลาดไปจริงๆครับพ่อ ผมไม่นึกว่ามันจะส่งผลถึงเพียงนี้ ผมมองหน้าพ่ออยู่ กุมมือพ่ออยู่  พ่อดูมีสีหน้าที่เหนื่อย พ่อถอนหายใจยาวแล้วพูดขึ้นว่า

 ชีวิตมันก็มีล้มมีลุก พ่อก็รู้.... เพียงแต่พ่อไม่ทันรับมือมันเท่านั้นเอง พ่ออาจจะคาดหวังเกินไป พ่อลืมไปว่าลูกโตแล้ว ลูกต้องเท่าทันชีวิต อาจเป็นความผิดของพ่อเองที่พ่อไม่ค่อยได้คุยเรื่องอื่นนอกจากเรื่องการเรียน พ่อลืมไปว่าวัยหนุ่มมันมีเรื่องให้ผจญมากกว่าเรื่องการเรียน...ทั้งหมดเป็นความผิดของพ่อเอง

เมื่อพ่อพูดจบ คำพูดพรั่งพรูก็ออกมาจากปากของผม ผมยอมไม่ได้ที่พ่อจะบอกว่าทั้งหมด มันเป็นความผิดของพ่อ

ไม่จริงแม้แต่นิดเดียวครับพ่อ  ผมผิดเองที่ผมไม่เคยเล่าเรื่องเหล่านี้ให้พ่อกับแม่ฟัง ทั้งๆที่ลูกที่ดีควรปรึกษาพ่อแม่แต่ผมกลับปิดเงียบ รอจนเกิดปัญหา ผมมันบ้าที่มัวแต่เอาความรักมามีอิทธิพลเหนือเหตุผล เอาใครก็ไม่รู้ที่รู้จักมักจี่ไม่กี่เดือน มาทำให้ชีวิติพังตอนนี้ผมรู้แล้วครับ ว่าคนที่ผมควรจะรักและใส่ใจที่สุดคือพ่อกับแม่ พ่อกับแม่รักผมมาทั้งชีวิตของผม ตอนนี้ผมสำนึกแล้วครับ  พ่อรู้ไหมครับ ว่าเมื่อคืนผมไม่ได้นอนมาตลอดทาง ผมเป็นห่วงพ่อมากครับ ผมยังเรียนไม่จบ ยังไม่ได้เลี้ยงพ่อแม่เลย ถ้าพ่อเป็นอะไรขึ้นมาผมจะทำยังไง...ผมผิดเองครับ ผมขอโทษ...

น้ำตาผมไหลขณะที่พูดและมองไปที่พ่อ พ่อของผมมีหยดน้ำตาไหลออกมาเช่นกัน นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นพ่อร้องไห้ มันยิ่งตอกย้ำว่าผมทำในสิ่งที่บาปมหันต์ที่ทำให้พ่อต้องเสียน้ำตาเพราะผม

หมาพลเอ๊ย....ลูกนะเป็นคนพิเศษกว่าคนอื่นก็ตรงที่ เมื่อรู้ว่าผิดก็ยอมรับสารภาพและขอโทษโดยดี ข้อดีข้อนี้ ขอให้อยู่กับลูกตลอดไป รู้ไหม การที่คนเราเปิดอกคุยกัน มันจะทำให้เรื่องต่างๆคลี่คลาย คนเรามักจะลืมไปว่าการทำเรื่องให้มันง่ายเข้าโดยการพูดคุยกันตรงๆจะให้ผลดีเสมอ พ่ออยากให้ลูกปรึกษาพ่อได้ทุกเรื่องรับปากกับพ่อสิ ว่าลูกจะเรียนให้จบ และหางานทำเป็นคนดีคนหนึ่งต่อไป

คำพูดของพ่อทำให้ผมรู้สึกว่า พ่อของผมเป็นบุคคลที่เข้าใจและมีเหตุผลในการพูดคุยเสมอผมเลยถามต่อไปว่า

		พ่อต้องการอะไรที่ในชีวิตนี้ผมจะทำให้ได้บ้างครับ

		พ่อมองหน้าผมแล้วตอบว่า

		พ่ออยากให้ลูกเรียนให้จบ หางานทำให้ได้ พ่อกับแม่ต้องการแค่นี้แหละ ตอนนี้พ่อห่วงรวมทั้งแม่ของลูกก็ห่วงลูกมาก กลัวลูกจะเรียนไม่จบแล้วอนาคตลูกจะเป็นอย่างไรไม่รู้อีก รับปากกับพ่อสิ ว่าลูกจะตั้งใจเรียนขยันจนจบให้ได้ ไม่เกิน 5 ปี

		ผมตอบพ่ออย่างไม่ลังเลเลยว่า

ผมรับปากครับพ่อ

พ่อผมยิ้มกับคำตอบของผม ในตอนนั้นนอกจากเรื่องที่ผมรับปากกับพ่อแล้วผมอยากจะบอกความจริงว่าผมเป็นเกย์ ผมชอบผู้ชายให้พ่อรู้ซะเหลือเกิน แต่ด้วยสถานการณ์นั้นผมจึงไม่พูดตรงๆแล้วถามไปว่า

พ่อครับถ้าผมเรียนจบมีงานทำ ชีวิตที่เหลือจากนั้นขอผมใช้ชีวิตและตัดสินใจเองได้ไหมครับ ?

ผมถามคำถามเสร็จพ่อของผมหัวเราะ

สมกับเป็นลูกของพ่อ ต้องต่อรองให้สมราคาเสมอรักษาผลประโยชน์ในวันข้างหน้า ต้องได้อย่างนี้สิ ถึงจะไม่โดนใครเอาเปรียบ เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงลูก ถ้าลูกได้งานทำแล้ว  ตอนนั้นลูกก็เป็นผู้ใหญ่ ปีกของลูกก็แข็งแรงพอที่จะโบยบินสู่พายุของโลกนี้ พ่อกับแม่คงต้องปล่อยลูกไปตามชีวิตที่ควรจะเป็นลูกก็เหมือนลูกธนูในมือพ่อกับแม่เมื่อยิงออกไปแล้ว ธนูคงไม่เลี้ยวกลับมาแน่ พ่อกับแม่แค่อยากให้ลูกธนูลูกนี้แข็งแรงพอที่จะใช้ยิง ชีวิตลูกคือชีวิตลูก พ่อกับแม่คงได้แค่มองอยู่ห่างๆ

ผมยิ้มกับคำพูดของพ่อ ผมขอร้องพ่อต่อไปว่า

พ่อครับ พ่อรับปากกับผมสิครับ ว่าพ่อจะไม่เป็นอะไรอีกพ่อจะต้องอยู่ดูความสำเร็จของลูกๆทุกคน อยู่จนกว่า แพรวจะรับปริญญา 
  
ผมอยากให้พ่ออยู่กับเราไปนานๆน้องสาวผมตอนนั้นแค่ ม.4 พ่อควรจะอยู่รอดูความสำเร็จของลูกๆทุกคน ผมจึงอ้างชื่อน้องให้พ่อแข็งแรงจนกว่าน้องสาวผมจะรับปริญญา 

