14 กุมภาพันธ์ 2549 13:07 น.
ชายชัช
ตอนที่ 11 รักของเขา
พล! นายคบกับใครอยู่ตอนนี้
ตุลย์เพื่อนสนิทถามผมขณะที่ผมกำลังยกเหล้าขึ้นดื่ม ตุลย์มาสัมมนาที่เชียงใหม่เลยมาพักกับผม เราถือโอกาสนั้นมาดื่มและฟังเพลงที่ร้านคอทเทจ ร้านโปรดของตุลย์
คนเดิม
คนเดิมไหนวะ!?! ตุลย์ถามย้ำ
ก็พี่อรรณพ คนที่เคยมานั่งแล้วเลี้ยงเหล้าพวกนาย ตอนที่เรารับปริญญาไง
ผมทวนความจำ
โอ้โห ! นานแล้วนะเว้ย 5-6 ปีได้แล้วนี่หว่า พี่เค้ายังมีชีวิตอยู่อีกเหรอวะ
ตุลย์ดูท่าประหลาดใจ แต่ก็ไม่วายตบคำถามสุดท้ายด้วยคำถามที่ฟังดูทะแม่งๆ
เอ๊ะ! ไอ้นี่! พูดยังไง 7 ปีกว่าใกล้จะครบ 8 ปีเต็มแล้วโว้ย...เดือนมกรานี่แหละ
เรื่องของเราอายไปเลย ตุลย์ตัดพ้อ
เฮ้ย! พูดอย่างนี้หมายความว่า... ผมยิ้มเหมือนจะรู้ทันตุลย์
เออ! เรามีแฟนแล้ว ปีกว่าๆแล้วล่ะ ตุลย์ตอบยิ้มๆเขินๆ
สองปีก่อนผมกับเพื่อนๆยังช่วยให้กำลังใจตุลย์จากการอกหักเพราะผู้หญิงมาหลอกใช้ตุลย์ แต่วันนี้ดูตุลย์มีความสุขจริงๆเพราะสายตาที่เปล่งประกายของตุลย์มันเก็บความสุขไม่อยู่จริงๆเมื่อเวลาเอ่ยปากถึงความรักที่กำลังผลิบาน
ปิดเงียบไม่บอกเพื่อนฝูงเลยนะ ผมเย้า
อืม เราบอกนายเป็นคนแรก คิดว่าคนนี้คงใช่แล้วล่ะ
ดีใจด้วยเพื่อน! มิน่า...ดูกรุ้มกริ่มมีความสุขเหลือเกิน ผมแซวอีก
แต่คงจะสู้นายไม่ได้ อะไรวะ! ผู้ชายอยู่กับผู้ชายตั้ง 7-8 ปี อยู่ด้วยกันยืดนี่หว่า ทั้งที่เราเห็นนายเป็นคนเบื่ออะไรง่ายๆนี่นา หลงมนต์เสน่ห์พี่เค้าขนาดนั้นเลยเหรอ
จริงสินะ นี่ถ้าตุลย์ไม่ถามผมก็คงแทบจะไม่รู้สึกว่า นานแล้วเหมือนกันสำหรับความรักของผมที่แม้แต่ตัวผมเองก็ไม่เชื่อว่าจะมาถึงวันนี้ ผมคบกับพี่อรรณพจนลืมไปเลยว่านานแค่ไหนแล้วสำหรับความรักของเรา
งั้นมั้ง ผมตอบตุลย์พร้อมยิ้มๆ
ถามจริงๆนะ นายรักเค้าตรงไหนวะ?
อยากรู้ไปทำไม ผมชักเขินเพราะจู่ๆตุลย์ก็ถามเรื่องส่วนตั๊ว ส่วนตัว
บอกมาเถอะน่า เราก็เป็นเพื่อนมากันตั้งหลายปี มันก็มีเรื่องอยากรู้บ้างเป็นธรรมดา ตุลย์บอกเหตุผล
เรารักเค้าตรงที่...เค้ามีสายตาเหมือนพ่อของเราเวลามองแม่น่ะ... น้ำเสียงผมอ่อนละมุนเมื่อตอบคำถามนี่พร้อมกับยิ้มตาลอยขณะตอบ
ยังไงว่ะ ? ตุลย์ถามแทรก
ผมมองหน้าตุลย์หยุดหายใจเล็กน้อยก่อนที่จะบอกว่า
เวลาที่เค้ามองเรา สายตาเค้าเหมือนกับบอกว่า...ปรารถนาเราคนเดียวบนโลกใบนี้...ไม่ต้องการใครอีกแล้ว
เมาหรือเปล่าวะนี่ พูดซะหวานโรแมนติกซะ ถ้าไม่เมานะ นายก็เป็นอย่างที่ไอ้เอกเคยว่าไว้ไม่มีผิด ! ตุลย์ขัดคอ
มันว่าไงเหรอ ผมอยากรู้
มันเคยพูดว่า รู้สึกดีใจที่นายเป็นเกย์ เพราะถ้านายชอบผู้หญิงนะ มันคงสู้ความโรแมนติกของนายไม่ได้จริงๆ ตลาดผู้หญิงต้องโดนนายแย่งไปจนมันเฉาแน่ พอนายบอกว่าเป็นเกย์นะ มันดีใจจะตาย หมดคู่แข่งไปคน พอถึงวันนี้ เราชักเห็นด้วยกับมันแล้วว่ะ ตุลย์เล่าถึงคำพูดที่ไอ้เอก นินทาผมลับหลัง
นี่ก็พูดเกินเหตุ !! จริงๆนอกจากเหตุผลนี้ ยังมีเหตุผลอื่นอีกนะ เหตุผลอีกอย่างคือ...นอกจากพี่เขาจะชื่ออรรณพแล้ว เค้ายัง อันโต อีกด้วยนะ ผมทำหน้าพูดสองแง่สองง่าม
ฮ้า !! ตุลย์อุทานกับสิ่งที่ได้ยิน
ไม่ต้องตกใจขนาดนั้น ไอ้อันโตน่ะ มันย่อมาจาก อันโตนิโอ เค้ามีชื่อเล่นที่เก๋น่ารักไหมล่ะ ผมขยายความทำหน้าเป็นขณะพูด
แล้วไป ตุลย์รู้สึกโล่งใจที่ คาดว่าคงโล่งใจที่ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องขนาดอย่างว่า พร้อมกับพูดเสริมขึ้น
ยังไงก็เถอะ ในบรรดาเพื่อนๆพวกเรา นายมีความรักที่มั่นคงที่สุดนะ
ยังหรอก ยังเรียกว่ามั่นคงไม่ได้ มีอีกตั้งหลายคู่ที่คบกันยาวนานกว่าคู่ของเราถมเถไป ผมให้ความเห็น
เรายังไม่เห็นคู่เกย์คู่ไหนคบกันนานเท่าคู่ของนายแล้วนะ น้ำเสียงตุลย์จริงจัง
นั้นเพราะว่านายมีเพื่อนเกย์ไม่เยอะพอต่างหาก แต่เราไม่ได้หมายถึงคู่เกย์อย่างเดียว เราหมายถึงคู่รักทั่วไปต่างหาก ถึงคู่เราคบกันมาเจ็ดแปดปี แต่มันยังไม่ได้ขี้เล็บของพ่อแม่พวกเราเลยนะ
เออ...จริงของนาย ตุลย์คล้อยตามผม
นายไม่เคยสงสัยเหรอว่า พ่อกับแม่ของพวกเราอยู่ด้วยกันนานขนาดนั้นได้ยังไง ผมตั้งคำถามให้คิด
โห...อย่างเราแค่ปีกว่า พ่อกับแม่เราตั้ง 30 ปีกว่า เออ...จริงของนาย
อะ อะ อะ นายอย่าพึ่งเปรียบเทียบ 30ปีกว่าของพ่อแม่นาย นับจากวันที่แต่งงานกัน แต่นายยังไม่แต่งงาน ยังถือว่าไม่เริ่มต้น นอกเสียจากว่านายแอบไปแต่งงานกันแล้ว ผมกระเซ้าตุลย์
แล้วนายล่ะ นายก็ยังไม่แต่งงานนี่ ตุลย์ไม่ยอมแพ้
ถึงตอนนี้ ผมค่อยๆเอาแขนซ้ายขึ้นมา เอาศอกวางไว้บนโต๊ะสะบัดมือซ้ายกระดิกนิ้วทั้งห้าสะพัดโบกเพื่อโชว์แหวนทองกลมเกลี้ยงที่สวมอยู่นิ้วนางข้างซ้ายของผม เป็นท่าทางที่แม้แต่ตัวผมเองยังรู้สึกว่าตัวเองก็ทนไม่ไหวกับท่าทางที่กระแดะนั้น...แต่ผมมั่น!!!...ทำต่อไปพร้อมบอกกับตุลย์ว่า
ทางนิตินัยไม่มีกฎหมายให้เกย์แต่งงานกัน แต่โดยพฤตินัยแล้ว เราเป็นของกันและกันตามกฎจักรวาล...เมื่อพี่อรรณพสวมแหวนนี้เข้าที่นิ้วนางด้านซ้ายของเราต่อหน้าสักขีพยานคือ ดวงจันทร์อันสว่างดวงโตและหมู่ดวงดาวนับล้านดวงที่สถิตตามทุกแกลแล็คซี่...
อื้อหือ....ลดความเป็นลิเก ลงหน่อยจะดูดีกว่านี้มากนะไอ้พล ตุลย์คงหมั่นไส้ ส่ายหน้าขัดคอ
ขอโทษว่ะ...ลืมตัวไปหน่อยก็นายสะกิดให้เราพูดถึงพี่เค้า ก็เคลิบเคลิ้มเป็นธรรมดา สรุปก็คือ เราได้แต่งงานแล้วเว้ย ถึงแม้จะไม่มีกฎหมายรองรับก็เถอะ...ยังไงก็แล้วแต่เราคิดว่าสิ่งที่เรามีอยู่ร่วมกันทุกวันนี้ มันก็ยังเทียบไม่ได้กับสิ่งที่พ่อแม่ของพวกเราร่วมกันใช้ชีวิตมาหรอกว่ะ
.........
ถึงตรงนี้ต่างคนก็ต่างเงียบกับคำพูดประโยคสุดท้ายของผม ดูเหมือนว่าตุลย์ก็หลุดไปอยู่ในห้วงคำนึงของตุลย์เอง และผมเองก็หลุดไปในห้วงคำนึกส่วนตัวของผมเช่นกัน....ผมคิดถึงเรื่องที่ผมเคยถามแม่ผมตอนที่ผมลาพักร้อนกลับไปเยี่ยมบ้านครั้งล่าสุด...
เมื่อไหร่ลูกจะแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาซะที หึ? พล
แม่ผมถามผม ขณะที่ผมนอนแผ่อยู่บนโซฟารับแขก อันเนื่องมากจากพึ่งกินข้าวเหนียวไก่ย่างส้มตำเจ้าอร่อย ที่ผมต้องไปซื้อมากินทุกครั้งเมื่อกลับไปเยี่ยมบ้าน เป็นคำถามโลกแตกของเกย์ทุกคนที่ต้องเจอคำถามนี้กับพ่อแม่ของตัวเอง ผมยังไม่ได้บอกให้พ่อกับแม่รู้ว่าเป็นเกย์และผมไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องบอกด้วย เพราะผมคิดว่าผมได้ตอบแทนคุณพ่อกับแม่ช่วยผ่อนบ้านทำหน้าที่ลูกกตัญญู ไม่เคยทำให้วงศ์ตระกูลอับอายในเรื่องทุจริตผิดกฎหมาย ไม่เบียดเบียนใคร แค่นี้ก็น่าจะพอแล้วสำหรับลูกคนหนึ่งที่เป็นเกย์ที่ควรตอบแทนพ่อแม่สำหรับความคิดของผม
หือ!?! ผมแกล้งทำไม่ได้ยินคำถาม หยิบอัลบั้มรูปเก่าๆที่แม่เก็บไว้ใต้โต๊ะรับแขกขึ้นมาดู
ไม่ต้องมาทำไก๋เลย นี่ลูกจะสามสิบอยู่แล้วนะ น่าจะมองๆได้แล้ว เดี๋ยวมีลูกไม่ทันใช้
แม่ก็...จะรีบไปทำไม พ่อก็ยังแต่งงานตอนอายุ 35 เลย นี่ผมยังไม่ถึง 30 ด้วยซ้ำ เอาไว้ใกล้ 35 แล้วค่อยว่ากันอีกทีน่า
ผมมักจะใช้คำตอบนี้เป็นไม้ตายเสมอ อ้างถึงเรื่องที่พ่อของผมแต่งงานช้า ในสมัยนั้น ผู้ชายที่แต่งงานตอนอายุ 35 ถือว่าแต่งงานช้ามากๆ ผิดกับสมัยนี้ ภาวะทางเศรษฐกิจ และผู้ชายมีทางเลือกมากขึ้นจึงทำให้ช่วงอายุการแต่งงานช้าเพิ่มขึ้นทุกขณะ
สมัยนั้นที่แต่งงานช้าเพราะมันมีเหตุจำเป็น... แม่ผมเกริ่น
รอแม่โตก่อนใช่ไหม ผมว่าไอ้คำว่า เลี้ยงต้อย นี่พ่อคงบัญญัติเป็นคนแรกแน่ๆ มีอย่างที่ไหนเป็นครูกับลูกศิษย์ห่างกันตั้ง 15 ปี สอนลูกศิษย์มากับมือสุดท้ายกับจับลูกศิษย์มาแต่งงาน
ผมแกล้งบ่นไปอย่างนั้นแหละ จริงๆถ้าเขาสองคนไม่แต่งงานกัน ผมก็คงไม่สามารถเกิดมาวิจารณ์ได้ฉอดๆเหมือนตอนนี้ แม่ผมคงเถียงไม่ออกเพราะที่ผมพูดมามันเป็นความจริง
จริงๆแล้ว...จะว่าพ่อเค้าเลี้ยงต้อยก็ไม่ถูกร้อยเปอร์เซ็นต์นะ เพราะว่าของแบบนี้มันต้องมันต้องร่วมมือกันทั้งสองฝ่าย แม่ผมพุดออกมา
หา !?!
ผมงงว่าสิ่งที่ผมได้ยินมันจะออกมาจากปากของแม่ตัวเอง บังเอิญเหลือเกินที่อัลบั้มที่ผมกำลังพลิกดู มาถึงหน้าของรูปๆหนึ่ง ซึ่งในรูปถ่ายนั้น เป็นรูปขาวดำเก่ามากๆ เป็นรูปที่แม่ของผมใส่ชุดนักเรียนคอซองยืนถ่ายรูปเดี่ยว โดยมีฉากหลังเป็นเสาธง รอบๆเสาธงมีต้นแปลงดอกเข็มที่ปลูกล้อมไว้เป็นแปลงรูปทรงกลมล้อมเสาธงไว้ ผมพึ่งสังเกตเห็นว่า นอกจากจะมีเสาธง ยังมีกลุ่มเด็กนักเรียนกำลังถอนหญ้าในแปลงดอกเข็ม ภายใต้การควบคุมดูแลการถอนหญ้านั้นโดยชายคนหนึ่งซึ่งสวมชุดกากีข้าราชการครูยืนสั่งงาน ชายคนนั้นไม่ใช่ใครอื่น พ่อผมนั้นเอง
มิน่า !!!!...รูปนี่.!?!... ผมตกใจพูดไม่เป็นคำพูด
ร้ายเหมือนกันแฮะ แม่เรา ผมเอ่ยแซวแม่ของตัวเอง
แม่ของผมหลบตายิ้มเขินๆ แก้มแดงด้วยความอาย อุเหม่! เลือดสาวฝาดแก้มตอนอายุห้าสิบเก้านะ แม่เรา
แต่แม่ก็เลือกคนไม่ผิดนี่ครับ ผมไม่เคยเห็นพ่อนอกใจแม่เลย ดูแลกันมาตลอด
แม่ยิ้มกับคำพูดของผม แล้วบอกว่า
พ่อเค้าเคยมาพูดกับแม่ว่า ขอบใจแม่มากที่ไม่ทิ้งเค้าไปตอนที่ครอบครัวเราเจอมรสุมชีวิต
สายตาแม่มีความภูมิใจและเต็มไปด้วยความสุข เมื่อพูดประโยคนี้... ครอบครัวเราเคยประสบปัญหาเรื่องภาวะหนี้สินขาดสภาพคล่องอันเนื่องมาจากโดนโกงจากเพื่อนร่วมงาน และการที่ไว้ใจคนของพ่อที่มีมากเกินไป ยอมเป็นนายค้ำประกันในการกู้หนี้ยืมสินของผู้อื่นจนโดนฟ้องเกือบล้มละลาย ทนายฝ่ายเราเสนอว่าให้แม่หย่าขาดกับพ่อชั่วคราว เพื่อให้พ่อรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว แต่แม่เลือกที่จะอยู่ข้างพ่อ เหตุการณ์นี้มันก้องอยู่ในใจของลูกทั้ง 4 คน... แต่เรื่องมันก็ผ่านมานานจนเราตั้งตัวได้และอยู่อย่างพอเพียงตามอัตภาพ
แม่เล่าให้ฟังหน่อยสิครับ...ว่าพ่อกับแม่รักกันแบบไหน รักกันเมื่อไหร่...ผมอยากรู้
...... ไม่มีคำตอบจากแม่
น่า...นะแม่ ผมก็เป็นผู้ใหญ่แล้วแม่ไม่ต้องเขินหรอก เผื่อผมจะได้เอาไว้เป็นตัวอย่างในการใช้ชีวิตคู่ ผมคะยั้นคะยอ แม่ผมทำท่าคิดสักครู่แล้วตัดพ้อว่า
ไม่อยากเล่าเลย...มันเหมือนประจานความแก่แดดของตัวเอง
แม่ผมใช้คำว่าแก่แดด กับผมเป็นสัญญาณที่ดีที่แม่เห็นผมเป็นเพื่อนคนหนึ่งและมีทีท่าว่าจะเริ่มเล่า
เอาแบบว่ารักกันตั้งแต่แรกแบบว่า... รักแรกพบหรือเปล่าอะไรประมาณนี้นะแม่ ผมเริ่มตื่นเต้นที่แม่ยอมเล่าเรื่องครั้งในอดีตให้ผมฟัง
ก่อนเจอพ่อ แม่มีคู่หมั้นมาก่อน แม่ผมเริ่มเรื่อง
คู่หมั้น !!! ไม่ใช่พ่อคนเดียวเหรอที่มาจีบแม่นะ ผมอุทาน
เชอะ!! ดูถูก สมัยแม่ยังสาวรุ่นนะ แม่ก็หนึ่งในตองอูนะยะ
แม่พูดประโยคนี้เสร็จ ก็ทำให้ผมรู้ว่า ผมได้ความมั่นจิต มั่นอกมั่นใจจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมจากแม่นี่เอง แต่ก็ถูกของแม่ เพราะแม่ของผมเป็นผู้หญิงที่สวยคนหนึ่งทีเดียว หรือว่าความสวยนี้จะเป็นเหมือนกันทุกบ้านคือลูกจะมองว่าแม่ตัวเองสวยกว่าแม่คนอื่นเสมอ
คู่หมั้นเก่าแม่นะเป็นพี่ชายของเพื่อนแม่อีกที เพื่อนแม่ชื่อทองใบ
ฮ่าๆๆๆๆ ทองใบ!!! คนอะไรชื่อทองใบ ทำไมมันเชยแบบนั้นละแม่
จะฟังต่อมั้ย? แม่ผมเริ่มไม่สบอารมณ์ที่โดนขัดคอ
ฟังสิครับ แม่ก็...ก็มันขำจริงๆนะ ชื่ออะไรก็ไม่รู้เช้ยเชย ผมทำเสียงอ่อยๆ
สมัยก่อนใครเค้าจะตั้งชื่อได้วิจิตรพิสดารเหมือนสมัยนี้กันล่ะ อยู่บ้านนอกชนบทกัน บุญแค่ไหนที่ตายายของลูกไปให้พระตั้งชื่อให้ ไม่งั้นแม่คงได้ชื่อว่าส้มแป้น...หรือไม่ก็...บุญหลายแน่ๆ
จริงของแม่ แม่ของผมชื่อจริงว่า รัตนา โดยที่ชื่อเล่นที่พ่อของผมหรือ บรรดาญาติฝ่ายแม่จะเรียกชื่อเล่นๆว่า รัตน์ คนสมัยก่อนตั้งชื่อตามประสาถ้าใกล้ชิดพระเจ้าก็ขอความเมตตาให้พระเจ้าตั้งให้ไม่เหมือนสมัยนี้ที่แต่ละชื่อเรียกกันยากๆอ่านกันทีแทบจะต้องเปิดพจนานุกรมเพราะหากอ่านชื่อแล้วอ่านผิดจะดูไม่ดีต่อเจ้าของชื่อ แต่ไม่ใช่ประเด็นชื่อที่ผมสนใจประเด็นมันคือเรื่องราวของแม่ผมต่างหาก แม่ผมเริ่มเล่าจนเห็นภาพสมัยเมื่อแม่อายุได้ 14 ปีใกล้จบ ป. 7 .....
พุทธศักราช 2503
อำเภอแห่งหนึ่ง จังหวัดสกลนคร
ดีจะตาย ถ้าเธอมาเป็นพี่สะใภ้ชั้นนะ เราจะได้อยู่บ้านเดียวกัน
ทองใบพูดกับรัตนาด้วยเสียงแทบจะเป็นเสียงกระซิบ สาวรุ่นทั้งสองคุยกันอยู่ใต้ถุนบ้านที่ยกสูง ปล่อยให้ผู้ใหญ่คุยกันอยู่ด้านบน ทั้งสองพยายามเงี่ยหูฟังเสียงของพวกผู้ใหญ่ในบ้าน มันกะทันหันมากจู่ๆก็มีผู้ใหญ่จากบ้านฝ่ายชาย บุญมี ซึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆของเพื่อนสนิทคนที่กำลังโน้มน้าวใจให้ตอบตกลงการมาสู่ขอครั้งนี้ รัตนาอึ้งกับความเห็นของทองใบ ทั้งสองเงียบพยายามฟังจนได้ยินเสียงผู้ใหญ่ข้างบน
ลูกชั้นมันอยากจะแต่งงานก่อนมันไปนครสวรรค์ จะได้ไปสร้างตัวกันที่นั้น โรงสีที่โน้นก็สร้างใกล้เสร็จแล้ว ดีเหมือนกันถ้ามีครอบครัวจะได้ตั้งใจช่วยกันทำมาหากิน
เสียงของผู้ใหญ่บุญโฮม พ่อของฝ่ายชายที่เป็นเจ้าของกิจการโรงสีแห่งเดียวของอำเภอพูดถึงจุดประสงค์ของการมาสู่ขอและเหมือนจะบอกกลายๆว่าการแต่งงานครั้งนี้ รับรองไม่มีการกัดก้อนเกลือกิน เพราะได้วางรากฐานกิจการเป็นของขวัญการแต่งงานให้คู่บ่าวสาวอยู่แล้ว
เราจะได้ดองกันเสียที ถ้าเราได้ดองกันนะ ต่อไปลุงสมก็ไปสีข้าวที่โรงสีของชั้นฟรี! ไม่ต้องเสียค่าสีข้าวอีกแล้ว
สีข้าวฟรี! รัตนานึกในใจพร้อมกับคิดถึงความยินดีที่บ้านของเธอจะได้ไม่ต้องเสียข้าวให้โรงสีของผู้ใหญ่บุญโฮมอีกต่อไป ทุกครั้งที่ไปสีข้าวผู้ใหญ่บุญโฮมจะคิด ร้อยละสิบโดยน้ำหนักของข้าวสารไม่ใช่ข้าวเปลือก ข้าวพร้อมเปลือกหนึ่งกระสอบป่าน โดนสีเอาเปลือกออก เหลือไม่ถึง 80 กิโลกรัมด้วยซ้ำ ร้อยละสิบก็น่าจะเก็บแค่กระสอบละ 8 กิโลกรัม แต่การเก็บค่าสีข้าวของผู้ใหญ่บุญโฮมไม่เป็นอย่างนั้น เมื่อนำข้าวพร้อมเปลือกมา 1 กระสอบป่านมาสีเป็นข้าวสารออกมา ผู้ใหญ่บุญสมกลับมีปี๊บ 1 อันไว้ตวงข้าวสารออกไปเป็นค่าสีข้าว 1 ปี๊บ ซึ่งรัตนาเคยแอบเอาข้าวสาร 1 ปี๊บไปลองชั่งเมื่อตอนคนสีข้าวเผลอ รัตนาค้นพบว่ามันหนักถึงเกือบ 15 กิโลกรัม ความรู้สึกโดนเอาเปรียบนี้ รัตนาได้แต่เก็บไว้เอาไว้ในใจ เพราะพ่อของเธอบอกกับเธอเสมอว่า อย่าพูดออกไปให้ใครได้ยินเพราะเราไม่มีทางเลือก... และถึงตอนนี้กับข้อเสนอการแต่งงานพร้อมกับได้สีข้าวฟรี ทางเลือกได้มาอยู่ฝ่ายเราบ้างแล้ว
โบราณเค้าว่าปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ปลูกอู่ตามใจคนนอน ผมตัดสินใจแทนลูกไม่ได้หรอกครับผู้ใหญ่
เสียงนายสม ผู้เป็นพ่อของรัตนาตอบ
อะไร! ลุงสมเป็นพ่อของเด็ก ก็น่าจะให้คำตอบได้นะ ลูกต้องเชื่อฟังพ่ออยู่แล้วนี่!
เสียงของป้าอุ่นเรือน ภรรยาผู้ใหญ่บ้านออกความเห็นบ้าง เสียงเงียบจากบนเรือนเงียบไปพักหนึ่งก่อนที่เสียงนายสมใจผู้เป็นพ่อของรัตนาจะบอกเหตุผล
ก่อนที่เมียผมจะตาย เมียผมสั่งให้ดูแลลูกๆให้ดีส่งเสียลูกให้เรียนสูงๆให้ได้ รัตน์มันเป็นเด็กขยันและหัวดีที่สุดในบรรดาลูกทั้งหมด ผมอยากให้มันเรียนสูงๆกว่านี้ อีกอย่างมันก็เด็กอยู่ ยังไม่เต็มสิบห้าด้วยซ้ำใจผมอยากให้มันเรียนอีกหน่อย ถ้าหัวมันไปได้ มันอาจจะเป็นเจ้าคนนายคนกับเขาบ้าง
รัตนาฟังเสียงผู้เป็นพ่อให้เหตุผลด้วยความซาบซึ้งใจในความรักและความหวังที่พ่อมีในตัวเธอ แม่ของเธอมาด่วนจากไป ตั้งแต่เธออายุได้แค่ 6 ขวบและน้องสาวเธอแค่ 3 ขวบ ภาระเรื่องลูกจึงตกเป็นหน้าที่ของผู้เป็นพ่อตั้งแต่บัดนั้นกับการเลี้ยงดูลูกๆทั้ง 7 คน รัตนามีพี่ชายทั้งหมด 3 คน ซึ่งอายุห่างจากเธอ สิบกว่าปีทั้งนั้นและตอนนี้ต่างก็ออกบ้านไปมีครอบครัวมีลูกมีเต้ากันหมด พี่สาวอีก สองคน คือ สายใจ และสวรรค์ ก็ออกเรือนไปแล้วเช่นกัน คงเหลือแต่รัตนาและวันเพ็ญ พี่น้องสองสาวที่อยู่กับพ่อในบ้านหลังนี้
อู้ย...จะรงจะเรียนมันไปทำไม้!! ป้าอุ่นเรือนเมียผู้ใหญ่บ้านขึ้นเสียงสูงแล้วกล่าวต่อ
เรียนเยอะไปก็เท่านั้น เรียนเยอะแค่ไหนจบออกมาก็เอาผัวอยู่แค่ในบ้านอยู่ดี
แม่ชั้นพูดถูก จะเรียนไปทำไมเยอะแยะ เรียนไปก็เท่านั้น ชั้นนะ! ไม่ค่อยชอบเรียนนักหรอก จบป.7 นี่ชั้นจะไม่เรียนแล้ว ไม่รู้จะเรียนไปทำไม ไม่เห็นมีประโยคสักนิด
ทองใบกระซิบออกความเห็น รัตนากำหมัดแน่น ทั้งรู้สึกโกรธและผิดหวังต่อความคิดของเพื่อนในวันนี้ และไม่พอใจอย่างยิ่งที่การออกความเห็นของป้าอุ่นเรือนต่อการเรียนของเธอที่เธออุตสาหะ เล่าเรียนจนสอบได้ที่หนึ่งของชั้นเรียนมาโดยตลอด รัตนาพยายามควบคุมอารมณ์โกรธนั้นไว้
จริงๆชั้นก็เห็นด้วยนะ ว่าลูกของลุงสมนะยังเด็ก แต่เจ้าลูกชายชั้นนะสิ มันไม่ยอม มันบอกว่าถ้าไม่ได้แต่งกับกับลูกของลุงสมมันจะไม่ยอมไปดูแลโรงสีที่นครสวรรค์นะสิ! ถ้าเห็นแก่อนาคตของเด็ก ชั้นรับประกันว่าเป็นเจ้าของโรงสีนะ ไม่อดตายหรอกมีแต่รวยขึ้นๆด้วยซ้ำ สินสอดทองหมั้นชั้นก็จะตบแต่งให้สมฐานะ ! ลูกชายผู้ใหญ่บุญโฮมจะแต่งงานทั้งที
ต้องถามเด็กแล้วละครับเรื่องนั้น ถ้าเด็กรักกันชอบพอกันผมคงไม่ขัดข้อง ติดแต่ในความเห็นผมคือลูกผมมันเด็กไป ผมอยากให้มันเรียนอีกหน่อยนะ
งั้นก็เรียกมาถามความสมัครใจซะทีสิ จะได้รู้ๆกันไปเลย
เสียงของคุณนายอุ่นเรือนบอกถึงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัดแม้แต่ผู้แอบฟังอยู่ไต้ถุนบ้านอย่างรัตนายังจับอารมณ์ในน้ำเสียงนั้นได้
รัตน์เอ้ย! รัตน์ !
จ๋าพ่อ
รัตนารีบขานรับ พร้อมกับรีบวิ่งขึ้นไปบนเรือนพร้อมคลานเข่าเข้าไปนั่งข้างๆพ่อในวงสนทนาโดยมีฝ่ายชายคือบุญมี พี่ชายของทองใบจ้องมองอย่างไม่วางตาพร้อมกับยิ้มให้ตลอดเวลา รัตนาก้มหน้าพยายามไม่สบตาใคร ทองใบที่แอบฟังอยู่ใต้ถุนบ้านพร้อมกับรัตนาก็คลานเข่าเข้ามาติดๆแต่ก็คลานไปทางผู้ใหญ่บุญโฮมและป้าอุ่นเรือน
บัดนี้เหมือนสองครอบครัวกำลังประจันหน้าในศึกรบไม่มีผิด
เห็นมาตั้งแต่เด็กๆ พอลูกชายบอกให้มาสู่ขอก็ยังนึกอยู่ว่าเด็กมอมแมมอย่างนั้นชอบเข้าไปได้อย่างไร พอมาเห็นหน้าวันนี้ลูกของลุงสมสวยขึ้นมากนะ ลูกชายชั้นก็ตาถึงเหมือนกัน
ผู้ใหญ่บุญโฮมกล่าวชม แต่น่าแปลก! ที่รัตนาไม่ได้รู้สึกยินดีกับความกล่าวชมที่ได้ยินนั้นเลย ได้แต่ก้มหน้า
ลุงมาสู่ขอหนูมาเป็นสะใภ้ของบ้านนะ หนูจะว่าอย่างไง ผู้ใหญ่บุญโฮมเอ่ยถาม
รัตนามองหน้าผู้เป็นพ่อบังเกิดกล่าวแล้วบอกว่า
แล้วแต่พ่อค่ะ
แต่สายตาของรัตนาที่ส่งให้กับผู้เป็นพ่อนั้น เชิงร้องขอความช่วยเหลือ ผู้เป็นพ่อที่เลี้ยงดูอยู่เข้าใจในทันทีว่า ลูกสาวยังไม่พร้อม
จริงๆผมก็อยากให้ลูกสาวผมเป็นฝั่งเป็นฝานะผู้ใหญ่ เพื่อเห็นแก่แม่ของรัตน์มันที่ตายไปแล้วที่เคยขอร้องให้ผมส่งเสียลูกให้เรียนสูงๆ โรงเรียนมัธยมกำลังสร้างให้ทันรุ่นของลูกสาวผมพอดี เจ้าของโรงเรียนก็เป็นญาติสนิทกับหลวงพ่อแปลง หลวงพ่อแปลงก็อยากให้ลูกหลานไปเรียนกันเยอะๆผมก็เห็นว่าลูกผมมันน่าจะเรียนพอไปได้ ผมขอให้รัตน์มันเรียนต่ออีกสัก 3 ปีได้ไหม จบมศ.3 แล้วค่อยว่ากันอีกที อีกอย่างถ้าออกเรือนตอนนี้จะไม่มีใครสอนเรื่องงานบ้านให้ลูกสาวคนเล็กของผม รออีกสักนิดอีกสามปี ถึงตอนนั้นวันเพ็ญก็คงจะรู้งานบ้านถ้ารัตนาอยากออกเรือนก็คงพร้อมทุกอย่าง
เมื่อนายสมใจพูดเสร็จ ชายหนุ่มผู้เลือดร้อนอยากจะเข้าวิวาห์แสดงสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัดจนผู้ใหญ่บุญโฮมต้องรีบตัดสินใจเดี๋ยวนั้น
งั้นก็ต้องหมั้นเอาไว้ก่อน จะได้สบายใจกันทั้งสองฝ่าย
จริงๆแล้วมันคือความสบายใจเฉพาะฝ่ายเจ้าบ่าวมากกว่า ซึ่งดูเหมือนว่าบุญมีผู้เป็นลุกชายจะมีสีหน้าดีขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ดีเหมือนกัน! เจ้าบุญมีจะได้ไปสร้างเนื้อสร้างตัวไว้รอให้ว่าที่เจ้าสาว ถ้าอยากให้เค้าสบายแกก็ต้องไปทำงานสร้างฐานะสร้างกิจการโรงสีที่โน่นให้เจริญรุ่งเรือง เข้าใจไหม
หนุ่มบุญมีที่อายุเพียง 19 ปีพยักหน้ารับคำ
เรื่องก็สรุปได้แล้ว เรากลับไปก่อนดีไหมจะได้ไปดูฤกษ์ยามแล้วค่อยมาตกลงวันหมั้นกันอีกที
เสียงป้าอุ่นเรือนแสดงถึงความไม่พอใจเชิงรำคาญที่ได้คำตอบแค่ การหมั้น ไม่ใช่ตกลงเรื่องการแต่งงานให้ได้เรื่องได้ราวไปเสียทีเดียว ผู้ใหญ่บุญโฮมเหมือนจะรู้อารมณ์ของผู้เป็นภรรยา แต่ในเวลานั้นคงไม่ใช่แค่ผู้ใหญ่บุญโฮมเพียงคนเดียวที่รู้ในน้ำเสียง นายสมและรัตนาผู้เป็นลูกสาวก็ได้แต่นิ่งเงียบกับน้ำเสียงท่าทีนั้น
ถ้าอย่างนั้นชั้นก็หมดธุระแล้ว ขอตัวกลับก่อนนะ ผู้ใหญ่บุณโฮมออกปากขอตัวจะกลับ
เมื่อทุกคนลงจากเรือน ไม่วายที่ป้าอุ่นเรือนจะบ่นกับสามีดังๆขณะเดินออกจากบริเวณบ้าน ความเงียบของชนบทสมัยนั้นมันเงียบเสียจนได้ยินสียงพูดคุยกันถึงแม้ว่าผู้พูดจะเดินไปไกลถึงเกือบประมาณสามสิบเมตรแล้วก็ตาม หรืออาจเป็นเพราะป้าอุ่นเรือนจงใจที่จะให้ได้ยินกันถ้วนหน้า
เล่นตัวกันนัก ! จะต้องมีขั้นตอนเยอะแยะ จะเอาของหมั้นด้วยนะสิ สินสอดแต่งงานไม่พอตั้งตัวหรือไง!
จุๆๆ...ไปคุยกันที่บ้าน เสียงผู้ใหญ่บุญโฮมปราม
นายสมผู้เป็นพ่อของรัตนาเดินหนี แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินและไม่ออกความเห็นใดๆ ปล่อยให้รัตนาครุ่กรุ่นด้วยความโกรธ นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว ที่ป้าอุ่นเรือนปรามาสเธอแต่คราวนี้รามปามไปถึงครอบครัวของเธอว่าไม่รู้จักพอด้วย ยิ่งทำให้เธอแค้น และเธอยิ่งไม่เข้าใจพ่อของเธอที่ไม่แสดงความเห็นใดๆต่อคำปรามาสนั้น พ่อของเธอเดินเฉยเข้าห้องนอนไปอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น...
ข่าวการหมั้นของบุญมีและรัตนาดังอย่างรวดเร็ว คนมาเป็นสักขีพยานในงานหมั้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ใหญ่บุญโฮมเยอะกว่าญาติของฝ่ายหญิงเป็นสิบเท่า จริงอยู่ที่เป็นแค่การหมั้น แต่รัตนาก็อดถูมิใจไม่ได้ที่เธอได้รับเกียรติการมาสู่ขอจากคนที่มีหน้ามีตาทางสังคม เธอได้รับคำกล่าวที่ชื่นชมจากเพื่อนๆของเธอเสมอ และบอกว่าเธอโชคดีมากที่เธอได้เป็นว่าที่สะใภ้ของครอบครัวอันมีเกียรติ เป็นถึงเจ้าของกิจการโรงสีที่นับวันจะใหญ่โต จนต้องไปขยายกิจการถึงนครสวรรค์เป็นลู่ทางปูไปสู่ความสบายของเธอในอนาคต เพื่อนๆเรียกเธอว่าคุณนายโรงสีอย่างคะนองปากเมื่ออยู่ในกลุ่มเพื่อนด้วยกัน ในอนาคตใครจะรู้...ว่าที่พ่อสามีเธออาจจะเป็นกำนันสักวันและเธอก็จะกลายเป็นสะใภ้กำนันในที่สุด
น่าแปลก...ที่หลังจากงานหมั้น รัตนารู้สึกต้องระวังในการวางตัวขึ้นมากเป็นพิเศษ รัตนาไม่กล้าที่จะไปหาทองใบที่บ้านผู้ใหญ่บุณโฮมเหมือนที่แล้วๆมา ในวันหยุดเธอกลับเลือกที่จะอยู่บ้านไม่ไปปีนเที่ยวเก็บมะขามกับทองใบเหมือนเมื่อครั้งยังเป็นเพื่อนกัน บุญมี คู่หมั้นของเธอไปบุกเบิกกิจการโรงสีที่นครสวรรค์ตามคำสั่งของผู้ใหญ่บุญโฮม ที่หวังจะให้เป็นอนาคตของเขาและเธอ
รัตนาเองก็เข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมที่เปิดใหม่ เธอเป็นนักเรียนรุ่นแรกของโรงเรียนมัธยมแห่งนี้และนี่ เป็นวันแรกของการเปิดเรียน โต๊ะเก้าอี้และกระดานดำที่อยู่หน้าห้องดูขลังนัก ถึงแม้จะเป็นของใหม่หมด แต่มันก็ดูน่าเกรงขามเพราะในบรรดาพี่น้องของเธอ รัตนาเป็นคนแรกที่ได้มาเรียนในชั้น มศ.1 เธอรู้สึกว่าหน้าที่การเป็นนักเรียนของเธอจะต้องไม่ทำให้ใครผิดหวังและเธอ จะทำให้เต็มความสามารถ
เสียงระฆังดังให้สัญญาณดังขั้น บอกให้นักเรียนทุกคนเตรียมตัวเรียนในวิชาแรก หลังจากพึ่งเข้าแถวเคารพธงชาติและได้รับโอวาทจากครูใหญ่เจ้าของโรงเรียน นักเรียนในห้องเงียบเสียงทันทีที่ชายสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงสีกากีเดินเข้ามา เมื่อรัตนาเห็นใบหน้าของครูผู้สอนที่เดินเข้ามา เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่า หัวใจของเธอเต้นแรงผิดปกติเธอรู้สึกถึงโลหิตที่สูบฉีดภายในกายของเธอ
ครูชื่อ วิทยา เกียรติณรงค์ จะมาสอนวิชาคณิตศาสตร์ให้กับนักเรียนในวันนี้
เจ้าของชื่อเมื่อบอกเสร็จก็หันหลังให้นักเรียน เอื้อมมือไปหยิบชอล์กเขียนชื่อตัวเองลงในกระดานดำด้วยตัวหนังสือตัวใหญ่ที่สามารถที่จะให้นักเรียนที่นั่งอยู่หลังชั้นเรียนเห็นได้ชัดเจน วิทยา เกียรติณรงค์ เป็นชื่อที่รัตนาจำได้ในทันทีโดยไม่ต้องให้ใครบอกซ้ำ รัตนาจ้องหน้าอาจารย์ที่อยู่หน้าชั้นอย่างไม่วางตาเหมือนกับว่าเธอเคยได้เจอผู้ชายคนนี้ที่ไหนสักแห่ง แต่เธอจำไม่ได้ว่าเคยเห็นที่ไหน
ไหน นักเรียนลองแนะนำตัวให้ครูรู้จักทีละคนสิ เริ่มจากเธอก็แล้วกัน
อาจารย์วิทยาชี้ไปที่นักเรียนคนที่นั่งหน้าสุดมุมขวาของห้องเป็นคนแรกที่แนะนำตัว รัตนานั้นนั่งอยู่หน้าสุดของห้องเช่นกันแต่นั่งอยู่ตรงกลาง เมื่อเรียงลำดับจากมุมขวาของห้อง เธอนั่งเป็นลำดับที่ 5 ที่จะได้แนะนำตัว รัตนา ท่องคำที่จะใช้แนะนำตัวอยู่ในใจ และเมื่อถึงตาเธอเธอจะแนะนำให้ดีที่สุด เธอท่องแล้วแล้วท่องอีกจนเมื่อถึงลำดับที่ต้องเป็นเธอ รัตนาลุกขึ้นตอบด้วยน้ำเสียงที่ดังฟังชัดว่า
ดิฉันชื่อ ตั๊ดระนา มหาวงศ์ค่ะ!
