12 ตุลาคม 2548 16:59 น.
ชลกานต์
เชิญดอกไม้ใหญ่น้อยร่วมร้อยรุ้ง
มาประปรุงวลีที่ฉันเขียน
เชิญดาวรายพรายงามตามมาเจียร
ใต้แสงเทียนเราหลอมไปพร้อมกัน
ดูบางคนค้นความล้ำคำเลิศ
คอยเฝ้าเปิดดวงใจใฝ่สร้างสรรค์
ดูสิมีหิ่งห้อยพลอยวอมจันทร์
บินมาจากวรรคนั้นเขาบรรจง
โน่นผีเสื้อวัยเยาว์เล่าของใคร
ใส่เสื้อใหม่อวดบินถึงถิ่นหงส์
เพียงพบปะผละจากผละขึ้นลง
ทั่วทั้งดงแดนดินถิ่นวนา
อาจมีใครไหวหวั่นจนพลันเสก
ให้ดอกเมฆร่วงหล่นเป็นฝนหนา
แทนความรักหักเหี้ยมเสี้ยมอุรา
แทนน้ำตาเขานั้นวันเธอเมิน
แดนของเราเขาใครจะไปถึง
ด้วยเสพย์ซึ้งวลีที่ขัดเขิน
เพราะมิใช่กวีมีคำเพลิน
แค่นิพนธ์คนเดินความตามใจ
เราไปมาหากันทุกบรรทัด
ไปเป่าปัดปลุกปั้นปะคำไข
เกินจะนึกลึกเกินว่าทำไม
เพียงเราได้ดื่มด่ำคำก็พอ..
10 ตุลาคม 2548 11:58 น.
ชลกานต์
สวัสดีตุลาคมแห่งลมหนาว
แว่วยินข่าวน้ำค้างกลางหมอกหนา
ถึงฤดูไม้ดอกบานหยอกตา
เช้าจะช้าบ่ายแดดแก่แต่ค่ำไว
เราจากกันวันที่หนึ่งพฤศจิกา
จนเวียนมาใจสบพบกันใหม่
คงได้เห็นเธอพริ้มยิ้มละไม
มิหวั่นไหวเหว่ว้าคราเงียบงัน
ทุ่งนาปีนี้เหลืองรอเปลื้องรวง
แสงจันทร์ยวงรอพร่างกองฟางฝัน
หริ่งเรไรไล่เสียงพร้องเพรียงกัน
พฤกษ์ช้ำพลันช่อชื่นดูรื่นรมย์
สวัสดีตุลาคมที่ฉันรัก
กลางหมอกถักก่อไฟไออุ่นห่ม
ยอดดอยหนาวดาวชัดถนัดชม
ปล่อยสายลมเย้าแย้มเกลี่ยแก้มบาง
อรุณรุ่งทุ่งฟ้าราวระยิบ
แดดลงจิบแสงจับขยับร่าง
เด็กวิ่งเล่นเส้นฝุ่นหมุนคว้างคว้าง
ปนควันจางกลิ่นชื้นฟืนและซัง
สงบงามตามแบบตุลาคม
หนาวประสมอุ่นประสานหวานแววหวัง
ก่อนเธอจะจากไปในลำพัง
โปรดหยุดฟัง..ฉันรักเธอตุลาคม
7 ตุลาคม 2548 16:21 น.