ลูกรับปากกับพ่อได้ พ่อก็รับปากกับลูกได้สิ 
 
หายไวๆนะครับพ่อ

ผมยิ้มให้พ่อและกุมมือพ่อแน่นเหมือนขอบคุณพ่อที่พ่อคุยกับผมด้วยเหตุผลไม่ใช่อารมณ์ 


ถึงแม้ผมจะไม่ได้บอกเรื่องที่ผมเป็นเกย์ในตอนนั้น ถึงตอนนี้ผมก็ไม่รู้สึกผิดเลย เพราะสถานการณ์ตอนนั้นพ่อผมอ่อนแอมาก ถ้าผมพูดไปแล้วท่านรับไม่ได้จนช็อคแล้วหัวใจหยุดเต้นล่ะ อันนั้นแหละ บาปของจริง  เรื่องบางเรื่องสำหรับคนบางคนอาจจะต้องอาศัยระยะเวลาเข้ามาเป็นตัวเสริมช่วยในความเข้าใจเรื่องจริงบางเรื่อง   ถึงตอนนี้เวลาล่วงเลยมาจนพ่อผมได้อยู่จนเห็นน้องสาวผมได้รับปริญญา ผมรู้ว่าพ่อและแม่ผมมีเป้าหมายที่จะอยู่ พ่อและแม่อยู่เพื่อเห็นความสำเร็จของลูกๆและเป้าหมายของผมคือ อยู่เพื่อเห็นพ่อแม่ผมมีอายุยืนยาว  
หลายคนเมื่ออยู่ในวัยทำงานอาจเจอมรสุมชีวิต...ทำงานซ้ำๆซากๆ ทะเลาะกับเพื่อนร่วมงาน หนี้สินท่วมตัวบางครั้งแทบไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป...เกิดคำถามว่าชีวิตจะอยู่เพื่ออะไรในเมื่อมีแต่ความโศกเศร้าเสียใจ........ แต่หากลองไตร่ตรองดูสักนิด เราจะรู้ว่ามีคนหลายคนที่อยากให้เราอยู่ต่อไป นั้นคือ คนที่รักเรา  และที่สำคัญ เราควรอยู่ต่อไปเพื่อคนที่เรารัก   

อือหือ คมนะมึงกูละเชื่อมึงเลย ไอ้เอกให้ความเห็นต่อเรื่องที่ผมเล่า

นั้นสิ จริงๆกูว่ามึงนะเจ้าเล่ห์ พ่อแม่มึงไม่ทันมึงหร้อก ไอ้พล ไอ้ภูมิเสริมทัพ

อ้าวไอ้สองภูตินรกนี่ มาว่ากูอีก ถึงกูไม่บอกตอนนั้นนะ เวลาผ่านมาถึงตอนนี้ กูว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่นะดูออกว่าลูกตัวเองเป็นแบบไหน รู้มั้ย กลับบ้านไปเยี่ยมครั้งล่าสุดพ่อแม่ผูกแขนให้กูอวยพรให้การงานราบรื่นมีเมียเร็วๆ พี่ชายกูก็แซวว่า ปานนี้ไม่มีแฟนมันจะเอาเหรอเมีย กลัวมันจะเอาผัวมากกว่า แม่กูตอบว่าไงรู้มั้ย แม่กูตอบว่า ยังไงก็ได้แม่รับได้หมดขอให้มีคนดูแลยามเจ็บไข้ก็พอ กูงี้อึ้งเลย ทำอะไรไม่ถูก 

แล้วพ่อมึงว่าไงไอ้ภูมิไม่ลดละ

พ่อกูก็ยิ้มๆ ไม่ออกความเห็น แต่กูคิดว่าเค้ารู้แหละ พ่อกูนะฉลาดจะตาย เพียงแต่เค้าไม่พูดออกมาเท่านั้นเองผมตอบ

ขอตัวแป็บนะ เราขอไปโทรหาพ่อกับแม่ก่อน ฟังเรื่องนายแล้วคิดถึงพ่อกับแม่ตงิดๆวะ ตุลย์เอ่ยปาก

ไปด้วยดิ อยากโทรหาเหมือนกัน เต้ก็ลุกขึ้นบ้าง

 ไปด้วย ไปด้วย  กิม ทิวและไอ้เอ้ แทบจะพูดพร้อมกัน

 กูไปห้องน้ำดีกว่า ไอ้ภูมิเอ่ยขึ้นแก้เขิน ผมรู้ว่ามันก็จะโทรหาพ่อกับแม่มันเหมือนกัน แต่มันเขินไม่กล้าบอกตรงๆ

อย่าโทรในห้องน้ำนานนะไอ้ภูมิเสียงชักโครกห้องข้างๆจะกลบเสียงโทรศัพท์มึง   

ผมแซวไอ้ภูมิ ไอ้ภูมิยิ้มแห้งๆเหมือนโดนจับได้ ตอนนี้ทุกคนลุกจากโต๊ะหมดเหลือผมคนเดียว ไม่มีใครมารบกวนผมกดโทรศัพท์มือถือของผมบ้าง รอจนปลายสายรับผมจำเสียงได้ดี 

 แม่ครับ ทานข้าวเย็นหรือยังครับ...

ช่วยไม่ได้   ผมก็คิดถึงพ่อแม่ของผมเหมือนกันนี่นา



....................................จบตอนที่ 3 ..............................				
20 มกราคม 2549 12:50 น.

ชายเทียมในโลกแท้ ( GayGuy in Straight World ) ตอนที่ 2 อกหัก เหอะๆๆๆ...ใครก็เคย

ชายชัช

ตอนที่ 2 อกหัก เหอะ ๆๆ ! ใครก็เคย


 โอ้โห ! นายผอมลงไปเหรอวะตุลย์ ไม่เจอกันตั้งหลายปี เท่าไรวะ 10 กิโลถึงเปล่าเนี่ย 
	
		ผมร้องทักออกไปด้วยความยินดีที่เห็นหน้าเพื่อนอีกครั้งหลังจากไม่ได้เห็นเพื่อนมาหลายปี  ตุลย์ยิ้มแล้วเดินมานั่งฝั่งตรงข้าม

		 เรามาช้าเหรอ ?  แล้วนายมาคอยนานยัง คนอื่นล่ะ?  ยังไม่โผล่หัวมาเหรอ? 

		 ไม่ช้าหรอก เรามาก่อนเวลาเองแหละ จะได้ดูดีในสายตาเพื่อนฝูงเว้ย   เดี๋ยวคนอื่นก็คงมากันมั้ง แล้วนายไปทำอะไรมาถึงได้ดูดี ผอมลงนะ มีความรักแล้วแล้วอยากลดหุ่นเหรอ !    ผมแหย่มันทีเล่นทีจริง