เจ้ากรรมเอ๋ย แม้แต่เจ้าตัวเองยังไม่รู้สึกตัวว่าตัวเองพูดชื่อตัวเองผิด
อะไรนะ!?! เธอชื่อ ตั๊ดระนา จริงๆเหรอ
อาจารย์วิทยาถามซ้ำ ทำเอาเพื่อนๆในห้องหัวเราะดังลั่นในความเปิ่นของรัตนา ถึงตรงนี้รัตนาพึ่งรู้ตัวว่าตัวเองได้พูดผิด เธออายจนหน้าแดงแทบจะร้องไห้ออกมา เธอหวังที่จะทำหน้าที่นักเรียนที่ดี กล้าคิดกล้าทำพูดจาฉะฉาน แต่เธอกลับพูดผิด.ให้ตายเถอะ
รัตนาค่ะ เธอตอบเสียงค่อยๆอย่างอายๆ
ไม่เป็นไร ใจเย็นๆทุกคนมีข้อผิดพลาดกันได้ ขอให้เรามีสติค่อยๆคิดแล้วจะดีเอง
อาจารย์วิทยากล่าวปลอบใจพร้อมกับยิ้มด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจโชว์ฟันขาวที่เป็นระเบียบ รัตนาประทับใจกับรอยยิ้มนั้นมาก เพราะดูเหมือนกับว่า โลกทั้งโลกกำลังให้แสงสว่างแก่ทุกสิ่ง มันมีชีวิตชีวา ด้วยรอยยิ้มนั้นถึงขาดแสงอาทิตย์โลกของเราคงจะหมุนได้ไม่เดือดร้อนหากได้ยิ้มของอาจารย์วิทยา
การเรียนของวิชาแรกวิชาคณิตศาสตร์เต็มด้วยชีวิตชีวา รัตนารู้สึกชื่นชมอาจารย์วิทยาอยู่ในใจที่ทำให้เธอสามารถเข้าใจถึงการเรียนการคำนวณของวิชานี้ได้ดียิ่งขึ้น เธอสัญญากับตัวเองว่าเธอจะตั้งใจเรียนวิชานี้และทุกวิชาให้เต็มความสามารถ
เค้าว่าอาจารย์วิทยาอกหักเพราะผู้หญิงหนีไปแต่งงานใหม่
รัตนาแทบหูผึ่งเพราะเสียงนินทาอาจารย์วิทยาดังมาจากด้านหลังของเธอ เป็นเสียงของนิภาเพื่อนร่วมชั้น ขณะที่เธอกำลังตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือวิชาสังคมเพื่อเตรียมเรียนหลังจากหมดชั่วโมงพักเที่ยงแล้ว
พูดเป็นเล่นไปเธอ เธอได้ยินมาจากไหน เสียงของผ่องศรีเพื่อนอีกคนถาม
ชั้นได้ยินพ่อคุยกับแม่อีกที ก็พ่อชั้นเป็นเพื่อนกับครูใหญ่เจ้าของโรงเรียนไง ครูใหญ่ก็เล่ามาอีกทีหนึ่ง เค้าบอกว่าอาจารย์วิทยานะ จริงๆกำลังจะแต่งงานแล้ว แต่ว่าฝ่ายหญิงไม่พอใจที่เอาเงินเก็บทั้งหมดมาลงทุนร่วมหุ้นเปิดโรงเรียนมัธยมที่เรากำลังเรียนอยู่นี่แหละ
โรงเรียนปรีชาศึกษา เป็นโรงเรียนราษฎร์ หรือคำในสมัยนี้คือ โรงเรียนเอกชน ในสมัยก่อนรัฐบาลยังไม่ได้ขยายการศึกษาได้ทั่วถึงมากนัก การก่อตั้งโรงเรียนราษฎร์จึงเพื่อมุ่งหวังให้นักเรียนไทยมีการศึกษาที่ดีขึ้น ที่สำคัญโรงเรียนราษฎร์ในสมัยนั้นเป็นที่ขึ้นชื่อฤาชาว่า ครูสอนในโรงเรียนจะไม่มีโต๊ะนั่งในชั้นเรียน ครูโรงเรียนราษฎร์จะต้องขยันขันแข็งไม่มีการนั่งพักตลอดชั่วโมงการสอน ดังนั้นจึงเป็นที่นิยมของผู้ปกครองว่าหากครูเอาใจใส่ในหน้าที่ต่อบุตรหลานโดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยหรือเกียจคร้านบุตรหลานจะได้รับการศึกษาที่ดีแน่ และสมัยนั้นค่าเทอมของโรงเรียนราษฎร์ก็ไม่ได้มหาโหดเหมือนค่าเทอมของโรงเรียนเอกชนในสมัยนี้ด้วย
ทำไมฝ่ายหญิงถึงไม่พอใจล่ะ
เสียงผ่องศรีถามต่อ นั่นสิทำไมถึงไม่พอใจรัตนาผู้เงี่ยหูฟังอยู่ก็อยากจะรู้เช่นกัน
ก็มันเป็นเงินสินสอดที่จะใช้แต่งงานนะสิ พอเค้าเห็นว่าอาจารย์วิทยาเหลือแต่ตัวเปล่ากับโรงเรียนซึ่งก็เป็นแค่หุ้นส่วน ไม่ได้เป็นเจ้าของคนเดียวสักหน่อย อีกเมื่อไหร่จะเก็บเงินไปแต่งได้ก็ไม่รู้ อีกอย่างฝ่ายหญิงไม่เห็นด้วยที่จะมาเป็นโรงเรียน ฝ่ายหญิงก็เลยไม่รอไปแต่งงานใหม่เลยหน้าตาเฉย
น่าสงสารอาจารย์วิทยานะ
ผ่องศรีและรัตนาเปรยออกมาพร้อมกัน เสียงของรัตนาทำให้ทั้งนิภาและผ่องศรีรู้ตัวว่ามีคนไม่ได้รับเชิญแอบอยู่ในวงสนทนาด้วย
รัตน์! เธอแอบฟังด้วยเหรอ นิภาพูดเหมือนจับคนผิดได้
พวกเธอคุยเสียงดังจะตาย ใครอยู่แถวนี้ก็ได้ยินทั้งนั้นแหละ รัตนาพูดแก้เขิน
ถ้าเป็นเธอล่ะ ว่าที่คุณนายโรงสี ถ้าพี่บุญมีเอาสมบัติทั้งหมดไปเปิดโรงเรียน แล้วบอกว่าให้รอก่อนเธอจะทิ้งคู่หมั้นเธอไปหรือเปล่า ? นิภาเอ่ยถาม
รัตนาคิดไม่ออกท่าทีอ้ำๆอึ้งๆ ทันใดนั้นสียงระฆังให้สัญญาณหมดเวลาพักเที่ยงดังขึ้น นักเรียนหลายคนต่างวิ่งเข้าห้องเรียนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับวิชาในภาคบ่าย ถือเป็นระฆังช่วยชีวิตรัตนาต่อคำถามนั้น เธอรีบชิงไหวพริบโดยการเอาตัวรอดเฉไปเรื่องอื่น
หมดเวลาพักเที่ยงแล้ว เธออ่านวิชาสังคมที่อาจารย์ให้เตรียมตัวอ่านมาก่อนหรือยัง เธอก็รู้อาจารย์สมศรีโหดจะตาย ถ้าถามแล้วไม่รู้เรื่องนะ
คราวที่แล้วอาจารย์ให้อ่านมาก่อนเหรอ ตายแล้ว! ชั้นยังไม่ได้อ่านเลย นิภาและผ่องศรีวิตกจริตพร้อมกับรีบเปิดกระเป๋าหาหนังสือสังคมขึ้นมาอ่าน
รัตนาหันตัวกลับมาคิดถึงคำถามที่นิภาถามเมื้อกี้เพียงแต่ว่าคนในคำถามกลับไม่ใช่บุญมีคู่หมั้นของเธอ เธอกลับมาถามตัวเธอเองว่า ถ้าเธอเป็นคู่รักอาจารย์วิทยา แล้วอาจารย์วิทยาเอาเงินทั้งหมดไปลงทุนตั้งโรงเรียนเธอจะทำอย่างไร.....
1 ปีผ่านไป.......
รัตนาส่องกระจกบานเล็กของบ้านดูความเรียบร้อยของชุดนักเรียนก่อนจะลงจากบ้านเพื่อไปเรียนในวันเปิดเทอมของปี มศ.2 ปีการศึกษาใหม่ของเธอ เธอออกจากห้องที่เธออยู่กับจันทร์เพ็ญ น้องสาวคนเล็กที่กำลังแต่งตัวอยู่ในชุดนักเรียนซึ่งกำลังเรียนอยู่ชั้น ป.6
เพ็ญแต่งตัวเร็วๆ จะได้เดินไปพร้อมกัน
จันทร์เพ็ญรีบแต่งตัวดูความเรียบร้อยก้าวออกมาจากห้องตามมาติดๆ
พ่อจ๋า ไปเรียนก่อนนะจ้ะ ทั้งสองสาวรุ่นยกมือไหว้พ่อก่อนจะลงเรือนทันใดนั้น เสียงที่ทั้งสามไม่คุ้นหูก็ดังกระหึ่มอยู่หน้าบ้าน
นั้นมันเสียงอะไรกัน! ผู้เป็นพ่ออุทาน
นายสมและลูกสาวทั้งสองรีบออกมาดูที่หน้าบ้าน ภาพที่ทั้งสามเห็นคือ บุญมี คู่หมั้นของรัตนานั่งบิดคันเร่งมอเตอร์ไซค์คันใหญ่อยู่หน้าบ้าน ยิ่งบิดให้มอเตอร์ไซด์ดังเท่าไหร่ดูเหมือนเจ้าของรถจะมีสีหน้าภาคภูมิใจมากขึ้นเท่านั้น เสียงรถมันกวนโสตประสาทไม่เฉพาะบ้านของรัตนา บ้านใกล้เรื่องเคียงในละแวกนั้นต่างออกมายืนมุงดูว่าเกิดอะไรขึ้น เด็กๆวิ่งออกมาดูสิ่งประหลาดที่เรียกว่ามอเตอร์ไซค์อย่างตื่นตาตื่นใจ ในสมัยนั้นมอเตอร์ไซด์คันนี้เป็นมอเตอร์ไซค์คันแรกของหมู่บ้าน
รัตน์ชอบมอเตอร์ไซค์พี่ไหมจ้ะ บุญมีตะโกนขึ้นมาแข่งกับเสียงรถที่ดังกระหึ่ม ไม่แม้แต่จะคิดไหว้ผู้อาวุโสที่เป็นพ่อของรัตนา
น่าแปลกที่นี่เป็นการเจอกันครั้งแรกของคู่หมั้นคู่หมายที่ไม่ได้เจอกันเป็นปี แทนที่จะดีใจรัตนากลับรู้สึกแค่...เฉยๆ เธอสังเกตจากสีหน้าของผู้เป็นพ่อที่หน้าตาบูดบึ้งว่ากำลังโกรธ และเช่นกันภายในของรัตนารู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ไม่ให้เกียรติแม้แต่จะสวัสดีหรือยกมือไหว้พ่อของเธอเลย
เสียงมันดังจัง! รัตนาตะโกนลงไป
ปิดก่อนก็ได้จ้ะ
แล้วบุญมีก็ดับเครื่องมอเตอร์ไซด์ ทุกคนโล่งหูที่ความเงียบสงบคืนมาอีกครั้ง สมาชิกบ้านใกล้เรือนเคียงหลายสิบคนออกมายืนมุงดูเจ้ามอเตอร์ไซค์ ยิ่งคนมุงดูมากเท่าไหร่ดูเหมือนบุญมีจะชอบใจที่ตัวเองเด่นดังยิ่งขึ้น ความโก้หรูและการที่เป็นจุดสนใจยิ่งทำให้บุญมีคึกคะนองไม่ได้กล่าวทักผู้เป็นพ่อของรัตนา ทำเหมือนมองไม่เห็นหัวด้วยซ้ำ
กำลังจะไปโรงเรียนเหรอ มา ! ไปกับพี่ ! ซ้อนมอเตอร์ไซค์พี่ไป พี่จะไปส่งเอง
นายสมหน้าถมึงทึงไปที่ลูกสาว
ไม่เป็นไรจ้ะ ชั้นต้องเดินไปส่งเพ็ญด้วย รัตนารีบตอบเพราะรู้ว่าผู้เป็นพ่อไม่พอใจแน่ หากตอบตกลงที่จะซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์
ซ้อนสามกันไปพร้อมกันก็ได้ รถนี้ไหวอยู่แล้ว! น้ำเสียงเต็มไปด้วยความภาคภูมิ
คงไม่ไหวหรอกพ่อหนุ่ม วันนี้ชั้นจะเดินไปส่งลูกสาวพอดี ซ้อนสี่ไปคงไม่ได้ใช่ไหม ? นายสมพูดตัดจังหวะ
พ่อจะเข้าไปเปลี่ยนเสื้อวันนี้พ่ออยากไปส่งลูกในวันเปิดเรียน นายสมบอกกับรัตนาแล้วเดินเข้าเรือนไป บุญมีรีบวิ่งไปที่รัตนาเมื่อเห็นชายชราเดินเข้าไปห้องหยิบเสื้อ บุณมีรีบกระซิบเบาๆ
ไปกับพี่เถอะ พี่คิดถึงรัตน์เหลือเกิน พูดไม่พูดเปล่าพร้อมกับถือวิสาสะจับมือรัตนาเข้าไปที่แนบอก รัตนารีบสะบัดมือพร้อมกับพูดด้วยเสียงไม่พอใจ
พี่บุญมี! ทำอย่างนี้มันไม่งาม!
แต่เราหมั้นกันแล้วนะ ! บุญมีเริ่มไม่พอใจ
เราหมั้นแต่เรายังไม่ได้แต่งงาน รัตนาต่อคำไม่ลดละ จ้องบุญมีอย่างจริงจัง จนบุญมีเริ่มมีท่าทีอ่อนลง
เอาเถอะ เอาเป็นว่าวันนี้พี่ไปส่งรัตน์นะ รถไปนครสวรรค์จะออกตอนเที่ยงนี้แล้ว ถ้าไม่อยู่กับรัตน์ตอนนี้ ไม่รู้ว่าพี่จะมีโอกาสมาเจอรัตน์อีกเมื่อไหร่พี่ก็ไม่รู้ บุญมีตัดพ้อ
คงไม่ได้หรอกค่ะ วันนี้พ่อจะเดินไปด้วย ไม่มีทางที่เราจะอยู่ลำพัง ทางที่ดีรอให้รัตน์เรียนจบก่อนดีกว่าแล้วเราค่อยเจอกัน
อะไรกันนักกันหนา ไอ้เรื่องเรียนนี่! เรียนไปมันก็เท่านั้น เป็นผู้หญิงจะเรียนไปทำไมจบมาก็อยู่กับบ้านให้ผู้ชายหาเลี้ยงอยู่ดี
รัตนาโกรธจัดจนพูดไม่ออก เธอเกลียดมากหากใครมาดูถูกเธอเรื่องการที่เธอตั้งใจใฝ่เรียน แล้วด่วนสรุปว่าที่เธอทำมาทั้งหมดมันจะสูญเปล่าเมื่อแต่งงานไป หมดคำพูดที่จะพูดกับผู้ชายคนนี้แล้วจริงๆ เธอกลั้นน้ำตาไม่ไห้ไหลเบคำพูดของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้นคู่หมายของเธอ
ไป พ่อจะไปส่ง
เสียงพ่อของเธอเรียกและกำลังเดินออกจากเรือน รัตนาพยายามควบคุมเรี่ยวแรงเดินตามพ่อไป แต่เจ้ากรรม น้ำตาที่พยายามบังคับไม่เป็นใจไปด้วยมันร่วงอาบที่แก้ม มันเป็นการร้องไห้ที่ปราศจากการสะอื้น บุญมีพึ่งรู้ตัวว่าเค้ากำลังทำให้ฝ่ายหญิงเสียใจรีบเข้ามายืนขวางทางไว้
หลีกไป ฉันจะเดินไปกับพ่อ
จันทร์เพ็ญผู้เป็นน้องจับแขนรัตนาผู้เป็นพี่แน่น เหมือนบอกให้รัตนาเข้มแข็งไว้ น้องสาวคนสุดท้องเป็นน้องที่สนิทที่สุดและรู้ใจรัตนาเป็นที่หนึ่ง เธอรู้ว่าพี่สาวเจ็บปวดจากการดูถูกของบุญมีเพียงไร
พี่ขอโทษ... บุญมีกล่าวเสียงอ่อย
ฉันต้องไปเรียนแล้ว ขอให้พี่เดินทางโดยปลอดภัย รัตนากล่าวโดยไม่มองหน้าบุญมีด้วยซ้ำพร้อมจูงมือวันเพ็ญน้องสาวให้รีบเดินตามหลังผู้เป็นพ่อไปอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้
เมื่อถึงกลางทางที่เงียบสงบไปด้วยต้นไม้สองข้างทาง จริงอยู่ที่การร้องไห้ของรัตนาไม่มีเสียงสะอื้น แต่คนร้องไห้ก็คือคนร้องไห้ เสียงการหายใจเข้าออกของรัตนามันฟ้องว่าเธอกำลังร้องไห้ จนนายสมผู้เป็นพ่อหยุดเดินแล้วหันมาบอกกับลูกทั้งสองว่า
ร้องไห้ออกมาเถิดลูกเอ๊ย ถ้ามันเจ็บปวดนักก็ร้องไห้ออกมา ไม่ต้องเก็บมันเอาไว้
รัตนาหยุดเดิน เธอก้มหน้ามองพื้นไม่ให้ผู้เป็นพ่อเห็นน้ำตา คำกล่าวของผู้เป็นพ่อบอกเช่นนี้ นั้นหมายถึงพ่อของเธอได้ยินทุกคำพูดที่เธอกับบุญมีพูดให้กันและกัน เธอรู้ว่าพ่อของเธออยากปลอบเธอ เธอค่อยๆสะอึกสะอื้นขึ้นทีละนิดๆ จนต้องปล่อยโฮออกมาอย่างเหลืออด เธอรีบวางกระเป๋าหนังสือลงแล้วเอามือทั้งสองมาปิดปากตัวเองไว้ไม่ให้เสียงดัง ตัวเธอสั่นร้องไห้เหมือนทำนบแตก แม้กระทั่งจันทร์เพ็ญน้องสาวของเธอก็อดที่จะน้ำตาไหลในความโศกเศร้าของพี่สาวตัวเองไม่ได้ เธอไม่กล้าที่เข้าไปกอดปลอบพี่สาว เธอปล่อยให้รัตนาร้องไห้ออกมาให้พอใจเหมือนกับคำพูดของผู้เป็นพ่อ
หนูจะทำอย่างไรดีคะพ่อ หนูควรทำอย่างไง
คำถามที่เปี่ยมไปด้วยเสียงสะอื้นไห้ถามผู้เป็นพ่อ
นายสมเลี้ยงดูลูกสาวมากับมือหลังจากที่แม่ของเด็กสาวทั้งสองตายจากไปได้ สิบกว่าปีแล้ว ใครจะนึกว่าวันนี้เค้าจะได้เห็นลูกสาวของตัวเองร้องไห้จากคำพูดคนอื่น ไม่เลย...เขาไม่ได้ต้องการเลี้ยงลูกมาเพื่อให้พบกับความโศกเศร้าเช่นนี้ หัวใจผู้เป็นพ่อแทบแตกสลายเมื่อเห็นลูกตัวเองเป็นทุกข์
พ่ออายุเกือบจะหกสิบอยู่แล้ว พ่ออ่านหนังสือไม่แตกเลยสักนิด ไม่รู้แม้กระทั่ง ก ไก่ ข ไข่ ถึงแม้ว่าลูกจะท่องกันทุกเมื่อเชื่อวัน พ่อรู้ว่าการถูกเอาเปรียบจากคนที่รู้มากกว่ามันเป็นอย่างไง พ่อรู้ว่าการไม่รู้หนังสือมันจะทำให้เราดูเป็นคนโง่แค่ไหน พ่อไม่อยากให้ลูกๆเป็นอย่างพ่อ แม่ของลูกก็เช่นกัน แม่ไม่ต้องการให้ลูกๆเรียนสูงเท่าที่จะทำได้ ถ้าแม่ของลูกอยู่ แม่เจ้าคงปลอบลูกได้ดีกว่าพ่อ
นายสมน้ำตาไหลรินอาบแก้มเมื่อพูดถึงภรรยาผู้ล่วงลับ การเห็นผู้บังเกิดเกล้าเสียน้ำตาเป็นการดึงสติให้รัตนาและจันทร์เพ็ญค่อยๆสงบจากการร้องไห้
คนอื่นจะว่าอย่างไง ช่างเค้า ! เรารู้ตัวดีว่าเรากำลังทำอะไร เมื่อเราเรียนจบเราก็พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าคนที่มาจากตระกูลทำนาอย่างเราจะต้องมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ด้วยตัวเอง จำไว้ ! คำดูถูกต่างๆจะหมดความหมายเมื่อเราได้พิสูจน์ให้เห็นว่าผู้หญิงสามารถเลี้ยงดูตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งใคร! พ่อเองนับวันก็จะแก่เฒ่า อย่าหวังพึ่งคนอื่นจำไว้ เรียนสูงๆเพื่อเราจะได้พึ่งตัวเอง ไม่เป็นภาระคนอื่น
แต่หนูหมั้นกับเขาแล้วนะพ่อ หนูหมั้นกับเขาแล้ว รัตนาพูดพร้อมส่ายหน้า
นั้นเป็นเรื่องอนาคต วันนี้ลูกต้องตั้งใจเรียนก่อน ไปเช็ดน้ำตาซะ แล้วไปโรงเรียนกัน
ถึงแม้รัตนาจะยังไม่ได้คำตอบอย่างชัดเจน เธอก็เชื่อฟังพ่อโดยการเช็ดน้ำตาเลิกร้องไห้และนึกถึงว่าหน้าที่ของเธอตอนนี้คือ ต้องตั้งใจเรียน เธอหยิบกระเป๋าขึ้นมาเดินต่อ จันทร์เพ็ญยิ้มให้ผู้เป็นพี่สาวที่พี่สาวหยุดร้องไห้ รัตนายิ้มและหัวเราะเล็กๆเมื่อจ้องหน้าน้องสาว
จนกระทั่งมาถึงหน้าโรงเรียนปรีชาศึกษา หน้าโรงเรียนมีอาจารย์วิทยายืนอยู่หน้าประตูโรงเรียนอยู่แล้ว.....
................จบตอน 11.....................
6 กุมภาพันธ์ 2549 14:14 น.
ชายชัช
ตอนที่ 10 แล้วเราจะได้เห็นดี (ชั่ว) กัน
พลซัง ทำไมไม่เข้าประชุมด่วนวันนี้ล่ะ
ผู้จัดการญี่ปุ่นถามผม เราใช้ภาษาอังกฤษในการติดต่อสื่อสารกันและกัน
ประชุม ?? วันนี้มีประชุมด้วยเหรอครับ ทำไมไม่มีใครบอกผม
ก็ประชุมเรื่องงานค้างที่กระบวนการผลิตที่สามไง เป็นเรื่องด่วน นัดประชุม 10 โมงตรง พวกเราได้รับอีเมล์จากฝ่ายโปรดักชั่นทุกคน นี่พวกเราพึ่งออกจากห้องประชุมมา แล้วทำไมคุณไม่เข้าประชุม ผู้จัดการถามผมเป็นรอบที่สอง
อีเมล์อะไร ผมไม่ได้รับอีเมล์เลยผมไม่ทราบเลยจริงๆ ผมยกแขนขึ้นดูที่นาฬิกาข้อมือ แย่แล้วเพราะตอนนั้นมันเป็นเวลา 11.30 น
ก็อีเมล์แจ้งจาก ธวัชชัยซัง ไงล่ะ ผู้จัดการแผนกผมยังมีสีหน้าไม่พอใจอยู่
อีเมล์เป็นแบบไหน ขอผมดูที่คอมของผู้จัดการได้ไหมครับ ผมเริ่มใจคอไม่ดี รู้สึกไม่ชอบมาพากล
ผู้จัดการพาผมไปที่ห้องของเขาแล้วเปิดอีเมล์ให้ผมดู และมันเป็นอีเมล์ที่เสนอการจัดประชุมขึ้นฉุกเฉินขึ้นจากนายธวัชชัยคู่กรณีของผมเอง ส่งหาแผนกพัฒนาและแก้ไขขบวนการผลิต นั้น ก็คือแผนกผมซึ่งเมื่อเค้าส่งหากลุ่มรวมแบบนี้ ทุกคนจะได้รับอีเมล์อัตโนมัติเพื่อเข้าประชุมร่วมกันแก้ปัญหาในเรื่องงานค้างที่กระบวนการผลิตที่สาม
แต่ผมไม่ได้รับอีเมล์ฉบับนี้นะครับผู้จัดการ ช่วยกลับไปที่ห้องทำงานผมอีกที แล้วผมจะเปิดอีเมล์ของผมแล้วผู้จัดการจะรู้ว่า ผมไม่ได้รับจริงๆ ผมไม่ได้โกหกนะครับ
ผู้จัดการผมเดินตามผมมาที่โต๊ะทำงานของผม ผมเปิดอีเมล์ของผมไม่มีรายชื่อของจดหมายฉบับนั้นเลยจริงๆ
แปลกมากๆ
ผู้จัดการชาวญี่ปุ่นผมรำพึงออกมา ผมเริ่มรู้ตัวว่านี่อาจจะเป็นแผนที่จะทำการลดความน่าเชื่อถือของผมโดยพี่ธวัชชัย ผมรู้สึกโกรธจนลมออกหูได้แต่ท่องไว้ว่า สติ สติ มีสติเข้าไว้
ลองโทรไปหาแผนกฝ่ายเทคนิคคอมพิวเตอร์ที่รับผิดชอบดูแลสิ ว่ามีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า
คุณพระคุณเจ้า ! คำแนะนำของผู้จัดการประโยคนั้นดึงสติผมมา ก่อนที่ไฟพิโรธแห่งอารมณ์จะทำให้ผมขาดสติ ผมรีบโทรศัพท์ไปที่ฝ่ายบำรุงระบบคอมพิวเตอร์ของบริษัทโดยตรง
แผนกคอมเหรอครับ ขอถามหน่อยนะครับ เป็นไปได้ไหมครับ ? ที่จะส่งอีเมล์หากลุ่มตามแผนกโดยเซตเป็นกลุ่มผู้ใช้ เช่นส่งไปหาแผนกพัฒนาการผลิต แล้วสมาชิกในกลุ่มบางคนจะไม่ได้รับนะครับ
เป็นไปไม่ได้ค่ะ ถ้าชื่อของคุณอยู่ในกลุ่มนั้นต้องได้รับค่ะ เพราะฝ่ายเราเซตกลุ่มขึ้นเอง รับรองไม่มีพลาด
เมื่อได้รับการยืนยันดังนี้ ผมจึงรีบถามตอบด้วยอารมณ์เดือดปุดๆ
ผมพลนะครับ อยู่ในกลุ่มพัฒนาการผลิตเอง แล้วทำไมทุกคนได้รับอีเมล์จากคุณธวัชชัย แล้วผมถึงไม่ได้รับคนเดียวในกลุ่มละครับ ระบบผิดพลาดหรือเปล่าทำไมผมไม่ได้รับเมล์ รู้ไหม มันทำให้ผมต้องพลาดการประชุม
คุณพลคะ ขอทราบอีเมล์แอคเคาทน์ หน่อยค่ะ ผมรีบตอบเบอร์อีเมล์ประจำบริษัทให้ฝ่ายคอมพิวเตอร์
เออ....เราได้รับเมล์จากคุณธวัชชัยผู้จัดการฝ่ายโปรดักชั่นให้เอาชื่อคุณออกจากกลุ่มพัฒนาการผลิตแล้วนี่คะ ?
ผมถึงบางอ้อ พร้อมๆกับความโกรธที่ดันขึ้นมาทางศีรษะ ผมหายใจยาวหนึ่งเฮือกไม่นึกว่านายธวัชชัยจะเล่นกันถึงเพียงนี้ ได้...ในเมื่อจะเล่น ก็ต้องเล่นให้ถึงที่สุด ผมตั้งสติแล้วถามต่อไป
คุณธวัชชัยเค้าส่งอีเมล์ไปให้ฝ่ายคุณตอนไหนครับ
ตั้งแต่เมื่อวานค่ะ แต่เอ...ในอีเมล์คุณธวัชชัยบอกว่าคุณจะย้ายไปอยู่แผนกซ่อมบำรุงนี่คะ จึงไม่จำเป็นที่จะเอาชื่อไว้ในกลุ่มเก่า คุณธวัชชัยให้ย้ายชื่อไปอยู่กลุ่มใหม่เรียบร้อยแล้วค่ะ คือกลุ่มซ่อมบำรุง
คำตอบนั้นทำให้ผมเลิกความนับถือพี่ธวัชชัยไปตรงนั้น ต่อไปผมจะเรียกเค้าว่าคุณธวัชชัย นายธวัชชัย และหากถึงขีดสุด ก็อาจจะเป็นไอ้ธวัชชัย เพราะผมจะไม่นับถือเค้าเป็นพี่อีกต่อไป
แล้วคุณก็ทำตามเลยเหรอครับ โดยไม่มีการยืนยันจากผมเลยเหรอ ผมออกอาการฉุนเพราะผมรู้สึกว่าฝ่ายบำรุงคอมพิวเตอร์ทำไมได้เชื่ออีเมล์แค่ฉบับเดียวจากนายธวัชชัยโดยไม่ถามผมสักคำ
ใจเย็นค่ะคุณพล กฎของเราเป็นแบบนี้ค่ะ เราต้องทำตามคำสั่งผู้ดำรงตำแหน่งผู้จัดการแต่ละแผนกในบริษัทเราไม่มีสิทธิจะแย้งได้เพราะถือเป็นคำสั่งที่คนเป็นผู้จัดการจะรับผิดชอบคำสั่งนั้นเอง
ทั้งๆที่เค้าไม่ใช้ผู้จัดการแผนกผมโดนตรงก็มีสิทธิ์สั่งได้เหรอครับ?
เออ...ตรงนี้เราก็ต้องทำตามนะคะ เพราะเค้ามีสิทธิ์ และเป็นกฎ อีกอย่างมันกว้างไม่ได้ระบุว่าต้องเป็นผู้จัดการแผนกไหน กฎบอกว่าแค่ตำแหน่งผู้จัดการ เราก็แค่มีหน้าที่ต้องทำตาม
นั้นสินะ ผมจะอารมณ์เสียกับปลาซิวปลาสร้อยทำไม ในเมื่อเรื่องทั้งหมดมันเกิดจากตัวเบ้งๆ
ช่วยฟอร์เวิร์ด อีเมล์ของคุณธวัชชัยมาให้ผมเดี๋ยวนี้ ได้ไหมครับ ผมอยากเห็นอีเมล์นั้นด้วยตาของผมเอง
ผมขอร้องคนที่พูดปลายสายกับผมด้วยเสียงที่โทนเบาลง แต่ก็เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
เออ...ถ้าฟอร์เวิร์ดไปชื่อหนูมันก็โผล่สิคะ ว่าหนูเป็นคนส่งไป หนูก็แย่สิคะ
ผมได้ยินดังนั้นก็ลมออกหูอีกที เค้นเสียงอยากอำมหิตกรอกลงไปในหูโทรศัพท์ว่า
ถ้าน้องส่งตอนนี้ อาจมีชื่อน้องอยู่ก็จริง น้องจะไม่ได้รับความเดือดร้อนใดๆ พี่จะไม่ให้กระทบถึงน้อง แต่ถ้าน้องไม่ส่ง พี่จะไปเอาก็อบปี้นั้นด้วยตัวของพี่เองที่แผนก และน้องจะต้องให้พี่พร้อมน้ำตาและเรื่องมันจะไม่จบเพียงแค่นี้...และพี่ก็จะทำจริง รับรองไม่ใช่แค่อีเมล์ไปเหมือนคุณธวัชชัยแน่ !
ผมขู่ด้วยน้ำเสียงที่เอาจริง เมื่อผมนึกย้อนไปผมรู้สึกสงสารน้องผู้หญิงคนนั้นมากที่โดนผมขู่
จะส่งให้เดี๋ยวนี้ค่ะ ปลายทางรีบตอบ
ขอบคุณมากครับ พี่จะเก็บทุกอย่างไว้เป็นความลับเอง ทำใจให้สบาย น้องไม่เกี่ยว มันเป็นเรื่องของพี่กับคุณธวัชชัย
ผมให้คำสัจกับน้องคนนั้น ภายในเวลาไม่กี่นาที อีเมล์ฉบับนั้นก็โดนส่งมาให้ผม ผมรีบเปิดอ่าน ใจความไม่ต่างกับเรื่องที่ฝ่ายระบบคอมพิวเตอร์เล่าให้ผมฟัง เป็นฟอร์มคำสั่งที่ต้องกรอกเป็นภาษาอังกฤษ ดีเหมือนกันผมจะได้ไม่ต้องอธิบายสาเหตุว่าทำไม่ผมถึงไม่ได้รับอีเมล์ ผู้จัดการผมที่รอฟังเหตุการณ์ทั้งหมดมองมาที่ผม ผมรีบเรียก
ผู้จัดการครับ ได้โปรดมาดูอีเมล์ฉบับนี้หน่อย
เมื่อผู้จัดการผมอ่านถึงกับอุทาน
ทำไม ทำไม ธวัชชัยซังถึงทำแบบนี้ ทำไมเค้าไม่มาคุยกับผมก่อน เค้าทำแบบนี้กับคุณซึ่งเป็นลูกน้องของผมได้อย่างไง ผู้จัดการผมเริ่มงงกับเหตุการณ์และท่าทีจากน้ำเสียงเหมือนไม่พอใจกับการกระทำของนายธวัชชัยนัก
ผู้จัดการอยากรู้ไหมครับว่าทำไม ผมถามผู้จัดการญี่ปุ่นของผม
พลซัง รู้เหรอ ?
ผมพยักหน้า และตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผู้จัดการของผมฟัง ผมร่วมงานกับผู้จัดการชาวญี่ปุ่นคนนี้เป็นเวลา 1 ปี พอจะเดาได้ว่าเขาก็ไม่พอใจการกระทำของนายธวัชชัยเช่นกัน ผมถือวิกฤตเป็นโอกาส นี่เป็นโอกาสที่จะหาผู้สนับสนุนและเรียกร้องความเห็นใจให้ฝ่ายผม ซึ่งผู้จัดการคนนี้ ดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารคนหนึ่งเสียด้วย
เป็นการกระทำที่เลวมาก
ผมขออนุญาตแปลคำว่า bad behavior ที่ผู้จัดการออกความเห็นหลังจากรู้เรื่องทั้งหมดจากผม ถ้าผมแปลเป็น การกระทำที่แย่ ก็จะดูไม่สาสมต่อคนระดับนายธวัชชัย คำว่าเลวผมคิดว่าใช้ถูกแล้วกับระดับกับคนอย่างเขา
ไม่ต้องห่วง ผมจะไปพูดกับธวัชชัยให้เอาชื่อคุณเข้าแผนกเราเหมือนเดิม เค้าจะทำอะไรคุณไม่ได้แน่นอน เพราะคุณคือพนักงานคนโปรดของผม ผมจะดูรอดูการกระทำของธวัชชัยซังเอง ถ้าเค้าล้ำเส้นมามากกว่านี้ ผมจะจัดการเค้าด้วยตัวผมเอง
เป็นคำพูดที่เจ้านายออกรับแทนลูกน้องได้ซึ้งที่สุดเท่าที่ผมได้ยินมา ผู้จัดการผมเป็นคนมุ่งมั่นและรักความยุติธรรม และได้โปรดอย่าคิดว่าชายวัย 50 อย่างเขาจะมามีใจให้กับผมในเชิงอื่น เพราะความสัมพันธ์ของเรามันแค่เจ้านายและลูกน้องที่ดีต่อกัน ร่วมกันทำงานอย่างแข็งขันเท่านั้นเอง หลังจากที่เจ้านายผมเดินออกจากห้อง ผมรู้สึกว่าทำไมผมจะต้องเป็นผู้ฝ่ายถูกกระทำฝ่ายเดียว นายธวัชชัยควรได้รับการตอบแทนเสียบ้าง ผมรีบยกหูโทรศัพท์กดหมายเลขที่โต๊ะของเขา เมื่อเค้ารับสาย ผมพยายามทำน้ำเสียงให้ดูปกติที่สุด
คุณธวัชชัยเหรอครับ รู้สึกว่าแผนลดความน่าเชื่อถือของคุณจะได้ผลนะครับ ผู้จัดการผมมาต่อว่าผมใหญ่เหตุเพราะว่าผมไม่ได้เข้าประชุม
ผมใช้สรรพนาม คุณ เรียกนายธวัชชัย ก็บอกแล้วว่าผมหมดความนับถือเค้าไปแล้ว ผมปรานีแค่ไหนที่ยังเรียกนำหน้าว่า คุณ ซึ่งคำนี้ในหมูเพื่อนสนิทจะรู้ว่า คำว่าคุณคือคำหยาบ ถ้าเรียกกูมึงคือสนิทชิดเชื้อให้ความไว้วางใจ แต่ถ้าวันใดเพื่อนสนิทไม่เรียกมึงและหันมาใช้คำว่าคุณแล้ว แถมเขาก็อารมณ์ไม่ดีเรียกคำว่าคุณด้วยละก็ ให้รู้ไว้เถอะว่าเพื่อนหมดความนับถือในเพื่อนแล้ว
นี่แค่สั่งสอนเบาะๆ พี่บอกแล้วใช่ไหม ว่าพี่อยู่คนละระดับกับพล พี่มีอำนาจพอที่จะทำอะไรก็ได้!!