ชลกานต์
มองดอกหญ้าคราไหวใกล้ธารหวาน
ผีเสื้อผ่านมาพักทักลมสาย
ทักดอกหญ้าน้ำค้างฉ่ำพร่างพราย
เปี่ยมประกายแดดต้องท้องธารา
เรี่ยมเรี่ยมริบวิบวับขยับเพรา
ใต้ร่มเงาแดดจางมิเจิดจ้า
ละอองลมพรมหอมพะยอมมา
กลิ่นพนาไพรพฤกษ์ล้ำลึกนัก
คงเป็นพรรัมภาจากฟ้าโพ้น
มาปลอบโยนขวัญหล้าที่ล้าหนัก
จากน้ำมือถือยุดมิหยุดพัก
มิตระหนักสักสิ่งอันจริงแท้
แม้แต่กลีบบุปผายังฆ่าเข่น
หรือมนุษย์นี่เป็นกระไรแน่
ถึงทำลายหมายปลิดริดดวงแด
กระทั่งถิ่นแดนแม่ธรณี
จะอยู่เย็นเช่นไรในโลกหล้า
ต่างเสาะหาเรืองรุ่งฟุ้งเฟื่องสี
มิต่างเสาะสักเศษเก็จความดี
จึ่งธุลีนั้นไร้คุณค่าพอ
มหานครคนเขื่องเปรื่องมนุษย์
ได้เร่งรุดเข้าสร้างวางทางท่อ
สร้างถนนรุกรานสะพานรอ
ให้คนเข้าไปก่อและทำลาย
นี่อาจเป็นวันสุดท้ายที่ได้พบ
ดอกไม้สบดวงตาตะวันฉาย
เรณูว่อนฟ้อนฟ้าราระบาย
ความงามตาย ..เมืองคับกลับรุ่งเรือง..
6 ตุลาคม 2548 10:40 น.
ชลกานต์
ดูโน่นเรือดวงดาวราวละล่อง
จากฟ้าผ่องปราศเมฆเสกบังสรวง
ไปทิศใต้ไหววับแล้วลับดวง
คงเป็นห่วงบางใครใช่ไหมดาว
จึงเดินทางห่างฟ้ามาพิงพื้น
ในค่ำคืนหมอกหนักจักษ์เหน็บหนาว
ในค่ำคนจนยากลำบากคราว
สายลมร้าวเย็นเยียบมาเทียบชาน
ฤดูหนาวกี่ดาวมาก้าวดิน
มาไกลพิณไพเราะเสนาะขาน
มาช่วยผู้ยากไร้ในกันดาร
เพื่อสืบสานความดีที่มีมา
ต้องฝ่าท่องล่องข้ามตามธารเชี่ยว
เลาะป่าเปลี่ยวโคลนเปรอะเขรอะหนักหนา
จะหนักงานหว่านเหงื่อเหนือน้ำตา
เพียงผวยผ้าพอคลุมหุ้มทุกคน
เอาหยูกยามาด้วยเพื่อช่วยเหลือ
กางเกงเสื้อรองเท้าเขาขัดสน
กี่ดวงดาวสู้คราวหนาวทุรน
ทำเพื่อคนอีกมากที่ฟากดิน
ช่างน้อยดาวพราวดวงจากสรวงชั้น
ที่แบ่งปันน้ำใจอยู่ไกลถิ่น
อีกมากดาวบนหาวมิยลยิน
อยู่รอสิ้นแสงเงาไปเท่านั้น..
29 กันยายน 2548 13:31 น.
ชลกานต์
เริ่มวันใหม่ใจท่องสู่คลองหนาว
คิดถึงคราวยังเล็กเด็กช่างฝัน
มองใบไม้ไหววับรับตะวัน
มองลมสั่นพู่แดงแกว่งดอกงิ้ว
ถึงศาลาท่าน้ำลมฉ่ำชื่น
ระลอกคลื่นรับเลื่อมกระเพื่อมผิว
เรือเทียบชมร่มไผ่ปลิดใบปลิว
จากยอดทิวสู่ธารละลานตา
ใกล้เรือนแม่แคร่เก่าที่เรานั่ง
มีความหลังทำนองผองปักษา
นั่งฟังเสียงเคียงอกของนกกา
ใต้พุทราลูกดกตกเกลื่อนเต็ม
จากไปนานผ่านเรือนเหมือนจะลืม
มัวหลงปลื้มเปล่าเปลืองเมืองไฟเข้ม
ลืมกลิ่นเกลือเหงื่อหยาดรสชาติเค็ม
กว่ายุ้งเต็มกองข้าวกี่ก้าวใคร
พ่อและแม่หลังแข็งแกร่งเกินงาน
เพื่อเราสานเติมต่อก่อฝันใหม่
ใช่เราหลงดงแสงเมืองแห่งไฟ
ลืมว่าใครยังยากลำบากลำบน
กลับมากราบทาบตักบอกรักแม่
เก็บรวงแคดอกแดงที่แต่งต้น
กลับมาคลุกปลุกดินเริ่มดิ้นรน
ฝึกอดทนจากท้อระย่อทาง