		ก่อนที่เราสองคนจะได้คุยกันต่อ บริกรของร้านก็เข้ามาถามถึงรายการอาหารที่เราต้องการจะสั่ง ผมกับตุลย์เห็นพร้อมกันว่าจะรอให้ทุกคนมาพร้อมกันค่อยสั่ง จึงสั่งเครื่องเหล้ามาเปิดก่อน นึกๆ ไปตัวผมนี่แหละเป็นต้นเหตุที่ทำให้ตุลย์เป็นคนดื่มเหล้าเป็น ในสมัยที่เรียนนั้น ตุลย์เป็นคนแพ้เหล้า  กินเหล้าไม่ได้  กินแล้วจะผื่นขึ้น เห็นไหมครับ ว่าตุลย์เป็นอะไรที่ตรงข้ามกับรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูขี้เหล้า โหด เลว เถื่อนอย่างสิ้นเชิง และหากแพ้มากๆ จะหมดสติ     ครั้งแรกๆหัดกินเหล้า  ตุลย์หมดสติในห้องน้ำ  ผมมาเจอมันหมดสติก็ตอนตี 3 ขณะที่ผมกำลังลุกมาเข้าห้องน้ำเจอมันนอนกองอยู่พื้นห้องน้ำ กองใหญ่มากเพราะมันเป็นคนตัวใหญ่ ผมรีบปลุกเพื่อนๆพาตุลย์ไปส่งโรงพยาบาลเพราะตอนนั้นพวกเราพยายามปลุกตุลย์เท่าไรก็ไม่ยอมตื่น จึงจำเป็นต้องพึ่งหมอ ซึ่งก็สามารถช่วยให้ตุลย์กลับมาเป็นเพื่อนของพวกเราอีกครั้งหนึ่งโดยได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที ซึ่งผลสรุปของหมอคือ ตุลย์แพ้แอลกอฮอร์


		หลังจากวันที่เกิดเหตุ  ตุลย์จะระวังตัวเองไม่ยอมดื่มเหล้ากับเพื่อนๆ แต่ก็มานั่งในวงเหล้าเพื่อพูดคุยให้ความสนุกสนานทุกครั้ง ผมเห็นอย่างนั้นผมก็รู้สึกสงสาร เพราะหารเท่ากันแต่กินน้อยกว่าคนอื่น  จึงสั่งเครื่องดื่มที่น่าจะมีดีกรีน้อย ๆ มาให้ตุลย์ลองดื่มนั้นคื่อ ไวน์คูลเลอร์ จะได้ให้ดูเหมือนมีส่วนร่วมกับเพื่อนๆบ้าง

		 อร่อยดีว่ะ !     นั้นคือคำพูดแรกที่แทนความรู้สึกของตุลย์เมื่อได้ชิมไวน์คูลเลอร์ครั้งแรก

		 ค่อยๆจิบนะเว้ยตุลย์ เราว่าถ้านายจิบทีละนิด จิบทีละหน่อย ดื่มวันละนิดแต่ว่าดื่มบ่อยๆ บางที่นายอาจหายจากการแพ้เหล้าก็ได้นะ แต่ว่า วันแรกแค่แก้วเดียวก่อนแล้วสังเกตดูสิ ว่าผื่นจะขึ้นตัวแดงอีกหรือเปล่า ? 


		เวลาผ่านไปจากการสังเกตอาการก็ไม่มีเหตุการณ์ใดผิดปกติ  ผมถือว่าร่างกายตุลย์สามารถรับสารพิษได้บ้างแล้ว หลังจากวันที่หัดดื่มไวน์คูลเลอร์ ด้วยความหวังดีของผม ( ตอนนี้ผมชักไม่แน่ใจว่าหวังดีหรือหวังร้าย ) ที่อยากให้เพื่อนได้มาดื่มเหล้าด้วยกัน เมื่อแวะร้านสะดวกซื้อเมื่อไหร่ ก็จะซื้อไวน์คูลเลอร์ติดมาฝากให้ตุลย์ เวลาผ่านไปลมปราณและธาตุภายในของตุลย์แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ผมจึงลองส่งเครื่องดื่มใหม่ๆพร้อมกับเพิ่มความเข้มข้นของแอลกอฮอร์มากขึ้น ซึ่งมันเป็น เครื่องดื่มที่ใช้เหล้าวอดก้าปั่นรวมกับน้ำแข็ง  ผมยังจำวันแรกที่ตุลย์ได้รู้จักกับคามิกาเซ่ ได้


		 อะไรวะเนี้ย !      ตุลย์ถามเมื่อเห็นเครื่องดื่มที่วางอยู่

		 เค้าเรียกว่าคามิกาเซ่ เว้ย  ผมตอบมันไปด้วยความรู้สึกภูมิใจที่ทำให้เพื่อนจะได้ดื่มเหล้าเป็นพร้อมกับอธิบายต่อไปว่า

		 มันเป็นเหล้าวอดก้าปั่นรวมกับน้ำแข็งแล้วมีสีต่างๆ เราไม่รู้หรอกว่านอกจากที่ว่ามาแล้วเค้าผสมอะไรบ้าง รู้แต่ว่ามันอร่อยดี วันนี้เริ่มจากไม่มีสีก่อนแล้วกัน 

		ตุลย์ก็ลองยกแก้วชิมเจ้าคามิกาเซ่อย่างว่าง่ายและไม่กลัวตาย เพียงแค่เหตุผลที่ผมบอกว่ามันอร่อย

		 เออว่ะ! อร่อยจริงๆ    ตุลย์ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเหมือนกับได้เจอของที่ถูกใจ  หลังจากวันนั้นหากมีโอกาสไปเที่ยวผับ เราจะสั่งคามิกาเซ่สีต่างๆมาลองชิมทุกสีไม่ว่าจะเป็น สีแดง สีขาว สีเหลือง สีม่วง สีฟ้า และสีที่เรานิยมที่สุดคือ สีฟ้า.... 


              วันเวลาผ่านไปตุลย์ก็เริ่มคอแข็งสามารถสู้พิษจากเครื่องดื่มประเภทต่างๆ โดยคำแนะนำจากผมคือ หากดื่มครั้งแรกอย่าดื่มมาก ให้ค่อยๆเพิ่มปริมาณในครั้งต่อไป จากวันนั้นถึงวันนี้ สุรากี่ดีกรีตุลย์ก็สู้ไม่ถอย แถมวันนี้เป็นวันพิเศษที่เพื่อนจะมาพร้อมกันตุลย์ก็ไม่มีปัญหาเมื่อผมสั่งเหล้ามาเปิด

		 เฮ้ย! นั้นไอ้กิมกับไอ้ทิวนี่หว่า ทางนี้เว้ยเพื่อน 

		ผมหันไปทางที่ตุลย์เรียก จึงพบกับกิมและทิวเดินมาที่โต๊ะของพวกเรา กิมยังดูเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไม่ว่าจะเป็นทรงผม หรือลักษณะท่าทาง แต่ทิวดูภูมิฐานขึ้น ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ทั้งๆที่ปกติก็ดูเป็นผู้ใหญ่อยู่แล้ว ทั้งสองคนยิ้มดีใจที่ได้พบกันกับเพื่อนเก่า 

		 มานานกันยัง ?  ทิวถาม

		 พึ่งมาถึงเหมือนกันทิว มีแต่ไอ้พลนี่แหละ มารอก่อนหน้านี้แล้ว  ตุลย์บอก

		 อิจฉาลุงพลว่ะ ได้อยู่ทำงานเชียงใหม่ อากาศดี รถไม่ติดไปไหนมาไหนสะดวก อยู่กรุงเทพฯนะไม่ได้จะนัดเจอกันง่ายๆหรอก  ขนาดพวกเราอยู่กรุงเทพฯ กันหมด ยังไม่ค่อยได้เจอกันเลย เราก็พึ่งเจอทิวที่หน้าร้านนะเนี่ย  ทำงานที่กรุงเทพฯ หลายปีก็ไม่เจอกันเลย อาศัยแต่โทรศัพท์คุยกัน ต้องขอบใจลุงพลนะเนี่ยที่เป็นหัวเรือใหญ่ทำให้พวกเราเจอกันได้ 

		 ขอบอกขอบใจอะไรว่ะ เราก็อยากเจอเพื่อนๆเหมือนกัน เลยนัดให้เจอกันครบๆสักที... 