คุณมีอำนาจจริงๆครับ ทำไมคุณไม่ขยายอำนาจโดยการมาฉี่รอบโต๊ะที่ห้องทำงานผมเสียเลยละครับ ผมพูดแดกดัน
พล ! ระวังคำพูดหน่อยพี่ไม่ใช่หมา ! เสียงนั้นเริ่มดังขึ้น
ผมเปรียบเทียบไม่ผิดหรอกครับ ลอบกัดลับหลังไม่ให้ใครรู้ตัวก็ทำมาแล้ว แล้วทำไมแค่เดินมายกขาข้างหนึ่งแล้วปล่อยของเสียอีกขั้นหนึ่งจะทำไม่ได้ ผมว่าพี่ธวัชชัยต้องทำได้แน่นอน
พล! พลกำลังทำให้พี่โมโหนะ
เสียงเค้ายิ่งโกรธ ยิ่งทำให้ผมได้ใจพูดให้เจ็บแสบเข้าไปอีก ผมนึกถึงหน้าของเขา ป่านนี้ ทั้งหน้าตาและใบหูคงแดงเถือกด้วยความโกรธแสดงถึงความพล่านของเลือดในตัวเค้าเอง
นั้นคือจุดประสงค์ผมครับ คุณจะได้รู้ว่าการที่มีคนมาทำให้โกรธนั้นมันรู้สึกเป็นอย่างไง ผมจะไม่พูดยาว สิ่งที่ผมต้องการคือ ชื่อของผมในระบบอีเมล์ต้องเป็นอย่างเดิม ก่อนเวลาบ่ายสามโมงในวันนี้ ! เข้าใจไหมครับ
หึ ! ทำไมพี่จะต้องทำตามพล ไปอยู่แผนกซ่อมบำรุงสถานที่ ไม่ดีกว่าเหรอ
นายธวัชชัยพูดเสร็จก็หัวเราะเยาะเย้ยหมายจะให้ผมอารมณ์เสีย แต่ฝันไปเถอะ ผมหยุดเสียหัวเราะนั้นด้วยการตอกกลับไปว่า
ผมไม่ตลกด้วยครับ ถ้าบ่ายสามวันนี้ ชื่อผมไม่อยู่ที่เดิม พรุ่งนี้ก็อบปี้จำนวน 300 ชุดของอีเมล์ที่ผู้จัดการไทยคนหนึ่ง บอกรักกับพนักงานใหม่ในแผนกตัวเองจะกระจายไปให้อ่านกันอย่างทั่วถึง ทีนี้พฤติกรรมคุกคามทางเพศของผู้จัดการคนนั้นกับผู้หญิงที่ไม่มีทางสู้หนึ่งคนก็จะไม่เป็นความลับอีกต่อไป
ได้ผล เสียงหัวเราะหยุดชะงักไปในบัดดล
พลกำลังแบล็กเมล์พี่
น้ำเสียงโทนต่ำบ่งบอกความโกรธและตกใจในขีดสุด ผมรีบตอกย้ำความโกรธด้วยลิ่มของวาจาอย่างต่อเนื่อง
แบล็กเมล์เค้าเอาไว้ใช้กรณีคนเลวทำกับคนดีที่เป็นเหยื่อ กรณีนี้ ผมว่าความเลวของเราทั้งคู่คงสูสี ใช้คำว่า ขอเอาคืน ก็แล้วกันครับ ที่ผ่านมาพี่ก็น่าจะรู้ว่าผมเอาจริงเอาจังกับการทำงานแค่ไหน งานนี้ผมก็จะทำจริงครับ ไม่ได้ขู่แม้แต่นิดเดียว บ่ายสามวันนี้ คือเส้นตาย ไม่สำหรับผมก็สำหรับพี่!!!
พูดเสร็จผมก็รีบตัดบทวางหูโทรศัพท์ลงไปทันที เสียงออดให้สัญญาณพักเที่ยงตรงพอดี ผมถอนหายใจยาวหนึ่งเฮือก นี่ผมทำไปแล้วจริงๆเหรอเนี่ย เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าผมจะต้องต่อสู้กับความอยุติธรรม ผมนั่งรอกุ้งมาที่ห้องทำงานของผม เพราะตั้งแต่เราเริ่มแผนการ ในตอนเที่ยงกุ้งจะออกมาจากภายในโรงงานที่เป็นบริเวณการผลิตชิ้นงาน เดินมาหาผมที่ห้องทำงานแล้วไปทานข้าวกลางวันพร้อมๆกัน วันนี้กุ้งมาช้า กว่าปกติ เมื่อกุ้งมาถึง กุ้งหน้าตาเย็นชาและบอกผมว่า
ไอ้นั่นมันโทรไปต่อว่ากุ้ง ที่เอาความลับมาให้พี่พลรู้ มันว่ากุ้งเป็นตัวแสบ มันจะไม่ให้กุ้งผ่านงาน ให้กุ้งเตรียมหางานใหม่ได้เลย
ถ้าผมซื้อหวยก็คงถูกสามตัวบนเต็งๆ ผมคาดแล้วว่า คนอย่างนายธวัชชัยมันต้องไประบายกับคนที่มันคิดว่าไม่มีทางสู้ สายตาของกุ้งดูอ่อนล้า ผมเลยถามกุ้งว่า
กุ้งเป็นไรมากหรือเปล่า แล้วกุ้งว่าไงบ้าง เฉยๆไม่โต้ตอบแบบที่เคยนัดกันไว้ไหม
เปล่า ครั้งนี้กุ้งทนไม่ไหวจริงๆ กุ้งเลยว่ามันคืน
ผมประหลาดใจ
มันพูดว่า ทำไมต้องเอาไปให้คนอื่นรู้ กุ้งบอกว่า แล้วไง กล้าทำก็กล้ารับสิ มันยังบอกอีกว่า นัดกันหักหลังมันใช่ไหม งั้นก็เตรียมหางานใหม่ได้เลยอย่าหวังว่าจะได้งานในบริษัทนี้ กุ้งบอกว่า ถ้าทำแล้วต้องมาทำกับคนเลวๆอย่างมึงกูก็ไม่ทำ
หา..!! กุ้งพูดอย่างนั้นจริงๆเหรอ อีกแค่ 5 วันก็จะครับวันที่จะพ้นโปรแล้วนะ น่าจะอดทนมากกว่านี้
ช่วยไม่ได้พี่ วันนี้ทอมเป็นเมนส์ อารมณ์เสียตั้งแต่เช้าแล้วขอระบายหน่อยเสือกโทรมาตอนกำลังปั่นป่วนเอง ช่วยไม่ได้ กุ้งพูดแก้ตัว แต่ก็ดูสำนึกในความพลาดพลั้ง
ช่างมันเถอะก่อนมันจะโทรไปว่ากุ้ง พี่โทรไปเชือดมันก่อนแล้ว เมื้อกี้พี่ก็ทำอะไรนอกแผนการเหมือนกัน ไปเถอะ แล้วจะเล่าให้ฟังระหว่างทางไปโรงอาหาร พี่หิวแล้ววันนี้ซื้ออะไรมากินล่ะ
ผมถามถึงถุงพลาสติกที่อยู่ในมือกุ้ง ด้วยห่ออาหารถุงโต อาหารโรงงานเป็นอาหารที่ซ้ำซากและรสชาติไม่ค่อยถูกปากคนหลายคน บริษัทจะหุงข้าวไว้ให้พนักงานฟรีในมื้อเที่ยง ส่วนกับข้าวต้องซื้อเอาเอง ที่พักของกุ้งใกล้กับตลาดเช้า ทุกเช้ากุ้งจะแวะตลาดซื้ออาหารสำเร็จรูปมาสองอย่างทุกวันโดยค่าอาหารผมจ่ายให้กุ้งล่วงหน้าไว้ตลอด
ยำจิ้นไก่กับแกงหมากหนุนพี่ซื้อ อย่างละ 25 บาทเลยถุงใหญ่ วันนี้อยากกินอาหารเมือง สงสัยเพราะเป็นเมนส์นี่แหละ
กุ้งบอกรายการอาหารว่าเป็นยำเนื้อไก่และแกงขนุนเป็นภาษาท้องถิ่น
ผมเดินออกมาจากห้องผ่านโถงซึ่งสามารถมองเห็นแผนกและห้องทำงานของนายธวัชชัย เป็นความบังเอิญเหลือเกิน ที่นายธวัชชัยก็ออกจากห้อง เดินมาจะไปทานข้าวที่ห้องโถงพร้อมๆกับผม พนักงานออฟฟิตประมาณ 20 กว่าคนอยู่ในห้องโถงนั้นทั้งเป็นคนไทยและเป็นคนญี่ปุ่น นายธวัชชัยมองผมอย่างเอาเรื่องและเป็นนิสัยของผมที่ไม่ชอบหลบสายตาใคร เสียด้วย เหมือนศึกทางจิตวิทยาเราไม่ละสายตาจากกัน นายธวัชชัยเดินมายืนตรงหน้าผม เขาเป็นชายร่างสูสีกับผมเพียงแต่เตี้ยกว่าผมประมาณ 5 เซนติเมตร คนในห้องโถงเริ่มรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติของการมองอย่างเอาเป็นเอาตายของเราทั้งสอง หน้าของนายธวัชชัยแดงก่ำบอกถึงอารมณ์โกรธเต็มที่ พลอยทำให้กุ้งซึ่งยืนข้างๆผมเงียบไปด้วย
แวบเดียวเท่านั้นละครับ บางอย่างในใจและสมองก็สั่งผมว่า ทำไมต้องรอเชือดคนตามแผน ทำไม่ไม่ตีเหล็กขณะร้อน ทำไมต้องรอในเมื่อเราสามารถจัดการได้เดี๋ยวนั้น อย่าให้ศัตรูได้ทันตั้งตัวสิ ! ใครจะรู้แผนเฉพาะหน้าที่ผมคิดอาจจะได้ประโยชน์มีประสิทธิภาพว่าแผนที่วางไว้ก่อนก็ได้ ความคิดของผมเกิดขึ้นเดี๋ยวนั้น ผมภาวนาว่าขอให้สำเร็จที ผมเริ่มแผน โดนเดินเข้าไปใกล้อีกนิด พร้อมกับพูดเบาๆกับพี่ธวัชชัยว่า
มีเวลาแค่บ่ายสามนะครับ ถ้าจะสู้อะไรสู้ตรงๆอย่างลูกผู้ชายจะดีกว่า ถ้าหน้าตัวเมียสู้ซึ่งๆหน้าไม่ได้ ก็ไปเปลี่ยนชุดฟอร์มใส่กระโปรงก็ได้นะครับ คงใส่กระโปรงขึ้นอยู่แล้วล่ะนิสัยมันให้อยู่แล้วด้วย
ไอ้เหี้ย!
นายธวัชชัยตะโกนพร้อมปล่อยหมัดมาที่ผม เหมือนที่ผมกะไว้ ผมรีบเบี่ยงตัวพร้อมหันหน้าหนีหลบหมัดถึงแม้จะเฉียดๆแต่ความแรงมันก็คงประมาณทำให้ผมปากแตก ผมรีบแกล้งล้มกองลงไป ยิ่งทำให้นายธวัชชัยได้ใจตามมาหมายซ้ำเติม
ไอ้สัตว์!!!
เสียงน้องกุ้งนั้นเอง กุ้งตอบสนองการชกต่อยอย่างรวดเร็วไม่มีเสียงกรีดร้องว้ายเหมือนพนักงานหญิงอื่นๆที่อยู่ในห้องโถงนั้น กุ้งเอาถุงแกงที่อยู่ในมือฟาดที่ศีรษะของนายธวัชชัยเสียงแตกดัง โผละ ผมเงยหน้าเห็นจังหวะนั้นพอดี สัญชาตญาณการหลบน้ำแกงของผมดีเลิศ รีบเอามือขึ้นมาปิดตาและหน้าไม่ให้น้ำแกงเข้าตา ทราบมาภายหลังว่าจังหวะที่ผมปิดตากุ้งได้ใช้เท้าถีบนายธวัชชัยจนล้มไปกองกับพื้นเพราะพิษน้ำแกงที่เข้าตาทำให้นายธวัชชัยเสียหลักลืมตาก็แสบจึงล้มเพราะแรงถีบของสาวเลสเบี้ยน ช่างเป็นภาพที่หาดูได้ยาก เกย์มารยาแสร้งล้มลงเพราะแกล้งว่าถูกชกอย่างหนัก ถูกปกป้องจากทอมผมยาวที่เข้ามาช่วยชีวิตโดยการถีบชายใจโฉดให้กระเด็นไปสุดแรงตีน เพื่อนร่วมงานอื่นๆ ต่างก็เข้ามาแยกเราสามคนออกจากกัน
จริงๆแล้วแผนของผมที่คิดได้ตอนนั้นคือผมแค่ต้องการให้ยั่วให้นายธวัชชัยโมโหจนเกิดการทะเละวิวาทโดยผมต้องการให้นายธวัชชัยลงมือทะเลาะต่อยแต่เพียงฝ่ายเดียวจะได้เป็นกาสร้างจุดอ่อนให้คู่ต่อสู้ดูเป็นคนไม่ดี ไม่สามารถระงับอารมณ์จะได้เป็นข้อบกพร่องให้ทุกคนเห็นว่านายธวัชชัยคนนี้ ไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำและผมต้องการให้เรื่องต่อสู้ของเรามาอยู่ในที่แจ้งให้ทุกคนได้รับทราบและสอบสวนถึงข้อเท็จจริงหาสาเหตุของการทะเลาะกัน และผมก็ทำสำเร็จ ผิดแต่ว่าในแผนเร่งด่วนของผมนั้น จะไม่มีกุ้งเป็นตัวประกอบในแผน ผมคิดแค่ว่ากุ้งคงแค่เป็นผู้สังเกตการณ์ ไม่นึกว่ากุ้งจะแสดงความแมนเกินร้อยเข้ามาเป็นหนึ่งในผู้ทะเลาะวิวาทด้วย ขณะที่เราโดนจับแยกออกจากกันนั้น ประธานบริษัท รองประธานบริษัท ผู้จัดการแต่ละแผนกก็อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็อุทานกันเสียงดังและตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เกิดอะไรขึ้น !
เสียงประธานบริษัทถามพวกเราด้วยน้ำเสียงที่จริงจังถึงแม้ว่าคำถามภาษาอังกฤษนั้นสำเนียงอาจจะดูตลก แต่ในเวลานั้น ใครเล่าจะมีอารมณ์ขัน ทุกคนในห้องโถงนั้นเงียบ ไม่มีใครตอบคำถามของท่านประธานบริษัทสักคน ผมและกุ้งมองหน้ากัน ส่วนในธวัชชัยนั้นยืนหลุกหลิกเอามือมาขยี้ตาพยายามที่จะลืมตาให้ขึ้น แต่พิษของยำจิ้นไก่และแกงหมากหนุนคงทำหน้าที่ของมันอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะในความเงียบในห้องโถงนั้นมีเสียงนายธวัชชัยที่ซู้ดปากและครางในลำคออย่างทรมานอย่างเห็นได้ชัด
หลังมื้อเที่ยงมาพบผมที่ห้องทำงานกันทั้งสามคน คุณ! คุณ! และก็คุณ!
ประธานบริษัทชี้มาที่เราทั้งสามคน ถึงแม้บรรยายกาศในห้องโถงนั้นจะทะมึนไปด้วยเมฆดำของความเคร่งเครียด การเรียกเข้าไปพบในห้องท่านประธานโดยไม่ใช่เรื่องงาน ไม่ใช่เรื่องที่น่าจะยินดีนัก ทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียด รวมทั้งผมด้วย แต่ในใจผมแอบดีใจอยู่เบื้องลึก ที่ผมสามารถสร้างเหตุการณ์เป็นไปตามแผน และสามารถเข้าพบท่านประธานได้โดยท่านเรียกเราทั้งสามไปพบเอง ผมรู้ว่าผมจะรับมือกับตอนบ่ายนี้อย่างไร แล้วท่านประธานก็เดินออกจากห้องโถง นายธวัชชัยรีบวิ่งไปที่ห้องน้ำ คนที่รู้สึกสะใจที่สุดต่อภาพที่นายธวัชชัยวิ่งไปแสบตาไปคลำทางไปคงจะเป็นกุ้ง เพื่อนร่วมงานหลายคนเดินเข้ามาถามถึงสาเหตุของการชกต่อยทะเลาะวิวาทนั้น
ไม่มีอะไรหรอก เดี๋ยวตอนบ่ายเสร็จเรื่องแล้วจะเล่าให้ฟัง ตอนนี้ขอตัวก่อน
ผมบอกกับเพื่อนๆที่เข้ามาถาม
กุ้งพี่ไม่มีอารมณ์กินข้าวแล้ว เดี๋ยวพี่จะไปที่ห้องทำงานพี่ ถ้ากุ้งหิวกุ้ง...
กุ้งก็ไม่หิวแล้วพี่พล กุ้งบอกผมทั้งๆที่ผมยังพูดไม่จบประโยคด้วยซ้ำ
ผมและกุ้งเดินมาที่ห้องทำงานหรือคอกทำงานเล็กๆของผม เมื่อเราอยู่ด้วยกันตามลำพังผมเล่าเรื่องแผนเร่งด่วนว่าแท้จริงควรจะเป็นแอย่างไร
ทำไมพี่พลไม่บอกกุ้งก่อน! กุ้งอุทาน
บอกได้ไง พี่ก็พึ่งคิดได้ตอนนั้นตอนที่กำลังยืนจ้องหน้ามันอยู่นั้นแหละ
ผมบอกเหตุผล พร้อมๆกับเปิดลิ้นชักหยิบกระจกส่วนตัวเป็นกระจกเล็กๆขึ้นมาส่องสำรวจที่ปากว่าปากแตกแค่ไหน ผมไม่ได้มีแค่กระจกครับ ผมมีหวีด้วย
เจ็บเหมือนกันแฮะ! ผมรำพึง
แตกนิดหน่อยพี่เลือดแค่ซิบๆ กุ้งให้ความเห็น
จะบวมไหมนี่? ผมถามขึ้นมาลอยๆ
คงไม่มากหรอก แค่นี้เอง กุ้งปลอบใจผม
งั้นก็แย่สิ! พี่อยากให้มันบวมเจ่อ จะได้ดูน่าสงสารมากขึ้น มันก็จะได้ดูแย่มากขึ้นแค่นั้น
ให้กุ้งต่อยซ้ำไหม กุ้งต่อยเก่งนะ กุ้งถามผมพร้อมกับยิ้มแบบขำๆทีเล่นทีจริง
ขอบใจแต่ไม่ต้อง แค่นี้ก็ใช้ได้แล้ว
ผมตอบกุ้งแล้วมองที่กระจก ปากของผมมีแผลเล็กๆพร้อมเลือดซิบๆ บวมขึ้นมาหน่อยแล้ว ผมยังแปลกใจตัวเองอยู่ในขณะนั้นว่าสงสัยวิญญาณนักมวยเข้าสิงฉับพลัน ถึงได้หาเรื่องให้นายธวัชชัยต่อยโดยไม่เกรงกลัว มานั่งนึกตอนนี้ ถ้าหลบแล้วโดนต่อยจังๆ ฟันมิหลุดเป็นเกย์แซ่หว่องแซ่หลอละก็ หมดหล่อแน่
บ่ายนี้ต้องรับมือมันไห้ดีที่สุด กุ้งพร้อมนะ? ผมถามกุ้ง
พร้อมไม่พร้อมก็ถึงเวลาแล้วนี่ เป็นไงก็เป็นกัน คำตอบกุ้งดูหนักแน่น
ผมยิ้มให้กุ้ง แล้วผมก็กดโทรศัพท์มือถือโทรเข้าหาโทรศัพท์มือถือพี่เพ็ญ
พี่เพ็ญครับ นี่ผมพลนะ
เป็นไงบ้าง ต่อยกันสนุกไหม พี่เพ็ญถามมาทางโทรศัพท์
โหะ...ข่าวเร็วจังนะครับ ขนาดอยู่คนละอาคารนี่เรื่องพึ่งเกิดผ่านมาไม่ถึง 20 นาทีด้วยซ้ำ!
ที่โรงอาหารกำลังคุยกันสนุกปากเชียวแหละ ก็แหมชุดนายธวัชชัยเปื้อนน้ำแกงดูไม่จืดออกขนาดนั้นนี่ คนมองกันใหญ่เชียวล่ะ รู้ไหมตอนนี้พี่คิดว่าเค้ากำลังทำคะแนนอยู่นะ กำลังกินข้าวกับประธานบริษัท เข้าไปเลียแข้งเลียขาใหญ่คงจะอธิบายสร้างเรื่องใส่ร้ายพวกเธออยู่
ผมโทรมาหาพี่เรื่องนี้แหละครับ ประธานเรียกพวกผมเข้าไปคุยบ่ายวันนี้ ผมว่าเราจะต้องทำทุกอย่างภายในบ่ายนี้แล้วนะครับ
ไม่ต้องห่วง! ทำงานส่วนของใครของมันไป พี่จะทำในส่วนของพี่ให้ดีที่สุดแล้วเจอกันบ่ายนี้
ครับพี่ ขอบคุณครับพี่
อ้อ บอกน้องกุ้งด้วยว่า ตอนนี้ดี้ทั้งหลายในโรงงานกำลังยกให้น้องกุ้งเป็นฮีโร่อยู่นะ เรื่องกระโดดถีบนี่คงเล่าขานอีกนาน
ครับ แล้วผมจะบอกให้ แล้วบ่ายนี้เจอกันนะครับ
พี่เพ็ญไม่รู้ว่าผมเป็นเกย์ และไม่รู้ว่ากุ้งเป็นทอมบอย แต่อย่างว่าโรงงานการผลิตที่ใช้แรงงงานรายวันเป็นเพศหญิงอย่างบริษัทผมมักจะมีเรื่องหญิงรักหญิงเรื่องหญิงชื่นชมหญิงอยู่เป็นนิจและในวงกว้างอย่างเปิดเผย คาดว่าข่าวนี้คงมีอิทธิพลต่อบรรดาหญิงที่ชื่นชอบทอมบอยแน่นๆเพราะแม้แต่พี่เพ็ญยังทราบข้อมูล และข่าวอันหลังนี่คงทำให้กุ้งพอใจ ผมกดมือถือวางสาย แล้วเงยหน้าขึ้นมาบอกกุ้งว่า
ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย เราลงเรือกันลำเดียวกันแล้วนะ
เป็นไงก็เป็นกันสิพี่ กุ้งบอก
ระหว่างรอพี่มีขนมอยู่ในลิ้นชักโต๊ะทำงาน เราไปชงกาแฟกินกันรอเวลาดีกว่าปะ จะได้มีแรงสู้กับเรื่องที่กำลงจะเกิด
ผมเสนอความคิด แล้วเราทั้งสองก็เดินไปชงกาแฟที่ห้องแพนทรี ได้กาแฟคนละถ้วยเดินมารอเวลาที่ห้องทำงานของผม ตระเตรียมว่าเรื่องทั้งหมดควรจะทำเช่นไร ควรตอบคำถามอย่างไรเมื่อมีคำถามจากประธานบริษัท เราคุยกันจนเสียงออดของโรงงานดังให้สัญญาณเตือนว่า 13.00 น. ถึงเวลาเริ่มงานของภาคบ่าย
เราทั้งสองลุกขึ้นดูความเรียบร้อยของเสื้อผ้า เราหยิบแฟ้มที่บรรจุเอกสารต่างๆที่เป็นหลักฐานจากนายธวัชชัย ไม่ว่าจะเป็นจดหมายรักคาวโลกีย์ หรือจดหมายคำสั่งที่ใช้สั่งโดยมิชอบในการโย้กย้ายชื่อผมออกจากกลุ่มทำงาน ขณะนั้นเสียงเคาะประตูห้องผมดังขึ้น ผู้จักการชาวญี่ปุ่นของผมเดินเข้ามาหน้าตาเครียดถามผมว่า
เรื่องที่เกิด สาเหตุมาจากเรื่องเมื่อเช้าเหรอ พลซัง?
ผมพยักหน้าตอบรับ
ผมเสียใจครับ ที่เกิดเรื่องชกต่อยขึ้นมา ผมขอโทษจริงๆ แต่ผมไม่ได้เป็นคนลงมือก่อนนะครับ
จริงๆคุณเป็นฝ่ายยั่วโทสะ แต่เค้าเสียเปรียบที่ลงมือกับคุณก่อนใช่ไหม ผู้จัดการถามผมตรงๆ ผมหน้าตื่น
อย่าปฎิเสธเลย ผมทำงานกับคุณมาเป็นปี ถ้าคุณไม่เก่งพอผมไม่ดึงตัวคุณมาทำงานแผนกผมหรอก ผมรู้ว่าคุณไม่ธรรมดา ถึงได้กล้าไปงัดข้อกับธวัชชัยซัง แต่ก็สมควรแล้วที่ ธวัชชัยซัง จะได้บทเรียนคืนเสียบ้าง
พวกผมต้องไปหาท่านประธานตอนนี้แล้ว ไม่รู้ว่าผลจะเป็นอย่างไร
อย่าห่วงเลย ทำให้ดีที่สุด ผมจะช่วยพูดกับผู้ใหญ่ให้ว่าเรื่องทั้งหมดเป็นอย่างไร ไม่มีใครเข้าข้างคนผิดหรอก คุณเชื่อผมเถอะ
แต่ดูเหมือนฝ่ายโน้นเข้าหาท่านประธานได้ดีกว่าผมนะครับ ถ้าท่านประธานเชื่อเค้ามากกว่าเชื่อผมละครับ ผมบอกถึงความกังวลใจให้ผู้จัดการผมฟัง
เค้าพูดกับประธาน แต่ผมจะพูดกับคณะบริหารจากสำนักงานใหญ่ที่กรุงเทพ และผู้บริหารใหญ่ที่ญี่ปุ่นเอง ผมจะช่วยคุณเอง!
ผู้จัดการผมพูดอย่างจริงจัง ผมซาบซึ้งกับคำพูดนั้นเพราะผู้จัดการผมไม่ใช่ญาติพี่น้อง ไม่ใช่คนชาติเดียวกัน แต่เค้าก็มีใจยุติธรรมและกล้าที่จะปกป้องลูกน้อง ถึงแม้ว่าผมกำลังทำเรื่องเดือดร้อนให้แผนกของเขาก็ตาม ผมกล่าวขอบคุณผู้จัดการอย่างจริงใจและของตัวไปพบประธานบริษัท
ผมและกุ้งเดินมาที่หน้าห้องประธาน เรามองเห็นผ่านกระจกว่านายธวัชชัยกำลังพูดคุยกับท่านประธานด้วยท่าทางน้อบน้อม ดูน่าเชื่อถือ ผมและกุ้งรีบเร่งฝีเท้าจะเดินเข้าไปแต่โดนเลขาหน้าห้องสกัดไว้
ท่านประธานยังไม่อนุญาตอย่าพึ่งเข้าไป ท่านให้นั่งรออยู่ข้างนอกก่อน แล้วเลขาก็พูดต่อด้วยเสียงแผ่วเบาที่แทบจะกระซิบว่า
จริงๆพี่ธวัชชัยสั่งไว้ แล้วประธานก็เห็นด้วย พี่ว่าน้องนั่งรออย่างสงบดีกว่า
ผมและกุ้งเดินมานั่งรอที่เก้าอี้ที่เตรียมไว้รอหน้าห้อง ยังไม่ทันที่จะนั่งอย่างเรียบร้อยเสียงของพี่เลขาก็บอกว่า
น้องตกที่นั่งลำบากแน่ๆ พนักงานระดับผู้บัญชาการอย่าง ผู้จักการ วิศวกร หัวหน้าสายงานการผลิตทะเลาะวิวาทชกต่อยกัน จะได้รับโทษมากกว่าพนักงานระดับใต้บังคับบัญชานะน้อง สูงสุดก็ไล่ออก พี่ไม่รู้จะช่วยน้องยังไงนะเอาตัวรอดเองก็แล้วกัน
ข้อมูลเหล่านี้ผมจำขึ้นใจตั้งแต่ตอนได้คู่มือพนักงานตอนที่ทำงานใหม่ๆว่าห้ามชกต่อยทะเลาะวิวาท แต่ก็อีกนั้นแหละ ผมทำไปเพราะผมรู้ว่าขั้นสูงสุดของการลงโทษคือไล่ออก แต่ผมอยากรู้ว่าคนลงมือก่อนไม่ใช่ผมแล้วคนที่โดนไล่ออกจะยังคงเป็นผมหรือเปล่า กุ้งขยับตัวจะตอบโต้เลขาหน้าห้อง ผมรีบห้ามทำสายตาและส่ายหน้าอย่าพูดอะไรทั้งสิ้น เพราะถ้ามีเรื่องกับเลขาหน้าห้องอีก จะยิ่งไปกันใหญ่ ผมรู้ว่ากุ้งไม่พอกันในคำพูดของเลขาที่ไม่ยอมช่วยเหลืออะไรทั้งๆที่เป็นพี่น้องร่วมชาติ มันเป็นนิสัยถาวรของคนไทยส่วนใหญ่อย่างหนึ่งคือ เก่งนักที่เป็นคนสังเกตการณ์ เก่งแต่ปากแต่ไม่ยอมลงมือปฏิบัติจริง
เราทั้งสองนั่งรอจนเกือบจะถึงบ่ายสองโมง เสียงอินเตอร์คอมที่โต๊ะทำงานของเลขาดังขึ้นทำลายความเงียบทั้งหมด
ให้สองคนนั้นเข้ามาได้
ท่านประธานอนุญาตให้เข้าพบได้ค่ะ
ไม่รู้เลขาเธอจะพูดซ้ำทำไม พวกเราก็ได้ยินกันถ้วนหน้าอยู่แล้ว ผมและกุ้งรีบเคาะประตูหน้าห้องแล้วเดินเข้าไป พลันก็สบสายตานายธวัชชัยที่มองหน้าเราสองคนอย่างยิ้มๆ แต่ที่ดวงตาเต็มไปด้วยความอาฆาต เหมือนอย่างที่คนโบราณว่าไว้ ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ พ่อผมสอนไว้ไม่มีผิด ถ้าจะมองคนให้มองให้ลึกถึงดวงตา คนเราไม่สามารถปิดบังจิตใจที่แท้จริงจากดวงตาไปได้
เชิญนั่ง เสียงประธานเคร่งเครียด หน้าตาจริงจังดุดัน ผมและกุ้งนั่งลงถัดจากนายธวัชชัยโดยที่ผมนั่งขั้นกลางระหว่างนายธวัชชัยและกุ้ง
ไหนลองพูดมาสิ ว่าทำไมถึงเกิดเรื่องได้
ท่านประธานได้โปรดดูจดหมายที่ส่งผ่านอีเมล์พวกนี้สิครับ ผมยื่นแฟ้มเอกสารให้ประธานบริษัท
เค้ารับแฟ้มจากมือผมเปิดดูรวกๆไม่อ่านด้วยซ้ำแล้วพูดในสิ่งที่ผมและกุ้งได้ยินแล้วหัวใจแทบแตกสลายในตรงนั้น
อีเมล์เล่านี้ ธวัชชัยซังเล่าให้ผมฟังหมดแล้ว มันเป็นแค่เรื่องล้อเล่น และเค้าก็เลิกล้อเล่นแล้วเพราะเค้าเห็นคุณสองคนรักกัน แต่พวกคุณยังไม่ยอมหยุดการกระทำที่เป็นแบบอย่างที่ไม่ดีต่อลูกน้อง!!
ล้อเล่น !?! นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะครับ มันเป็นเรื่องจริง
ถ้าหากผมเป็นธวัชชัยซัง ผมคงจะต้องทำอย่างเค้า ผมคงทนไม่ได้ที่จะเห็นลูกน้องของผมอาศัยช่องโหว่งของเวลางาน สร้างตารางการสอนงานที่ยาวเหยียดเพื่อจะได้ใกล้ชิดกัน คุณสองคนเห็นบริษัทนี้เป็นที่พลอดรักเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา ธวัชชัยซังเตือนคุณไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแต่คุณทั้งสองก็ไม่ฟังคำตักเตือนของหัวหน้างาน แถมยังพูดจายั่วยุจนทำให้เค้าโกรธจนควบคุมอารมณ์ไม่ได้
ผมถึงกับตกใจกับสิ่งที่ผมได้ยิน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าความเลวของคนบางครั้งมันก็เลวโดยสันดานจริงๆ ผมมัวแต่เตรียมการที่จะสู้กันโดยใช้หลักฐานและความจริง ไม่นึกว่าแค่ลมปากและการเข้าผู้ใหญ่ของนายธวัชชัยจะมีประสิทธิภาพทำให้ท่านประธานเลือกที่จะไม่ฟังผมพูดถึงเรื่องใดๆเลย
เดี๋ยวนะครับ เรื่องทั้งหมดไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านประธานได้ยินมาแม้แต่นิดเดียว ท่านกำลังฟังความข้างเดียวอยู่นะครับ
ผมตกใจกับเหตุการณ์นั้นจนแทบทำอะไรไม่ถูก
คุณสองคนพึ่งจะเข้ามาทำงานได้ไม่นาน คนหนึ่งก็ปีกว่า อีกคนก็ยังไม่พ้นช่วงผ่านทดลองงานด้วยซ้ำ ไม่เคารพถึงกติกาและกฎของโรงงานทั้งๆที่ได้รับการตักเตือนจากธวัชชัยซังแล้ว คุณกลับมองว่าความหวังดีนั้นเป็นความประสงค์ร้ายที่เห็นคุณสองคนรักกัน เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่คนอื่น ผมคงจะต้องลงโทษคุณสองคนขั้นสูงสุด
นั่นหมายถึงการโดนไล่ออกแน่นอนผมรู้ดี ผมรู้ดีว่านายธวัชชัยเป็นคนเลว แต่ไม่คิดว่าความเลวของเขาจะเลวได้ไม่มีความดีเจือปน ผมพูดไม่ออก ลืมหมดทุกอย่างว่าจะสู้อย่างไร ทุกอย่างมันผิดแผนไปจากที่ผมคิด หรือนี่จะเป็นสัญญาณเตือนว่าผมจะต้องพายแพ้ต่อความอยุติธรรม
ท่านประธานค่ะ ผู้จัดการฝ่ายบุคคลและคณะมาขอพบเดี๋ยวนี้บอกว่าเป็นเรื่องด่วน
เมื่อเสียงของเลขาพูดจบเราทุกคนมองผ่านกระจกมองออกไปนอกห้อง พบผู้จัดการฝ่ายบุคคลที่เป็นญี่ปุ่นยืนอยู่ ข้างๆมีพี่หมู รองผู้จัดการฝ่ายบุคคลที่เป็นคนไทย พี่เพ็ญและผู้ชายคนหนึ่งใส่สูทผูกไท้ นั้นก็คือ พี่เอกภพ สามีของพี่เพ็ญที่เป็นทนายความ ผมว่าประธานบริษัทและนายธวัชชัยต้องงงกับภาพนั้น แต่สำหรับผม มันคือภาพที่น่ายินดี ที่ทุกคนมาพร้อมหน้ากันช่วยชีวิตของผม ประธานพยักหน้าให้เข้าพบได้ ทั้งหมดเดินผ่านประตูเข้ามา จนห้องประธานแคบไปถนัดตา ทุกคนมีคำทักทายให้กันเล็กน้อยโดยเฉพาะพี่เพ็ญพูดขึ้นมาว่า
ขนาดมีคิวบู๊เลยเหรอคะ พี่ธวัชชัย
เรามาจากอาคารหนึ่ง กันเพราะเราได้รับการแจ้งการฟ้องร้องจากทนายของน้องกุ้งและน้องพล
พี่หมูที่เป็นรองผู้จัดการฝ่ายบุคคลพูดขึ้น
ผมจะพูดเลยได้ไหมครับจะได้รวบรัดเข้าประเด็น พี่เอกพลสามีที่เพ็ญกล่าว
ได้ครับ ผมจะเป็นล่ามแปลเป็นภาษาญี่ปุ่นเอง พี่หมูตอบ
ผมได้รับการร้องเรียนเพื่อจะฟ้องร้องคุณธวัชชัยที่กระทำการอันไม่สมควรที่ผิดต่อศีลธรรมอันดีงามและหมิ่นเหม่ต่อตัวบทกฎหมาย
ซึ่งบังเอิญทนายที่ไปพบเป็นสามีของดิฉันเอง ซึ่งดิฉันคิดว่าเราสามารถพูดคุยตกลงกันภายในได้ โดยไม่ต้องให้มีการเสื่อมเสียชื่อเสียงของบริษัทเพราะการกระทำของคนไม่กี่คน
พี่เพ็ญศรีพูดแทรกขึ้น
มันช่างบังเอิญเหลือเกินนะ!
น้ำเสียงนายธวัชชัยพูดประชดด้วยใบหน้าที่แดงก่ำด้วยความโกรธที่นึกไม่ถึงว่าจะโดนคืนบ้าง
มีเรื่องบังเอิญที่เราคาดไม่ถึงบนโลกใบนี้เสมอค่ะ พี่ธวัชชัย
พี่เพ็ญย้อนกลับคำประชดนั้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา แผนที่ผมคิดขึ้นกับพี่เพ็ญเป็นแผนที่ทำให้พี่เพ็ญดูดีในสายตาคนอื่น สร้างบทบาทให้พี่เพ็ญมีบุญคุณต่อบริษัทที่นำเรื่องทั้งหมดมารอมชอม นอกจากพี่เพ็ญจะช่วยเหลือเราสองคนและผู้หญิงคนอื่นในอนาคตพี่เพ็ญยังได้เครดิทจากเรื่องนี้ด้วย
ผมกำลังจะลงโทษโดยใช้บทลงโทษสูงสุดโดยให้พลซังและพนักงานใหม่คนนี้ ออกจากบริษัท ประธานบริษัทกล่าวเสียงแข็ง
โดยที่ผมยังไม่ได้พูดเรื่องราวแก้ตัวใดๆทั้งสิน ผมเหลืออดพูดขึ้นมาบ้าง
ถ้าท่านไล่ลูกความผมออกโดยไม่ได้รับความยุติธรรม ลูกความขอผมจะดำเนินคดีฟ้องร้องให้ถึงที่สุด และจะนำเรื่องทั้งหมดไปขอความเป็นธรรมจากสถานีโทรทัศน์ด้วย เพราะการกระทำของคุณธวัชชัยเป็นการกระทำที่วิญญูชนทั่วไปไม่กระทำโดยเฉพาะจดหมายฉบับนี้ ซึ่งเขียนด้วยลายมือของนายธวัชชัยเองได้ข่มขู่รุกรานทางเพศโดยใช้ตำแหน่งหน้าที่หลังจากที่ไปรวบกวนลูกความผมถึงจังหวัดเชียงราย
พี่เอกภพส่งกระดาษที่ถ่ายเอกสารจากจดหมายที่เขียนด้วยลายมือของนายธวัชชัยให้พี่หมูแปลให้ประธานบริษัทฟัง
เรื่องทั้งหมดไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ทำไมคุณถึงหลอกผม ธวัชชัยซัง!?! น้ำเสียงของประธานดูเย็นชาต่อนายธวัชชัยจนทุกคนจับอารมณ์นั้นได้
นายธวัชชัยหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธที่โดนต้อนจนมุมแต่ถึงกระนั้นเค้าก็พยายามที่จะพูดขึ้นมา
เออ...ผมอธิบายได้...
ผมต้องการให้คุณทั้งสามคนไปรอที่ห้องทำงานของใครของมันก่อน เดี๋ยวนี้! แล้วผมจะเรียกพวกคุณมาอีกทีหลัง
ประธานบริษัทชี้มาที่นายธวัชชัย ผมและกุ้ง เราสามคนเดินออกมาจากห้องผมเดินสวนกับผู้จัดการของผมที่กำลังจะเข้าไปห้องประธาน
ผู้จัดการครั...