		บทจะมาก็มาพร้อมกันเลยเหรอว่ะ โน้นไอ้เอก ไอ้เต้ ไอ้เชี่ยภูมิมาแล้ว    ตุลย์พูดขึ้นก่อนที่ผมจะพูดจบ

		มาช้าเหมือนเคยนะไอ้วัว ไม่เคยเปลี่ยนนิสัยเชื่องช้าเลย แอบไปกินหญ้าที่ไหนมาล่ะถึงได้มาช้า เห็นหญ้าสวยๆเป็นไม่ได้เลยเหรอว่ะไอ้วัว    กิมทักเต้แบบได้ที ทั้งๆ ที่กิมก็มาถึงก่อนไม่กี่อึดใจ

		 ไม่ได้ไปกินหญ้า ไปลับเขามาว่ะ ว่าจะมาขวิดไอ้คนปากเสียแถวๆนี้นะ กิมเห็นเปล่าวะ    เต้ก็ใช่ย่อยตอบได้ทันไอ้กิม

		เต้ก็ยังคงเป็นผู้ชายสูงโปร่งและแต่งตัวภูมิฐานขึ้น ไอ้เอกมันหล่ออย่างไงตอนนี้มันก็คงยังหล่ออย่างนั้น ไอ้ภูมิก็ยิ้มโชว์ฟันสวยที่เป็นระเบียบ ทุกคนดูเปลี่ยนไปก็จริงแต่เมื่อมาอยู่รวมกันตอนนี้ บรรยากาศเก่าๆและความรู้สึกเก่าๆก็กลับมาอีกครั้ง การพูดคุยการหยอกล้อเหมือนกับตอนสมัยที่พวกเราอยู่มหาวิทยาลัยไม่มีผิด เมื่อทุกคนนั่งลงกันครบ บริกรหญิงมารับออร์เดอร์ที่พวกเราจะสั่งอาหาร ขณะที่ทุกคนมองรายการอาหารบนเมนู บางเมนูก็มีหัวหอมเป็นองค์ประกอบ ผมก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงถามขึ้นมาลอยๆว่า

		 เฮ้ย ! ในพวกเรานี่ใครวะไม่ชอบหัวหอม ? จำได้พวกเราคนหนึ่งไม่กินหัวหอมนี่หว่า จะได้สั่งถูก    

		 กูไงว่ะ    ไอ้ภูมิตอบ 

		  ไอ้ที่มึงไม่ชอบหัวหอม เพราะมึงไม่ชอบสระหัวหรือเปล่าวะไอ้ภูมิ มึงชอบความสกปรกมึงเลยกลัวหัวมึงหอม    ไอ้เอกซึ่งเคยเป็นรูมเมทเก่าของไอ้ภูมิแซว ทำให้ผมได้ทีจึงกัดไอ้ภูมิต่อว่า

		 แล้ววันนี้มึงใส่กางเกงในมาหรือเปล่าวะ ? 

		 ไอ้เชี่ยนี่ ! มึงถามกูอย่างงี้ได้ไงวะ  ไอ้ภูมิสบถ

		 แล้วตกลงมึงใส่มาหรือเปล่าล่ะ ?? ไอ้หนูสกปรกภูมิ   กิมช่วยผมถามย้ำ

		 กูจะใส่มาทำไมว่ะ !! ในเมื่อกูค้นพบแล้วว่า ความรู้สึกที่เป็นอิสระ แบบไม่มีขอบเขตอะไรมาขวางกั้นมันเป็นอย่างไง พวกมึงจะลองแบบกูก็ได้นะ  ไอ้ภูมิตอบด้วยน้ำเสียงที่ภาคภูมิใจ

		 ดูแม่งมันตอบ เสื่อมจริงๆเลยว่ะมึงนี่  ไอ้เอกพูดพร้อมส่ายหน้า 


  		เพื่อนทุกคนที่ได้ยินต่างก็ขำอยู่ในลำคอเพราะเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้อยู่เต็มอกว่านิสัยไอ้ภูมิเป็นอย่างไร  แต่ก็มีเสียงหัวเราะที่ไม่ได้รับเชิญอยู่ข้างๆโต๊ะ คล้ายเป็นเสียงหัวเราะที่พยายามกั้นไม่ให้ใครรู้ โอ้...นั้นคือเสียงหัวเราะของบริกรหญิงที่กำลังคอยรับออร์เดอร์ของพวกเรานั้นเอง พวกเรารู้สึกเขินที่มัวแต่แซวกันจนลืมไปว่ามีคนอื่นอยู่ด้วย แต่คนที่อายที่สุดคงเป็นไอ้ภูมิ ที่พวกเราขุดความหลังพูดขึ้นมาต่อหน้าบริกรหญิงที่น่ารัก คนที่แก้สถานการณ์ได้กลับเป็นทิวผู้ที่พูดน้อยที่สุด  ที่พูดกับบริกรออกไปว่า


		 การหายใจให้คล่องมีอยู่หลายแบบ แต่วิธีที่เพื่อนพี่ทำอยู่นี้ น้องไม่ควรทำตามหรือให้เพื่อนๆน้องทำตามนะครับ 

		ทุกคนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกัน ก่อนที่พวกเราจะเผลอไปมากกว่านี้ เราก็เลยรีบสั่งอาหารตามที่ทุกคนชอบ บริกรรับออร์เดอร์เสร็จแล้วเดินไปทำหน้าที่ ก็เหลือแต่พวกเราให้มีบรรยากาศส่วนตัวอีกครั้งหนึ่ง

		 แล้วนี่ตุลย์ไปทำอะไรมาทำไมผอมลงวะ  เต้เป็นคนเปิดประเด็น

		 นั้นสิ  เราว่าจะถามอยู่เหมือนกัน  กิมเอ่ยขึ้น

		 เจอสาวถูกใจเลยลดหุ่นเหรอตุลย์  ทิวถามขึ้นบ้าง

		 ทิวคิดเหมือนเราเลย  ผมเสริม

		ตุลย์ฟังคำถามที่พวกเราช่วยกันถาม และเหมือนกับว่าทุกคนหันมาที่ตุลย์คอยคำตอบ  ตุลย์เงียบไปสักครู่ มีสีหน้าดูจริงจังเหมือนเป็นสัญญาณว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่ที่เกี่ยวกับสิ่งที่ตุลย์จะบอก

		 เห้อ !  เราไม่อยากผอมหรอกว่ะ  แต่มันกินอะไรไม่ลง นี่ดีขึ้นแล้ว พึ่งออกมาจากโรงบาลได้อาทิตย์กว่าๆ

		 เป็นอะไรมากหรือเปล่า ? ป่วยเป็นอะไร ทำไมนายพึ่งมาบอก    ผมถาม

		 ไม่เป็นไรมากหรอก แค่ เป็นโรคกระเพาะเพราะไม่กินข้าวกินปลา กระเพาะมีรูเพราะแดกเหล้ามากเกินไป หัวใจสลายเพราะแฟนแม่งทิ้งไป อารมณ์ไม่อยู่กับร่องกับร่องกับรอย ทำงานตอนนี้ก็ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ เห็นอะไรก็ขวางหูขวางตาไปหมด ช่วงนี้อยู่ในช่วงภาวะพักพื้นวะ อีกหน่อยก็คงจะเป็นปกติ  