ผมไม่ทันที่จะพูดจบ ผู้จัดการแผนกผมก็ยกมือห้ามไม่ให้ผมพุดอะไร แล้วเดินมุ่งหน้าเข้าไปที่ห้องประธานทันที เมื่อเราทั้งสามเดินออกมาถึงทางเดินของตึก ไม่วายที่นายธวัชชัยจะแสดงความเลวโดยการพูดขึ้นใส่หน้าเราด้วยความโกรธว่า
เลวทั้งคู่ บังอาจรวมหัวกันกลั่นแกล้งกู แล้วมึงจะรู้สึก
กุ้งหันหน้าไปหาเสียงนั้นกำลังขยับตัวเข้าไปใส่นายธวัชชัย ผมดึงแขนไว้แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ถือไพ่เหนือกว่าว่า
ที่นี้รู้หรือยังว่า การที่โดนคนมีอำนาจมากกว่ารังแก แล้วขยับตัวไม่ได้มันเป็นแบบไหน จะทำอะไรก็รีบทำนะครับ เวลาของพี่กำลังจะหมดแล้ว
ผมรีบดึงแขนกุ้งออกเดินมาที่ห้องทำงานผมบอกให้กุ้งใจเย็นๆอย่าได้หลงกลมีเรื่องกับมันอีก เราสองคนรอเวลาที่จะโดนเรียกให้พบที่ห้องประธานอีกทีด้วยใจกระวนกระวายมากกว่าเดิม
ดูท่าพี่พลจะลนลานมากขึ้นนะ กุ้งบอกผม คงเห็นจากท่าทางที่ไม่อยู่นิ่งและถอนหายใจอยู่เห็นระยะๆ
ใช่...ไม่รู้เค้าจะคุยอะไรกันบ้าง แล้วกุ้งไม่กังวลเลยเหรอ ผมถามคืน
จะกังวลไปทำไมล่ะ ก็ต้องปล่อยทุกอย่างให้มันเกิด ตัวกุ้งไม่เท่าไหร่หรอก แต่...กุ้งต้องขอโทษพี่พลจริงๆที่ดึงพี่เข้ามามีส่วนในเรื่องของกุ้ง... กุ้งผิดเอง น้ำเสียงของกุ้งตำหนิตัวเอง
นี่ ! อย่าพูดอย่างนี่อีกนะ มันไม่ใช่ความผิดของกุ้ง พี่มีทางเลือกที่จะมีส่วนกับมันเหมือนตอนนี้ หรือจะเลือกปล่อยมันไปไม่เจ็บตัวเหมือนพี่แอ๋วพี่ก็ทำได้ มันเป็นทางเลือกของพี่เอง ไม่ใช่ความผิดของกุ้ง!!และมันก็ไม่ใช่ความผิดของพี่ด้วย เพราะเรากำลังทำในสิ่งที่ถูกอยู่
ผมพยายามพูดในสิ่งที่ดีที่จะสร้างกำลังใจให้กับกุ้งไม่ให้รู้สึกผิดหรือท้อ แต่แท้ที่จริงผมกำลังสร้างกำลังใจให้กับตัวเองอยู่ต่างหาก ถ้ากำลังใจเราดีเราก็จะพร้อมเผชิญสิ่งที่จะเกิดขึ้น กุ้งมองหน้าผมยิ้มเหมือนแทนคำขอบใจ ผมยิ้มตอบกุ้งผมก็รู้สึกขอบคุณกุ้งเช่นกันเพราะถ้าไม่ใช่เรื่องของกุ้งที่รับรู้ ผมคงไม่รู้ถึงจิตใจอันแท้จริงของนายธวัชชัยและความเลวของนายธวัชชัยก็เป็นแรงผลักดันให้ต่อมการต่อสู้หาความยุติธรรมของผมได้ขับเคลื่อน
ผมเหลียวมองนาฬิกาที่แขวนอยู่ฝาผนัง นับเวลาก็เกือบสองชั่วโมงแล้วที่เรารอคอย พลันผมและกุ้งก็ต้องสะดุ้งอย่างตกใจ เมื่อเสียงโทรศัพท์ที่โต๊ะทำงานของผมดังขึ้น
น้องพลคะ ท่านประธานให้เข้าพบได้แล้วค่ะ ตามน้องกุ้งด้วยนะคะ เสียงของเลขาท่านประธานบอกมาจากปลายสาย
ครับจะไปเดี๋ยวนี้ ผมตอบแล้ววางสาย ผมมองหน้ากุ้งแล้วพูดขึ้นมาเรียกพลังใจเป็นคำถามว่า
พร้อมแล้วนะ!?!
กุ้งเม้มปากแล้วพยักหน้าตอบรับ
อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิดพี่!
ถูกของกุ้ง อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ถ้าเราคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกและทำเต็มที่กับมัน ผลที่ตามมาอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ผมกับกุ้งรีบเดินมุ่งหน้าไปที่ห้องประธานบริษัทแต่ดูเหมือนว่าจะมีคนที่รีบกว่าเรา เมื่อไปถึง นายธวัชชัยนั่งอยู่เก้าอี้ที่เตรียมไว้อยู่แล้ว เราสองคนเข้าไปนั่งเก้าอี้ที่ว่างอยู่สองตัว รอบๆตัวของเราโดนล้อมด้วยพี่เพ็ญ พี่เอกภพทนายความที่เราเตรียมไว้ ผู้จัดการฝ่ายบุคคล พี่หมูรองผู้จัดการฝ่ายบุคคลที่มาทำหน้าที่ล่ามเแปลคำสั่งโดยไม่ต้องใช้ภาษาอังกฤษเพื่อให้เกิดความกระชับ ผู้จัดการของผมก็นั่งอยู่ในห้องนั้น และที่มากกว่านั้นยังมีผู้บริหารชาวญี่ปุ่นเพิ่มอีก 3 คนในที่ประชุมเล็กที่จัดขึ้นในห้องท่านประธาน
เมื่อผมนั่งลงผมพยายามไม่มองหน้าหรือสบตากับพี่เพ็ญเพื่อให้ดูว่าเราไม่ได้เตรียมการกันมาก่อน ผมมองตรงไปที่หน้าของประธานบริษัทผู้ที่หน้ามืดตามัวเกือบจะไล่ผมออกก่อนทั้งๆที่ไม่ฟังเหตุผลจากฝ่ายผมด้วยซ้ำ นี่ถ้าพี่เพ็ญมาไม่ทันเวลา อาจจะมีเรื่องมากกว่านี้ก็เป็นได้ แต่ที่ผมสังเกตเห็นเพิ่มขึ้นคือ ประธานบริษัทไม่มองหน้านายธวัชชัยด้วยซ้ำ หน้าของประธานบริษัทขึงขังมองมาเป็นมุมกว้างไม่เฉพาะเจาะจงใครเป็นพิเศษ ผมชำเลืองทางหางตาไปทางนายธวัชชัย ตอนนี้ดูเหมือนเสือจะสิ้นลาย นายธวัชชัยหน้าซีดเผือดก้มหน้าแต่ก็พยายามที่จะสบตาท่านประธานเพื่อเรียกร้องขอความช่วยเหลือ
มาพร้อมกันแล้วเดี๋ยวผมจะเริ่มเลยนะครับ พี่หมูเป็นคนเปิดการประชุมนั้น
เดี๋ยวท่านประธานจะกล่าวมติของที่ประชุมคณะกรรมการในวันนี้และผมจะแปลเป็นภาษาไทยให้พวกคุณได้ทราบนะครับ
พี่หมูโค้งศีรษะเล็กน้อยให้ประธานบริษัทเป็นสัญญาณว่าทุกคนพร้อม ท่านประธานได้เอ่ยด้วยน้ำเสียงขึงขังเป็นภาษาญี่ปุ่น ผมรับรู้ถึงความหมายนั้นโดยผ่านน้ำเสียงของพี่หมู
การพิจารณากรณีทะเลาะวิวาทในวันนี้ ได้มีมติจากคณะกรรมการพิเศษโดยคณะกรรมการได้มีมติถือเป็นเอกฉันท์และเป็นการตัดสินความประพฤติของพนักงาน โดยจะมีหนังสือออกอย่างเป็นทางการภายหลังจากการประชุมในวันนี้สิ้นสุดลง โดยมติมีดังนี้...
จากนั้นพี่หมูก็อ่านเอกสารหนึ่งแผ่นซึ่งคาดว่าจะเป็นเอกสารฉบับแปลจากภาษาญี่ปุ่นฉบับที่อยู่ในมือของประธานบริษัท
คณะกรรมการได้ตัดสินอย่าถี่ถ้วนแล้วว่า การทะเลาะวิวาทในวันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 2543 เกิดขึ้นเวลา 12.00 น.โดยประมาณ ที่ห้องโถงของอาคาร 4 นั้นมีที่มาของสาเหตุอันไม่สมควร ที่ผู้บริหารระดับผู้บังคับบัญชาจะกระทำต่อผู้ใต้บังคับบัญชา โดยหลังจากรวบรวมหลักฐานทั้งหมดจะพบว่า
นายธวัชชัยมีความประพฤติอันขัดต่อนโยบายบริษัทดังนี้
1. นายธวัชชัยใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ผิดโดยการใช้ตำแหน่งหน้าที่สร้างเงื่อนไขต่อรองและรุกรานทางเพศต่อพนักงานผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ถือว่าเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงซึ่งไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะเกิดกับผู้บริหารระดับสูง
2. นายธวัชชัยได้ใช้อำนาจสั่งการโดยพลการโดยมิชอบ โดยใช้อำนาจโยกย้ายพนักงานซึ่งไม่ได้อยู่ใต้บังคับบัญชาของตัวเอง จนเกิดความเข้าใจผิดเสียหายต่อระบบการทำงาน ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดผลเสียที่จะตามมาอย่างประเมินค่ามิได้ของประโยชน์ในบริษัท การใช้อำนาจนี้ถือเป็นการกระทำความผิดอย่างร้ายแรง
3. นายธวัชชัยได้กล่าวเท็จต่อประธานบริษัทผู้ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาในการใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น ซึ่งขัดกับหลักฐานที่คณะกรรมการได้รวบรวมมา
4. นายธวัชชัยไม่สามารถที่จะระงับสติอารมณ์ที่ลุด้วยโทสะโดยเป็นผู้ลงมือก่อการชกต่อยซึ่งไม่เป็นผลดีและจะเป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา
ส่วนคู่กรณีคือนายทะนงพล และนางสาวกรวรา คณะกรรมการเห็นว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตัว แต่มีความผิดฐานกระทำการโดยพลกาลและถือว่าเพกเฉยต่อการนำเรื่องร้ายแรงรายงานต่อผู้มีอำนาจในบริษัท จึงมีการลงโทษโดย
1. ตัดโบนัสประจำปี 50 เปอร์เซ็นต์ของนายทะนงพลและนางสาวกรวรา 1 ปี
2. นางสาวกรวราจะยังไม่ได้รับการบรรจุเข้าเป็นพนักงานของบริษัทโดยให้ยืดระยะเวลาการทดลองงานเพิ่มขึ้นอีก 1 เดือน จากระยะการทดลองงานเดิม
3. นายธวัชชัยถือเป็นคนที่มีความประพฤติผิดที่ร้ายแรงที่สุด คณะกรรมการเห็นพ้องต้องกันว่าให้พ้นสภาพของการเป็นพนักงานบริษัท...
ไล่ออก!?!
นายธวัชชัยอุทานขึ้นมาเสียงหลง
อย่าให้ถึงกับมีการไล่ออกเลยครับ ผมจะไม่ทำอีกแล้ว ผมสำนึกผิดแล้ว จะให้ผมกราบขอโทษผมก็ยอม
พูดจบนายธวัชชัยก็ลุกจากเก้าอี้ลงมาคุกเข่าพนมมือมาที่ผมและกุ้ง ผมและกุ้งตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนทำอะไรไม่ถูกนึกไม่ถึงว่าชายที่อ้างว่าเป็นชายอกสามศอกและเจ้าชู้ไม่เลือกอย่างนายธวัชชัยถึงกับสิ้นศักดิ์ศรีลดตัวลงคุกเข่าอ้อนวอน
พี่ธวัชชัยครับ ผมยังอ่านไม่จบครับ พี่หมูเรียกสติพี่ธวัชชัยแล้วอ่านต่อว่า
...เว้นเสียแต่ว่า คู่กรณีคือนายทะนงพลและนางสาวกรวรา จะประนีประนอมลดการลงโทษในครั้งนี้ ทางบริษัทเห็นควรว่าการรอมชอมจะเป็นผลดีแก่ทุกฝ่ายเพื่อให้เกิดการพูดคุยและปรับความเข้าใจกัน เว้นเสียแต่ว่านายทะนงพลและนางสาวกรวราจะให้มตินี้เป็นมติสุดท้ายของการตัดสิน
ทันทีที่อ่านข้อความจบพี่หมูลดมือที่ถือกระดาษแผ่นนั้นลง ผมและกุ้งก็ต้องเจอกับเหตุการณ์ที่ผมไม่คิดว่าในชีวิตนี้จะเจอกับตัวเอง
น้องพลครับ น้องกุ้งครับ พี่ขอโทษ พี่ผิดไปแล้วจริงๆ เห็นใจพี่เถอะถ้าพี่โดนไล่ออกตอนนี้พี่แย่แน่ๆ ลูกเมียพี่จะต้องแย่ตามทั้งบ้านพี่มีอาชีพอยู่คนเดียว เมียพี่ก็เป็นแค่แม่บ้านไม่มีงานทำ ถ้าพี่โดนไล่ออก... นายธวัชชัยเริ่มร้องไห้
...ไม่ใช่แค่พี่นะครับที่จะต้องตาย อีกสองชีวิตก็จะต้องตายตามไปด้วย นึกเสียว่าได้ช่วยชีวิตปล่อยนกปล่อยปลาเถอะครับ จะให้พี่กราบก็ยอม
แล้วนายธวัชชัยก็ก้มลงกราบจริงๆ ผมและกุ้งทำอะไรไม่ถูกมองไปที่พี่เพ็ญและพี่เอกภพ
อยู่ที่น้องพลและน้องก้อยเองครับ ว่าจะเอายังไง พี่เอกภพที่ทำหน้าที่ทนายความฝ่ายผมบอก
วิศวกรที่ทำงานได้ปีกว่าอย่างผมในตอนนั้น สับสนไปหมด ไม่ต้องกล่าวถึงน้องกุ้งน้องกุ้งมองผมประมาณว่าขึ้นอยู่กับผมอีกคน แวบแรกของการได้ฟังมติของกรรมการผมยอมรับว่าผมสาสมแก่ใจที่ในคำตัดสินนั้น แต่ตอนนี้ภาพของนายธวัชชัยที่ร้องไห้ก้มลงกราบตรงหน้ามันทำให้ผมทำอะไรแทบไม่ถูก ผมพยายามทำใจแข็งหาทางออกสู้กับเรื่องที่ผมไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิตผมนิ่งสักนิดแล้วจู่ๆผมก็พูดขึ้นมา
แผนกซ่อมบำรุง!
อะไรนะ? ประธานบริษัทถามผม
เมื่อตอนเช้าคุณธวัชชัยได้มีคำสั่งให้ผมไปอยู่แผนกซ่อมบำรุง ผมคิดว่าถ้าคุณธวัชชัยควรได้ไปอยู่แผนกนั้น
ขอบคุณน้องพลมาก... นายธวัชชัยโผล่งขั้น
ธวัชชัยซัง !?! ผมยังไม่ได้สรุป ประธานบริษัทขึ้นเสียงปรามนายธวัชชัย
คุณว่าไงนะ พลซัง
ประธานบริษัทถามผมอีกครั้ง ผมยิ้มและผมคิดว่านี่คือทางออกที่ดีที่สุด
คุณธวัชชัยเป็นพนักงานรุ่นแรกๆ เติบโตมาพร้อมบริษัทสาขานี้ จนทุกวันนี้มีอำนาจมาก ควรจำกัดอำนาจนั้น และที่แผนกซ่อมบำรุงจะมีแต่พนักงานชาย จะช่วยให้คุณธวัชชัยไม่ก่อเรื่องรุกรานทางเพศต่อผู้หญิงคนไหนได้อีก ผมคงใจไม่บาปพอที่จะทำร้ายลูกเมียของเค้าโดนการให้เค้าโดนไล่ออก แต่มีข้อแม้ว่า คุณธวัชชัยจะต้องไม่มายุ่งเกี่ยวหรือพูดคุยกับผมและกุ้งอีกต่อไปและหากจับได้ว่าเค้าทำเรื่องเสื่อมเสียใส่ร้ายผมกับกุ้งอีก เค้าจะไม่ได้รับการให้อภัยเป็นครั้งที่สอง
เมื่อผมพูดจบ ผู้บริหารญี่ปุ่นทั้ง 5 คนก็พูดคุยกันเป็นภาษาญี่ปุ่นโดยคนเข้าใจคงจะมีแต่พี่หมูที่ทำหน้าที่ล่ามในวันนั้น สุดท้ายประธานก็กล่าวถ้อยคำที่ตัดสินโดยผ่านการแปลจากพี่หมูว่า
ทางกรรมการได้ขอเพิ่มคำตัดสินดังนี้ ให้นายธวัชชัยย้ายไปอยู่แผนกซ่อมบำรุงตามที่นายทะนงพลร้องขอ แต่ที่แผนกซ่อมบำรุงได้มีผู้จัดการและรองผู้จัดการเต็มอัตราแล้วทางกรรมการจะลงโทษนายธวัชชัยโดยให้ปลดจากตำแหน่งผู้จัดการเดิมมาเป็นพนักงานอาวุโสประจำสำนักงานหรือ Senior Officer และนายธวัชชัยจะไม่ได้รับการพิจารณาขึ้นเงินเดือนและไม่ได้รับโบนัสติดต่อกันเป็นระยะเวลา 3 ปีและบันทึกไว้ว่านายธวัชชัยจะต้องไม่กระทำการใดๆที่เกี่ยวข้องกับนายทะนงพลหรือนางสาวกรวราอีกต่อไป
ผมพอใจในคำตัดสินนั้น ทุกคนจะได้ไม่รู้สึกเป็นบาปที่จะไล่นายธวัชชัยออกอย่างกะทันหัน การตัดสินหลังสุดหากผมคิดไม่ผิด ก็คือการตัดมือตัดเท้าของนายธวัชชัยไม่ให้ก่อเรื่องอีก แถมยังจะไม่มีการเพิ่มเงินเดือนหรือให้โบนัสนายธวัชชัยอีกตั้ง สามปี ซึ่งก็คือการ ให้ออก จากงานทางอ้อมนั่นเอง เพราะจริงๆพนักงานบริษัทอย่างเราก็หวังจากเงินโบนัสที่ได้รับเป็นเงินก้อนโตสิ้นปีเสมอ และเป็นการให้นายธวัชชัยได้ตั้งตัวหาที่ทำงานใหม่นั้นเอง
เมื่อเสร็จสิ้นการประชุมทุกคนต่างแยกย้ายกันออกไป นายธวัชชัยเดินตามผมและกุ้งออกมาคนอื่นเดินล่วงหน้าไปหมด งูพิษก็คืองูพิษ เมื่อคนอื่นเดินไปจนระยะทางที่ไม่ได้ยินเสียงคุยจากเรา นายธวัชชัยก็คำรามในลำคอจนทำให้ผมและกุ้งต้องมองหน้ามันอีกครั้ง
พวกมึงจำวันนี้ไว้ให้ดี กูจะต้องเอาคืนแน่
เท่านั้นล่ะครับ ผมก็ถึงขั้นลมออกหู ภาพที่เห็นในห้องประธานนั้นมันเป็นแค่ละครฉากหนึ่งของหมาแก่ ถ้าให้ตุ๊กตาทองสำหรับการแสดงนายธวัชชัยก็ตีบทแตกกระจุย ผมก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวมองหน้านายธวัชชัยไม่หลบสายตาพร้อมกับพูดว่า
วันนี้ผมอาจจะจำเรื่องนี้ได้ แต่ก็จะมีบางวันที่ผมจะลืมเพราะงานยุ่ง และผมก็อาจจะลืมมันไปเพราะ หน้าที่การงานผมจะก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ จนไม่มีเวลาที่มานั่งคิดเรื่องวันนี้ แต่พี่...พี่จำผมไปจนวันตาย พี่จะต้องจำผมทุกวันที่ลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่าไม่ได้เป็นผู้จัดการอีกต่อไป พี่จะจำผมได้ดี ในฐานะที่ผมสามารถทำให้พี่ถึงจุดตกต่ำ ! ทุกขณะของการทำงานของพี่จะมีแต่เรื่องของคำตัดสินในวันนี้ พี่จะจำผมจนถึงตอนก่อนนอนของทุกวันเมื่อพยายามข่มตาหลับพี่ก็จะนึกถึงผมว่า ผมสามารถเอาไม้ซีกมางัดไม่ซุงได้ ...หึ ...พี่พูดถูกครับ ผมกับพี่มันคนละระดับกัน เพราะผมจิตใจสูงกว่าพี่เยอะ
นายธวัชชัยตัวสั่นกำหมัดแน่น
ทะเลาะอีกครั้งก็คือไล่ออก...ท่องเอาไว้นะครับ เอาเวลาไปเก็บของย้ายไปอาคารซ่อมบำรุงดีกว่าครับ
ผมพูดเสียงจริงจังก่อนที่จะเดินออกมาพร้อมกับกุ้ง...
หลังจากนั้นกุ้งทำงานได้ปีกว่าๆก็ได้งานใหม่ที่เหมาะสมกว่างานที่บริษัทผม เราติดต่อกันโดยตลอด ในจดหมายที่กุ้งเขียนมาล่าสุดถึงผม เล่าถึงที่ทำงานใหม่ของเธอพร้อมที่อยู่ใหม่ที่จังหวัดอยุธยา จริงๆผมก็อยากจะย้ายที่ทำงานบ้างเพื่อปรับเงินเดือนแต่เพราะความรักที่มีต่อแฟนผมทำให้ผมตัดสินใจลงหลักปักฐานที่เชียงใหม่ ผมยังจำวันที่กุ้งลาออกอย่างเป็นทางการได้ หลังจากลาออกเพียงหนึ่งวัน จดหมายที่ได้ทำการถ่ายเอกสารเป็นลายมือของนายธวัชชัยฉบับนั้น โดน
ก็อบปี้ด้วยจำนวนหลายพันแผ่นถูกแจกวางไว้ที่ต่างๆในบริษัท ผมบอกตรงๆว่าผมไม่ได้มีส่วนในเรื่องนี้แม้แต่นิดเดียว คนที่ตกเป็นจำเลยคือนายธวัชชัยก็คงใช้ชีวิตในแผนกซ่อมบำรุงโดยลับหลังก็จะมีคนซุบซิบนินทา
ผมไม่ทราบว่าผมทำบาปหรือทำบุญเหมือนที่นายธวัชชัยขอร้องในครั้งนั้น หากผมใจแข็งไล่นายธวัชชัยออกไปตามมติที่ประชุม เค้าคงไม่โดนนินทาลับหลังจนน้อยคนนักที่จะให้ความสนิทสนมชิดเชื้อ อายุของเขามากเกินกว่าจะได้รับการตอบรับจากตำแหน่งของบริษัทอื่น และที่สำคัญสังคมนิคมอุตสาหกรรม อย่างที่บอกไว้แต่แรกว่ามันแพร่ข่าวได้เร็วขนาดไหน ผมได้ข่าวจากเพื่อนที่ทำงานในละแวกบริษัทเดียวกันว่า ได้รับใบสมัครงานของนายธวัชชัยแต่ไม่มีใครเรียกไปสัมภาษณ์เลยเพราะความอื้อฉาวของข่าวมีมากเกินกว่าที่จะเสี่ยงรับเข้ามาทำงานในบริษัท
ทุกวันนี้ผมได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า มันเป็นกรรมที่เกิดจากการกระทำของใครของมันไม่ใช่ความผิดของเราที่ลงโทษเขาไปแบบนั้นและผมพยายามที่จะลืมมันไปซะ...
.......................จบตอนที่ 10..........................
3 กุมภาพันธ์ 2549 10:30 น.
ชายชัช
ตอนที่ 9 พวกเราบุก !!!
ผมเปิดประตูห้องแล้วให้กุ้งเข้ามาในห้องพร้อมกับถามกุ้งว่า
กุ้งกินข้าวเย็นหรือยัง
เรียบร้อยแล้วพี่ กุ้งตอบพร้อมยิ้มที่มุมปาก
นั่งก่อนสิ แล้วค่อยคุยกัน
ผมผายมือไปที่โซฟาเพื่อให้กุ้งได้นั่งพักเหนื่อยเพราะผมรู้ดีกว่าหลังจากการทำงานโอที หรือการทำงานล่วงเวลาที่บริษัทจะต้องเลิก 20.00น กว่าจะเดินทางจากลำพูนมาถึงเชียงใหม่ก็กินเวลาเกือบชั่วโมงมันแสนจะเหนื่อยจากการทำงานและการเดินทาง เพราะผมเองบางครั้งกลับเข้ามาห้องก็ล้มตัวเองลงนั่งที่โซฟาก่อนที่จะตั้งสติทำกิจวัตรประจำวันก่อนนอน ผมเดินไปที่ตู้เย็นพร้อมกับรินน้ำให้กุ้งหนึ่งแก้ว
ในขณะเดียวกันเมื่อกุ้งนั่งลงที่โซฟา กุ้งเปิดกระเป๋าเป้สะพายที่ดูทะมัดทะแมง เหมือนเด็กผู้ชายกำลังเปิดกระเป๋าเอาการบ้านออกมาทำ กุ้งหยิบเอกสารออกมาวางบนโต๊ะกาแฟ ผมเดินถือแก้วน้ำเดินมาที่กุ้ง ยื่นแก้วน้ำให้กุ้ง พร้อมกันนั้นกุ้งก็หยิบเอกสารยื่นให้ผม
อะไรน่ะ? งานมีปัญหาเหรอ ผมถามด้วยน้ำเสียงเซ็งในอารมณ์เพราะผมเป็นประเภทไม่ชอบพูดเรื่องงาน หลังจากเลิกงานมาแล้ว
งานน่ะมีปัญหาแน่นอน และนี่คือปัญหาที่กุ้งต้องเจอ และนี่ก็จะทำให้พี่พลรู้ว่ากุ้งกำลังเจอกับอะไรอยู่ พี่พลอ่านก่อน แล้วพี่พลค่อยตัดสินว่าพี่พลควรจะอยู่ข้างกุ้งเหมือนกับที่ตอนกลางวันที่กุ้งถามว่าพี่จะอยู่ข้างกุ้งมั้ย ถ้ากุ้งพิสูจน์ว่าตัวเองบริสุทธ์
ผมฟังกุ้งพูด มองหน้ากุ้งแล้วหยิบเอกสารที่มีประมาณ 4-5 แผ่น มาไว้ในมือ แล้วอ่านว่ามันคืออะไร เอกสารแผ่นแรกที่ผมอ่านก็ทำเอาผมถึงกับอึ้ง เอกสารที่กุ้งให้ผมอ่าน เป็นจดหมายที่ส่งมาทางอีเมล์ที่ใช้ภายในบริษัท กุ้งปริ้นเอาท์ออกมา ในจดหมายนั้นจะแจ้งที่อยู่ของผู้ส่งอีเมล์ ชื่อผู้รับ วันที่ส่ง หัวเรื่อง เหมือนกับกับอีเมล์ทั่วไป หัวเรื่องอันแรกที่จั่วหัวใน อีเมล์คือ คำว่า ด่วน แต่ที่ผมอึ้ง เงียบ เป็นเพราะเนื้อความในเอกสารที่ผมอ่านคือ
17 กรกฎาคม 2543
ถึงหัวหน้าสายงานการผลิตที่น่ารักของพี่
พี่ยินดีกับน้องกุ้งด้วยที่ได้เริ่มงานในวันนี้ พี่เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าเป็นเพราะพรหมลิขิต ขีดเส้นให้เรามาพบกัน พี่รู้สึกดีต่อกุ้งตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นหน้าในวันสัมภาษณ์เข้าทำงาน วันแรกที่เราเจอ พี่ก็รู้ว่ากุ้งคือผู้หญิงที่พี่รอคอยมาทั้งชีวิต ตอนที่กุ้งเปิดประตูเข้ามาในห้องสัมภาษณ์ กุ้งมาพร้อมกับความสว่างสู่ดวงใจของพี่ พี่รอคอยที่จะทำงานกับกุ้งแทบไม่ไหว พี่เร่งวันเร่งคืนที่จะทำให้เราสองคนมาทำงานด้วยกัน กุ้งอาจจะไม่เชื่อในสิ่งที่พี่รู้สึกกับกุ้งในตอนนี้ กุ้งรู้ไหม กุ้งทำให้พี่รู้ความหมายของคำว่า รักแรกพบ พี่หลงรักน้องกุ้งตั้งแต่วันแรก และกุ้งรู้ไหม ที่กุ้งได้ทำงานในบริษัทนี้ก็เพราะพี่ พี่เป็นคนเลือกกุ้งและพี่เป็นคนทำให้กุ้งได้งานที่มีเกียรตินี้ มีคนมาสมัครหลายร้อยคน ตำแหน่งนี้ต้องการคนมีประสบการณ์นะ เพราะต้องมาคุมคนทำงานอีกหลายร้อยชีวิต แต่กุ้งเป็นแค่เด็กจบใหม่ธรรมดาๆคนเหนึ่ง แต่พี่ก็เลือกกุ้ง และต้องเป็นกุ้งคนเดียวเท่านั้นที่จะมาทำงานเคียงข้างพี่ เพราะชีวิตนี้จะหมดความหมายทันทีถ้าขาดกุ้งไป ขอบอกอีกครั้งว่าพี่รักกุ้งจริงๆ กุ้งไม่ต้องห่วงในเรื่องงานนะครับ พี่จะดูแลกุ้งเอง
รัก
พี่ธวัชชัย
ผมอ่านเนื้อความในเอกสารที่กุ้งปริ้นเอาท์ออกมาแล้วอุทาน
ไม่อยากจะเชื่อเลย!
หึ! กุ้งขำในลำคอ เหมือนจะเป็นสัญญาณว่านี่แค่เบาๆแล้วบอกผมว่า
พี่พลอ่านอีกฉบับสิ อ่านตามหมายเลขที่กุ้งเขียนไว้ที่หัวกระดาษนั้นแหละ
ผมรีบเปลี่ยนเอกสารอ่านแผ่นที่ 2 และก็เช่นเคย เป็นอีเมล์ที่มีชื่อผู้ส่ง คือพี่ธวัชชัยเช่นเคย และที่ทำให้ผมประหลาดใจคือ หัวเรื่องของอีเมล์ใช้หัวเรื่องว่า ด่วน อีกครั้ง ผมรีบกวาดสายตาอ่านเนื้อความในอีเมล์ด้วยความอยากรู้
24 กรกฎาคม 2543
กุ้งที่รัก
กุ้งจะทำให้พี่ต้องทรมานจนขาดใจตายไปต่อหน้ากุ้งเหรอ กุ้งถึงจะพอใจ ทำไมกุ้งถึงได้เฉยเมยต่อพี่ถึงเพียงนี้ ช่วยแสดงให้พี่เห็นหน่อยว่ากุ้งก็มีใจกับพี่ พี่มั่นใจว่าพี่ไม่ได้รู้สึกไปคนเดียว พี่เชื่อว่ากุ้งก็รู้สึกต่อพี่เช่นกัน พี่รอคอยการตอบอีเมล์ของกุ้งด้วยความว้าวุ่นใจ รู้ไหมการรอคอยคำตอบเป็นสิ่งที่ทรมานอย่างยิ่งยวด พี่อยากถามกุ้งเหลือเกินว่า ทำไมไม่ยิ้มให้พี่บ้าง...สักนิดก็ยังดี กุ้งรู้ตัวไหมว่ากุ้งเป็นคนมีเสน่ห์เวลากุ้งยิ้ม ถ้ากุ้งยิ้มสักนิด กุ้งสามารถทำให้โลกใบนี้สว่างขึ้นมาทันที และพี่กำลังรอเวลาที่กุ้งจะมาให้แสงสว่างในใจพี่ ทุกเช้ามีการประชุมก่อนเริ่มงานพี่รอคอยรอยยิ้มจากกุ้งอยู่ทุกวัน ไม่เห็นเหรอว่าพี่ยิ้มให้กุ้ง แต่กุ้งเอาแต่ก้มหน้าจดงานไม่สบตาพี่เลย ถ้ากุ้งดื้อกับพี่แบบนี้ พี่จำเป็นจะต้องใช้วิธีที่พี่ไม่คิดจะใช้...
กุ้งรู้ไหมว่ากุ้งอยู่ในระหว่างทดลองงาน 3 เดือน กุ้งผ่านการฝึกงานมาแล้ว 1 สัปดาห์ พี่เป็นหัวหน้างานของกุ้งโดยตรง พี่สามารถทำให้กุ้งเสียประวัติการทำงานได้เพียงแค่การกากบาทลงในช่องว่า จะผ่าน หรือไม่ผ่าน ถ้ากุ้งไม่ผ่านงานแล้วกุ้งจะต้องเข้าช่วงทดลองงานใหม่ หรือไม่กุ้งก็จะต้องออกไปหางานที่อื่นซึ่งจะต้องพบกับความยากลำบากกว่าจะหางานได้ กุ้งอยากหางานใหม่เหรอในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้
พี่ไม่ขออะไรมาก ขอแค่กุ้งยิ้มให้พี่หน่อย บางครั้งในตอนเย็นหลังเลิกงาน เพียงแต่กุ้งไปกินข้าวเย็นกับพี่บ้าง ทำความรู้จักกับพี่ กุ้งจะรู้ว่าพี่จริงใจกับกุ้งแค่ไหน พี่ไม่คิดจะบังคับกุ้งให้มารักพี่เลย แต่พี่อยากให้น้องกุ้งคิดถึงอนาคตของประวัติการทำงานของน้องกุ้งมากๆ
รัก
พี่ธวัชชัย
ผมอ่านจบเงยหน้าขึ้นมองหน้ากุ้ง ผมรู้สึกสะอิดสะเอียนในการกระทำของพี่ธวัชชัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อความใจจดหมายที่เต็มไปด้วยคำหวาน แต่แฝงเร้นไปด้วยคำขู่ในเชิงรุกรานทางเพศอย่างโจ่งแจ้ง ต้อนให้ผู้หญิงคนหนึ่งแทบจะไม่มีทางเลือกจนมุม เพื่อสนองความต้องการของตัวเอง
แล้วเค้าก็ส่งเมล์มาให้กุ้งมาทำงานเสาร์อาทิตย์เพื่อเป็นการให้ความร่วมมือบริษัท โดยแจ้งให้ประธานบริษัทรับรู้
กุ้งพูดพร้อมกับหน้าเคร่งเครียด ที่มือขวาของกุ้งคีบบุหรี่อยู่ แต่ยังไม่ทันจุด ผมรีบเปิดดูแผ่นที่ 3 เป็นอีเมล์ภาษาอังกฤษส่งหากุ้ง พร้อมซีซีให้ประธานบริษัทรับรู้ ( ซีซี หรือ cc หมายถึงผู้ที่เกี่ยวข้อง ) ว่าสั่งให้ นางสาวกุ้งมาทำงานล่วงเวลาเสาร์อาทิตย์ เพื่อดูแลการผลิตให้เป็นไปด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อย เป็นการฝึกงานตามสถานการณ์จริง ( training on the job ) เป็นการเตรียมพร้อมให้เกิดความเคยชินหากเกิดภาวการณ์เร่งผลผลิต จะทำให้นางสาวกุ้งรู้ว่าการทำงานล่วงเวลาเสาร์อาทิตย์นั้นเป็นการเพิ่มทักษะและเสริมให้การทำงานมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น
เสาร์อาทิตย์เค้าก็มาที่บริษัท เป็นข้องอ้างว่ามาสอนงานกุ้ง มาถึงก็โทรศัพท์ให้กุ้งไปหาที่ทำงานสองต่อสองบ้าง พยายามพูดจาให้หยิบเอกสารให้บ้าง แล้วก็ถือโอกาสแตะเนื้อต้องตัวกุ้งบ้าง กุ้งแทบไม่ไหว ต้องหาทางเอาตัวรอดออกมาทำงานในที่ลูกน้องกุ้งเยอะๆ กุ้งไม่กล้าเข้าไปพบเค้าสองต่อสองในห้องทำงานอีกเลย เอาเด็กเอกสารเข้าไปด้วยตลอด พี่พลคิดดูสิถ้ากุ้งไม่มาทำงาน ประธานบริษัทก็จะรับรู้ว่าไม่มารู้ว่าไม่ให้ความร่วมมือ และถ้ากุ้งขัดใจไม่ทำตามที่เค้าต้องการ ก็จะยิ่งง่ายต่อการทำให้กุ้งไม่ผ่านงาน
กุ้งขำในลำคออีกครั้ง แต่การขำครั้งนี้ เหมือนเยาะเย้ยกับโชคชะตาตัวเองที่ต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้
กุ้งก็เตรียมใจนะว่า โลกในชีวิตจริงหลังชีวิตในมหาวิทยาลัยมันโหดร้าย แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะโหดร้ายขนาดนี้ กุ้งยังสงสัยไม่หาย ทำไมเรื่องแบบนี้มันต้องเกิดกับกุ้ง พี่รู้มั้ย? ทุกวันที่ตื่นลืมตาขึ้นกุ้งจะรู้สึกไม่อยากมาทำงานเลย เพราะกุ้งรู้สึกขยะแขยงเค้า ไม่อยากเข้าใกล้ ไม่อยากมองหน้า กุ้งไม่ชอบผู้ชายอยู่แล้ว ยิ่งมาเจอแบบนี้กุ้งยิ่งเสื่อมศรัทธาในตัวผู้ชาย
เสียงกุ้งสั่นบ่งบอกถึงอารมณ์ที่เคียดแค้น ในขณะที่เริ่มมีน้ำตาออกจาตาทั้งสองข้างไม่มีเสียงสะอื้นเลยแม้แต่นิดเดียวเลย เหมือนกับว่ากุ้งไม่อยากแสดงความอ่อนแอออกมาให้ใครเห็น กุ้งห้ามอาการทุกอย่างได้ แต่ห้ามไม่ให้มีน้ำตาไม่ได้ ไม่น่าเชื่อว่าผมจะต้องรีบหยิบทิชชูให้กุ้งซับน้ำตาถึงสองครั้งในวันเดียวกัน
ขอพี่มวนสิ
น้องกุ้งหยิบบุหรี่ให้ผม แล้วจุดให้ สูบพร้อมกันสองคน ตั้งแต่ได้งานในบริษัทนี้ 1 ปีกว่า ผมไม่เคยแตะบุหรี่อีกเลย แต่วันนี้ ผมคงจะต้องสูบเพราะจะเป็นทำให้กุ้งรู้สึกว่ามีคนสูบเป็นเพื่อน จะได้ไม่ต้องเกรงใจว่ามาทำให้ห้องผมมีกลิ่นบุหรี่ และอีกอย่าง เรื่องของน้องกุ้งมันทำให้ผมอยากสูบบุหรี่พร้อมๆกับถอนหายใจเอาควันออกมาจากปอดเป็นการระบายความรู้สึกต่อปัญหาที่รับรู้อยู่ตอนนี้
นอกจากพี่แล้วมีใครรู้เรื่องนี้อีกไหม ผมถาม
มี กุ้งเปิดอีเมล์ให้พี่แอ๋วอ่าน เพราะกุ้งไม่รู้จะปรึกษาใคร กุ้งคิดว่าพี่แอ๋วเป็นหัวหน้าของสายการผลิตทั้งหมด เป็นรองแต่พี่ธวัชชัย...