		ทุกคนในตอนนั้นฟังแล้วถึงกับอ้าปากค้าง เพราะเราทุกคนรู้อยู่ว่าถึงแม้ตุลย์จะดูเป็นคนโหด เลว เถื่อน แต่เนื้อในของตุลย์เป็นคนที่จิตใจงาม และเป็นคนมองโลกในแง่ดีเสมอ ตุลย์จะเป็นคนหลีกเหลี่ยงไม่ให้เกิดการทะเลาะ เป็นคนประนีประนอมที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา บ่อยครั้งที่ตุลย์โดนเอาเปรียบจากคนอื่นที่ไม่ใช่เพื่อนสนิท ตุลย์เลือกที่จะให้เขาเอาเปรียบโดยไม่โวยวายเพราะตุลย์ไม่อยากมีเรื่อง แต่ตุลย์เลิกคบกับคนที่เอาเปรียบตุลย์ไปเฉยๆ ตุลย์ให้เหตุผลว่าเอาเปรียบได้แต่ก็ให้ได้ครั้งเดียว ผมชักสังหรณ์ใจว่ามันจะเกี่ยวกับเรื่องการเอาเปรียบนี่หรือเปล่า


		 ใช่น้องเก๋ ?  ที่ทำงานที่เดียวกับนาย ? คนที่เราเคยไปกินข้าวด้วยตอนที่เราลงกรุงเทพฯเมื่อคราวที่แล้วรึเปล่า     ผมถามเพราะเมื่อ 6 เดือนก่อนผมได้มีโอกาสไปกรุงเทพฯแล้วพักที่บ้านตุลย์ มีวันหนึ่งมันก็พาผู้หญิงที่มันบอกว่ากำลังคบกันเป็นแฟนมาแนะนำให้ผมรู้จักกันไว้

		 เออ  ตุลย์ตอบ

 มึงรู้จักด้วยเหรอวะ ไอ้พล   ไอ้เอกถามผม

 มึงนี่  ส.ท.ท.  เสือกทุกที่เลยนะมึง  ไอ้ภูมิกัดผม

 		 พอๆกับมึงแหละไอ้ อ.ส.ม.ท. ไอ้  องค์การเสือกไม่เลือกที่  เพื่อนกำลังเศร้า กัดให้มันรู้กาลเทศะหน่อยสิวะ ผมปรามไอ้ภูมิ แล้วก็หันมาถามตุลย์ต่อ 

		 อย่าหาว่าเราแสนรู้เลยว่ะตุลย์ เราเห็นน้องเก๋อะไรนี่ตอนแรก เราก็ดูๆว่าเค้า ไม่น่าจะจริงจังอะไรกับนายหรอกตอนนั้นนะ 

		แล้วมึงทำไมพึ่งมาบอกกูตอนนี้  ตุลย์ฉุน

		 อ้าว เรื่องบางเรื่องเราก็ต้องให้เวลาเป็นเครื่องตัดสิน เราก็คิดว่าโตๆกันแล้วถึงเตือนไปมันก็เป็นแค่ความรู้สึกของเราเอง ไม่มีหลักฐานมาสนับสนุน  อีกอย่างถ้าเวลาผ่านไปน้องเค้าเปิดใจรักนายจริง ความรู้สึกที่เรามีต่อเค้าอาจผิดก็ได้ บางอย่างต้องเรียนรู้เองวะเรื่องพวกนี้  ผมอธิบายให้ตุลย์ฟัง

		 แล้ว.....ทำไมถึงเลิกกันล่ะ   เต้ กับ กิม ถามขึ้นมาแทบจะพร้อมๆกัน

		 น้องเค้ามีคนใหม่เหรอ  ทิวถามบ้าง

		 เราไม่รู้หรอกนะว่าน้องเค้ามีคนใหม่หรือเปล่า แต่วันนั้นเราทำงานอยู่แล้วเผอิญหัวหน้าให้ไปตามงานที่แผนกที่น้องเก๋ทำงานอยู่  เราก็เลยอาสาไปให้ ตอนที่กำลังจะเข้าไปแผนกน้องเค้า เราก็ได้ยินเสียงแว่วๆ ก็เลยตามเสียงไป เป็นเสียงน้องเก๋กำลังคุยโทรศัพท์มือถืออยู่กับใครไม่รู้ที่โถงทางเดิน เราได้ยินเสียงน้องเค้าบอกว่า พี่ตุลย์นะเหรอ ไม่ได้คิดอะไรด้วยหรอก ที่คบทุกวันนี้ก็เลี้ยงไว้เป็นคนขับรถรับส่ง เอาไว้เป็นคนเลี้ยงข้าว เอาไว้ช่วยทำงานให้ ดีจะตายเอาไว้เป็นคนรับใช้ ..........


  		ตุลย์พูดถึงตรงนี้ก็เงียบไป เลยทำให้คนอื่นๆอึ้งตามไปด้วย

		 แม่ง เลวว่ะ  ไอ้เอกให้ความเห็น

		 กูก็ช็อกไปเหมือนกันว่ะไอ้เอก  ทำอะไรไม่ถูก เศร้าไปเลยว่ะ เจ็บใจก็เจ็บใจ ทำเอาถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ มันมึนตึบไปหมด กูคิดอยู่ตลอดเวลาว่ากูทำกรรมอะไรไว้วะ ในชีวิตกูก็ไม่เคยเบียดเบียนใคร ทำไมน้องเค้าถึงทำกับกูได้ขนาดนี้ กูหาคำตอบไม่ได้ว่ากูทำอะไรผิดไปวะ เค้าถึงไม่มีใจให้กู ทำไมเค้าไม่บอกมาตรงๆวะ ว่าไม่คิดอะไรกับกู ทำไมเค้าถึงหลอกใช้กู  บางคืนกูก็นอนไม่หลับ คิดมาก จนกูต้องไปกินเหล้าทุกวันเพื่อจะได้ไม่คิดจะได้นอนหลับ ข้าวปลาไม่ค่อยได้กิน กินแต่เหล้า จนร่างกายไม่ไหว ปวดท้องจนกูต้องเข้าโรงบาล และก็ผอมอย่างที่เห็นนี่แหละ  
 
		 แล้วน้องเค้าว่าไงตอนที่นายได้ยินที่เค้าพูดโทรศัพท์  ผมถาม

		 น้องเค้าไม่รู้ตัวหรอกว่าเราได้ยิน พอได้ยินเราก็รีบเดินหนีออกมาว่ะ ตอนนั้นมันทำไรไม่ถูกจริงๆ  แต่หลังจากนั้นน้องเค้าก็โทรมาหาเรานะ ชวนไปกินข้าวเย็นหลังเลิกงาน 

		 มันยังกล้าโทรมาอีกเหรอวะ อีนี่แม่งเลวจริงๆ  ไอ้เอกอึ้งกับเหตุการณ์แต่ก็อดไม่ไหวที่จะด่า

		แล้วตุลย์ตอบน้องเค้าว่าไงล่ะ  เต้ถาม

		 เราก็บอกว่า เราคงคบกันต่อไม่ได้อีกแล้วล่ะเพราะว่าเราไม่ต้องการเป็นแค่คนขับรถรับส่ง เป็นคนคอยเลี้ยงข้าว ไม่ต้องการถูกหลอกเอาไว้ใช้งานอีกต่อไปและเราขอไม่ให้น้องเค้ามายุ่งกับชีวิตเราอีก 

		 แค่นั้น ??!!  กิมถามด้วยความประหลาดใจ แล้วตุลย์ก็พยักหน้าตอบรับ

		 เป็นเราไม่ได้ แค่นั้นมันไม่พอ เราจะต้องแก้แค้นให้หนัก อะไรวะ ! หลอกเราอยู่ตั้งนาน มันน่าจะมอมเหล้าแล้วพาเข้าโรงแรม ให้รู้ว่ามันกำลังเล่นอยู่กับใคร  กิมยังคงโมโหร้ายและโกรธแทนเพื่อนเหมือนเดิม

		 มันจะมีประโยชน์อะไรล่ะกิม ทำแบบนั้นมันอาจจะได้ความสะใจ ได้แก้แค้นแต่ว่าแค่ร่างกายน่ะ เราไม่ต้องการ เราต้องการคนที่รักเราจริงๆถ้าไม่รักเรา เราก็ควรปล่อยเค้าไป ไม่ควรสร้างกรรมต่อกันอีกเลย อีกอย่างตอนนี้เราก็ทำใจได้แล้ว พวกนายไม่ต้องเป็นห่วง ก่อนหน้านี้ก็อยุ่คนเดียวได้  ตอนนี้เราก็ต้องอยู่คนเดียวอีกครั้งหนึ่ง

		 ตามรูปการณ์ที่นายเล่าให้ฟัง นายเป็นคนทิ้งเค้านะ ไม่ใช่เค้าทิ้งนาย แต่นายก็ทำถูกแล้วล่ะที่ทำแบบนั้น     ทิว ที่เงียบอยู่ตลอดพูดขึ้นมาบ้าง ผมมองไปที่แก้วเหล้วที่อยู่ตรงหน้าตุลย์ แล้วบอกกับตุลย์ว่า

		 เราว่านายอย่าพึ่งกินเหล้าเลยว่ะ  ขอเราเปลี่ยนเป็นน้ำเปล่าให้นายก็แล้วกัน พึ่งออกมาจากโรงบาล อีกอย่างอย่าไปเศร้ากับผู้หญิงพันธุ์นั้นเลยวะ คนดีๆอย่างนายไม่คู่ควรควรกับมันหรอก นายควรได้กับคนที่ดีกว่านี้ และเราเชื่อว่านายต้องได้เจอคนดีๆแน่นอน  ผมให้กำลังใจตุลย์

		 นายพูดง่าย ก็นายเจอแล้วนี่หว่า นายมีแฟนที่นายรักและก็รักนาย พูดไปนายก็โชคดีวะ เป็นเกย์แต่มีรักที่มั่นคงแถมรักกันมาตั้งหลายปี นายโชคดีว่ะ ที่ไม่เคยอกหักหนักๆอย่างเรา  ตุลย์พูดกับผม

		 ใครบอกกับนายว่าเราไม่เคยอกหัก  ผมพูดขึ้น

		 แร่ดๆ อย่างมึงนี่นะเคยอกหัก กูว่าคนอย่างมึงนะเห็นแต่จะหักอกเค้านะสิ ออกจะคบคนไม่ซ้ำหน้าหลังจากที่มึงเห็นพวกกูรับได้ว่ามึงเป็นเกย์  ไอ้ภูมิยังคงคอนเซ็บท์ เสือกอยู่ต่อไปผมก็เลยโต้มันไปว่า

		 เอ๊ะ ! ไอ้เชี่ยนี่ นั้นปากหรือตูดที่ขมิบออกมาเป็นเสียงว่ะ มันถึงได้พ่นแต่ของเสียออกมาแบบนั้น เคยสิว่ะ อกหักนะ กูว่าใครๆก็เคย เพียงแต่ว่าใครจะเล่าหรือเปล่าแค่นั้น 

		 งั้นมึงเล่ามาเลยว่ะ กูอยากรู้ว่ามึงจะอกหักกับเขาตอนไหน กูก็เห็นมึงออกจะร่าเริงตลอดเวลาไอ้เอกได้ที มันเลยช่วยเป็นลูกคู่ไอ้ภูมิ

		 มึงอยากรู้แต่คนอื่นเค้าไม่อยากรู้นี่หว่า  ผมย้อนไอ้เอก

		 อยากรู้ว่ะ , อยากรู้  ทุกคนแทรกขึ้นมาเกือบจะเป็นเสียงที่พร้อมกัน

		 เราไม่ยอมเสียเปรียบหรอกว่ะ เล่ามาเดี๋ยวนี้เลย ไอ้พล !!  ตุลย์ก็เป็นอีกเสียงที่อยากฟังบ้าง

		  โอเค เล่าแล้วเว้ย ! พวกนายจำตอนที่พวกเราแห่พากันไปสมัครเป็นสมาชิกสปอร์ตคลับที่โรงแรมใกล้ๆศูนย์การค้าได้ไหม ตอนที่มีโปรโมชั่น ราคาพิเศษสำหรับนักศึกษาที่มาสมัครเป็นกลุ่มนะ 

		ก่อนที่ผมจะเล่าอะไรไปต่อ อาหารที่สั่งก็พร้อมเสิร์ฟ พนักงานจึงนำอาหารมาเสิร์ฟขึ้นโต๊ะครบแล้วเราทุกคนเริ่มลงมือทานอาหาร พร้อมๆกับผมก็เริ่มเล่าต่อ......


    		สปอร์ตคลับเริ่มเปิดใหม่ๆจึงมีโปรโมชั่นเรียกลูกค้าให้มาสมัครสมาชิก พวกเราก็ได้รวมตัวกันสมัคร ซึ่งสิ่งที่ที่สปอร์ตคลับมีบริการนอกจากจะมีห้องฟิตเนส, ห้องแอโรบิค, สนามแบดมินตัน 3 คอร์ด , สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ , ปิงปอง และห้องอาบน้ำที่มี ห้องอบซาวน่า และห้องอบสตรีม ซึ่งสองอย่างหลังนี้เป็นที่โปรดปรานของผมยิ่งนัก และผมเชื่อว่า เกย์ ไม่น้อยกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ต้องชอบเช่นกันเพราะเป็นที่ๆเราจะได้เห็นเนื้อเป็นเนื้อ หนังเป็นหนัง กล้ามเป็นกล้าม ของทั้งชายแท้และหมู่เกย์ ต่างก็พร้อมใจกันนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวเข้าห้องอบทั้งนั้น ซึ่งผิดกับเพื่อนๆ ผม พอออกกำลังกายเสร็จพวกมันก็กลับไปอาบน้ำที่หอพักกัน ทิ้งไว้แต่ผมที่ยังขออยู่อบร่างกายต่อ  ด้วยเหตุผลที่ว่าอยากผ่อนคลายกล้ามเนื้อด้วยระบบความร้อนของไอน้ำ ฟังดูมีเหตุผล แต่แท้จริงแล้วมันก็คือการตอบสนองเบื้องลึกของความต้องการทางเพศที่จะเห็นรูปร่างของเพศชายด้วยกันต่างหาก