แล้วพี่แอ๋วว่ายังไงกับเรื่องนี้
พี่แอ๋วบอกว่า พูดยากเรื่องแบบนี้ แล้วบอกกับกุ้งว่า มันเป็นเรื่องส่วนตัว ปัญหาส่วนตัวแบบนี้ ต้องแก้เอาเอง
ผมไม่แปลกใจกับคำตอบของพี่แอ๋วที่กุ้งบอกผม เพราะหนึ่งปีที่ทำงานในบริษัท ก็พอจะรู้ว่าพี่แอ๋วเก่งนักในเรื่องของการเอาตัวรอดทั้งในเรื่องส่วนตัวและเรื่องงาน โดยไม่สนใจว่าใครจะโดนเหยียบหรือเกิดปัญหา หรือแม้กระทั้งความตระหนี่และเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ พร้อมกับนินทาว่าร้ายเรื่องคนอื่นอยู่เป็นนิจ กุ้งพึ่งเข้างานใหม่เลยยังไม่รู้พิษสงของพี่แอ๋วดี ขนาดพี่แอ๋วเป็นผู้หญิงมีสามี มีลูกแล้ว แต่กลับไม่มีความเมตตาที่จะปกป้องผู้หญิงอีกคนที่เป็นลูกน้องตัวเองจากผู้จัดการหัวงู ถึงแม้ว่ากุ้งจะเป็นเลสเบี้ยนแบบทอมบอยก็เถอะ แต่รูปลักษณ์ภายนอก กุ้งก็คือผู้หญิงที่ผมยาวหน้าตาดีดูอ่อนหวานสมกับเป็นหญิงชาวเหนือ
ทำไมกุ้งไม่บอกความจริงว่ากุ้งไม่ชอบผู้ชาย ผมถามอีก
กุ้งยังไม่พร้อมพี่พล วันที่กุ้งจะตัดผมซอยผมสั้นคือวันที่กุ้งมีอิสระ และมีงานทำถาวร กุ้งผ่านโปรเมื่อไหร่ กุ้งจะทุกอย่างๆที่กุ้งอยากทำ ที่กุ้งทนอยู่ตอนนี้ คือ พ่อกับแม่ที่บ้านยังเป็นห่วงกุ้งอยู่ ตอนปีหนึ่งเข้ามหาลัยใหม่ๆกุ้งตัดผมรองทรงสูง กลับบ้านที่เชียงรายบ้านแทบแตก ทำให้กุ้งเรียนรู้ว่า เราต้องรอให้ปีกกล้าขาแข็งก่อนค่อยทำในสิ่งที่เราอยากจะทำ ตอนนี้ กุ้งก็เริ่มร่อนใบสมัครงานที่อื่นแล้ว เพราะกุ้งไม่รู้ว่า กุ้งจะผ่านงานที่บริษัทนี้หรือเปล่า...
มันต้องมีทางออกสิกุ้ง และกุ้งไม่ใช่คนผิดสักหน่อยทำไมกุ้งคิดว่ากุ้งจะไม่ผ่านล่ะ
เค้าไปถึงบ้านกุ้งที่เชียงรายเลยนะพี่พล อาทิตย์ก่อนกุ้งกลับเชียงราย ตอนเที่ยงจู่ๆเค้าก็ขับรถมาที่บ้าน กุ้งงงไปหมด มาสวัสดีพ่อแม่ กุ้งก็แนะนำกับพ่อแม่ว่าเป็นผู้จัดการ แล้วเค้าก็คุยกับพ่อแม่ บอกว่ากุ้งดื้อ ยังเป็นเด็กอยู่ยังไม่ค่อยอดทนในการทำงาน เค้ามาถึงที่เชียงราย เพราะอยากให้พ่อแม่ช่วยตักเตือนกุ้ง บอกว่างานสมัยนี้หายาก ถ้ากุ้งทำตัวไม่ดีกุ้งจะไม่ผ่านงาน แต่เค้าจะช่วยกุ้งเต็มที่ อยากให้พ่อกับแม่ดูแลบอกกุ้งให้ความร่วมมือกับเค้าหน่อย อยากให้กุ้งเป็นผู้ใหญ่กว่านี้
ผมยิ่งรู้สึกสะอิดสะเอียนการกระทำของผู้ชายคนนี้มากขึ้น ทั้งๆ ที่อายุของเค้าก็ประมาณเกือบ 40 ต่อหน้าคนอื่นนายธวัชชัยคนนี้ จะทำเป็นผู้จัดการที่ดี เอาใจใส่ต่อลูกน้องแต่เบื้องหลังของเค้าในวันนี้จากหลักฐานและคำพูดของกุ้งทำให้ผมเชื่อว่าทั้งหมดมันคือความจริง
ทำไมกุ้งไม่บอกความจริงกับพ่อแม่ ว่าเค้าคิดไม่ซื่อกับกุ้ง
พ่อกับแม่กุ้งเป็นชาวบ้านค้าขายเล็กๆน้อยๆพี่...เค้าเชื่อผู้จัดการมากกว่ากุ้งอยู่แล้ว เพราะกุ้งเป็นคนแข็งมาแต่ไหนแต่ไร อีกอย่างกุ้งไม่กล้าบอกกลัวเรื่องมันจะอื้อฉาว เค้าเตรียมการทุกอย่างเพื่อจะเอาชนะกุ้งให้ได้ กุ้งต้องเจอแบบนี้ทุกวันเป็นเวลา 2 เดือนแล้ว และไม่รู้ว่ากุ้งจะทนได้อีกสักเท่าไหร่ ไม่มีใครช่วยกุ้งได้หรอกเพราะไม่มีใครอยากมีปัญหาโดยไม่จำเป็น !!! กุ้งว่ากุ้งต้องเอาตัวเข้าแลกมั้ง ถึงจะผ่านงาน แต่กุ้งคงไม่ทำเด็ดขาด ออกก็ออก ไม่ผ่านก็ไม่ผ่าน อ้อ !... ก่อนกลับเค้าให้จดหมายไว้ด้วยนะนี่ มีอีกฉบับ
กุ้งค้นในเป้อีกครั้ง คราวนี้ ไม่ใช่กระดาษเอ 4 ที่ปริ้นออกมา แต่เป็นกระดาษเขียนจดหมายสีชมพูมีลายมือที่ผมคุ้นเคย มันคือลายมือของพี่ธวัชชัยจริงๆ ผมเอาจดหมายนั้นมาอ่าน เมื่ออ่านจบ ผมยิ้มให้กุ้งเพราะผมนึกแผนการบางอย่างออก
พี่จะช่วยกุ้งเอง
ผมตัดสินใจที่จะช่วยน้องกุ้งสาวเลสเบี้ยนคนนี้ เพราะผมเห็นแล้วว่าการกระทำของพี่ธวัชชัยไม่ต่างกับการข่มขืนผู้หญิงเลยแม้แต่น้อย มันไม่ต่างอะไรกับกรณีที่ศิริรัตน์เจอในคืนที่ผมและเพื่อนไปในซอยวัดอุโมงค์ รายนั้นผู้ชายใช้กำลังพยายามข่มขืนผู้หญิงเพื่อจะได้ในสิ่งที่ต้องการ แต่รายพี่ธวัชชัยใช้อำนาจหน้าที่การงานข่มขู่ เพื่อผลประโยชน์ในการรุกรานทางเพศ ผลลัพธ์เหมือนกันแต่ใช้คนละวิธี
ยากพี่ พี่พลช่วยกุ้งแทบจะไม่ได้เลย
ผมยิ้มที่มุมปาก
เกลือมันต้องจิ้มเกลือกุ้ง แต่ว่าพี่ทำคนเดียวไม่ได้นะ กุ้งต้องให้ความร่วมมือกับพี่ด้วย
ผมเห็นวิธีการที่จะช่วยกุ้งได้ เพราะเนื้อความในจดหมายที่เขียนโดยลายมือของพี่ธวัชชัยมีดังนี้
18 กันยายน 2543
กุ้งที่รักของพี่
เมื่อไหร่กุ้งถึงจะยอมรับว่าพี่จริงใจกับกุ้งขนาดไหน รู้ไหมที่พี่ทำทุกอย่างเหมือนทุกวันนี้ก็เพราะกุ้งคนเดียว พี่ดั้นค้นไปพบพ่อกับแม่ของกุ้งถึงเชียงรายในเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาเพื่อแสดงความจริงใจว่าพี่จริงใจกับกุ้งแค่ไหน ก็ไม่สามารถทำให้กุ้งใจอ่อนได้เลยเหรอ ทำไมกุ้งถึงทำเฉยเมยต่อพี่ได้เพียงนี้ จะให้พี่ทำอย่างไรเพื่อจะพิสูจน์รักแท้นี้ให้กุ้งเห็น
หากกุ้งเย็นชาต่อพี่ที่พี่ไม่ใช่คนตัวเปล่า ขอให้กุ้งรับรู้ไว้ตรงนี้เลย ว่าทุกวันนี้พี่มีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะกุ้งคนเดียวเท่านั้น พี่ไม่มีความสุขกับชีวิตการแต่งงานเลย พี่ไม่เคยรักภรรยาพี่เลยแม้แต่นิดเดียว ที่พี่อยู่กับครอบครัวทุกวันนี้อยู่เพียงแต่ร่างกาย ส่วนวิญญาณและหัวใจของพี่นั้นมอบให้กุ้งเพียงคนเดียว ทุกวันอยู่ที่บ้านพี่โหยหาแต่อ้อมกอดของกุ้ง รอวันที่กุ้งจะตอบรับรักพี่ เราสองคนจะได้ลงเอยกันเพราะกุ้งคือรักแท้ของพี่ และพี่มั่นใจว่ามันจะเป็นรักที่มั่นคง พี่รอวันที่จะสมหวัง เราสองคนจะได้ไปสร้างอนาคตด้วยกัน อย่างมีความสุข
เป็นครอบครัวเล็กๆแต่สมบูรณ์ พี่อยากให้กุ้งรู้ว่าพี่จะทำทุกอย่างเพื่อให้เรามาอยู่ด้วยกัน ขอให้กุ้งเชื่อใจพี่ว่าพี่สามารถทำให้กุ้งมีความสุขแน่นอน
2 เดือนแล้ว ที่ความรักในใจพี่ทรมานพี่เพราะกุ้งเย็นชาต่อกัน อีกเดือนเดียวเท่านั้นที่จะมีการพิจารณาว่ากุ้งจะเหมาะสมกับตำแหน่งในบริษัทนี้หรือไม่ พี่ไม่อยากให้กุ้งต้องเสียใจ และเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์จากการทำงานอย่างทุ่มเท เต็มสามเดือนแต่ไม่ผ่านทดลองงาน พี่อยากให้กุ้งรับรู้ว่าอย่าทำเรื่องง่ายๆให้เป็นเรื่องยุ่งยากในชีวิตเลย เพียงแต่กุ้งบอกรักพี่สักนิดเรื่องในชีวิตของกุ้งจะเป็นเรื่องง่ายทุกอย่างเพราะพี่จะทำตามความต้องการของกุ้งทุกประการ และหวังว่าเมื่อกุ้งอ่านจดหมายนี้แล้วกุ้งจะให้ความร่วมมือกับพี่เพื่อเห็นแก่ความรักของเราทั้งสอง
รักเธอคนเดียวที่สุดในโลก
พี่ธวัชชัย
กุ้งเชื่อว่าพี่ธวัชชัยตามที่เขียนในจดหมายนี่ไหม
โอ้ยพี่!!! ถ้ากุ้งเชื่อนะ กุ้งจะลำบากงกๆมาทำงานเสาร์อาทิตย์ทำไม ถ้ากุ้งยอมเค้า ป่านนี้กุ้งคงสบายไปตั้งแต่แรกแล้ว ถ้าพี่ธวัชชัยเป็นผู้หญิงละก็ไม่แน่กุ้งอาจจะตกลงปีนต้นงิ้วไปนานแล้ว กุ้งบอกเหตุผล
พี่เคยเห็นอยู่ครั้งหนึ่ง พี่ธวัชชัยมีลูกชายอายุประมาณ 10 ขวบแล้วนะ เค้าพาลูกมาที่ออฟฟิตแล้วพี่เคยถามลูกเค้าว่าเรียนชั้นไหน เห็นบอกว่าอยู่ป.4 พี่กำลังคิดว่า ลูกประมาณ 10 ขวบ แสดงว่าต้องแต่งงานมาแล้วอย่างน้อย 11 ปีแล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเมียเค้ารู้ว่าผัวที่อยู่ด้วยกัน 10 กว่าปี ได้เห็นข้อความที่บอกว่า ผัวไม่เคยรักเมียเลยแม้แต่นิดเดียว อยู่แต่ร่างกายแต่หัวใจไม่เคยอยู่...
ผมทำตาโตลุกวาวบอกนัยๆให้กุ้งรู้ถึงสิ่งที่ผมอยากจะทำ
พี่จะบอกเรื่องทั้งหมดให้ลูกเมียเค้ารู้งั้นเหรอ!
กุ้งมีท่าทีที่ตกใจ ผมยิ้มและพนักหน้าก่อนที่จะบอกว่า
นั้นจะเป็นวิธีสุดท้าย เป็นไม้ตายที่เราจะทำกันกว่าจะถึงขั้นนั้นพี่คิดว่าเราต้องสู้แบบซึ่งๆหน้าก่อน
พูดเสร็จผมก็อธิบายถึงแผนการที่ผมพึ่งคิดได้ตรงนั้นให้กุ้งฟัง กุ้งตกลงว่าจะทำตามแผนของผม อาจจะไม่แยบยลนักแต่ก็คงดีกว่าไม่ลงมือทำอะไรเลย...หนึ่งเดือนที่เหลือจะเป็นหนึ่งเดือนที่จะชี้ชะตาของกุ้ง และบางทีอาจจะชี้ชะตาของผมด้วยที่เข้าไปยุ่งเรื่องของพี่ธวัชชัย กุ้งพึ่งเข้างานยังไม่ผ่านโปร ผมเข้างานหนึ่งปี ความเลือดร้อนตอนนั้นเรารู้สึกว่าเราไม่มีอะไรจะเสียดังนั้นเราสองคนตัดสินใจที่จะ...สู้!
รุ่งเช้าของวันใหม่ 11.00 น.หลังจากที่เคลียร์งานในขบวนการผลิตเสร็จ โทรศัพท์โต๊ะทำงานของผมก็ดังขึ้น เมื่อผมรับสาย ก็เป็นไปตามที่ผมคาดเพราะเสียงนั้นเป็นเสียงของพี่ธวัชชัยนั่นเอง
พล นี่พี่ธวัชชัยเองนะ
ครับพี่ มีเรื่องอะไรเหรอให้ผมช่วยครับ
น้ำเสียงของผมใสซื่อบริสุทธ์เหมือนกำลังยื่นแก้วน้าให้ผู้กระหายดื่ม เพียงแต่น้ำในแก้วนั้นไม่เป็นน้ำเปล่า แต่น้ำนั้นเต็มไปด้วยยาพิษ
พี่ได้ข่าวว่า พลจะสอนงานให้กุ้งเย็นนี้เหรอ
ได้ผล กุ้งทำตามอย่างที่ผมบอก ถ้าพี่ธวัชชัยให้กุ้งอยู่ทำโอทีเพื่อจะหาโอกาสที่จะได้คุยกันสองต่อสอง ผมให้กุ้งอ้างว่าผมนัดกุ้งก่อนที่พี่ธวัชชัยจะนัด แผนขั้นแรกกำลังดำเนินไป
ใช่ครับพี่ ผมตอบสายไป
จะสอนเรื่องอะไรเหรอ พี่อยากรู้ พี่ธวัชชัยคงจะสงสัยเหมือนกันเพราะตั้งแต่กุ้งมาทำงาน ยังไม่เคยเห็นผมและกุ้งทำงานแบบนัดกันทำโอทีมาก่อน
สอนเรื่องการดูของดักของเสีย ดูของเสียเพื่อคัดออกนะครับ จะได้ไม่เสียเวลาส่งไปกระบวนการต่อไป ถ้าคัดออกจากกระบวนการผลิตของกุ้งได้จะทำให้เราได้แต่ของดีๆออกจากขบวนการผลิต ผมพยายามพูดน้อยที่สุดเพื่อจะให้ดูว่าการทำงานโอทีวันนี้เป็นไปด้วยความบริสุทธ์ใจ
เหรอ แล้วทำไมต้องเป็นตอนโอทีล่ะ พี่ธวัชชัยยังขอข้อมูลต่อ
เวลาทำงานปกติ มันหาเวลาต่อเนื่องลำบากน่ะครับ เพราะมันต้องตามงานเรื่องนั้นเรื่องนี้ ผมเลยหาเวลาที่สะดวกทั้งผมและน้องกุ้ง ก็เลยต้องใช้โอที นี่พอดีเลยผมกำลังทำตารางการสอนงานเพื่อจะให้หัวหน้าผมและพี่ธวัชชัยพิจารณาผู้จัดการผมอนุมัติให้ผ่านแล้วนะครับ ผู้จัดการคิวซีก็ให้ผ่านแล้ว เดี๋ยวผมจะส่งไปทางอีเมล์ให้พี่ได้อ่านนะครับ จะส่งเดี๋ยวนี้เลยแล้วพี่ธวัชชัยเปิดอ่านแล้วอนุมัติโดยนะครับ
จากนั้นผมวางสายพร้อมกับส่งอีเมล์ที่ผมเตรียมไว้แล้วตั้งแต่เมื่อเช้า ผมอยู่แผนกพัฒนาโปรดักชั่น งานของผมคือทำทุกวิถีทางที่จะทำให้กระบวนการผลิตเกิดของเสียน้อยที่สุด แต่ขณะเดียวกันก็ต้องพัฒนากระบวนการผลิตให้ผลิตชิ้นงานหรือผลผลิตให้ได้มากและใช้เวลาน้อยที่สุดเช่นกัน โดยแผนกผมสามารถก้าวก่ายงานของทุกแผนกได้เต็มที่หากงานนั้นจะทำให้เกิดผลเสียต่อการผลิตชิ้นงานของบริษัท หน้าที่ของผมคือป้องกันและกำจัดของเสีย และวันนี้แผนแรกที่ผมจะกำจัดของเสียคือ กำจัดของเสียอย่างพี่ธวัชชัย
สักอึดใจเดียวเท่านั้น โทรศัพท์ที่โต๊ะทำงานผมก็ดังอีกครั้ง ผมยิ้มที่มุมปาก เป็นไปตามที่ผมคาดไว้
พี่อยากจะถามว่าทำไมต้องสอนงานกันเป็นเวลาตั้งสองอาทิตย์กว่าทั้งหมด ตั้ง 12 วันเชียวนะ
เสียงพี่ธวัชชัยเข้มขึ้น เพราะ 12 วันนี้ ไม่นับรวม วันหยุดเสาร์อาทิตย์ ผมแกล้งไม่รู้ไม่ชี้พร้อมกับพูดดักคอไปด้วยน้ำเสียงที่กระตือรือร้น รักษาผลประโยชน์ให้บริษัท
ผมรู้ครับ ผมพยายามรวบรัดตัดตอนแล้วนะครับ ถ้าสอนแบบเอื่อยเฉื่อยผมคิดว่าจะใช้เวลาประมาณไม่ต่ำกว่า 15 วัน ซึ่งประมาณ 3 อาทิตย์ นี่ผมช่วยไม่ให้ใครต้องเสียเวลามากมายนะครับ จะรีบทำให้เร็วที่สุด เลยอัดความรู้แน่นเลย พี่ธวัชชัยอ่านรายละเอียดข้างล่างตารางงานในอีเมล์หรือยังครับ ว่าแต่ละวันผมจะสอนกุ้งเรื่องอะไรบ้าง...อ้อ ผมมีหมายเหตุด้วยนะครับ คือ ตารางอาจยืดหยุ่นขยายไปตามความเหมาะสมหรือประสิทธิภาพของทักษะของกุ้งอีกทีซึ่ง 12 วันนี้เป็นอย่างน้อยนะครับ ผมต้องรบกวนให้พี่บอกน้องกุ้งลูกน้องพี่ด้วยนะครับ ว่าให้ตั้งใจหน่อย จะได้ใช้เวลาตามตารางงาน เพราะถ้ามากกว่านี้ ผมก็เหนื่อย คงแย่ไปเหมือนกัน
ผมหยดคำขอร้องให้พี่ธวัชชัยช่วยพูดกับกุ้งให้ตั้งใจในการสอนงานตามตาราง เพื่อจะได้ใช้เวลาให้น้อยที่สุด
พี่ไม่ขัดข้องหรอก แต่พี่อยากติงว่า ต่อไปจะใช้งานหรือสอนงานลูกน้องพี่ ควรแจ้งให้พี่ทราบก่อนคนแรกไม่ใช่ให้พี่รู้เป็นคนสุดท้ายแบบนี้
นั้นไง ! เห็นไหม ? วิสัยของคนพาลจริงๆอย่างที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด เรื่องเหตุผลสู้ไม่ได้ก็พาลไปถึงเรื่องตำแหน่ง และการข้ามหน้าข้ามตา ผมเซ็งในอารมณ์ในวินาทีนั้น แต่ก็ฝืนพูดหวานอ่อนน้อมถ่อมตนไป
ผมต้องขอโทษจริงๆครับ ที่ไม่ได้แจ้งให้พี่ทราบก่อน คือ ปัญหาเรื่องการคัดของเสียนี่มีปัญหามานาน ผมก็หวังดีอยากให้บริษัทได้คนที่มีฝีมือสามารถป้องกันจะได้ไมเกิดของเสียในกระบวนการผลิตนะครับ เลยลืมไปว่าต้องรายงานขออนุญาต พี่ธวัชชัยก่อน
ผมตอแหลไปอย่างนั้นแหละครับ เพราะตามความจริงผมไม่จำเป็นต้องแจ้งเขาก่อนอย่างที่เขาบอกบอก สิ่งที่ผมทำไปในวันนี้มันถูกต้องทุกกระบวนการอยู่แล้ว นั้นคือ ถ้าผมมีแผนงานอะไร ผมจะต้องเสนอแผนงานกับผู้จัดการแผนกของผมที่เป็นคนต่างชาติอนุมัติ หากผ่านก็คือส่งไปให้ผู้จัดการในฝ่ายที่เกี่ยวข้องอนุมัติเป็นลำดับ ในที่นี้ ฝ่ายคิวซี คือฝ่ายที่ผมจะต้องรวบรวมสเป็คของเสีย จึงขออนุมัติเป็นลำดับต่อมา และ สุดท้าย เป็นฝ่ายการผลิตคือฝ่ายพี่ธวัชชัยที่จะต้องใช้เพิ่มทักษะของคนในแผนกของเค้าพิจารณา แต่ผมก็ต้องแกล้งนอบน้อมเพื่อแผนการขั้นต่อไปจะสัมฤทธิ์ผล
จริงๆแล้วแผนกของผมจำนวนคนน้อยก็จริงแต่ก็เต็มไปด้วยพาวเวอร์ แผนกเราเป็นแผนกพิเศษจะเอาเฉพาะคนที่ไม่เหมือนใครมาทำงานในแผนกนี้เท่านั้น ผมเคยถามผู้จัดการแผนกผมว่าทำไมผมถึงได้มาอยู่แผนกนี้ ทั้งๆที่ตอนเข้างานใหม่ๆ ผมถูกทดลองงานในแผนกเครื่องจักรเหมือนกับวิศวกรเครื่องกลที่รับมาพร้อมกัน แต่ผมถูกย้ายมามาฝึกงานแผนกนี้ ภายหลังจากที่ผมอยู่ในช่วงทดลองงานเพียงหนึ่งเดือน ผู้จัดการให้เหตุผลว่าผมเป็นคนที่วางแผนล่วงหน้าในการทำงานและสามารถป้องกันงานเสียที่จะเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ จึงย้ายผมมาอยู่ในแผนกพัฒนากระบวนการผลิต ผมเป็นคนไทยหนึ่งในสองของแผนกนี้ที่ต้องร่วมงานพนักงานจากแดนปลาดิบ หากแผนกของผมเล็งเห็นปัญหาและต้องการพัฒนาแล้ว แผนกไหนไม่ให้ความร่วมมือ แล้วปล่อยให้เกิดปัญหาอย่างที่แผนกผมคาดการล่วงหน้า ความเสียหายที่เกิดขึ้นแผนกนั้นจะต้องรับผิดชอบ ซึ่งการคาดคะเนของแผนกผมไม่ได้มาจากการเดาอย่างไม่มีเหตุผล แต่ใช้วิธีสืบเสาะ สังเกตจากทักษะการทำงาน เพราะ แผนกผมทำงานเหมือนหมอดู หากป้องกันงานเสียได้ก็จะเสมอตัว หากงานไม่เป็นอย่างที่คาดก็อาจโดนปรามาสให้เสียหน้าได้เช่นกัน
แผนแรกคือ พยายามยื้อไม่ให้พี่ธวัชชัยรุกรานกุ้งในเวลาโอที ของแต่ละวัน แน่นอนถึงแม้พี่ธวัชชัยจะมีอีเมล์ที่มีหัวข้อว่า ด่วน อยู่เป็นประจำทำให้กุ้งต้องขยะแขยง แต่นั้นก็เข้าทางของเราสองคน ผมแนะให้กุ้งปริ้นเอาท์อีเมล์ทุกฉบับที่พี่ธวัชชัยส่งมาเก็บไว้ที่บ้านทุกฉบับ โดยให้ปริ้นสองชุด คือ เก็บไว้กับกุ้งเอง 1 ชุด และผมเก็บไว้อีก 1 ชุด
อาทิตย์แรกของการสอนงานให้กุ้ง ผมสอนงานอย่างจริงจังตามแผน กุ้งจะต้องเพิ่มทักษะในการดูของเสียให้ได้ว่าของเสียนั้นเกิดจากการผลิตที่กระบวนการไหน จริงอยู่เรามีแผนที่จะล้มล้างพี่ธวัชชัย แต่ขณะเดียวกันเราก็ต้องเคารพในเวลาที่เราเอามาจากบริษัทด้วย เราจริงจังในชั่วโมงล่วงเวลา แต่เราจะแกล้งทำเป็นเหมือนว่า ผมและกุ้งมีใจให้กันและกันทีละนิดๆ โดย สามวันแรกอาจไม่มีอะไร แต่วันที่สี่ในตอนเที่ยง ผมและกุ้งเดินไปกินข้าวเที่ยงด้วยกัน
พยายามคุยกระหนุงกระหนิงกันให้เหมือนวันว่าเรากับรักต้องใจกันและกัน บางครั้งก็จับมือถือแขนสัปดาห์ต่อมา เราสองคนเล่นหัวกันมากขึ้นความสนิทมีขึ้นอย่างรวดเร็ว กุ้งกล้าที่จับมือผมเดินไปกินข้าว ถึงเนื้อถึงตัว ผมเคยถามขณะที่กุ้งจูงมือผมไปโรงอาหารว่า
อึดอัดไหมที่ต้องแกล้งมาทำตัวเป็นผู้หญิงหวานแหวว มาจูงมือผู้ชายแบบนี้
ไม่พี่ กุ้งตอบไม่ลังเล
ไม่เลยเหรอ ผมประหลาดใจที่กุ้งตอบแบบไม่คิดเลย
กุ้งก็คิดว่าจูงมือกับ เข็ม รุจิรา ช่วยเกื้อ ผู้หญิงในฝันของกุ้ง เลยไม่รู้สึกอะไร พี่พลล่ะอึดอัดไหมที่ต้องมาจูงมือกุ้ง
ช่วงนั้น คุณเข็ม รุจิรา ช่วยเกื้อโด่งดังมากจากละครเรื่อง สามหนุ่มเนื้อทอง ผมกลัวน้อยหน้าเลยบอกกุ้งไปว่า
เหมือนพี่เลย พี่ก็นึกว่าจูงมือกับพี่ ปี๊บ ระวิทย์ เทิดวงศ์
ผมอ้างชื่อพี่ปี๊บ พระเอกของเรื่องเช่นกัน
เหตุการณ์ดำเนินไปได้เกือบสิบวัน เป็นไปตามที่ผมคาดไว้ ข่าวในโรงงานเป็นข่าวที่อะเมสซิ่ง มหัศจรรย์สำหรับผมเสมอมา ภายหลังผมรู้มาจากเพื่อนฝูงที่จบวิศวะ แล้วทำงานในโรงงานต่างก็เป็นเหมือนกันทุกโรงงานคือ ข่าวลือแพร่กระจายได้รวดเร็วและเกินความเป็นจริงเสมอ ยกตัวอย่างหากคุณแค่ขาแพลง วันต่อมาจะมีคนมาทักคุณว่า ได้ข่าวว่าขาหักเหรอ เป็นต้น
มีผู้หวังดีผู้หญิงคนหนึ่งจากแผนกอื่นโทรมาถามข่าวถึงที่ของผมว่า
ได้ข่าวว่าน้องพล เป็นแฟนกับน้องกุ้งถึงขนาดย้ายไปอยู่ด้วยกันแล้ว
ข่าวขนาดนั้นเชียวเหรอครับ ผมแกล้งทำเสียงตกใจ ภายในใจนั้นพอใจอย่างยิ่งที่คนคาบข่าวยังมีประสิทธิภาพในการทำงาน แหมขนาดข่าวพี่ธวัชชัยกับน้องกุ้ง พี่แอ๋วก็ทำหน้าที่มาเล่าให้ผมฟังถึงห้องทำงาน แล้วทำไมข่าวของผม พี่แอ๋วจะไม่ให้ความสนใจนำไปโพนทะนาบ้าง
แล้วมันจริงไหมจ้ะ ฝ่ายโน้นกรอกเสียงมาทางหูโทรศัพท์เพื่อต้องการคำยืนนัน
แหม...พี่ก็...เออ พอดีมีงานด่วนนะครับ ผมต้องวางสายก่อน แล้วค่อยว่ากันทีหลังนะครับ
แล้วผมก็รีบวางหูโทรศัพท์ทันที นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนการ ผมบอกกุ้งแล้วว่า อาจจะต้องเปลืองตัวหน่อยเพราะผมคาดอยู่แล้วว่าจะเกิดกระแสข่าวลือ หากใครมาถามเรื่องของเรา จะไม่มีการยอมรับ หรือปฏิเสธ ให้เฉไฉไปเรื่องอื่นปล่อยให้ชาวบ้านตีความกันไปเอง ผมแน่ใจว่าพี่แอ๋วผู้หวังดี จะคาบข่าวนี้ไปถึงหูของพี่ธวัชชัยเช่นกัน เพราะเช้าวันที่ 11 ยังไม่ครบ 12 วันเต็มของการสอนงานตามตารางที่ผมจัดขึ้นมาด้วยซ้ำ ภายหลังจากการประชุมตอนเช้าพี่ธวัชชัยขอคุยกับผมสองคนต่อในห้องประชุม
โดยพี่ธวัชชัย พูดกับผมภายหลังที่ทุกคนออกไปจากห้องประชุมหมดแล้วเหลือแต่ผมคนเดียวว่า
พล พี่ได้ข่าวไม่ค่อยจะสู้ดี เรื่องพลกับลูกน้องพี่
ข่าวอะไรเหรอครับ ผมแกล้งตีหน้าเซ่อ
ก็ข่าวที่พลกับกุ้ง มีอะไรเกินเลยไปกว่าคำว่าเพื่อนร่วมงานนะสิ รู้มั้ยตอนนี้ทั้งบริษัทเราเขาเอาพลไปนินทากันใหญ่แล้ว พี่ธวัชชัยพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนจะเป็นห่วงภาพพจน์ของผมแทน
พี่ไม่อยากให้เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีต่อคนอื่นๆ
น้ำเสียงพี่ธวัชชัยพูดกับผมเหมือนตัวเค้าพยายามทำตัวเป็นผู้ปกครองผมอย่างนั้นแหละ แต่ความหวังดีหรือข้อแก้ต่างที่เค้ายกมาข้างตนผมรู้อยู่แก่ใจว่า เค้าทำไปเพื่อแย่งชิงเวลาที่เค้าจะมีโอกาสรุกรานทางเพศกุ้งต่างหาก มาถึงตรงนี้หากใครว่า ผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ชายแท้อิจฉาไม่เป็นละก็ ผมขอเถียง เพราะผมกำลังอยู่ในวิกฤตความขี้อิจฉาของชายวัยเกือบสี่สิบ ผมพยายามคุมอารมณ์ในโทนเสียงแสดงถึงความบริสุทธ์ใจที่ผมคบกับกุ้งด้วยเหตุผลว่า
ผมไม่สนใจว่าใครจะนินทาเรื่องของเราครับ เพราะว่าผมไม่ได้หลบๆซ่อนๆในพฤติกรรมของความรักของเรา อีกอย่าง การมีอะไรเกินกว่าเพื่อนร่วมงานผมคิดว่าผมมืออาชีพพอที่จะไม่เอาเรื่องส่วนตัวมายุ่งในเวลางาน เวลางานปกติ ผมกับกุ้งก็จะตั้งใจทำงาน เวลาที่เราอยู่ด้วยที่จะมีโอกาสใกล้ชิดก็ใช้นอกเวลางานทั้งนั้น ผมขอรับรองด้วยเกียรติขอลูกผู้ชาย
ผมรู้ครับ...ว่าผมเป็นเกย์ ก็เพราะว่าผมเป็นเกย์นี่แหละ ผมถึงรับรองด้วยเกียรติของลูกผู้ชาย พี่ธวัชชัยโกหกไม่ได้พูดด้วยน้ำใสใจจริง ทำไมผมจะแหกตาคนที่เล่นไม่ซื่อกับผม ด้วยการที่ตลบตะแลงเล่นลิ้นบ้างไม่ได้ครับ
พลเป็นฝ่ายชายไม่เสียหายหรอกแต่ฝ่ายหญิงเค้านั้นแหละจะเสียหาย
พี่ธวัชชัยเริ่มโทนเสียงที่ดังขั้นกว่าเก่าเหมือนกับว่า กำลังพยายามมามีอำนาจเหนือผม ผมล่ะเบื่อนักพวกที่พูดด้วยเหตุผลไม่ได้แล้วเอาเสียงดังเข้าข่ม ผมนิ่งเหมือนกับตกใจต่อเสียของเค้า แต่ไม่วายที่จะยิ้มกับพี่ธวัชชัยแล้วตอบกลับ
พี่ธวัชชัยเชื่อข่าวลือขนาดไหนครับนี่ เอ...ผมชักอยากรู้แล้วสิ ว่าข่าวลือมันเป็นแบบไหน
พูดไปพร้อมกับหัวเราะในลำคอเพื่อสร้างบรรยากาศให้ตลกว่าพี่ธวัชชัยไม่น่าเชื่อข่าวลือให้มาก
แล้วเรื่องจริงมันแค่ไหนแล้วล่ะ? พี่ธวัชชัยถามผมแต่ไม่สบตาแสร้งทำเป็นเปิดสมุดบันทึกจดงานของตัวเอง เหมือนไม่จะสนใจว่าจะได้คำตอบหรือเปล่า นี่คงเป็นฟอร์มหมาแก่อีกฉากหนึ่ง ผมจึงย้อนศรถามกลับว่า
แล้วข่าวลือที่พี่ธวัชชัยได้ยินมาขนาดไหนละครับ บอกผมที
ได้ผล ...พี่ธวัชชัยเงยหน้ามาสบตาผมแล้วก็เอ่ยปาก
เค้าลือกันขนาดที่ว่า พลกับกุ้งมีอะไรๆกันแล้ว...แต่พี่ยังไม่อยากจะเชื่อหรอกนะ
คำว่าไม่อยากจะเชื่อของเขา ก็คือเชื่อนั้นแหละ ไม่งั้นไม่มาถามผมตอนนี้ให้เสียเวลาการทำงานหรอก โรงงานที่ผมทำอยู่มีพนักงานทั้งหมดรวมก็ประมาณ สามพันกว่าคนและส่วนใหญ่พนักงานรายวันจะเป็นเพศหญิงดังนั้นการนินทาเรื่องต่างๆเป็นเรื่องปกติสุขและเหมือนที่ผมบอกข้างต้น ข่าวลือ มักจะเกินกว่าเหตุเสมอ ผมนึกสนุกเลยแกล้งยั่วพี่ธวัชชัยต่อโดยแกล้งประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ยิน หัวเราะพร้อมส่ายหน้าอย่างระอา
โห...ลือกันขนาดนั้นเชียวเหรอครับ แต่ก็ว่าไม่ได้นะครับยุคสมัยมันเปลี่ยนไป เวลาคบกันน่ะ ช่วงแรกมันก็ต้องมีการดูนิสัยใจคอ บางคนก็อาจก้าวหน้าคบกันจะต้องแน่ใจว่าเรื่องบนเตียงเข้ากันได้ไหม ผมว่าไม่แปลกนะครับถ้าบางคู่จะมีอะไรกัน เพราะต่างก็ทำงานมีเงินเดือนแล้วรับผิดชอบตัวเองได้แล้ว...
พี่อยากรู้ว่าพลกับกุ้งถึงขั้นไหนแล้ว!?!
ผมไม่ทันที่จะพูดให้จบ พี่ธวัชชัยก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เสียงดังเหมือนคนเอาแต่ใจตัวเองไม่มีผิด ทำให้ผมเริ่มคิดว่าผู้ชายคนนี้ไม่น่าคบเอาเสียเลย ประมาณต้องรู้ในสิ่งที่ตัวเองอยากรู้ ต้องได้ในสิ่งที่ตัวเองอยากได้โดยไม่รู้จักที่จะใจเย็นรอเวลา กลับใช้อำนาจข่มขู่ ตอนนี้ก็ใช้น้ำเสียงข่มขู่ผม ผมรู้สึกไม่สนุกอีกต่อไป ผมตอบด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่จริงจังและปรามพี่ธวัชชัยว่า
ผมคิดว่าผมไม่จำเป็นต้องตอบคำถามนะครับ เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวของผม ตราบใดที่ผมไม่เอาเรื่องส่วนตัวมากระทบให้เสียงาน พี่ธวัชชัยน่าจะรู้มารยาทในเรื่องเหล่านี้ดียิ่งกว่าใครๆนะครับ
พลกำลังจะสอนพี่เหรอ
ไอ้หยา! ผมใช้คำพูดแรงไปนิดหนึ่งตอนนี้พี่ธวัชชัยหน้าแดงหูแดงแสดงถึงความโกรธ คนบางคนมีจุดอ่อนตรงที่คุณสมบัติทางด้านร่างกายไม่ค่อยจะให้ความร่วมมือกับการควบคุมอารมณ์ พี่ธวัชชัยเป็นหนึ่งในคนบางคนนั้น ที่หน้าและใบหูจะเปลี่ยนสีทันทีที่มีอารมณ์โกรธ ผมกลับมารู้สึกสนุกอีกครั้งที่สามารถทำให้พี่ธวัชชัยตบะแตกได้ ยิ่งพูดยั่วต่อไปเชิง น้อบน้อมแต่เหน็บแนม
โอ้ย! ผมนะเหรอจะบังอาจมาสอนพี่ได้ ผมเป็นใครและพี่อยู่ตำแหน่งไหนผมทราบดีครับ เอาเป็นว่าเรื่องของผมกับกุ้งก็เป็นไปตามยุคสมัยแล้วกัน ขึ้นอยู่กับว่าใครจะเชื่อข่าวลือแค่ไหน เอาเป็นว่า ผมรู้อยู่แก่ใจกับกุ้งสองคนว่า เราสองคนกำลังทำอะไรอยู่ก็แล้วกัน
พี่ไม่อยากให้เกิดเรื่องไม่งามกับลูกน้องของพี่กับคนในแผนกพี่ น้ำเสียงพี่ธวัชชัยเต็มไปด้วยความโกรธ
พี่ธวัชชัยห้ามเรื่องความรักได้เหรอครับ ในโรงงานเราผมคิดว่าผมไม่ใช่คู่เดียวนะครับที่เป็นคู่รักกัน พี่ธวัชชัยก็รู้ดี มีตั้งหลายคู่ที่แต่งงานกันเพราะมาเจอกันที่บริษัทนี่ เราฝืนพรหมลิขิตไม่ได้หรอกครับ ความรักเป็นสิ่งสวยงามนะครับ ขอบใจพี่ธวัชชัยมากนะครับ ที่คุยกับผมในวันนี้ ผมคิดว่าพี่คงจะห่วงลูกน้องพี่มากนะครับ ดีจังเลยถ้าผู้จัดการทุกแผนกห่วงเรื่องเหล่านี้กับลูกน้องคงจะดีนะครับ ดีใจแทนกุ้งจังที่มีหัวหน้าดีๆ
ผมรีบตัดบทแล้วแล้วยิ้มแกล้งกล่าวชม พี่ธวัชชัยยิ้มแห้งๆ พยักหน้ารับคำชมผม
ผมขอตัวก่อนนะครับ เดี๋ยวผมต้องตรวจงานการผลิตว่าเป็นไปตามเป้าที่ทดลองหรือเปล่า
ผมลุกจากเก้าอี้ห้องประชุมยืนขึ้น เดินตรงไปที่ประตูผมเปิดประตูทำท่าจะเดินออก แล้วนึกขึ้นได้ ก่อนที่จะทิ้งระเบิดลูกสุดท้ายก่อนเดินพ้นประตูไปว่า
ดีนะนี่ที่ผมไม่คิดมาก นี่ถ้าผมไม่รู้มาก่อนว่าพี่ธวัชชัยมีเมียมีลูกแล้ว ผมคงคิดว่าพี่ธวัชชัยจะเก็บน้องกุ้งไว้จีบเองแน่ๆ ถึงได้ห่วงใยกันขนาดนี้ แต่พี่ธวัชชัยคงไม่ทำหรอกใช่ไหมครับ เพราะถ้าพี่ทำ ผมก็คงไม่ยอมแพ้พี่ธวัชชัยง่ายๆแน่ ไปก่อนนะครับ !!!