ที่นี่เองครับ ที่ทีทำให้ผมรู้จักกับผู้ชายที่ทำให้ผมแทบจะเสียหลักในการใช้ชีวิต ผมไม่รู้ว่าผมจะใช้คำว่า รัก กับเขาคนนี้ดีไหม เพราะจนบัดนี้ ผมก็ไม่สามารถสรุปได้ว่านั้นคือความรักหรือเปล่า เอาเป็นว่า ผมยังจำคนๆนี้อยู่ในความทรงจำของผมเสมอก็แล้วกัน จำได้แม้กระทั้งวันที่เขาเข้ามาในชีวิตของผม 

		 สวัสดีครับ น้องมาออกกำลังกายกับใครครับ  เสียงทุ้มที่ทักผมในห้องอบซาวน่า เพราะตอนนั้นในห้องอบมีเพียงผมและเค้า ผมมองหน้าที่คมสันนั้นแล้วตอบว่า

		 มากับเพื่อนๆ ครับ แต่ว่าตอนนี้เพื่อนๆกลับหมดเพราะไม่มีใครชอบอบตัว

		 พี่ชื่อชัยยุทธ ครับ มาออกกำลังกายนานแล้ว พึ่งจะเห็นน้องมา เป็นสมาชิกใหม่เหรอครับ 

		 ครับ พึ่งมาเล่นได้สองอาทิตย์เองยังไงก็ก็ช่วยแนะนำผมด้วยแล้วกันนะครับ    

ผมตอบและก็ใจเต้นตึกตัก เพราะนี่เป็นครั้งแรกจริงๆที่มีหนุ่มหน้าตาดีมาคุยกับผมโดยมีแค่ผ้าเช็ดตัวพันกายอยู่ ผมอดที่จะมองรูปร่างเค้าไม่ได้ มัดกล้ามพองามแต่แข็งแกร่งบ่งบอกว่าผู้ชายคนนี้ใส่ใจดูแลรักษาร่างกายมาก ความเงียบเข้ามาครอบงำห้องซาวน่าอีกครั้ง ผมสงบจิตสงบใจและพยายามห้ามสายตาซุกซนของผมไม่ให้ไปมองที่ระดับเป้าตุงนั้นผมยอมรับครับว่าผมมองไปจริง ก็ตอนนั้นฮอร์โมนในร่างกายมันเตลิดไปนี่ครับ พี่ชัยยุทธก็หลับตานิ่งเงียบ ผมปล่อยให้ความร้อนในห้องซาวน่าทำงานของมันไป นานเท่าไรไม่รู้ จนพี่เค้าขยับตัวเหมือนจะยืนขึ้นพร้อมกับบอกว่า

		 น้องยังไม่บอกพี่เลยว่าน้องชื่ออะไร 

		 ผมชื่อพล ครับ  ผมใจเต้นแรงขึ้นเมื่อพี่ชัยยุทธลุกยืนและขยับผ้าขนหนู เค้าเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม เอื้อมมือมาที่บ่าแล้วจับบ่าผมไว้ ยิ้ม แล้วมองตาผมอย่างมีความหมาย แล้วพูดว่า

		 ยินดีที่ได้รู้จักครับ น้องพล   แล้วพี่เค้าก็เดินออกจากห้องซาวน่าไป แค่นั้นก็ทำให้หัวใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะ ผู้ชายกึ่งเปลือยได้เอามือมาว่างบนบ่า สัมผัสนั้นยังอุ่นๆ เลือดลมสูบฉีดแรง ผมได้แต่นั่งสงบสติอารมณ์ไม่ให้เตลิดไปมากกว่านี้ ผมนั่งอยู่นาน นานจนคิดว่าทุกอย่างสงบดีสงบทั้งร่างกายและสงบทั้งบางส่วนของร่างกาย  แล้วก็รีบออกมาจากห้องซาวน่า แต่ว่า พี่เค้าไม่อยู่แล้ว......
.
		ผมรู้สึกผิดหวังนิดๆที่ไม่เจอพี่เค้าในห้องล็อกเกอร์ แล้วผมก็อาบน้ำแต่งตัวเตรียมกลับหอพัก เมื่อผมลงมาที่ร็อบบี้ของโรงแรม ผมเจอพี่ชัยยุทธอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่แค่ผ้าเช็ดตัวครับ พี่เค้าใส่เชิร์ตสีขาวกางกางสแลค ดูดีมากมากๆสำหรับผม ชายสูงโปร่งในชุดทำงาน ผมดีใจครับที่เห็นเค้ายังไม่กลับบ้าน แต่ก็รักษาฟอร์มไว้ พี่ชัยยุทธเดินตรงมาที่ผมแล้วพูดว่า

		 พี่อยากกินอาหารพื้นเมือง พี่อยากกินหลายๆอย่าง คิดว่าจะสั่งมาหลายๆอย่าง แต่คงกินคนเดียวไม่หมดแน่ น้องพลว่างพอจะไปช่วยกินเป็นเพื่อนพี่ได้ไหมครับ 

		 ได้สิครับ แต่ขอโทรบอกเพื่อนที่หอก่อน กลัวเพื่อนจะรอทานข้าวด้วย  ผมตอบอย่างง่ายดายและไม่มีทีท่าลังเลเลย นี่เป็นคำตอบที่เปลี่ยนชีวิตผม เปลี่ยนแบบไหนแล้วผมจะเล่าให้ฟัง ผมขึ้นรถไปกินมื้อเย็นกับพี่เค้าอย่างว่าง่าย และก็ตื่นเต้นกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับผมนับจากวันนั้น

		หลังจากวันนั้น พี่ชัยยุทธกับผม ก็ก่อความสัมพันธ์กันขึ้นเรื่อยๆ เรามักจะออกกำลังกายจนดึกและอยู่อบห้องซาวน่าและห้องสตรีมกันเป็นสองคนสุดท้ายเสมอ เราจะรู้สึกเป็นส่วนตัวมาก และในห้องสตรีมเมื่อเราเข้าไป เราจะเปลือยกายและลูบไล้ปลุกเร้าอารมณ์กันเสมอ ที่นี้เอง ที่ผมรู้ว่ารสชาติการที่ถูกผู้ชายจูบนั้นเป็นอย่างไร การกอดรัดบดคลึงด้วยร่างที่เปล่าเปลือยของชายกับชายที่ทำให้สองคนแทบจะเป็นคนเดียวกันเริ่มจากที่นี่ อย่างว่าครับตอนนั้นผมก็พึ่งอายุ  20 ต้นๆ เอง  อะไรก็ดูจริงจัง จับต้องได้ ฮอร์โมนเพศชายมันช่างกำหนัด และไม่เหนื่อยที่จะมีเพศสัมพันธ์ สุดสัปดาห์พี่ชัยยุทธมักจะพาผมไปค้างที่รีสอร์ทนอกตัวเมืองเชียงใหม่เสมอผมยังจำได้ว่า พี่ชัยยุทธกุมมือผมไปตลอดทางขณะขับรถไปที่รีสอร์ท พร้อมบอกกับผมว่า เค้าโชคดีแค่ไหนที่ได้เจอผมและคบผมเป็นแฟน  