พูดเสร็จแล้วผมรีบปิดประตูเดินหนี พี่ธวัชชัยไม่ใช่คนโง่ การทิ้งระเบิดลูกสุดท้ายก่อนออกจากห้องประชุม เค้ารู้แน่ว่านั่นเป็นการประกาศสงครามกับเค้าโดยตรง แต่ผมก็มีแผนขั้นที่สองเตรียมไว้แล้ว...
การใช้เส้นสายเป็นสิ่งที่ผมหลีกเลี่ยงไม่ใช้มาโดยตลอดเพราะผมรู้สึกว่าหากเราจะก้าวหน้าหรือถดถอยก็ต้องมาจากฝีมือตัวเอง แต่ในกรณีของกุ้งและพี่ธวัชชัย ผมจำเป็นต้องพึงเส้นสายเพื่อสร้างกองหนุนหลังให้เกิดความมั่นใจ ผมหาข้อมูลโดยหลอกถามจากพี่แอ๋วหน่วยข่าวปากรั่วที่คะนองเล่าจะทุกอย่างที่เธอเก็บไว้หากในอก เพียงเพราะคู่สนทนาทำเอ่ยปากชม
พี่แอ๋วนี่ รู้จริงทุกเรื่องเลยนะครับ เก่งจริงๆใครจะมีข้อมูลสู้พี่แอ๋วนี่ไม่ได้แน่ๆ
วิชาการแสดงที่ผมเคยลงในสมัยเรียนมหาวิทยาลัยถูกนำมาใช้ในการทำสีหน้าชื่นชมพี่แอ๋ว ผมรู้ครับว่าผมเลว แต่ผมก็จำเป็นต้องทำเพราะผมกำลังจะงัดข้อกับคนที่เลวกว่า
แหมน้องพลก็ พี่ก็รู้ไม่มากหรอกค่ะ พี่แค่อยู่โรงงานมานานเป็นรุ่นแรกๆ
พี่แอ๋วทำเป็นถ่อมตัวแต่ดวงตาของเธอไม่ได้ถ่อมตัวด้วยเลย มันบ่งบอกถึงความภาคภูมิใจเป็นประกายที่ได้นินทาคนอื่นให้ผมฟัง
พี่ธวัชชัยนี่เก่งเน้อ สามารถไต่เต้าเป็นถึงผู้จัดการได้ หายากนะคนไทยที่เป็นผู้จัดการในบริษัทญี่ปุ่นแบบนี้ คงมีแต่คนชอบพี่ธวัชชัยนะพี่แอ๋ว ผมสร้างคำถามชวนคิดให้พี่แอ๋ว
คนเกลียดเค้าก็มีค่ะน้องพล เพราะคนมีความสามารถมีเยอะแต่ตำแหน่งสูงๆนะมีน้อยพูดแล้วอย่าเอ็ดไปนะคะ จริงๆที่เค้าเป็นผู้จัดการได้เพราะหาเมียน้อยให้ประธานบริษัทคนก่อนค่ะ
เหรอครับ โอ้โห นี่ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะนี่ พี่เป็นคนแรกที่เปิดตาสว่างให้กับผม
พี่แอ๋วทำหน้าแบบเทพมาโปรดสัตว์ ผมยอมเป็นสัตว์ชั่วคราวเพื่อผลประโยชน์และข้อมูลที่ผมอยากรู้
ใครที่เกลียดเค้าบ้างล่ะ ผมมองไม่เห็นจะมีใครเกลียดนี่ครับ
อุ้ย! พี่เพ็ญรองผู้จัดการฝ่ายบัญชีไง รายนั้นเกลียดเข้าไส้เลย เพราะพี่ธวัชชัยไปจีบเค้าตอนทำงานด้วยกันใหม่ๆ แล้วมารู้ภายหลังว่าพี่ธวัชชัยมีเมียแล้ว ไม่มองหน้ากันจนถึงบัดนี้เป็นเกือบสิบปีแล้วมั้ง
เป็นจริงอย่างที่ผมคาด กรณีกุ้งไม่ใช่เป็นรายแรกแน่นอนที่เป็นเหยื่อของพี่ธวัชชัย ยิ่งฟังผมยิ่งรู้สึกไม่พอใจนายธวัชชัยคนนี้เอาเสียเลย ผมแกล้งคุยกับพี่แอ๋วสักพักหลังจากที่ได้ข้อมูลว่าคนที่ผมอาจจะพึ่งพาได้คือ พี่เพ็ญ
บริษัทที่ผมทำงานเป็นบริษัทสัญชาติญี่ปุ่น มีพนักงานร่วม 3000 กว่าคนก่อตั้งมานานกว่า 15 ปี ในบริเวณของบริษัทประกอบไปด้วยโรงงาน 4 โรงงานตั้งเรียงกัน และแผนกต่างๆก็จะอยู่กระจายตามโรงงานต่างๆ ในอาณาเขตนี้ ผมเปิดคู่มือพนักงานหาเบอร์โทรศัพท์ห้องทำงานของพี่เพ็ญ เพราะฝ่ายบัญชีของบริษัทจะทำงานเป็นเอกเทศไม่ค่อยได้ยุ่งเกี่ยวกับการทำงานด้านวิศวกรรมที่ผมทำเลย ผมโทรศัพท์ไปแนะนำตัวและขอความช่วยเหลือและขอพบเป็นการส่วนตัว พี่เพ็ญนัดหมายเวลา ผมเอาเอกสารที่กุ้งปริ้นเอาท์มาให้พี่เพ็ญดูในห้องทำงานของพี่เพ็ญ พี่เพ็ญเงยหน้าคุยกับผมหลังจากอ่านเอกสารที่ผมเคยอ่าน
เค้าไม่เคยหยุดจริงๆเลย นายธวัชชัยคนนี้ พูดไปพี่เพ็ญก็ส่ายหน้าอย่างระอา
แต่ผมอยากจะหยุดเค้าครับ แต่ผมคงหยุดคนเดียวไม่ได้ ผมเลยมาหาพี่เพ็ญ
แล้วพี่จะได้อะไรจาการร่วมมือกับเธอคราวนี้ พี่ไม่เห็นมันจะมีประโยชน์อะไรกับพี่อีกแล้ว และพี่ก็ไม่อยากยุ่งกับเค้าอีก พี่แต่งงานมีลูกมีเต้าแล้ว กรรมใครก็กรรมมัน
พี่เพ็ญยื่นเอกสารเหล่านั้นคืนมาที่ผม การกระทำของพี่เพ็ญเป็นจริงอย่างที่ผมโดยสั่งสอนมาจากพ่อของผม พ่อผมสอนเสมอว่า เมื่อมาทำงานแล้วทุกอย่างมันคือธุรกิจมันคือเรื่องของผลประโยชน์ หากผมต้องการความช่วยเหลือ ผมจะต้องเตรียมเสนอผลประโยชน์ตอบแทนของคนที่จะช่วยผม ด้วย
สิบปีที่ผ่านมา พี่เพ็ญไม่คิดที่จะแก้แค้นคนที่เค้าเคยมาหลอกพี่สักนิดเลยเหรอครับ ผมเปิดประเด็น
เธอรู้เรื่องด้วยเหรอ?? พี่เพ็ญทำหน้าประหลาดใจ ผมรีบตอบว่า
ถึงผมรู้ก็รู้เพียงผิวเผนครับ ที่ผมมานี่ ผมแค่อยากให้พี่เพ็ญรู้ว่า พี่สามารถหยุดผู้ชายคนนี้ได้ คิดถึงน้องกุ้งที่กำลังผจญเรื่องนี้ ตอนนี้ และในเวลาสิบปีที่ผ่านมามีผู้หญิงอีกกี่คนที่จะต้องมาเจอกับผู้ชายคนนี้ และปีต่อๆไปจะมีผู้หญิงอีกกี่คนที่จะต้องเจอซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมนึกไปถึงว่าหากเกิดเรื่องแบบนี้กับน้องสาวของผม หรือญาติพี่น้องของผม ผมได้แต่ภาวนาว่าจะการช่วยเหลือน้องกุ้งในครั้งนี้และกำลังช่วยอีกหลายคนในอนาคต จะทำให้มีคนมาช่วยน้องสาวผมให้รอดจากปากเหยี่ยวปากกาได้ ถ้าเราจะช่วยด้วยวิธีของผม
นี่คือการพูดที่โน้มนาวจิตใจของผมในตอนนั้นเท่าที่จะคิดได้ แต่ผมพูดด้วยใจบริสุทธ์ พี่เพ็ญไม่ตอบอะไร และผมก็รอคอยคำตอบด้วยการไม่หลบสายตาพี่เพ็ญ หากพี่เพ็ญปฏิเสธที่จะร่วมมือ นั้นหมายถึงผมต้องกลับไปหาข้อมูลและวิธีการใหม่
ตกลงพี่จะร่วมมือกับเธอ แต่ไม่ใช้เพื่อแก้แค้นเรื่องเก่าๆ แต่ทำเพื่อผลบุญจะช่วยให้ญาติพี่น้องของเราไม่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้
ผมโล่งใจและดีใจอย่างยิ่งที่ผมได้แนวร่วมในปฏิบัติการครั้งนี้....
สองวันต่อมา พี่ธวัชชัยโทรศัพท์หาผม
พี่คิดว่าพลสอนงานกุ้งพอแล้วล่ะ คิดว่าต่อไปพลไม่ต้องมายุ่งกับแผนกพี่อีกต่อไป น้ำเสียงของเค้าดูมั่นใจว่าสั่งผมได้
กุ้งบอกผมเมื่อวานว่า พี่ธวัชชัยห้ามไม่ให้กุ้งเดินกับผมอีก ไม่งั้นเขาจะไม่ให้กุ้งผ่านงาน ผมจึงตอบไปตามเสียงโทรศัพท์ด้วยอารมณ์ขุ่นๆ เพราะผมไม่ชอบในน้ำเสียงนั้นเลย
ผมคิดว่าทุกคนมีสิทธ์ที่จะเลือกคนรักได้ และนี่เป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างผมกับกุ้ง พี่ธวัชชัยทำตัวให้เป็นมืออาชีพหน่อยสิครับ อย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาคุยในเวลางาน กุ้งบอกผมแล้วว่าพี่ห้ามไม่ให้ผมคบกับกุ้ง แต่ผมยืนยันจะคบกับกุ้งต่อไป
คำพูดของผมคงจี้ใจดำพี่ธวัชชัย
อย่าบังอาจมางัดข้อกับพี่!!! พี่ขอเตือน พี่อยู่ระดับไหนและพลเองอยู่ระดับไหน พี่เจอกุ้งก่อนเพราะฉะนั้นพี่มีสิทธ์ ยิ่งเค้าพูดออกมาเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เห็นจิตใจอันสกปรกเท่านั้น
พี่ธวัชชัย คงเคยได้ยินคำพังเพย ไม้ซีกงัดไม้ซุงนะครับ ผมอยากจะรู้เหมือนกันว่า ไม้ซีกอย่างผมจะงัดไม้ซุงอย่างพี่ให้กระเทือนได้หรือเปล่า
ฮึ ดูพลมั่นใจซะเหลือเกิน พี่ขอเตือนไว้ก่อน อย่ามาเล่นกับพี่
แล้วเค้าก็วางสายโทรศัพท์ไปเดี๋ยวนั้น ผมใจไม่ดีที่รู้ว่ามันเริ่มเป็นศึกอย่างเป็นทางการ ผมวางโทรศัพท์บ้าง รู้สึกว่าการต่อสู้ครั้งนี้ เริ่มจริงจังและไม่สนุกอีกต่อไป
ผมเริ่มแผนการกับพี่เพ็ญอย่างลับๆ โดยการพูดคุยทางโทรศัพท์และอย่างเดียวโดยไม่ใช้อีเมล์ จะไม่มีการพบปะเป็นการส่วนตัว และจะไม่ทักทายกันในที่สาธารณะ การใช้อีเมล์สื่อสารจะเป็นหลักฐานว่าเราร่วมมือกัน ผมเอาบทเรียนของฝ่ายศัตรูมาใช้กับฝ่ายผมว่าเราไม่ควรทิ้งหลักฐานไว้มัดตัวเอง ขณะที่ผมดำเนินแผนไปทีละนิด ไม่มีใครรู้เลยว่าพี่ธวัชชัยก็เล่นงานผมชนิดที่ว่า หมาลอบกัดยังอาย
ผมจำวันนั้นได้เป็นอย่างดี เช้าวันนั้นขณะที่ผมอยู่ห้องทำงานกำลังง่วนกับผลการทดลองย้ายเครื่องจักรในโรงงาน ผู้จัดการเข้าญี่ปุ่นก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดพร้อมกับถามว่า
...............จบตอนที่ 9 ........
2 กุมภาพันธ์ 2549 10:17 น.
ชายชัช
ตอนที่ 8 ผู้หญิงทั้งสี่ (ภาค 2 )
คนบางคนถึงแม้ว่าไม่ใช่คนใกล้ชิด รู้จักมักจี่ถึงขั้นสนิทชิดเชื้อ ก็สามารถมีอิทธิพลต่อเราได้เช่นกัน... ถ้านับเวลาที่ผมเกิดมาผมรู้จักกับผู้หญิงที่ชื่อ ศิริรัตน์ ไม่ถึง 6 ชั่วโมงด้วยซ้ำแต่ผมยังจำชื่อนี้และรูปหน้าของผู้หญิงคนนี้ และยังจำความรู้สึกเมื่อตอนที่ผมเธอ ไม่รู้ลืม
สมัยที่ผมเป็นนักศึกษาปีที่ 4 ผมจะต้องร่วมกับเพื่อนทำชิ้นงานเพื่อทำการนำเสนอต่อคณะครูอาจารย์ที่จะให้คะแนนนักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ว่าสามารถประยุกต์การเรียนมาใช่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมนี้หรือไม่ เราเรียกวิชานี้ว่า การทำ โปรเจคท์ นักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์เชียงใหม่ชั้นปีที่ 4 จะต้องทำโปรเจคท์เสนอทุกคนเพื่อเป็นตัววัดว่าจะจบ หรือไม่ ซึ่งในกรณีผมถึงแม่ผมจะไม่จบภายในสี่ปี แต่ผมก็ต้องทำให้เพื่อนที่อยู่กลุ่มเดียวกับผมจบไปก่อนให้ได้ โดยการทำหน้าที่ของสมาชิกกลุ่มให้เต็มที่ และกลุ่มของผมก็ไม่ใช่คนไกล มี ทิว ผู้ชายพูดน้อยแต่ใจเด็ด และไอ้ภูมิ เพื่อนปากเสียคลาสสิคไม่มีวันซ่อมให้ปากดีได้ คือกลุ่มผม เพราะเราทั้งสามเรียนอยู่ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกลเหมือนกัน
การทำงานของกลุ่มผมเราตัดสินใจทำชิ้นงานขึ้นมา โดยต้องประดิษฐ์และรวบรวมข้อมูลต่างๆ พวกเราเช่าหอพักอยู่นอกมหาวิทยาลัย ก็หอที่พวกเราใช้ชีวิตกันทั้งหกคน รวมหญิงอุ๊ด้วยแหละครับ หอพักของเราอยู่ในซอยวัดอุโมค์ด้านหลังของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ละแวกนั้นเป็นละแลกที่แปลก ที่ซอกซอยจะถูกทำถนนให้ทะลุหากันจนบางครั้งเวียนหัวไปหมด วัดอุโมงค์เป็นวัดที่มีชื่อเสียงจึงทำให้ซอยนั้นมีคนสัญจรไปมา ทั้งมาทำบุญ และมาท่องเที่ยวดูความงามของวัด จึงทำให้ซอยนี้มีหอพักและร้านค้าคึกคักช่วง 500 เมตรแรกของปากซอย แต่เมื่อเลยห้าร้อยเมตรนี้ไปซึ่งหมายถึงเลยหอพักผมไปด้วย จะกลายเป็นทางเปลี่ยว สองข้างทางเป็นนาข้าวบ้างทุ่งหญ้าบ้างที่บางเดือนขึ้นสูงเกือบมิดหัว บางจังหวะของเส้นทางเป็นกอไผ่ใหญ่ ตลอดเส้นทาง 2 กิโลเมตรก่อนจะถึงหน้าวัดอุโมงค์ที่เงียบสงบ หากใครที่ต้องการความเงียบสงบก็จะมีหอพักที่ราคาถูกอยู่แถวๆ วัดด้วย ซึ่งมีนักศึกษาจำนวนไม่น้อยที่ต้องการความเป็นส่วนตัวมาเช่าหอพักใกล้วัดเพื่อเอาความเงียบสร้างสมาธิในการอ่านหนังสือ
เราสามารถเข้าซอยวัดอุโมงค์และสามารถออกไปทางซอยอื่นๆเพื่ออกถนนใหญ่ได้หลายทาง เช่น การเข้าไปวัดอุโมงค์ผ่านหอพักผม อาจจะเข้าไปทางซอยวัดอุโมงค์หลังมหาวิทยาลัย แล้วเวลาออกจากวัด แทนที่จะย้อนกลับทางเดิม เราสามารถไปตามเส้นทางอีกซอยหนึ่งออกไปถนนอีกเส้น เลียบคลองชลประทานเมืองเชียงใหม่ ซึ่งใกล้ตลาดต้นพะยอมได้เลย โดยไม่ต้องย้อนออกซอยที่เข้ามาครั้งแรก
คืนวันศุกร์ตอนเวลาไม่กี่นาทีก็จะสี่ทุ่มครึ่ง
พอเหอะว่ะ กูตันไปหมดแล้ว ไม่ไหวจริงๆวะ
ไอ้ภูมิเอ่ยปาก เพราะว่าการตามงานและผลจากการที่เราประชุมเพื่อให้เกิดความก้าวหน้าของโปรเจคท์มันเริ่มที่จะหนักขึ้น
พอก่อนก็ดีนะ เราก็เริ่มรู้สึกไม่ไหวเหมือนกัน ทิวบอกอีกคน
ผมฟังเพื่อนทั้งสองก็รู้สึกเห็นด้วยเพราะเราเริ่มตามและทบทวนงานที่แบ่งกันคราว ว่าเจอปัญหาอะไรบ้าง และแจงงานที่เราจะทำกันเพื่อให้ทำทันตามตารางงานเพราะอีกไม่ถึงเดือนก็ใกล้วัน นำเสนอผลงานต่อหน้าคณาจารย์ ใจผมก็เริ่มรู้สึกว่ามันเริ่มที่จะหนักไปสำหรับการประชุมคืนนี้
พอก็พอ แต่ว่าต้องทำให้ทันตามตารางนะมึง
ผมขู่ไอ้ภูมิ เพราะตั้งแต่ผมกลับเนื้อกลับตัวหันมาจริงจังกับการเรียน ผมจะเข้มกับการรักษาเวลาการทำงานในแต่ละอย่างมากเพราะผมไม่อยากพลาดในการเรียนและทำให้พ่อแม่ผมผิดหวังอีก
เออน่า! ไอ้ภูมิรับปาก พูดเสร็จจู่ๆ มันก็บอกว่า
หิวว่ะไปกินก๋วยเตี๋ยวลุงว้ากกันมั้ยวะ
ปกติไอ้ภูมิจะไม่ค่อยชวนออกไปกินอะไรข้างนอกหอหลังสี่ทุ่ม เพราะว่าไอ้ภูมิจะไม่เอารถยนต์ออกไปไหน อันเนื่องจากที่จอดรถของหอพักมีน้อย ถ้าออกไปไหนกลับมาอาจไม่มีที่จอดรถก็ได้ ไอ้ภูมิเป็นลูกชายคนเดียวในบ้าน พ่อแม่ก็รักนักรักหนากลัวลูกลำบาก จึงให้ลูกเอารถยนต์มาใช้เรียนครับ พวกผมจึงได้พึ่งใบบุญโดยการแปลงร่างเป็นตุ๊กแก มือตีนเหนียว เกาะไอ้ภูมิไปเรียน แต่รถไอ้ภูมิมีลักษณะพิเศษคือ คนในรถจะมองเห็นคนนอกรถ แต่คนนอกรถจะมองไม่เห็นคนขับและจำนวนคนในรถได้ ไม่ใช่เพราะว่ารถติดฟิล์มกรองแสงหนานะครับ แต่เป็นเพราะว่ามันไม่ยอมล้างรถจนฝุ่นเกาะแทบจะปลูกผักสวนครัวบนฝุ่นอันหนานั้นได้ถ้าถามมันว่าทำไมไม่ล้างรถ มันก็บอกว่า ล้างทำไม เดี๋ยวก็ถึงหน้าฝนแล้ว คอยฝนดีกว่า เป็นบทพิสูจน์ว่า ไม่ได้มีแต่ชาวนาที่คอยฟ้าคอยฝน คนสกปรกอย่างมันก็เป็นสมาชิกผู้รอคอยพระพิรุณ
เมื่อไอ้ภูมิชวนไปกินก๋วยเตี๋ยว เราทั้งสามก็ยินดีที่จะออกมา เมื่อมาถึงรถไอ้ภูมิ ผมก็เสนอว่า
เราไปออกที่คลองชลประทานกันมั้ย จะได้ไม่ต้องกลับรถด้วย
ร้อยวันพันปี เราไม่เคยที่จะขับเลยจากหอพักเราไปทางวัดอุโมงค์ที่ลึกและเปลี่ยว เพราะว่าหากพ้นความเจริญจากหอพักเราไปแล้ว ถนนซอยที่ลึกนั้นจะมึดมาก เพราะไม่มีไฟที่ข้างทางให้ความสว่างเลยในตอนกลางคืน แต่คืนนั้น ไม่รู้อะไรมาดลใจให้ผมเสนอความคิดที่จะให้ขับรถออกไปกินโดยผ่านวัด ไปทางคลองชลประทาน และที่แปลกไปกว่านั้น ทิวและไอ้ภูมิ ก็ไม่ขัดข้อง ทั้งๆที่ปกติ ไอ้ภูมิจะเป็นคนปฏิเสธที่จะอ้อมเส้นทางนั้นตลอดเพราะให้เหตุผลว่าเปลืองน้ำมันแต่วันนี้มันไม่ขัดข้องยินยอมเป็นที่น่าแปลกใจยิ่งนัก
ก่อนที่เราจะออกตัวมีรถยนต์สีขาวขับปาดหน้าเราก่อนที่เราจะออกถนน
แม่ง ไร้น้ำใจวะ ขนาดกูให้สัญญาณไฟจะออกตัวแล้วนะเนี่ย ไอ้ภูมิบ่นเพราะถ้าออกตัวเร็วกว่านั้นอาจจะชนรถคันนั้นก็ได้
ใจเย็นน่าภูมิ เราก็ไม่เป็นอะไรนี่นา ทิวบอกมาจากเบาะด้านหลัง
ไอ้ภูมิขับตามรถเก๋งสีขาวไปเรื่อยๆ และก็เป็นอย่างที่คาด เมื่อพ้นเขตความเจริญ 500 เมตรแรกที่ปากซอย 2 กิโลเมตรก่อนถึงวัดอุโมงค์ เราก็เข้าสู่บรรยากาศของความมืด หาไฟตามข้างทางเริ่มลำบาก ถึงแม้ว่ากลางวันถนนเส้นนี้จะคึกคักเพราะนักท่องเที่ยว แต่กลางคืนมันเปลี่ยวจนเราสามคนที่นักอยู่ในรถนิ่งเงียบแต่ก็อุ่นใจ ที่มีรถเก๋งสีขาวข้างหน้าเราเป็นเพื่อนร่วมทาง แล้วมาถึงทางเปลี่ยวที่สองข้างทางมีหญ้าขึ้นแทบท่วมหัว เราทั้งสามต่างเห็นภาพเดียวกัน นั้นคือ ผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งขึ้นมาจากกอหญ้าข้างทาง แล้วมีผู้ชายรูปร่างใหญ่วิ่งขึ้นมาฉุดแขนผู้หญิงเหมือนไม่ต้องการที่จะให้ผู้หญิงหนีไป ในเหตุการณ์ฉุกละหุกนั้น ไอ้ภูมิก็พูดขึ้นมาอย่างตกใจว่า
ไอ้เหี้ย! นั้นมันคนหรือผีวะ
อาจเป็นพวกไม่หวังดีก็ได้แกล้งทำให้เราจอดรถ ทิวเตือนสติ
ใช่ ผมคล้อยตามทิว
เราสามคนยังเห็นอีกว่า ผู้หญิงคนนั้นพยายามโบกมือขอความช่วยเหลือจากรถเก๋งสีขาวคนข้างหน้าเรา แต่รถเก๋งสีขาวก็ขับผ่านไป ผมมองเหตุการณ์นั้นด้วยจะระทึก รถเก๋งคันนั้นวิ่งเร็วหนีจากเหตุการณ์ด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น แสงสว่างของไฟหน้ารถของรถไอ้ภูมิ ทำให้ผมมองเห็นแผลที่หน้าแข้งและเท้าของผู้หญิงคนนั้นที่กำลังพยายามขอความช่วยเหลือจากรถของเรา มันเต็มไปด้วยเลือด
เฮ้ย! นั้นมันเลือดนี่ !!! ของจริงแล้ว จอดรถเดี๋ยวนี้ไอ้ภูมิ!!! ผมตะโกน
กดแตรดังๆเลย!!! ลงไปช่วยเร็ว!!! เราสามคนมันคนเดียว !!!! ทิวตะโกนบอก ด้วยอารมณ์ตกใจไม่น้อยไปกว่าผม
ไอ้ภูมิเบรครถ กดแตรดังสนั่น ผมเปิดประตูรถตะโกนออกไปก่อน
เฮ้ย! มึงจะทำอะไรวะ!
ได้ผล ผู้ชายคนนั้นคว้ารถมอเตอร์ไซค์ของมันขี่ออกไปอยากรวดเร็ว ผมไม่ได้ มองหน้ามัน ไม่ได้มองทะเบียนรถ ความระทึกขวัญในตอนนั้นมันทำให้เราแทบจะทำอะไรไม่ถูก แล้วมันก็ขี่มอเตอร์ไซค์หายไปกับความมืด ภาพที่ผมยังติดตาคือ ภาพที่ผู้หญิงคนนั้นหลุดจากการยืดกระชากแล้ววิ่งมาที่ผม
พี่ !! ช่วยหนูด้วย ช่วยหนูด้วย เสียงผู้หญิงคนนั้นร้องขึ้นพร้อมกับวิ่งมาที่ข้างหลังของผม
มันไปแล้ว !! ทำไงดี ทิวตะโกนถาม ไอ้ภูมิยังกดแตรรถไม่เลิก
พอแล้ว ไม่ต้องกดแตรแล้ว ไอ้ภูมิ ! ผมตะโกน
เป็นไรมากมั้ย มันทำอะไรบ้าง ผมหันไปถามผู้หญิงคนนั้น แต่แทนที่จะตอบคำถามของผม เธอยกมือขึ้นมาพนมมือขึ้น แล้วเริ่มสะอึกสะอื้น ร้องไห้
หนู...หนู....หนูขอบคุณพี่มากที่ช่วยหนู...
แล้วเธอก็เริ่มร้องไห้ และการร้องไห้ของเธอ ไม่ใช่การร้องไห้แบบการเก็บเสียงสะอื้น แต่เป็นการระเบิดเสียงร้องไห้โฮอย่างไม่อายใครที่จะได้ยิน ผมต้องรีบปลอบเพื่อให้เธอหยุด
ไม่เป็นไร พวกผมจะช่วยคุณเอง!! ไปโรงบาลกันดูสิเลือดเยอะมาก
ผู้หญิงคนนั้นเหมือนได้สติ หยุดอาการร้องไห้โฮอย่างฉับพลัน ร่างเธอทั้งร่างสั่นเทาด้วยความกลัวผมเข้าไปประคองเธอขึ้นรถเบาะหลังจับมือให้กำลังใจ มือของเธอเย็นเฉียบ และสั่นชนิดที่ผมเกิดมายังไม่เคยเห็นใครมีอาการกลัวจับจิต จนผมรู้สึกถึงความกลัวนั้นแม้ผมไม่ได้ผ่านเหตุการณ์นั้นด้วยตัวเอง
ทิว !! เดี๋ยวทิวต้องขี่มอเตอร์ไซค์ของเค้านำหน้าไปก่อนนะ พวกเราจะขับตามหลังทิว ไปโรงบาลสวนดอกกัน
ผมออกคำสั่ง โดยไม่รอคำตอบ ทิวรีบไปที่รถมอเตอร์ไซค์ของผู้หญิงค้นนั้นที่จอดล้มในป่าหญ้าข้างทาง สตาร์ตรถมอเตอร์ไซค์แล้วขี่นำ ไอ้ภูมิ รับขับตามทิวไป เพื่อจะพาผู้หญิงคนนั้นไปโรงพยาบาลสวนดอก
ขอบคุณพี่ๆ มากค่ะ ขอบคุณมากๆ เธอยังไม่หยุดขอบคุณเรา พร้อมๆ กับไม่สามารถหยุดอาการสั่นเพราะความกลัวนั้นได้
ช่วยๆกันไป อย่าคิดมาก ผมตอบ
ทำไมเค้าใจร้ายอย่างนั้นค่ะ หนูไปทำอะไรไว้ให้เค้าทำไมเค้าทำกับหนูอย่างนี้
เป็นคำถามที่เธอพูดออกมา ไม่รู้ว่าเธอถามตัวเอง ถามพวกผม หรือถามเบื้องบนที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้
มันทำอะไรบ้าง แล้วทำไมมาซอยเปลี่ยวมืดค่ำ ผมถามเธอ
หนูไปส่งเพื่อนที่เป็นรูมเมทขึ้นรถที่อาเขตเที่ยวสามทุ่มครึ่งค่ะ หออยู่แถววัดอุโมงค์ค่ะ เสียงที่เล่ายังเป็นน้ำเสียงที่ยังตื่นตระหนก
พอตอนขากลับ มันก็เอามอเตอร์ไซค์ของมันมาเบียดมอเตอร์ไซค์หนู แล้ว ถีบรถหนูลงข้างทาง แล้วมันก็ตามลงมา จะดึงหนูเขาไปในพงหญ้า หนูพยายามสะบัดให้หลุดวิ่งขึ้นมาถนน บกรถให้ช่วยที่ผ่านมา ไม่มีใครจอดช่วยเลย หนูไม่ยอมมันก็ลากหนูลงไปอีก แล้วมันก็ ชกหน้าหนู....ฮือ...ฮือ...ทะ...ทำไมเค้าถึงใจร้ายจังคะ..ฮือๆ...เค้าชกหน้าหนูค่ะใจเค้าทำด้วยอะไรคะ...ทำไมต้องรุนแรงขนาดนั้น...ฮือ
เธอเริ่มจะร้องไห้แบบคุมสติไม่ได้ ผมรีบตัดคำพูดของเธอ บอกให้เธอหยุด
พอก่อนครับ...ไม่ต้องพูด ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้วนะครับ คอหอยผมเริ่มจุกเพราะความรู้สึกสะเทือนใจเมื่อเธอเล่าเหตุการณ์ที่เธอประสพก่อนหน้านี้ไม่กี่นาที
ขอบคุณที่ช่วยหนูค่ะ ฮือ...ขอบคุณถ้าพี่ไม่ช่วยหนูคงไม่รอด...
เธอร้องไห้เอามือขึ้นมาปิดปาก สะอื้นร้องไห้อาจเป็นเพราะเธอเก็บระงับอีกไม่ไหว มือของเธอสั่น... น้ำตาของผมไหล มีไม่กี่ทีหรอกที่คนเราจะร้องไห้ โดยไม่มีการสะอื้น ผมรีบเอามือขึ้นมาเช็ดน้ำตาไม่อยากให้เธอเห็นความอ่อนแอ ผมแยกน้ำตาที่ไหลไม่ได้ว่า มันเป็นน้ำตาที่รู้สึกสงสารเธอ หรือเป็นน้ำตาที่แห่งความเศร้าที่ให้กับเธอเพราะรับรู้ความกลัวในเหตุการณ์ที่ผมได้ประสพกับเธอในช่วงหลัง
ในรถมีแต่เสียงสะอื้นร้องไห้ของเธอ ผมกับไอ้ภูมิ ปล่อยเธอร้องไห้ ต่อไปผมมองหน้าไอ้ภูมิผ่านกระจกส่องหลัง ไอ้ภูมิก็มองผมเช่นกันเราสองคนมีแต่ความเงียบและอยากให้ถึงโรงพยาบาลไวๆ เพื่อให้เธอถึงมือหมอ เมื่อถึงโรงพยาบาลทางเข้าแผนกฉุกเฉิน มีรถเข็นที่บุรุษพยาบาลเตรียมมารับที่รถ เมื่อเธอลงจากรถ เสียงไฟที่สว่างของโรงพยาบาล ทำให้เราทั้งหมด มองเห็นว่า ปากของผู้หญิงคนนั้นบวมเจ่อและเลือดออกที่ปากที่เป็นแผลแตกจากกำปั้นของสัตว์นรกที่แฝงในร่างมนุษย์ ที่หน้าแข้งและเท้าด้านซ้ายของเธอเป็นบาดแผลที่ลึกและยาว คงเป็นเพราะ เมื่อสัตว์นรกตนนั้นได้ถีบรถมอเตอร์ไซค์ข้างทางของเธอตกข้างถนนด้านซ้าย ทำให้เท้าซ้ายของเธอหลุดจากที่เหยียบมาประคองรถ และหลังเท้าของเธอก็จะถูกเหล็กจากที่เหยียบมอเตอร์ไซค์ของเธอเองได้แทงลงหลังเท้าทำให้เป็นแผลลึกเปิดเนื้อหายจากหลังเท้า จนเห็นกระดูกและเส้นประสาทสีขาวน่าหวาดเสียวยิ่งนัก ความรู้สึกของผมสลดหดหู่ว่าทำไมคนเราถึงทำกันได้ขนาดนี้
แล้วพยาบาลประจำห้องฉุกเฉินก็ถามผมว่า
น้องๆเป็นเพื่อนกับน้องผู้หญิงเหรอคะ? พวกผมส่ายหน้าแล้วตอบคำถาม
พวกผมเผอิญขับรถผ่านไปเลยช่วยไว้นะครับ
งั้นรอหน่อยนะ เรื่องแบบนี้ต้องแจ้งความ ประเดี๋ยวตำรวจก็จะมา พวกน้องต้องให้รายละเอียดกับตำรวจว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไรนะ นางพยาบาลบอกพวกผม
เดี๋ยวต้องดูว่าเค้าเป็นนักศึกษามอชอหรือเปล่าจะได้ทำเรื่องรักษาให้ถูกต้อง
เดี๋ยวผมไปถามให้ครับ ผมอาสา
นางพยาบาลกล่าวขอบใจผมแล้วผมก็เดินไปที่เตียงของคนไข้ที่กำลังทำการล้างแผลอยู่
น้องเป็นนักศึกษามอชอหรือเปล่า ผมถามเธอ
เธอพยักหน้าตอบรับ หน้าของเธอยังมีรอยน้ำตาที่แห้งกรัง และหยดน้ำตาที่รินไหลไม่หยุด อาจเป็นเพราะกำลังต่อสู้กับความเจ็บปวดของการทำแผลอยู่
ขอบัตรนักศึกษาได้ไหม จะเอาไปทำบัตรคนไข้ให้ เดี๋ยวผมจะเดินเรื่องให้เอง
ผมเสนอทำหน้าที่ให้เธอ เธอค่อยๆเอามือล้วงเข้าไปที่กระเป๋ากางเกงของเธอแล้วดึงบัตรนักศึกษาออกจากกระเป๋าสตางค์ เมื่อผมเห็นบัตรนักศึกษา อ่านแล้วรู้ว่า ชื่อของเธอคือ ศิริรัตน์ ที่สำคัญเธอเข้ามหาวิทยาลัยปีเดียวกับผม ส่วนเธออยู่คณะมนุษยศาสตร์
ต่อไปไม่ต้องเรียกเราว่าพี่นะ เราอยู่รุ่นเดียวกัน เรากับเพื่อนๆอยู่วิศวะ ผมยิ้มให้ศิริรัตน์ เธอยิ้มตอบรับผม
เราชื่อพลนะ ศิริรัตน์ อ้อ พยาบาลบอกว่าเดี๋ยวตำรวจก็จะมาให้เธอแจ้งความ เธอปลอดภัยแล้วล่ะ ทำใจให้สบาย
เราไม่อยากแจ้งความเลย เรากลัว เธอบอกกับผม
ไม่แจ้งไม่ได้นะ !! แล้วจะปล่อยมันไปอย่างนั้นฟรีๆเหรอ ผมตกใจกับคำพูดของเธอ
เรากลัวมันจะมาแก้แค้นเรา มันจะมาอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้ เสียง ศิริรัตน์เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
เราว่าเธอต้องย้ายออกจากแถวนั้นแล้วล่ะ มีเบอร์ที่บ้านไหม เราจะโทรบอกพ่อกับแม่เธอให้
ผมถามเธอ และแสดงความเต็มใจที่ช่วยเรื่องนี้จริงๆ
เราไม่อยากให้พ่อกับแม่เรารู้....เรากลัวเค้าเป็นห่วง เธอบอกผม
ไม่ได้นะคะ น้องต้องบอกค่ะ นี่ไม่ใช่เรื่องที่น้องจะปิดบังพ่อแม่ มันจะต้องหาทางออกร่วมกัน น้องโชคดีแค่ไหนที่วันนี้บาดเจ็บแค่ร่างกาย ถ้าน้องเป็นมากกว่านี้ พ่อแม่ของน้องจะเสียใจมากแค่ไหน อย่ามองว่าจะทำให้เค้าลำบาก ถ้าเราจะหาทางป้องกันหาทางแก้ พ่อแม่นั้นแหละจะเป็นคนที่ทำให้เรามีทางออกเสมอ น้องบอกเบอร์โทรศัพท์พี่มาเลย พี่จะโทรหาพ่อกับแม่น้องเอง
พี่พยาบาลยืนฟังเราอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ออกความเห็นขัดจังหวะเราสองคนขึ้นมา แต่เป็นการขัดจังหวะที่ทำให้ผมรู้สึกดีมาก เพราะในตอนนั้น ผมและศิริรัตน์ต้องยอมรับว่า อาจยังไม่มีวุฒิภาวะพอที่จะตัดสินใจเองกับเรื่องที่เกิดขึ้น เราควรให้ผู้ปกครองมาช่วยเหลือในเรื่องนี้ ศิริรัตน์จำต้องให้เบอร์โทรศัพท์เพื่อให้พี่พยาบาลคนนั้นโทรไปบอกพ่อกับแม่เธอที่จังหวัดแพร่ ซึ่งผมก็รู้สึกว่าไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะค้านและไม่ควรบอกกับพ่อกับแม่เธอ
ผมเอาบัตรนักศึกษาเธอไปแจ้งทำบัตรคนไข้กับฝ่ายระเบียน โดยทิวกับไอ้ภูมินั่งรออยู่ที่ม้านั่งบริเวณที่เค้าจัดไว้ให้คนไข้หรือญาติคนไข้ได้นั่งรอ เมื่อทุกอย่างเสร็จผมคืนบัตรนักศึกษากับศิริรัตน์ผมก็มานั่งรวมกับทิวและไอ้ภูมิ
กูไม่นึกว่าคืนนี้จะทำให้กูรู้สึกกลัวได้ขนาดนี้วะ เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นไอ้ภูมิทำท่าสลดและน้ำเสียงจริงจัง
ภาวนาอย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้กับน้องสาวหรือญาติที่เรารู้จัก สาธุ! ผมพูดพร้อมกับพนมมือยกขึ้น
โทรกลับบ้านดีกว่า เป็นห่วงน้องสาวที่บ้าน ทิวพูดจบก็ลุกขึ้นทันที
เป็นเรื่องแปลกอย่างมาก ที่ทั้งทิว ไอ้ภูมิ และ ผม ต่างก็มีน้องสาวด้วยกันทั้งสามคน ทิวและไอ้ภูมิมีพี่น้อง 2 คน แต่ผมมีพี่น้อง 4 คน เหมือนสวรรค์ลิขิตให้เรามาเจอเหตุการณ์ในคืนนั้น ทำให้เราทั้งสามเป็นห่วงคนที่บ้าน และรีบใช้โทรศัพท์สาธารณะโทรกลับบ้านทันทีถึงแม้ว่าตอนนั้นมันจะเกือบๆเที่ยงคืนแล้วก็ตาม
เมื่อตำรวจมาถึง เราก็เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ตำรวจฟัง เราโทรไปตามเพื่อนของศิริรัตน์ให้มาอยู่เป็นเพื่อนเธอในคืนนั้น เมื่อเพื่อนของเธอมาถึง ผม ไอ้ภูมิ และก็ทิว ก็กลายเป็นคนอยู่ในวงนอกทันที เมื่อเราแน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยจึงขอตัวกลับบ้าน ก่อนกลับพี่พยาบาลคนเดิมได้เข้าพูดว่า
น้องทั้งสามคนนี่ ใจเด็ดมากนะที่เข้าไปช่วยน่ะ เป็นพี่...ถ้าพี่ขับรถผ่านไป พี่ไม่รู้จะกล้าเหมือนน้องทั้งสามหรือเปล่า...
พวกผมมองหน้ากัน นั่นสิ ถ้าเกิดคืนนั้น ผมขับรถไปคนเดียว ผมจะกล้าลงไปช่วยศิริรัตน์ไหมหนอ แล้วถ้าทิวขับรถไปคนเดียว ทิวจะใจเด็ดเหมือนไปพร้อมกันสามคนไหมล่ะ แล้วถ้าไอ้ภูมิไปเจอมันกล้าลงไปช่วยไหมหนอ ขณะขับรถออกจากโรงพยาบาลเพื่อกลับบ้านเราทั้งสามเงียบไปตลอดทาง ผมไม่รู้ว่าสองคนนั้นจะคิดเรื่องอะไรถึงเงียบไป ส่วนผมคิดว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก แต่ถ้าผมไปเจอคนเดียวผมจะทำอย่างไร คำตอบอยู่ในใจของผมแล้ว ในที่สุดผมก็ทนต่อความเงียบไม่ไหว ความอึดอัดและเป็นคนไม่ค่อยเก็บความข้องใจไว้ได้นานของผมทำให้ผมทำลายความเงียบด้วยคำถามว่า
ถ้าพวกเราต่างคนต่างไปเจอเหตุการณ์แบบนี้คนเดียว จะลงไปช่วยไหมวะ
ขอบคุณสวรรค์ที่มึงถามแบบนี้!! นี่กูอึดอัดจะแย่แล้ว กูก็อยากรู้ว่าพวกมึงจะลงไปช่วยไหม
ไอ้ภูมิก็คงอึดอัดเหมือนกันน้ำเสียงถึงได้ดูโล่งใจขนาดนั้น
คงจะลงไปช่วย...ไม่รู้สิพอมันมีเงื่อนไขขึ้นมาทำให้คิดนะ มันก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะลงไปช่วยหรือเปล่าถ้าไปเจอเรื่องแบบนี้คนเดียวน่ะ ทิวออกความเห็น
เราคงจะช่วยเหมือนเดิม เหมือนที่ช่วยในวันนี้ ผมพูด
ไม่รู้สิ เราว่าถ้าเราลงไปช่วยเราคิดว่าบุญกุศลมันคงย้อนกลับให้มีคนลงไปช่วยน้องสาวเราบ้าง ถ้าเหตุการณ์แบบนี้เกิดกับน้องสาวเรา
นั้นสิ ไอ้ภูมิเห็นด้วยกับผม ไม่แปลกที่ทั้งสองจะเห็นตามผมเพราะต่างคนต่างก็มีน้องสาว ถึงแม้ว่าการช่วยอาจไม่ช่วยด้วยความบิสุทธ์ใจ เราช่วยเพราะหวังจะให้ผลบุญย้อนมาสู่ครอบครัวเราก็เถอะ
แต่คนสมัยนี้ มันมาหลายรูปแบบ บางคนมันก็หลอกเราเหมือนกัน ทิวเปรย
เราก็คิดในแง่นั้นนะทิว คือถ้าเราซวยมันก็คือดวงของเราที่ซวยเอง และรู้สึกเสียใจแทนคนที่เอาความอ่อนแอของผู้หญิงมาหลอกลวงคนอื่น แต่เราคงจะช่วยต่อไป เพราะถ้าเราไม่ช่วย เราก็เหมือนร่วมมือกับไอ้คนเหล่านั้นที่ปล่อยมันทำร้ายผู้หญิงโดยไม่ทำอะไรเลย นายคิดว่าอันไหนมันจะเจ็บปวดกว่ากันระหว่างการโดนข่มขืน กับการที่ยังไม่โดนข่มขืนแล้วร้องเรียกให้คนช่วย.... แต่ไม่มีใครยอมช่วย และปล่อยให้โดนขมขื่น
มันเป็นความรู้สึกจากใจผมจริงๆที่ต้องพูดแบบนั้น
เราคงทำไม่ได้ที่จะปล่อยให้เกิดขึ้นโดยไม่ทำอะไรเลย ถ้าเจอแบบนั้น ถ้าเราปล่อยไป...ไม่ช่วย เรื่องต่างๆมันก็จะค้างใจเรา ตามมาหลอกเรา...ซึ่งก็เหมือนเราร่วมข่มขืนผู้หญิงไปด้วย
............
ความเงียบเกิดขึ้นในรถอีกครั้ง แต่ผมคิดว่าความเงียบนั้น เป็นความเงียบที่กำลังใช้ความคิด ไม่ใช่ความเงียบแห่งการไร้ประโยชน์ต่อเราทั้งสาม ผมไม่หวังว่าทั้งสองจะคิดแบบผมหรือเปล่า ผมไม่แคร์ และไม่จำเป็นที่ทั้งสองจะต้องพูดออกมาให้ผมได้ยินถึงความคิดในตอนนั้นของเค้าทั้งสอง ผมรู้สึกโล่งที่ได้ระบายออกไปในความคิดของผม แต่ถึงไม่แคร์อย่างไร...ผมก็เชื่อว่า เพื่อนของผมเป็นคนดีและตัดสินใจได้ถูกต้องแน่นอน
เวลาผ่านไปเดือนกว่าๆ จนถึงเวลาใกล้สอบขณะที่เราสามคนกำลังเอาโปรเจคท์ที่เตรียมไว้ไปให้อาจารย์ที่ปรึกษาตรวจโดยการเดินมาที่รถไอ้ภูมิ เราก็เจอ ศิริรัตน์ยืนรอเราอยู่ พร้อมกับถุงสามใบ
หวัดดี เธอกล่าวทัก
พวกเราทั้งสามยิ้มดีใจที่ได้เจอเธออีกครั้ง
หวัดดี เป็นไงบ้าง เท้าเป็นไงบ้าง พวกผมถาม
ดีขึ้น แต่นิ้วก้อยขยับไม่ได้ เพราะเส้นประสาทมันขาด เธอบอกด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ แต่หน้าของเธอก็ยิ้ม ทำเอาพวกเราเศร้าไป เพราะผลของคนใจบาปที่ทำไว้
แล้วนี่ หาพวกเราเจอได้ไง ทิวถาม
เราตามรถมานะ เราจำได้ว่าเป็นรถยี่ห้อนี้ สีนี้ และ...เออ...มันสกปรกนะมีแต่ฝุ่น เราก็เลยจำได้เพราะว่าฝุ่นมันเหมือนคืนนั้นเลย... ถ้าพวกเธอล้างรถเราก็อาจหารถพวกเธอไม่เจอนะ...ดีที่พวกเธอยังไม่ล้างรถเราเลยหาเจอ นี่ เราเอาเสื้อมาฝากเป็นการขอบคุณ เรารออยู่นานแล้วอยากจะขอบคุณด้วยตัวเอง
พวกเราขอบคุณเธอไอ้ภูมิบอกว่า
ไม่เห็นต้องลำบากเลย เธอปลอดภัยพวกเราก็ดีใจแล้ว แต่ตอนนี้ ต้องรีบไปแล้วล่ะ นัดคุยกับอาจารย์ไว้ กลัวไปช้า อาจารย์จะว่าพวกเราได้
ศิริรัตน์ รีบเอาเสื้อมาให้พวกเรา พวกผมทั้งสามต้องขอตัวไปก่อนอย่างเสียมารยาท เมื่อขึ้นรถขับออกมาจากหอพัก พวกเราดูเสื้อ เป็นเสื้อยืดทีเชิร์ตยี่ห้อดังราคาแพง ซึ่งไม่จำเป็นเลยสำหรับเรา
เค้ายังอุตส่าห์จำเราได้เน้อ ทิวพูด
นั่นสิ ผมตอบทิว
ทีนี้มึงเห็นประโยชน์ของการไม่ล้างรถแล้วหรือยัง ไอ้ภูมิกล่าวด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจสุดชีวิตแล้วทำเอาผมเถียงไม่ออก เพราะการไม่ล้างรถของมันมีประโยชน์ต่อครั้งนี้จริงๆ
เสื้อที่ผมได้รับเป็นการขอบคุณจากศิริรัตน์ มันอาจจะเก่าไปตามการเวลา แต่ความทรงจำของเรื่องในคืนนั้น คืนอันตรายที่ผู้หญิงต้องระวัง ยังคงชัดใหม่ในความคิดผมเสมอ เรื่องของศิริรัตน์เป็นเรื่องหนึ่งที่ทำให้ผมสนิทกับ กุ้ง เจ้าของจดหมายที่ผมได้รับในวันนี้
ย้อนหลังไปที่ผมได้ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมแห่งนี้ครบหนึ่งปี การผลิตสินค้าของบริษัทเพิ่มเป็นเท่าตัวเมื่อเทียบกับช่วงแรกๆที่ผมเริ่มทำงานกับบริษัทนี้ ทำให้เราต้องเพิ่มจำนวนคนที่มาช่วยผลิต และต้องการคนที่สามารถควบคุมการผลิต หรือหัวหน้างานสายการผลิตนั่นเอง ฝ่ายบุคคลเปิดรับสมัครและหาคนที่มีคุณสมบัติเข้ามาทำงานในบริษัทเรา และ กุ้ง คือเด็กจบใหม่ที่ผ่านการสัมภาษณ์ เข้ามาทำงานในบริษัทของผมในฐานะ หัวหน้างานสายการผลิต ซึ่งจะต้องทำงานร่วมกับวิศวกรโปรดักชั่น หรือ วิศวกรการผลิต โดยวิศวกรการผลิต จะคิดระบบการทำงานของการผลิต และมอบหมายให้ หัวหน้าสายการผลิตทำตามแบบแผนของงานนั้นๆโดยควบคุมพนักงานลูกจ้างรายวันอีกที
กุ้งเป็นผู้หญิงมีบ้านเกิดที่เชียงราย เป็นสาวหวานผมยาวสลวยรูปร่างอวบอึ๋มและมีความเป็นผู้นำ ในการทำงานครั้งแรกๆ ผมไม่ได้สนิทกับกุ้งเลยถึงแม้ว่าเราจะต้องทำงานร่วมกันทุกวัน แต่ด้วยที่เราอยู่คนละแผนกจึงทำให้เราคุยกันเฉพาะเรื่องงาน แผนกของกุ้งมีผู้จัดการคือ พี่ธวัชชัย กุ้งเป็นคนเก็บตัว ขยันทำงาน เหตุการณ์ทั้งหมดจะไม่เกิดขึ้น ถ้าบังเอิญผมไม่ไปได้ยินข่าวลือจาก หัวหน้าสายงานผลิตคนอื่นที่อาวุโสเล่าข่าวลือเกี่ยวกับกุ้งและพี่ธวัชชัยให้ผมได้ยิน ถึงห้องทำงานส่วนตัวของผม
น้องพลรู้ไหม ? คนบางคนน่ะ ก็ได้ดิบได้ดี เพราะรูปร่างหน้าตาและความความสาว ปล่อยให้คนแก่ๆอย่างพี่ต้องทำงานงกๆ เจ้านายก็ไม่มีวันสนใจหรือเห็นใจไม่ว่าจะทำงานหนักแค่ไหน
เป็นการเกริ่นนำที่แสนจะคลาสสิคของพี่แอ๋ว หัวหน้าฝ่ายผลิตที่ขึ้นชื่อในเรื่องปากสว่างที่มักจะเริ่มต้นด้วยคำถามเชิงเหน็บแนมและกล่าวถึงความด้อยค่าของตัวเองอย่างน้อยใจ หากได้ยินความเกริ่นเชิงนี้ ผมจะรู้ทันทีว่า พี่แอ๋วกำลังจะเริ่มการนินทาขึ้นแล้ว
มีอะไรเหรอครับพี่ ทำไมพี่ถึงต้องน้อยใจขนาดนั้น
ผมแกล้งโง่ ถามสาเหตุกับพี่แอ๋ว โดยตำแหน่ง ถือว่าผมอยู่สูงกว่าพี่แอ๋วในภาระหน้าที่ของเรื่องงาน แต่โดยอาวุโสพี่แอ๋วเหนือกว่าผม สักสิบปีในเรื่องของการทำงานในบริษัทนี้
ก็น้องพลไม่สังเกตเหรอคะ ผู้จัดการของแผนกพี่น่ะ เค้าออกจะดูแลประคบประหงม ลูกน้องคนใหม่อย่างใกล้ชิดให้ความเอ็นดูเป็นพิเศษ ออกจะสอนงานจนเกินหน้าเกินตาคนอื่น นี่เสาร์อาทิตย์วันหยุด ก็ยังนัดมาทำโอที สอนงานกันนะคะ ไม่รู้ว่าสอนงานที่โรงงานอย่างเดียวหรือเปล่าก็ไม่รู้! กลัวจะสอนอย่างอื่นด้วยนะสิ !
น้ำเสียงพี่แอ๋วเต็มไปด้วยความริษยา จนผมแทบแยกไม่ออกว่า เป็นน้ำเสียงที่ตำหนิ พี่ธวัชชัยลำเอียง หรือเป็นน้ำเสียงริษยาที่ไม่สาวไม่สวยเหมือนน้องกุ้ง จนไม่สามารถทำให้ผู้จัดการสนใจได้
ขนาดนั้นเชียวเหรอพี่....พี่ธวัชชัยเค้าก็มีเมียมีลูกแล้วนี่ ผมให้สติพี่แอ๋ว
โอ้ย ของแบบนี้น้องพลน่าจะเข้าใจผู้ชายด้วยกันนะคะ ถ้าฝ่ายหญิงไม่มีอะไรมาเสนอ แล้วอีกฝ่ายจะสนองเหรอคะ ไม่วายที่น้ำเสียงจะเต็มไปด้วยความคิดที่เป็นอคติ ผมเริ่มรู้สึกรำคาญพี่แอ๋ว เพราะผมรู้สึกว่าเธอกำลังรบกวนเวลาทำงานของผมด้วยเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์ต่องาน จึงตอบกลับแบบประชด
พี่แอ๋วก็น่าจะเข้าใจผู้หญิงด้วยกันนี่ครับ ถ้าหมาไม่หยอกไก่ก่อน ไก่ก็คงไปจิกข้าวไม่ยุ่งกับหมาหรอก
พี่แอ๋วตอบผมกลับแบบไม่ได้รู้สึกสำเหนียกว่าโดนแดกดันเลยแม้แต่นิดเดียว
อุ้ย! น้องพลพูดได้ตรงใจพี่มาก อย่างว่า ตบมือข้างเดียวไม่เคยดังหรอก
ก็ไม่แน่นะพี่ ลองตบลงหน้าสิ ใช้ข้างเดียวตบมันก็ดังเหมือนกันนะ แถมเจ็บด้วย
ผมประชดด้วยความรำคาญอีกครั้ง แต่ก็เป็นอีกครั้งของพี่แอ๋วเช่นกันที่ไม่รู้สึกอะไรเลย กลับหัวเราะระรื่นบอกกับผมว่า
แหม น้องพลนี่ เข้าใจพูดตลกนะคะ
พอกันทีผมหมดความอดทนแล้ว
พี่แอ๋วครับ ถ้าไม่ว่าอะไรค่อยมาเล่าให้ฟังวันหลังนะครับ วันนี้ ผมต้องส่งผลการทดลองให้ลูกค้าก่อนบ่ายสี่โมง ผมอยากฟังนะครับ แต่วันนี้ไม่สะดวกจริงๆ
เหรอคะ งั้นพี่ไม่รบกวนน้องพลแล้ว แต่น้องพลคอยจับตามองนะคะ เรื่องไม่งามมันต้องเกิดขึ้นในบริษัทเราแน่ๆ พี่ขอทาย ไม่วายที่พี่แอ๋วจะทิ้งทวนก่อนจะออกจากห้องผมไป
ผมยอมรับว่า การมาพูดในวันนั้นทำให้ผมเริ่มสังเกตพฤติกรรม ของทั้ง พี่ธวัชชัย และน้องกุ้ง ที่มารับตำแหน่งหัวหน้าสายการผลิตที่เข้างานมาได้ยังไม่สองเดือนเต็มด้วยซ้ำว่าทั้งคู่มีความสัมพันธ์กันในแนวนั้นจริงหรือเปล่า เพราะเท่าที่ผ่านมาจากการทำงาน ผมรู้สึกว่า น้องกุ้งก็ทำงานได้ดีในระดับที่ผมพอใจ โดยไม่ต้องใช้ทางลัดในการเข้าหาพี่ธวัชชัยเลยแม้แต่น้อย บางครั้งผมยอมรับว่า น้องกุ้งก็มาทำงานโอทีในวันเสาร์อาทิตย์พร้อมพี่ธวัชชัย โดยที่งานก็ไม่เร่ง แต่อย่างใด หรือมันจะเป็นจริงอย่างที่คนในโรงงานร่ำลือ
คืนวันศุกร์คืนหนึ่ง ผมและแฟนของผมได้นัดกันไปดื่มฉลองวันเกิดของแฟนผมสองต่อสองที่ร้านกูดวิว ร้านขนาดใหญ่ริมแม่น้ำปิงของเมืองชียงใหม่ ขณะที่เราดื่มด่ำกับอาหารมื้อพิเศษมื้อนั้น สายตาผมก็เหลือบไปเห็นคนคุ้นเคยกำลังนั่งอยู่ห่างจากโต๊ะผมประมาณ 20 เมตร แต่สิ่งที่ผมเห็นผมแทบไม่เชื่อสายตาของผมจนต้องตั้งใจดูใหม่อีกครั้งว่าสิ่งที่ผมเห็นมันจะเป็นจริง
เป็นน้องกุ้งจริงๆด้วย แต่น้องกุ้งที่ผมเห็นในคืนนี้ไม่เหมือนกับน้องกุ้งที่ผมเห็นในตอนกลางวันของทุกวันทำงานบุคลิกของเธอดูเปลี่ยนไป เสื้อเข้ารูปกับการเกงยีนส์ที่เธอใส่ดูทะมัดทะแม่งที่สำคัญในมือของเธอคีบบุหรี่อยู่หนึ่งมวน ท่าสูบบุหรี่และท่าทางที่น้องกุ้งกำลังพูดคุยนั้น มันแมนมาก ถ้าน้องกุ้งไม่ไว้ผมยาวแล้วตัดผมสั้นเหมือนผู้ชายผมคงคิดว่าน้องกุ้งเป็นทอมบอยแน่ๆ ที่โต๊ะของน้องกุ้งๆไม่ได้มาคนเดียวมีผู้หญิงน่าตาจิ้มลิ้มนั่งเป็นคู่สนทนากับน้องกุ้ง ลักษณะการพูดคุย และการส่งสายตาให้กันและกันของผู้หญิงสองคนนี้ ดูก็รู้ ว่ามันเกินคำว่าเพื่อนเพราะสายตาที่หญิงทั้งคู่มองกันมันเปี่ยมไปด้วยความฉ่ำของคนที่กำลังมีความรัก เหมือนที่คำคมว่าไว้เมื่อมีความรักตาคือหน้าต่างของหัวใจ เอ...หรือว่าผู้หญิงที่ผมเห็นอาจเป็นฝาแฝดของน้องกุ้งก็เป็นได้ ความสงสัยของผมมีได้แค่อึดใจ น้องกุ้งก็เหลียวมาสบสายตาผมอย่างจัง น้องกุ้งสะดุ้งเล็กน้อยพอๆกับผมและนั้นทำให้ผมรู้ว่าเป็นน้องกุ้งร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ใช่ใครอื่น
น้องกุ้งลุกจากโต๊ะเหมือนว่าจะเดินมาที่โต๊ะผมผมรีบบอกแฟนของผมว่าจะลุกไปทักคนเพื่อนร่วมงานในบริษัท เราสองคนเดินมาเจอกันครึ่งทางห่างที่อยู่ระหว่างโต๊ะของผมและโต๊ะของกุ้ง
กุ้งมาเหมือนกันเหรอ ผมทักเธอก่อน
ค่ะ แล้วพี่พลมากันแค่สองคนเหรอ กุ้งถามผม
ครับ กุ้งก็มาแค่สองคนเหมือนกันเหรอ ผมถามต่อ
ค่ะ กุ้งมากับเพื่อน
เหมือนพี่เลย พี่ก็มากับเพื่อน ผมจะรีบตอบไปทำไมยิ่งทำให้การแก้ตัวของผมไม่เนียน
กุ้งเห็นเค้กด้วย มาฉลองวันเกิดใครเหรอคะ วันเกิดพี่พลเหรอ
คำถามนี้ทำให้รู้ว่าไม่ใช่แค่กุ้งที่โดนลอบมองดูอยู่ ผมก็โดนสังเกตการณ์จากกุ้งเหมือนกัน
ไม่ใช่วันเกิดพี่ครับ วันเกิดเพื่อนพี่ครับ
ถ้าเป็นคนที่ผมสนิทด้วยผมก็จะบอกปกติว่า วันเกิดแฟนกูเอง มึงจะทำไมเหรอ? แต่นี่คือกุ้ง ผู้หญิงที่พึ่งเข้ามาทำงานในบริษัท และเป็นผู้หญิงที่ผมพึ่งจะเดาว่า เธอน่าจะเป็นเลสเบี้ยนอีกต่างหาก
ขอแสดงความยินดีกับเพื่อนพี่ในวันเกิดนะคะ
ขอบคุณครับ งั้นพี่ขอตัวนะครับแล้ววันจันทร์ค่อยเจอกัน
ผมบอกขอตัวแยกออกจากการสนทนา กุ้งยิ้มพยักหน้า แล้วต่างคนต่างเดินกลับมาที่โต๊ะของตัวเองเมื่อผมมานั่งแฟนผมก็ถามว่า
เพื่อนพลเป็นทอมเหรอ?
ไม่รู้สิ ผมก็พึ่งเห็นเหมือนที่พี่เห็นเหมือนกัน
ก็พี่เห็นท่าทางสูบบุหรี่แล้ว มันเกินหน้าผู้ชายสูบอยู่นา... แฟนผมให้ข้อสังเกต
ผมยิ้มแล้วกลับมาสู่บรรยากาศฉลองวันเกิดของแฟนผมอีกครั้งโดยบอกแฟนผมว่า
อิ่มหรือยังครับ ผมอยากกลับไปเป่า เทียนของพี่ จะแย่อยู่แล้ว
พูดเสร็จ ผมก็ทำหน้าเจ้าเล่ห์กะพริบตาข้างขวาพร้อมกับทำปากเม้มเหมือนเปรี้ยวปากอยากกินของแสลง แฟนของผมก็ให้การตอบรับอย่างดี โดยเรียกพนักงานร้านทันที
น้อง !!! คิดเงินเลย
แล้วเราสองคนก็กลับบ้าน...อย่างมีความสุข...จนกระทั่ง...
วันจันทร์ที่งานแสนจะยุ่งอีกครั้ง หลังจากที่ทุกคนเคลียร์งานในภาคเช้าเสร็จ ช่วงคอฟฟี่เบรค บ่ายสามประตูห้องทำงานผมก็โดนเคาะพร้อมกับการปรากฏตัวของกุ้ง
พี่พลคะ กุ้งมีเรื่องจะถาม
ผมงงเพราะตั้งแต่น้องกุ้งเข้ามาทำงานที่นี้เป็นครั้งแรกที่กุ้งมาหาผมถึงห้องทำงาน
ตั้งแต่วันศุกร์ กุ้งเห็นพี่พลกับเพื่อนไปฉลองวันเกิดที่กู้ดวิว กุ้งคิดว่ากุ้งน่าจะคิดถูก
กุ้งพูดตรงประเด็นทำให้ผมเริ่มร้อนตัว แต่ผมก็ดึงสติกลับมาพูดกับกุ้งว่า
พี่ก็เห็นว่ากุ้งไปกับเพื่อนสองต่อสองอย่างนั้น พี่คิดว่าพี่ก็น่าจะคิดถูก
ผมสบตากุ้งแบบประมาณว่าต่างคนต่างรู้ทันกัน
พี่พลคิดว่าพี่คิดอะไรถูก? กุ้งถามผม
ไม่รู้สิ ! แล้วน้องกุ้งคิดว่าน้องกุ้งคิดอะไรถูกล่ะ ผมมองหน้ากุ้ง
ก็นี่ล่ะ กุ้งเลยอยากจะมาถามนี่ล่ะ
..........
เงียบ....ต่างคนต่างหยุดพูด เราเอาแต่มองหน้ากันด้วยสายตารู้สึกขบขันสิ่งที่ต่างคนต่างปกปิดไว้ แต่สายตาที่เรามองกันมันทำให้รู้ว่ากุ้งมาอย่างเป็นมิตร ผมจึงพูดขึ้นว่า
เอางี้...เรามาถามพร้อมๆ กัน
กุ้งพยักหน้า
กุ้งเป็นทอมเหรอ
พี่พลเป็นเกย์ใช่ไหม
เราถามพร้อมกัน ถามเสร็จ ต่างคนก็ต่างหัวเราะที่ได้เปิดเผยถึงเนื้อในของแต่ละฝ่าย และดูเหมือนเราทั้งคู่จะโล่งอก ที่อย่างน้อยจะมีเพื่อนในบริษัทที่สามารถพูดคุยถึงตัวตนที่แท้จริงของตัวเองได้
กุ้งยิ้มให้ผมแล้วถอนหายใจบอกกับผมว่า
โล่งอก ! กุ้งก็ไม่แน่ใจนะ แต่ก็ลองเสี่ยง ถ้าพี่พลมีใจนักเลงพี่พลก็คงพูดตรงๆกับกุ้ง เพราะกุ้งเห็นเวลาพี่คุยกันสายตาพี่นี้ อู้หู...หวานปานจะหยด คงไม่มีเพื่อนคนไหนส่งสายตาให้กันขนาดนั้นแน่ๆ
โอ้โห...ทำยังกับโต๊ะน้องกุ้งมดไม่ขึ้นงั้นแหละ สายตานี่ปิ๊งปั๊ง พี่ก็แอบมองเราเหมือนกัน อีกอย่างท่าสูบบุหรี่ของกุ้งก็ใช่ย่อย ท่ามันเกินผู้ชายสุดๆ
กุ้งยิ้ม คงนึกว่าผมชมที่มีท่ามาดแมนเกินชาย ผมเลยถือโอกาสถามกุ้งถึงข่าวลือ
กุ้ง กุ้งเป้นทอมเลยจริงๆ หรือว่าเป็นเล่นๆ คิดว่าวันหนึ่งจะต้องแต่งงานแล้วจะเลิกล่ะ
แต่งงานกับผู้ชายไม่เคยคิดจะอยู่ในหัวสมองของกุ้งเลย กุ้งบอกผม
ถ้างั้นกุ้งก็ต้องเลิกทำตัวเหมือนทุกวันนี้ รู้ไหมตอนนี้มันเกิดข่าวลือทั่วบริษัทแล้ว
ข่าวลืออะไรพี่ กุ้งทำหน้าแบบไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ
ก็เรื่องที่กุ้งทำตัวใกล้ชิดกับพี่ธวัชชัย เพื่อหวังก้าวหน้าทางการงานนะสิ รู้ไหมตอนนี้มีแต่คนมองกุ้งในแง่ลบ ถ้ากุ้งไม่ชอบผู้ชาย แล้วกุ้งจะหลอกว่ามีใจให้พี่ธวัชชัยไปทำไม รู้ไหมพี่ธวัชัยเค้าก็มีเมียมีลูกแล้วนะ ถึงแม้เค้าจะจีบกุ้ง ถ้ากุ้งไม่เล่นด้วยมันก็ไม่ควรให้เกิดเรื่องขนาดนี้
ผมสังเกตเห็นหน้าของกุ้งถอดสีขณะที่ผมกำลังพูดกุ้งก็เคร่งขรึมพูดแทรกขึ้นว่า
ขนาดที่วันหยุดควรจะหยุดพัก ก็หาโอกาสมาทำโอทีเพื่อจะมีโอกาสได้อยู่ใกล้กันใช่มั้ย ?
พูดเสร็จกุ้งก็มองหน้าผม
แล้วพี่พลเชื่ออย่างที่เค้าพูดกันมั้ย? น้ำเสียงกุ้งดูจริงจังจนเทียบจะกราดเกรี้ยว
ผมเว้นจังหวะให้ต่างคนต่างสงบหายใจออกจังหวะยาวแล้วเอ่ยว่า
พี่ยอมรับว่าตอนแรกพี่ก็มีใจเอนเอียงไปกับช่าวลือ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาทำให้พี่ไม่เชื่อข่าวลือต่างๆ แต่มันทำให้พี่คิดของพี่เองว่ากุ้งกำลังเล่นกับไฟ โดยการปั่นหัวผู้ชายที่มีครอบครัวแล้วเหมือนกุ้งอยากจะแกล้งผู้ชายเล่นๆ ทั้งๆที่กุ้งก็ไม่เคยชอบผู้ชายเลย
ผมพูดเนิบๆพยายามไม่เอาอารมณ์เข้ามาในน้ำเสียงให้ดูเหมือนติเตียน แต่เหมือนกำลังแค่แสดงความคิดเห็นจากคนสังเกตการณ์ที่หวังดีคนหนึ่ง กุ้งมีท่าทีที่สงบลงแต่สิ่งที่ผมไม่คิดว่ามันจะเกิดก็เกิดขึ้น กุ้งมีน้ำตาไหลออกจากตาทั้งสองข้าง เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นน้ำตากุ้ง
มันไม่ใช่อย่างที่พี่คิด และไม่ใช่อย่างที่ทุกคนเข้าใจสักนิดเดียว
ผมรีบหยิบกระดาษทิชชูบนโต๊ะทำงานให้กุ้งเช็ดน้ำตา
ถ้ากุ้งพิสูจน์ตัวกุ้งได้ว่าไม่ใช่อย่างที่ทุกคนเข้าใจ พี่พลจะอยู่ข้างกุ้งไหม
กุ้งมองตาผม ถามผมด้วยคำถามเหมือนกับว่าเค้าไม่มีใครแล้วจริงๆ
พี่อยู่ข้างคนที่ถูกต้องเสมอ ผมให้คำตอบที่ดูดีที่สุดไป
กุ้งจะพิสูจน์ให้พี่พลเห็นว่ากุ้งเป็นคนที่ถูกต้อง....
ยังไม่ทันที่จะพูดอะไรต่อ เสียงออดเตือนให้รู้ว่าหมดช่วงพักเวลาคอฟฟี่เบรคและอีก 5 นาทีจะเริ่มทำงานในสายการผลิตอีกครั้ง กุ้งจะต้องไปดูแลการผลิตตามหน้าที่เสียแล้ว
บ้านพี่พลอยู่ไหนคะ สักสามทุ่มกุ้งจะไปหาพร้อมกับกุ้งจะพิสูจน์ให้พี่พลเห็นว่ากุ้งเป็นคนถูกต้อง
โทรหาพี่ตามเบอร์นี้แล้วกันแล้วพี่จะบอกทาง
ผมจดเบอร์โทรศัพท์ที่พักของผม พร้อมกับเบอร์โทรศัพท์มือถือให้กุ้งได้ติดต่อ
เย็นวันนั้นหลังเลิกงาน ผมกลับบ้านตอนห้าโมงเย็นก่อนกลับผมจดที่อยู่ของคอนโดและแผนที่ให้กุ้ง และเหมือนเช่นเคย กุ้งจะต้องอยู่ทำงานล่วงเวลาตามคำสั่งของพี่ธวัชชัยเหมือนเช่นเคย ขณะที่ผมนั่งรถของบริษัทกลับบ้าน ผมนึกไม่ออกจริงๆว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องกุ้ง เมื่อน้องกุ้งเป็นเลสเบี้ยนไม่มีใจปฏิพัทธ์ต่อเพศชาย ทำไมกุ้งถึงไม่ปฏิเสธไมตรีของพี่
ธวัชชัย ลึกๆแล้วผมก็ยังไม่เชื่อกุ้งว่ากุ้งไม่ได้ปั่นหัวพี่ธวัชชัยเล่น นี่ผมกำลังทำอะไรอยู่ หรือผมก็เป็นอีกคนที่กำลังโดนน้องกุ้งปั่นหัวอีกคน ผมเริ่มมองโลกในแง่ร้าย
เมื่อกลับมาถึงที่พัก หลังจากทำธุระทุกอย่างเสร็จเวลาก็เกือบจะสองทุ่ม สองทุ่มคือเวลาที่น้องกุ้งเลิกจากการทำงาน และคงใช้เวลาประมาณ ไม่เกินหนึ่งชั่วโมงจากลำพูนมาที่พักผมในเชียงใหม่ ผมเปิดโทรทัศน์ดูข่าว ดูเพลินจนเหลือบมาดูเวลา ก็สองทุ่มสี่สิบห้านาทีแล้ว เสียงกริ่งประตูหน้าห้องของผมดังขึ้นผมเดินมาที่ประตูแล้วมองผ่านช่องประตูที่ใช้มองคนข้างนอกห้อง....เป็นกุ้งนั้นเอง
....................................จบตอนที่ 8...................................
31 มกราคม 2549 11:40 น.
ชายชัช
ตอนที่ 7 ผู้หญิงทั้งสี่ ( ภาคที่หนึ่ง )
วันจันทร์ของการทำงานเป็นวันแรกของสัปดาห์ที่เป็นเรื่องปกติที่จะต้องเป็นวันที่แสนจะยุ่งในเรื่องการการทำงาน เพราะถือเป็นวันเริ่มต้นของสัปดาห์ที่งานสะสมรอคอยการสะสางจากวันหยุด โรงงานอุตสาหกรรมที่ผมทำงานอยู่เป็นโรงงานประเภทเครื่องจักรทำงานตลอด 24 ชั่วโมง และมีพนักงานเปลี่ยนกะมาคุมคุมเครื่องจักร ไม่เว้นแม้กระทั้งวันเสาร์อาทิตย์ หากมีงานที่เป็นปัญหาที่นอกเหนือจากความสามารถของช่างเทคนิคที่จะตัดสินใจได้ในวันเสาร์อาทิตย์ ในวันจันทร์ วิศวกรโรงงานแต่ละคนก็หัวฟูที่จะมาหาสาเหตุและป้องกันการทำงานไม่ให้เกิดการล้มเหลวซ้ำ และถ้าหากเกิดเหตุการณ์ซ้ำวิศวกรต้องคิดหาวิธีที่สามารถให้ช่างเทคนิคแก้ปัญหาได้ในครั้งต่อไปโดยไม่ต้องพึ่งวิศวกร ซึ่งช่วงเช้าของวันจันทร์ ผมคิดว่าไม่เพียงแต่โรงงานที่ผมทำงานอยู่ที่เดียวที่ยุ่งจนหัวฟู หลายองค์กรคงไม่ต่างจากองค์กรผม มิหนำซ้ำอาจจะยุ่งจนหัวกระเซิงด้วยซ้ำ
ในตอนบ่ายขณะที่ผมนั่งอยู่โต๊ะห้องทำงานส่วนตัว หรือจะเรียกว่าคอกทำงานก็ได้ เพราะถึงแม้จะเป็นห้องส่วนตัวแต่มันก็เล็กซะเหลือเกิน ผมกำลังผ่อนคลายหลังจากเคลียร์งานในตอนเช้าน้องเสมียนประจำแผนกก็เคาะประตูพร้อมเดินเข้ามากับจดหมายฉบับหนึ่ง ผมรู้สึกแปลกที่ได้รับจดหมายส่งมาที่บริษัทเพราะปกติหากเป็นจดหมายส่วนตัวน้อยคนนักที่จะส่งมาที่บริษัท และจดหมายนั้นเป็นจดหมายส่วยตัวเขียนด้วยลายมือที่เรียบร้อย เมื่อผมเห็นลายมือนั้นผมรู้สึกคุ้นๆ และเมื่อเปิดจดหมาย ผมถึงรู้ว่าเป็นจดหมายของ น้องกุ้ง อดีตเพื่อนร่วมงานในโรงงานนั้นเอง น้องกุ้ง เป็นหนึ่งในผู้หญิงสี่คนในชีวิตที่ทำให้ผมรู้ว่าเกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก
คนแรกที่ผมรู้ถึงความลำบากนั้น คือคนไกลชิดตัวผมที่สุดนั้นคือ แม่ ของผมนั้นเองตอนผมย้ายโรงเรียนจากการเรียนประถมศึกษามาเป็นมัธยมต้น โรงเรียนมัธยมต้นเป็นโรงเรียนที่ผมใช้เส้นทางสัญจรต้องผ่านตลาดทุกวัน ตอนนั้นผมอายุ 14 ขวบ เป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วนานมาเกือบยี่สิบปีแต่ความทรงจำนั้นไม่ได้เลือนไปจากความทรงจำเลย มันยังชัดอยู่ในความทรงจำของผมเสมอ วันหนึ่งขณะรับประทานอาหารเย็นผมบ่นขึ้นว่า
ต้มข่าไก่เหรอครับวันนี้ ไก่อีกแล้ว! สองวันก่อนก็พึ่งกินไก่นึ่ง
พ่อของผมมองหน้าผม แต่ไม่พูดอะไร แต่แม่ผมพูดกับผมว่า
เหรอจ้ะ แม่ลืมไปว่าเราพึ่งกินไก่ไป เออ พล .....แม่มีเรื่องอยากให้ลูกช่วย
มีอะไรเหรอครับแม่
ผมตอบเสียงร่าเริงแจ่มใส นึกจิตนาการผมตอนอายุ 14 ปีเด็กต่างจังหวัดบ้านนอกที่หน้าตาแก้มยุ้ยแดงๆ ไร้พิษสง ไม่เหมือนปัจจุบันที่เป็นเกย์เทอร์โบ รอบจัดความเร็วรอบสูงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล
พิมก็ไปเรียนที่มหาลัยขอนแก่นแล้ว พัฒน์ก็ไปเรียนที่กรุงเทพฯ ตอนนี้ พลก็เป็นลูกที่โตที่สุดในบ้านตอนนี้ แพรวก็พึ่งจะเข้า ป.1 แม่ก็หวังให้พลจะช่วยแม่บ้าง
แม่เกริ่นถึงพี่สาวและพี่ชายของผม ซึ่งขณะนั้นได้ไปใช้ชีวิตรับผิดชอบตัวเองนอกบ้านแล้ว
มีเรื่องอะไรเหรอแม่
เสียงถามของผมยังเป็นเสียงเด็กชายน่ารักยังไม่เสียงแตกทุ้มเหมือนปัจจุบัน
ต่อไปนี้แม่จะให้เงินพล รับผิดชอบการไปจ่ายตลาดในตอนเย็นทุกวัน ลูกคิดว่าลูกจะทำได้ไหม
หมายความว่า พลอยากกินอะไรก็ซื้อมาทำได้เหรอแม่
ผมดีใจจนออกนอกหน้า เพราะจะได้เป็นคนกำหนดเมนูอาหารเองในแต่ละวัน ไม่ต้องฝืนในสิ่งที่แม่ทำให้กินโดยไม่เคยถามลูกๆเลยว่าอยากกินอะไร แม่ของผมยิ้ม แล้วบอกว่า
ใช่สิจ้ะ อยากกินอะไรก็ซื้อมาให้แม่ทำให้ทาน แต่พลต้องนึก ถึง พ่อ แม่ และก็แพรวด้วยว่าจะกินกับข้าวที่พลซื้อมาได้หรือเปล่า น้องยังเด็ก 8 ขวบเอง กินอาหารรสจัดยังไม่เก่งนะ ต้องคิดด้วย
ผมรู้สึกดีใจในสิ่งที่แม่บอกผมอย่างสุดๆ มันเหมือนเสียงสวรรค์ ที่บอกว่า ต่อไปนี้ เรากำหนดชีวิตตัวเองได้ เราสามารถกำหนดว่าวันนี้ ครอบครัวเราจะได้กินอะไรแน่นอน ต่อไปนี้อาหารที่จะซื้อเข้าบ้าน ต้องเป็นอาหารโปรดปราณของผมเท่านั้น ผมกระหยิ่มในใจ
ผมเติบโตมาในบ้านที่มีวงจรชีวิตที่อาจจะต่างจากบ้านคนอื่น คือ นอกจากคุณพ่อและคุณแม่จะเป็นครูทั้งคู่แล้ว คุณแม่ยังเป็นคนที่ดูแลภายในบ้านอย่างไม่มีที่ติ บ้านของเราจะหา คนมาช่วยงาน ก็ต่อเมื่อ แม่ผมทำไม่ไหว เช่นในกรณีที่แม่ผมคลอดน้องสาวมาได้ ในสามปีแรกก่อนที่น้องแพรวจะเข้าโรงเรียนอนุบาลเราก็มีคนมาช่วยงานบ้าน หลายบ้านอาจจะเรียกตำแหน่งนี้ว่าคนใช้ แต่ที่บ้านผมแม่ไม่เคยอนุญาตให้ใครในบ้านเรียกคนมาช่วยงานว่าคนใช้ เพราะแม่บอกลูกทุกคนเสมอว่า เค้าไม่ใช่คนมารับใช้เรา เค้าคือคนที่มาทำงานช่วยที่บ้านเรา แม่จะให้เรียกคนที่มาช่วยงานบ้านเหมือนเค้าเป็นญาติของครอบครัวเสมอ เหมือนสมัยที่มีคนมาช่วยดูแลตอนน้องสาวผม เมื่อครั้งยังแบเบาะคนมาช่วยงานบ้านคือ พี่แก้ว
แม่ไม่เคยให้ใครใช้พี่แก้วได้นอกจากแม่เอง แม่บอกว่า อย่าใช้เค้า ถ้าอยากให้เค้าทำให้ ให้ขอร้องให้ช่วยเช่น
พี่แก้วครับช่วยรีดเสื้อตัวนี้ให้ผมด้วยนะครับผมอยากใส่ตัวนี้
แม่สอนให้ลูกทุกคนพูดเพราะๆ และไม่ให้ดูถูกคน และแม่ก็แสดงเป็นตัวอย่างให้ลูกๆเห็นจริงๆ แม่ไม่เคยรังเกียจคนที่มาช่วยงานแม่ แม่ปฏิบัติต่อพี่แก้วเสมือนพี่แก้วเป็นสมาชิกในครอบครัว หากแม่ซื้อขนมมาฝากลูก พี่แก้วก็จะได้กินเช่นกัน โดยได้กินเทียบเท่าลูก ไม่ใช่ได้รับของที่เหลือจากลูก ลูกแท้ๆมีแค่สี่คน แต่แม่จะซื้อขนมมา 7 ห่อเสมอ ของพ่อ ของแม่ ลูกสี่คน และของพี่แก้ว แม่จะมีคำสั่งเด็ดขาดให้พี่แก้วมากินข้าวพร้อมพวกเราทุกครั้ง จะไม่ให้พี่แก้วกินทีหลัง เราทุกคนกินข้าวพร้อมกัน เมื่ออยู่ตามลำพัง แม่จะสอนลูกๆว่าที่พี่แก้วมาช่วยงานบ้านของเราเพราะพี่แก้วไม่มีทางเลือก ถ้าพี่แก้วมีการมีงานที่ดีกว่านี้ทำพี่แก้วก็จะไปเพราะฉะนั้นให้ลูกๆพยายามทำงานบ้านให้ได้ด้วยตัวเอง และอย่าดูถูกคน เพราะที่เค้ามาทำงานบ้านช่วย เค้าไม่มีทางเลือก เค้ามีค่าความเป็นคนเทียบเท่าเรา มีความรู้สึก เศร้า เสียใจ และน้อยใจ เหมือนเราทุกคน แม่ให้เรานึกอยู่เสมอว่า หากมีคนมาเรียกจิกหัวใช้เรา เราจะรู้สึกอย่างไร แน่นอนไม่มีใครชอบหรอกที่ให้ใครจะมาดูถูกค่าความเป็นคนของเรา ผมมาสำนึกว่าด้วยการอบรมสั่งสอนจากการกระทำของแม่นี้เอง ลูกๆทุกคนจึงมองโลกแบบไม่เคยดูถูกคนอื่น หนำซ้ำ เราจะรู้สึกแย่และไม่ชอบ หากใครมาพูดดูถูกเกี่ยวกับเรื่องคนจน คนด้อยโอกาสหรือเรียกคนมาช่วยงานที่บ้านว่า คนใช้
เมื่อน้องสาวผมโตไปโรงเรียนได้ พี่แก้วก็ต้องจากเราไปเพราะที่บ้านต้องการความช่วยเหลือในเรื่องการเลี้ยงเด็กเท่านั้น ทุกอย่างก็กลับไปเป็นเหมือนเมื่อครั้งผมยังไม่มีน้องสาวคือ นอกจากแม่จะมีอาชีพเป็นครูสอนหนังสือ กลับมาบ้านแม่ก็เป็นแม่บ้านดูแลเรื่องทั้งหมดในบ้านไม่ให้ขาดตกบกพร่อง
วิถีชีวิตของครอบครัวเราจะเป็นแบบแผนดังนี้ครับ เมื่อแม่ทำงานที่โรงเรียนเสร็จ แม่จะต้องไปจ่ายตลาด ทุกเย็นเพื่อนำกับมาทำอาหารเย็น แม่ผมเป็นคนต่อต้านอาหารสำเร็จรูปที่เค้าใส่ถุงขายในตลาดเป็นอันมาก
อาหารที่คนทำขาย ถ้าเค้าไม่คิดว่าทำให้คนในครอบครัวทาน เค้าก็ทำไปเรื่อยไม่เลือกของที่ดีที่สุดหรอก
เป็นเหตุผลเดิมๆที่แม่บอก หากลูกถามว่าทำไม่เราไม่ซื้อกับข้าวถุงกลับบ้าน ง่ายจะตาย กลับบ้านก็แกะถุงกินได้เลยไม่ต้องเสียเวลาปรุงเอง....
ทุกวัน เมื่อแม่ทำอาหารเย็นเสร็จ แม่จะแบ่งไว้สองส่วนคือ ส่วนที่หนึ่งจะเป็นสำรับสำหรับอาหารเย็นในวันนั้น และส่วนที่สองคือเอาไว้อุ่นรับประทานเป็นอาหารเช้าของวันพรุ่งนี้ นั้นหมายถึง อาหารเช้าของบ้านผม คืออาหารเย็นของเมื่อวานเสมอ ส่วนมื้อกลางวันแม่จะให้ลูกๆ ไปซื้อกินที่โรงเรียน และมื้อเย็นกลับมาบ้าน ก็จะเจอวัตถุดิบที่แม่จ่ายตลาดมา เตรียมอาหารสำหรับวันต่อๆไป วนเวียนอย่างนี้อย่างมีระบบ
เมื่อแม่มอบหมายให้ผมไปจ่ายตลาดแทนแม่เพราะตลาดเป็นทางผ่านที่ผมเดินมาจากโรงเรียนทุกวันผมลิงโลดในใน นึกจินตนาการไปไกลว่า ต่อไปนี้ เราจะมีของโปรดกินทุกวัน ผมยิ้มในใจคนเดียวในวันที่ผมได้รับหมอบหมายให้ไปตลาด
แม่ให้เงินผมไปจ่ายตลาดทุกวันๆละ 200 บาท และแม่บอกว่า พยายามควบคุมไม่ควรเกิน 150 บาท แต่หากเกินก็ไม่เป็นไร แม่อยากให้ผมหัดใช้จ่ายเงิน แม่บอกผมว่า ไม่ใช่ ได้ 200 ก็จะจ่ายหมดทั้ง 200 ผมจะต้องรู้จักควบคุมและประหยัด ในสมัยปี พ.ศ. 2532 เงิน 200 สำหรับการจ่ายตลาดในต่างจังหวัดถือว่าเป็นเงินที่หาซื้อของกินตามใจชอบได้สบายๆ เพราะตอนนั้น หมูแค่ราคากิโลกรัมละ 60 บาทเอง ปลาช่อนนา ขนาดย่อมก็ 3 ตัว 10 บาท ซึ่งถูกมากๆเมื่อเทียบกับค่าครองชีพที่เปลี่ยนไปในสมัยปัจจุบัน
ท่านผู้อ่านคงเดาได้ว่า อาหารในสัปดาห์แรกจะเป็นอย่างไร แน่นอน ซี่โครงหมูทอดกระเทียม แกงจืดเต้าหู้หมูสับ ราดหน้า ปลานิลทอดกระเทียม ผัดวุ้นเส้นไข่เค็ม ลาบหมู ต้มส้มไก่ยอดมะขาม สัปดาห์แรกสำหรับความรับผิดชอบของผมผ่านฉลุยไปอย่างหายห่วง
สัปดาห์ที่สอง ผมก็ไปตลาดเช่นเคย เมนูอาหารสำหรับสัปดาห์ที่สองยังคงเป็นสัปดาห์ที่สนุกในการจ่ายตลาดสำหรับผม แต่ก็ไม่สนุกเท่ากับสัปดาห์แรกเพราะผมต้องคิดหาอาหารที่ไม่อยากให้ซ้ำกับสัปดาห์แรก ขาหมูต้มผักกาดดอง แกงอ่อมผักรวม ต้มฟักไก่มะนาวดอง ต้มยำปลาหมึก กะหล่ำผัดกุ้งและยำวุ้นเส้น
และแล้วก็มาถึงสัปดาห์ที่สาม ตลาดต่างจังหวัดก็ไม่ใช่ว่าจะกว้างเหมือนตลาดในเมืองใหญ่ๆ เมื่อผมเดินเข้าไปก็เจอแผงทำกับข้าวถุงซึ่งผมต้องไม่ซื้ออยู่แล้ว
เดินเข้าไปสักช่วงก็เจอแม่ค้าขายผัก เอ้า วันนี้จะเอาอะไรดีละ ผักก็กินแล้ว กะหล่ำก็ทำไปแล้ว แกงอ่อมผักรวมก็ทำไปแล้ว ถ้าจะซื้อผักบุ้งหรือถั่งงอกไปให้แม่ผัดแม่ผมก็จะหาว่าดูถูกฝีมือการทำอาหารแม่อีก โอ้ย เด็กวัยรุ่นกลุ้มใจ... เดินผ่านไปก่อนแล้วกันเผื่อคิดได้
เดินผ่านเจอแผงไก่สด ผมก็คิดในใจ ไก่ก็พึ่งต้มฟักไปอาทิตย์ก่อน... เดินต่อไปแล้วกัน
เดินมาเจอแผงขายของทะเล กุ้งปลาหมึกก็กินไปแล้ว...หาอันใหม่ดีกว่า
เดินไปสักพัก เจอแผงหมู หมูทอด หมูผักก็ทำแล้วนี่นา...เดินข้างหน้าก่อนดีกว่า
เดินมาเจอแผงขายปลา ปลานี่ซื้อไปแม่ก็ต้องใช้ให้เราขอดเกล็ดทำอีกเหมือนคราวที่แล้วไม่ไหวเหม็นคาว... ไปข้างหน้าก่อน
เดินมาเจอแผงของแห้งของดอง ผักกาดดองก็พึ่งต้มใส่ขาหมูคราวก่อน มะนาวดองก็พึ่งใส่ต้มฟัก... ไปข้างหน้าดีกว่า
เดินมาข้างหน้าสองสามก้าว อ้าว นี่เราวนกลับมาถึงแผงกับข้าวใส่ถุงแล้วเหรอเนี่ย แล้ววันนี้จะได้กับข้าวไปทำไหมหนอ...
มันสมองอันน้อยนิดผมในตอนนั้นเริ่มเครียด ผมตัดสินใจใช้อาหารสิ้นคิดคือ ซื้อผักบุ้งไปให้แม่ผัด และเล็งถั่วงอกสำหรับวันพรุ่งนี้ เย็นวันต่อมา ผมเริ่มแบกความหนักอึ้งไว้บนหัว ไม่สนุกแล้วสำหรับการจ่ายตลาดซื้อของมาทำกับข้าวแต่ผมก็ทนเพราะรับปากแม่มาแล้วไม่อยากให้แม่ผิดหวัง ผมทำหน้าที่นั้นมาเกือบเดือนได้ แล้ววันหนึ่งขณะที่ยกอาหารมาขึ้นโต๊ะ
ไก่ทอดเหรอ ว้า ! เมื่อสองวันก่อนก็แกงเผ็ดไก่.. เสียงน้องสาวตัวแสบของผมเจื้อยแจ้ว มันคลับคล้ายคลับคลากับตอนที่ผมบ่นเรื่องต้มข่าไก่ไม่มีผิด ความรู้สึกของผมตอนนั้นความดันสูงขึ้นหน้า มองน้องสาวตัวแสบแบบจะเลือดกินเนื้อแทนอาหารเย็นก่อนที่ผมจะเปิดศึกกับน้องสาวตัวแสบ แม่ก็พูดว่า
พี่เค้าคงลืมว่าเราพึ่งกินไก่ไปมั้ง ไม่เป็นไรหรอก ไก่ทอดก็อร่อยจะตาย
ผมได้สติว่าแม่กำลังจะสอนอะไรบางอย่างแก่ผม เมื่อแม่เข้าไปหยิบของในครัว พ่อผมรีบกระซิบ ทั้งผมและน้องสาว
ต่อไปห้ามบ่นเรื่องกับข้าวเข้าใจไหม หมาพล หมาแพรว บุญแค่ไหนที่มีคนทำกับข้าวให้เรากินทุกมื้อ
นั้นสิ ตั้งแต่ผมเกิดมาผมยังไม่เคยเห็นพ่อติ หรือบ่นเรื่องการทำกับข้าวของแม่เลย แม่ยกมาบ่นโต๊ะ พ่อก็จะกินอย่างไม่มีเงื่อนไขผมพึ่งนึกได้ตามที่พ่อพูดเมื้อกี้ว่า บุญแค่ไหนจริงๆที่มีคนทำกับข้าวให้เรากินเมื่อทานอาหารวันนั้นเสร็จ ขณะที่ผมช่วยแม่ล้างจาน ผมบอกกับแม่ว่า
แม่ครับ พลขอโทษ ต่อไปผมจะไม่ติเรื่องกับข้าวแม่อีกแล้ว พลรู้แล้วว่ามันปวดหัวแค่ไหนว่าแต่ละวันจะทำอะไรให้คนในบ้านกินและต้องถูกใจทุกคนด้วย
แม่ยิ้ม...แล้วบอกว่า
ทุกคนมีข้อผิดพลาด ต่อไปแม่ก็จะถามว่าลูกๆอยากกินอะไรก่อนจะไปตลาดเหมือนกัน
เด็กชายวันสิบสี่ยิ้มให้แม่จนแก้มยุ้ย ตั้งแต่นั้นมาแม่ก็ไปจ่ายตลาดเอง ยกเว้นแม่ติดธุระ ผมก็ทำหน้าที่ไปจ่ายตลาดแทนแม่เสมอ ตั้งแต่นั้นมา เมื่อแม่ถามผมว่า
พล ลูกอยากกินอะไรเย็นนี้
คำตอบที่ได้จากปากผมตั้งแต่นั้นมาคือ
ตามใจแม่ครับ
คนเรามีความลำบากหลายขึ้น แต่การที่ผู้หญิงคนหนึ่งต้องคิดว่าจะทำอาหารอะไรให้สมาชิกในครอบครัวในแต่ละวัน เป็นสิ่งที่ลำบากยิ่งนัก ความลำบากนี้ไม่ใช่เรื่องหนักหนาสาหัสก็จริง แต่การแบกความลำบากที่คนคิดว่าน้อยนิด แต่ต้องแบกไว้ทุกวันๆ ผู้ชายเกย์อย่างผมยอมรับอย่างอับอายว่า ผมทนไม่ได้เท่ากับแม่ของผม หรือผู้หญิงที่ต้องเป็นแม่บ้านอีกค่อนโลกที่ต้องแบกปัญหาแต่ละวันว่า เย็นนี้จะทำกับข้าวอะไรดี มันคือความลำบากต่อเนื่องที่ผู้ชายบางคนไม่เคยรู้ ต้องขอบคุณคุณแม่ของผมที่ทำให้ผมมองเห็นความลำบากด้านหนึ่งของความเป็นผู้หญิง
ผู้หญิงคนที่สองที่สามารถทำให้ผมรู้ว่าความลำบากที่ผู้หญิงมีอีกด้านคือ เพื่อนหญิงรหัสติดกับเมื่อมาเรียนที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่นั้นคือ อุ๊
เป็นเรื่องบังเอิญ หรือเป็นเรื่องของฟ้าเบื้อบนที่สั่งลงมา ไม่มีใครให้คำตอบได้ ที่ อุ๊ และผม จะต้องมาเจอกันเพราะเราเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ โดยที่เราสองคนมีชื่อจริงที่อักษรนำหน้าชื่อตัวเดียวกัน ทำให้เรามีรหัสประจำตัวนักศึกษาเรียงติดกัน ในการเรียนของนักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ชั้นปีที่ 1 ทางคณะได้จัดให้เราเรียนในวิชาต่างๆในชั้นเรียนเดียวกันตลอด ทำให้ผมและอุ๊ ต้องเจอกันทุกครั้งของชั่วโมงเรียนทุกวิชา ผมและ อุ๊เป็นเพื่อนที่เข้ากันได้ดี
อุ๊ เป็นเด็กสาวที่มาจากจังหวัดลำปาง อุ๊เป็นสาวตากลมโตแป๋วนิสัยร่าเริงแจ่มใส มองโลกในแง่ดีและมีความเป็น ผู้ยิ้ง ผู้หญิง อุ๊จะอาบน้ำสระผมให้ผมมีกลิ่นหอมอ่อนๆก่อนมาเรียนเสมอ เป็นผู้หญิงที่รักสวยรักงาม จนทำให้ผมตั้งฉายาเรียกเธอให้สมกับความเป็นผู้หญิงนั้นว่า หญิงอุ๊
แต่ถึงแม้ หญิงอุ๊ จะมีความเป็นผู้ยิ้ง ผู้หญิงอยู่ในตัวสูง หญิงอุ๊ ก็เป็นผู้หญิงที่ปากตรงกับใจเป็นอย่างมาก ใจคิดอย่างไร หญิงอุ๊ก็คิดอย่างนั้น หญิงอุ๊ไม่ถนัดในงานใส่หน้ากากเข้าหากันหรือเสแสร้ง จึงทำให้หญิงอุ๊ เลือกที่จะขลุกอยู่กับชายทมิฬทั้ง 7 คนในกลุ่มผม อันได้แก่ ตัวผมเอง ตุลย์ กิม ทิว เต้ ไอ้ภูมิ และไอ้เอก ( หากผู้อ่านคนไหนมาใหม่หรือสงสัยว่าทำไม ผมเรียกสองคนหลังด้วยคำว่าไอ้ กรุณา ย้อนกลับไปอ่านสาเหตุในตอนที่ 1 ) มิตรภาพระหว่างเพื่อนมันก่อตัวจนสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่มีใครรู้ รู้แต่ว่า เราตามกันไปเช่าอยู่หอพักนอกมหาวิทยาลัยกันโดยอยู่หอเดียวกัน ซึ่งเป็นหอพักรวมหญิงชาย โดยเช่าห้องทั้งหมด 4 ห้องติดกัน
หญิงอุ๊ คเลือกแล้วว่าจะต้องมาผจญชีวิตกับทะโมนทั้ง 7 และหญิงอุ๊ก็ต้องเอาตัวรอดฝ่าชีวิตมรสุมของเหล่าเพื่อนผองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ครั้งหนึ่ง พวกเราแห่งกันไปกินข้าวเย็นที่หลังมหาวิทยาลัยแล้วหญิงอุ๊ก็ถามคำถามขึ้นมาลอยๆว่า
นี่ถ้าเราจอบมีงานมีเงินเดือนกัน เงินเดือนๆแรก เคยคิดไหมว่าจะเอาไปทำอะไรกันบ้าง
ขอไม่ตอบ เพราะเราไม่จบปีนี้ เราจบปีหน้าโน้น ผมบอกปัด
เออ เราก็จบปีหน้า แย่วะ ต้องทำโปรเจ็คส่งใหม่ เลยกลายเป็นพี่เป้อเลย
ตุลย์เสริม เพราะตุลย์ก็เข้าค่ายนักศึกษาที่จะกลายเป็น พี่เป้อ พี่เป้อ เรียกให้สั้นลงจากคำว่า พี่ซุปเปอร์ คนที่เป้นซุปเปอร์คือคนที่เรียนไม่จบภายในระยะเวลาที่กำหนด เช่น คณะวิศวกรรมศาสตร์มีกำหนดให้เรียน 4 ปีจบ หากใครสอบตก ต้องซ่อม จะต้องเข้าเรียนปีที่5 ซึ่งนักศึกษาพวกนี้จะถูกรุ่นน้องเรียกว่า พี่เป้อ
ทำไมวะ! อยากรู้ไปทำไม เสียงไอ้ภูมิถามห้วนๆกวนประสาทยิ่งนัก
เอ๊ะ! ไอ้ภูมินี่ จะตอบหน่อยง่ายๆ ไม่ได้เลยรึไง หญิงอุ๊ ซึ่งเรียกชื่อมันว่าไอ้ ตามผมแต่ก็เห้นเป็นเรื่องปกติ เพราะมันสมควรแล้วที่มีคำนำหน้าว่า ไอ้
เราเดาว่า เธอจะเอาไปทำศัลยกรรมละสิ ไอ้ภูมิ เล่นมุขใส่หญิงอุ๊ เพราะ หญิงอุ๊ไม่ใช่คนขี้ริ้ว แต่ก็ไม่ใช่คนที่สวย แต่ก็น่ารักตามแบบฉบับของเธอ
ต้าย ! ทำเป็นรู้ความคิดชั้นนะยะ หญิงอุ๊ตอบมุขไปทำหน้าเอียงอายเล่นกับมุขไอ้ภูมิ
แต่....แทนที่เรื่องจะจบอยู่ตรงนั้นกลับมีเสียงไอ้เอกสอดขึ้นมา พร้อมกับทำหน้าเย้ยหยันหญิงอุ๊ว่า
คิดให้ดีนะอุ๊...เราว่านะ...หน้าอย่างนี้....เออ.... แล้วไอ้เอกก็เอียงหน้าดูหน้าหญิงอุ๊ทำพินิจพิเคราะห์
มันต้องเก็บเงินหลายเดือนนะ สี่แสนจะเอาอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้
พวกเราถึงกับฮาแตกฮาแตนกับมุขที่ไอ้เอกกัดหญิงอุ๊ คนที่ไม่ฮาด้วยก็คือคนที่โดนสบประมาท เธอจึงตอบไปด้วยไหวพริบที่ต้องฝึกปรือไว้ป้องกันตัวเอง
หนอย! ไอ้เอก แล้วนี่แกเสียเงินไปสักปากถาวรที่ไหนมาล่ะยะ มันถึงได้กว้างและหมาได้ขนาดนี้
ได้ผลสมาชิกทั้งวง ได้ฮาแตกกันรอบสอง พร้อมๆที่ไอ้เอกเงียบไปถนัดตา เพราะถึงแม้ว่ามันจะหน้าตาหล่อเหลา แต่ปากมันกว้างจริง มันจึงไม่มีทางเถียงทัน หลังจากวันนั้นจนถึงทุกันนี้ ที่ต่างคนต่างทำงานเมื่อมีโอกาสเจอกัน อุ๊ก็จะโดนแซวว่า
ว่าไงอุ๊ เก็บเงินถึงสี่แสนยัง
ขณะเดียวกันไอ้เอกก็จะถูกทักว่า
เค้ามีแต่ลบรอยสัก ปานแดง ปานดำ ปากที่โดนสักหมาถาวรนี่.... เค้าไม่มีลบปากหมาถาวรเหรอว่ะ
หลังจากที่ไอ้เอก โดนหญิงอุ๊พูดจี้ใจดำเรื่องปากกว้างมันก็จะพูดปลอบใจตัวเองตลอดว่า
ไม่เคยเห็นปากจูเลีย โรเบิร์ตเหรอ กว้างแต่หน้าจูบนะเว้ย ปากกูก็คงจะเป็นอย่างนั้น
มันพูดเสร็จพวกเราก็ได้แต่ฟังตาปริบๆ ปล่อยให้มันคิดไป หากนั่นคือความสุขของมัน
เรื่องความลำบากของอุ๊ ที่ผมรับรู้ เกิดขึ้นภายหลังที่ผมบอกกับอุ๊ว่าผมเป็นเกย์ อุ๊จึงกล้าที่จะเปิดเผยเรื่องบางเรื่องที่เธอไม่ค่อยจะได้คุยกับใครบ่อยนัก
โอ้ย ปวดท้องจัง อุ๊บ่นขึ้นที่ห้องสมุดคณะที่ที่เราอ่านหนังสือเตรียมตัวก่อนไปเรียนคาบเรียนต่อไปซึ่งมีการเรียนภายในไม่ถึง 10 นาทีข้างหน้า
ปวดท้องแบบท้องเสียเหรอ ผมถาม
หญิงอุ๊ส่ายหน้าแทนคำตอบว่าไม่ใช่
กินอะไรแสลงมาเหรอ แต่มื้อเช้ามื้อเที่ยงเราสองคนก็กินเหมือนกันนี่หนา
พล เธอเข้าเรียนเถอะเราคิดว่าจะไม่เรียนคาบนี้แล้ว ขอเรากลับไปที่หอก่อน อุ๊บอก
เฮ้ย ! แล้วถ้าอาจารย์มี ควิส ( Quiz) ขึ้นมาอุ๊ก็แย่สิ เก็บคะแนนด้วยนะ
ผมทักทวง เพราะควิส คือแบบทดสอบย่อยในชั้นเรียน และอาจารย์คาบต่อไปได้ชื่อว่าเข้มมากในเรื่องหากนักศึกษาไม่เข้าชั้นเรียนไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ไร้ความปราณี
ไปเรียนเถอะ อดทนหน่อย ตอนเรียนไม่คิดถึงมันเดียวมันก็หายเองแหละ ถ้าท้องเสียก็ขออนุญาตออกมาห้องน้ำก็ได้นี่ เหลืออีกคาบเดียวนะวันนี้นะ ผมยืนยันจะให้อุ๊ไปเรียนให้ได้
เอ๊า! ไปก็ไป จริงของเธอ อุ๊ตอบ
เราสองคนเข้าเรียนในวิชานั้น เรานั่งหน้าเรียน อุ๊ที่ร่าเริงมาตลอด วันนั้นหน้านิ่วมือข้างซ้ายวางบนตักมือขวากำปากกาจดตามที่อาจารย์บรรยาย สักครึ่งชั่วโมงผ่านไป หญิงอุ๊เริ่มหน้าซีดขึ้น มือที่กำปากกานั้นแน่นไม่ขยับเขียนตามคำบรรยาย ผมมองหน้าอุ๊แล้วกระซิบถามว่า
ไหวมั้ย ไปห้องน้ำมั้ย
อุ๊ส่ายหน้าแต่หน้าซีดลงไปเรื่อยๆ
ปวดก็อย่าทนไปห้องน้ำเถอะท้องเสียไม่ควรกลั้นนะ ผมเซ้าซี้
ไม่เป็นไร ท้องไม่เสีย อุ๊ตอบพร้อมหายใจยาวเหมือนต้องการควบคุมความเจ็บปวด
แล้วเป็นอะไรนะ ผมถามต่อ
ยังไม่ทันที่อุ๊จะตอบก็มีเสียงดังมาแทรกว่า
เธอสองคนมีเรื่องอะไรจะเล่าให้เพื่อนในชั้นฟังเหรอ เสียงอาจารย์ชายสุดเฮี้ยบถามเราสองคน ผมถึงกับสะดุ้งแล้วยิ้มแห้งๆ
เปล่าครับ ไม่มีอะไรครับ
ถ้าไม่มีก็ตั้งใจเรียน อาจารย์บอก พร้อมมองหน้าผมสองคนเชิงดุ ทำให้ผมไม่กล้าจะสบตากับหญิงอุ๊จนจบชั่วโมง แล้วการเรียนก็ดำเนินมาครบ ห้าสิบนาทีของเวลา หนึ่งคาบเรียน อาจารย์และเพื่อนๆต่างเดินออกจากห้องไป ผมก็ลุกตาม เหลือแต่อุ๊ที่เอามือกุมท้องตัวงอ เอาหน้าฟุบลงกับโต๊ะ หายใจถี่ ผมตกใจ
อุ๊ ปวดมากเหรอ ไปรีบกลับหอกันดีกว่า ผมรู้สึกเป็นห่วงแล้วพูดแสดงความห่วงใยต่อ
ปวดท้องไม่มีสาเหตุแบบนี้ น่ากลัวนะ
ชั้นรู้ว่าปวดท้องเพราะอะไร อุ๊ตอบเสียงสั่น
อ้าว ! แล้วทำไมไม่บอกล่ะว่าปวดเพราะอะไร
จะให้ชั้นบอกว่าเป็นเมนส์ต่อหน้าผู้ชายสามสิบกว่าคนในชั้นเรียนนะเหรอ! อุ๊เสียงฉุนเฉียว
...................... ผมพูดไม่ออกบอกไม่ถูก
พล....ช่วยพยุงชั้นกลับหอที คราวนี้ชั้นรู้สึกไม่ไหวจริงๆ
ได้ ไปกันเถอะ ผมรีบเข้ามาประคองร่างอุ๊
อุ๊หน้าซีด พร้อมกับรวบรวมกำลังทั้งหมดลุกขึ้นเกาะที่บ่าผมไว้
โอ้ย! ผมอุบานเพราะอุ๊บีบที่บ่าผมแน่น
ขอโทษ เจ็บเหรอ อุ๊ถามผม
อือ
ข้างในมดลูกชั้นเจ็บกว่าหลายเท่า เสียงอุ๊พูด และหน้าตาของอุ๊ที่ผมมองเห็น สื่อถึงความเจ็บปวดที่ไม่ได้แกล้งทำแต่อย่างใด และนี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้จากคนที่สนิทว่า การปวดประจำเดือนมันเจ็บแค่ไหน ผมอาจจะเรียนมาก็จริงว่าผู้หญิงอาจมีการปวดท้องเมื่อปวดประจำเดือนแต่ครั้งนี้ ผมได้ซึบซับผ่านแรงบีบที่อุ๊ได้บีบที่บ่า ว่าอุ๊ปวดอย่างแสนสาหัส
ผมพาอุ๊กลับมาที่หอพัก อุ๊ทรงลงที่เตียงนอน นอนขดตัวงอเหมือนกุ้งที่หดตัว ผมรู้สึกสงสารที่เพื่อนเจ็บแต่ผมไม่สามารถช่วยอะไรอุ๊ได้ อุ๊ให้ผมหยิบยาแก้ปวดให้พร้อมกับน้ำหนึ่งแก้ว เพื่อกินระงับความปวด เป็นยาที่เธอมีไว้ประจำห้องอยู่แล้ว จากนั้นผมให้อุ๊นอนพัก ผมบอกว่าเดี๋ยวผมจะซื้อข้าวเย็นมาทานด้วยกันที่ห้องเอง แล้วผมกำลังจะออกจากห้องของอุ๊ แต่แล้วก็ต้องหันหลังกลับเมื่อเสียงอุ๊เรียก
พล อยู่เป็นเพื่อนชั้นจนกว่าชั้นจะหลับได้ไหม
ได้สิ ผมบอก
คนอื่นมันก็ไปเตะบอลกัน ที่ห้องเราก็อยู่คนเดียวอยู่แล้ว ผมยิ้มให้อุ๊
ปวดอย่างนี้ทุกเดือนเหรอ ผมถามด้วยความเป็นห่วง
อื้อ อุ๊ตอบ
ปวดแค่ไหนล่ะ อาการปวดมันเป็นแบบไหน ผมก็ดันอยากรู้อีก
อยากรู้จริงๆเหรอ
ผมพยักหน้าลงแทนคำตอบ
จะบอกยังไงดีล่ะ คือ....เอาเป็นว่าเธอจินตนาการว่าเธอกินข้าวอิ่มจนอึดอัดท้องป่องขึ้นมา มันก็จะรู้สึกไม่สบายตัว ปวดแน่นไปหมด ขณะเดียวกันก็จะรู้สึกว่าเลือดมันไหลออกมาจากตัวตลอด คนที่อยู่ใกล้ตัวไม่รู้สึกหรอกนะ แต่คนที่เป็นเมนส์ก็จะรู้สึกเหม็นตัวเอง เหม็นเลือด ไอ้เลือดที่ไหลออกนี่มันจะทำให้เราหงุดหงิด พอปวดท้องมันก็จะทำให้ปวดหัว มันไม่สบายตัว รู้สึกท้องป่องและก็ปวดขึ้นๆ อยากให้ใครมาใกล้เลยมันมุดมัด รำคาญไปหมด ยาก็ช่วยบรรเทาไม่ได้ทำให้อาการหายปลิดทิ้งหรอก โชคดีที่สมัยนี้มีผ้าอนามัยใช้ หาซื้อง่ายนะ ชั้นเคยคิดเล่นๆคนสมัยก่อนต้องลำบากแน่ๆ
ผมฟังสิ่งที่อุ๊อธิบาย พยามเข้าใจในความเจ็บปวดที่ผู้หญิงมีทุกเดือนๆ แต่ถึงจินตนาการไปผมก็ไม่มีมดลูกไม่มีรังไข่ คิดได้แค่ปวดท้องเพราะกินอิ่ม แต่อาการที่อุ๊อธิบายว่ามีเลือดไหลออกด้วยนี่ ทำเอาผมรู้สึกหวาดเสียวเลยทีเดียว
เธอรู้ไหม สมมติว่าแต่ละเดือนเราได้เงินใช้จากพ่อแม่เท่ากัน ชั้นต้องเอาส่วนหนึ่งมาซื้อ ยกทรงในขณะที่พวกเธอก็มีแต่กางเกงใน แล้วรายจ่ายของชั้นก็เพิ่มขึ้นเพราะต้องสำรองจ่ายค่าผ้าอนามัยต่อเดือนเป็นร้อย
หา! เป็นร้อยเชียวเหรอ ผมตกใจ
เออสิ! ร้อยนี่ ขณะที่พวกเธอสามารถกินก๋วยเตี๋ยวได้ตั้งหลายชาม ส่วนชั้นต้องประหยัดเอาไว้กับค่าผ้าอนามัย เฮ้อ! คิดดูแล้วกัน ว่าความยุติธรรมมันอยู่ที่ไหนสำหรับผู้หญิงกับผู้ชาย
อุ๊ เปรียบเทียบอย่างมีเหตุผล ขณะผู้หญิงปวดท้องและต้องประหยัด ผู้ชายก็อิ่มท้อง และแน่นอนมื้อเย็นมื้อนี้ ผมจะหลีกเหลี่ยงก๋วยเตี๋ยวเพราะจินตนาการผมตอนนั้นมันมีทั้งเลือดสดและก๋วยเตี๋ยว
แต่คนที่น่าสงสารที่สุดคงจะเป็นพ่อกับแม่ อุ๊พูดต่อ
อย่างชั้นมีพี่น้องสามคนเป็นหญิงหมด พ่อแม่ต้องหาเงินมาซื้อของพวกนี้มาให้ลูกๆใช้ แถมใช้แล้วมาใช้อีกไม่ได้ด้วยนะ ใช้แล้วทิ้งอย่างเดียวแย่จริงๆ...
เสียงอุ๊เริ่มเบาลงเรื่อยๆ อาจเป็นเพราะยาแก้ปวดและได้ผ่อนคลาย ผมมองเห็นอุ๊หลับตาลง และหลับไป ผมนิ่งเงียบมองหน้าของอุ๊ เรื่องบางเรื่อง ธรรมชาติก็สร้างให้แค่ฝ่ายหนึ่งเข้าใจความเจ็บปวดของการมีประจำเดือน ถึงแม้ในขณะนาทีนี้ ผมก็ไม่รู้ว่ารสชาติความเจ็บนั้นเป็นอย่างไร ผมรู้แต่ว่า คงไม่มีใครอยากจะได้รับความเจ็บปวดหรอก ทุกคนอยากสบายๆ สำหรับผู้ชายแท้ หรือผู้ชายเกย์ อย่างผมที่แต่ละเดือนไม่ต้องคอยกังวลว่าจะต้องปวดท้องเพราะประจำเดือน เราโชคดีแค่ไหน เราควรแบ่งปันความโชคดีของเราโดยการเข้าใจเขาบ้าง
ถ้าเค้าบ่นปวดท้อง ปวดหัว อยากอยู่บ้านคนเดียวไม่อยากไปไหน แม้ว่าเราอาจจะนัดเค้าไปดูหนัง ออกไปซื้อของ แล้วเค้าปฏิเสธเพราะเหตุผลปวดท้อง ทั้งหลายแหล่ จงอย่าเซ้าซี้ แต่คุณควรถามและแสดงความเป็นห่วง
มีอะไรให้ผมช่วยได้บ้าง ถ้ามันทำให้คุณจะได้รู้สึกดี
ถึงแม้จะทำได้แค่คำพูดแค่นั้น เพราะเราทำอะไรได้ไม่ได้มากกว่านั้นจริงๆ และหากได้คำตอบจากผู้หญิงว่า
คุณกลับไปก่อนเถอะ
ก็จงน้อบรับในคำตอบนั้นให้เค้าได้อยู่คนเดียวในช่วงนั้นของผู้หญิง เพราะคงมีผู้หญิงเท่านั้นครับ ที่เข้าใจความลำบากที่มาเป็นประจำ...ทุกเดือน...ทุกเดือน
...............................(จบตอนที่ 7)............................