      		เราคบกันได้ประมาณ หกเดือนได้แล้ว ความสัมพันธ์ที่กำลังจะเป็นไปด้วยดีแต่ด้วยความเป็นเด็กกว่าอยากเป็นเจ้าเข้าเจ้าของจึงทำให้ผมหึงหวงอย่างไร้เหตุผล บ่อยครั้งที่เรามีปากเสียกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง จนกระทั่งวันหนึ่ง พี่ชัยยุทธบอกว่าเขาจะพาแม่ไปทานข้าวให้ผมทานข้าวคนเดียว ผมเลยต้องทานข้าวคนเดียว  แล้วผมก็อยากระลึกความหลังผมจึงเลือกร้านที่ทานกับพี่ชัยยุทธมื้อแรก  เมื่อผมไปถึง ผมได้มองหาโต๊ะนั่ง  แต่สายตาผมก็ได้เห็นพี่ชัยยุทธมากับผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่ง   


                             โอ้แม่จ้าว!!! แม่พี่ชัยยุทธเป็นผู้ชายหรือนี่ แถมหน้าตาก็เอ๊าะกว่า   สงสัยใช้โคเอ็นไซน์คิวเท็นประโคมหน้าสุดๆ ถึงได้หน้าอ่อนกว่าพี่ชัยยุทธอีก  ผมรู้สึกเจ็บมากๆที่โดนโกหก แต่พอมานึกอีกที พี่เค้าอาจจะมาคุยธุระแล้วไม่อยากมีเรื่องหึงหวงจึงโกหกผมว่าไปทานข้าวกับแม่ ผมเก็บความสงสัยนี้ไว้เงียบๆ ไม่กระโตกกระตากใดๆ แต่ก็เริ่มผิดสังเกตเมื่อความถี่ของการโทรศัพท์หาน้อยลง และไม่ค่อยมีเวลาเหมือนเมื่อก่อนจนกระทั่ง.......วันสุดท้ายของความสัมพันธ์ 

  		วันนั้น ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายจึงโทรศัพท์บอกพี่ชัยยุทธตอนบ่ายๆว่า จะไม่ไปออกกำลังกายที่สปอร์ตคลับ  พี่ชัยยุทธก็บอกให้พักผ่อนเยอะๆพร้อมกับบอกผมว่าพี่ก็ติดธุระเหมือนกันวันนี้จะไม่ไปออกกำลังกายเหมือนกัน แต่เมื่อตกเย็นเพื่อนผมบอกว่าผมควรไปออกกำลังกายเพื่อให้เหงื่อออกบ้างผมจึงตามเพื่อนไปออกกำลังกาย และเมื่อผมไปถึง ผมได้เจอรองเท้าที่พี่ชัยยุทธถอดไว้ที่พื้นห้องล็อกเกอร์ผมเลยตามหาว่าจะไปทักทาย แต่เมื่อผมเดินตามห้องออกกำลังกายต่างๆก็ปรากฏว่าไม่มีพี่ชัยยุทธอยู่สักห้อง ผมจึงคิดว่าพี่ชัยยุทธคงว่ายน้ำอยู่ชั้นบน ผมเลยเดินขึ้นไป แต่ก็ไม่มีใครว่ายน้ำอยู่ ผมนึกสังหรณ์ใจอย่างไงไม่รู้ผมเดินไปดูห้องอาบน้ำชายที่อยู่ตรงข้ามของมุมสระว่ายน้ำ แล้วผมก็เจอ.......


		 มึงเจออะไรวะ  ไอ้ภูมิถามด้วยความอยากรู้เพราะผมหยุดเล่าไป

		 กูเจอพี่ชัยยุทธกำลังคุกเข่าทำออรัลเซ็กซ์ให้กับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นคนที่กูเจอในร้านวันนั้นอย่างเต็มปากเต็มคำ  ผมตอบออกไป

		 สัตว์ !!!! กูกำลังกินไส้กรอกลูกวัวอยู่ กำลังจะเข้าปากแท้ๆเห็นภาพเลยกู เสือกพูดถึงตอนนี้ทำไมว่ะ  ไอ้ภูมิสบถตามนิสัยของมัน

		 ส่งมาให้กูก็ได้ มึงก็รู้ว่ากูโปรดปรานไส้กรอกยิ่งกว่าอะไรโดยเฉพาะไส้กรอกใหญ่ๆยาวๆ  ผมยิ่งแกล้งยั่วมัน

		 แล้วลุงพลทำไงต่อล่ะ  กิมถามผม

		 เราก็กลับมาร้องไห้ต่อที่หอคนเดียวนะสิ พวกนายก็กำลังตีแบดกันอยู่ เราก็เลยมาร้องไห้ที่หอคนเดียว เรายังจำได้เราร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร 2 ชั่วโมงกว่าๆ จู่ๆเราก็คิดว่า เราจะเสียน้ำตาให้คนเลวๆไปทำไมวะ เราต่างหากเป็นคนดีไม่เคยนอกใจ เค้าเป็นคนเลว เราไม่ควรเสียใจให้กับคนเลวๆ เราไม่ควรเสียเวลาและน้ำตาให้กับคนเลวๆแต่มันก็เศร้านะที่เจอเรื่องแบบนั้นนะ มันเจ็บ ข้างในลึกๆ พอพวกนายกลับมาเราก็บอกพวกนายว่าเราไข้ขึ้นไง ตอนนั้นเราบอกกับตัวเองว่าพอแล้วกับเรื่องเก่าๆ เราจะเป็นคนใหม่  และก็อยู่มาถึงทุกวันนี้ การเจ็บมันก็ทำให้เราแข็งแรงพอที่จะสู้กับเรื่องอื่นได้ เวลาจะค่อยๆรักษาทุกอย่างเอง 

ผมหันหน้าไปมองตุลย์พร้อมกับบอกกับตุลย์ ว่า

     	 เชื่อเราเถอะตุลย์  เวลาจะช่วยรักษาทุกอย่างเอง เอ้าพวกเรา !  ดื่มให้กับเวลาที่จะช่วยรักษาทุกอย่าง   ทุกคนยกแก้วชนกันและก็ดื่มคงมีแต่แก้วของตุลย์ที่เป็นน้ำเปล่าแต่ผมเชื่อว่าตุลย์ก็รู้สึกดีขึ้นแน่หลังจากวันนี้เป็นต้นไป

		ผมไม่รู้หรอกนะว่าชายแท้อกหักจะเจ็บมากกว่าหรือน้อยกว่าเกย์อกหัก แต่ในความรู้สึกผม ผมคิดว่าเกย์จะเจ็บกว่าเพราะเกย์มีความสัมพันธ์ทางเพศได้ง่ายกว่า จึงรู้สึกผูกพันกว่า แต่มันไม่สำคัญหรอกว่าใครจะเจ็บกว่ากัน เพราะลงท้ายก็คือเจ็บเหมือนกัน แต่ชีวิตต้องก้าวต่อไปและที่สำคัญที่สุด .....เวลาจะช่วยรักษาทุกอย่าง

        .....................จบตอนที่ 2 ...............

โปรดติตามตอยต่อไป				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟชายชัช
Lovings  ชายชัช เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟชายชัช
Lovings  ชายชัช เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟชายชัช
Lovings  ชายชัช เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงชายชัช