27 กุมภาพันธ์ 2550 13:37 น.

หนูน้อยโคโยตี้กับอนาคตที่เลือก

ชมพูภูคา J.



เพราะมีเรื่องให้เก็บมาเล่า  เลยต้องเล่า เล่า เล่า
เราแก่เกินไปหรือเปล่าไม่รู้  เห็นอะไรขวางหูขวางตาไปเสียหมด
เมื่อ 2 , 3 วันก่อน มีโอกาสไปงานแต่งงานเพื่อน
เขาก็มีดนตรี  มีนักร้องสาวๆ แต่งตัวเปิดเผยขึ้นไปโยกย้ายส่ายเอวบนเวที
ดู ๆ ก็เพลินตาดี (ถ้านักร้องจะสวยกว่านี้อีกซักหน่อย จะยิ่งดีมาก)
เดี๋ยวนี้ไปงานไหนๆ ก็มักมีโชว์แบบนี้ ไม่เว้นแม้กระทั่งงานบวช
ทำเอาอุบาสก อุบาสิกา ศีลแทบขาด นี่ยังไม่นับรวมพระสงฆ์องค์เจ้า
ที่ต้องหลับหูหลับตาเร่งสวดคาถาภาษาบาลี 
ยุบหนอ ยุบหนอ ยุบหนอ อย่าเพิ่งพอง  เลยหนอตอนนี้ 
(ไม่รู้ผิด ๆ ถูก ๆ หรือเปล่า เพราะไม่มีใครแปลออก)

คนไทยจัดกิจกรรมอะไรทั้งทีก็ต้องมีเอนเตอร์เทนแนบไปด้วยเสมอ
อาจเพราะเจ้าภาพกลัวงานกร่อย  ไม่มีคนมา  จึงต้องหาอะไรที่มันคึกคัก ๆ
มาเป็นน้ำจิ้ม  เขาถึงบอกว่าคนไทยไปถึงที่ไหน  ความเมามันส์ไปถึงที่นั่น
เคยอ่านหนังสือของพระพยอมตอนหนึ่งท่านกล่าวไว้ว่า  
แม้แต่ในประเทศที่นับถือศาสนาอิสลามเขาห้ามผลิตเหล้าขายแท้ๆ  
แต่หาซื้อได้จากคนงานไทยที่ทำงานอยู่ที่นั่น  มันซื้อไม่ได้ เพราะไม่มีที่ขาย
หิ้วจากประเทศไทยไปก็ไม่ได้   มันก็เลยต้มเองซะเลย

แล้วเกี่ยวอะไรกับหนูน้อยโคโยตี้ ?
ในงานวันดังกล่าว  มีลูกหลานทั้งของแขกที่มาร่วมงาน
รวมทั้งเด็กๆ ฝ่ายเจ้าภาพ  วิ่งเล่นกันให้คึ่ก
แล้วจู่ๆ ไม่รู้ใครจับหนูน้อยหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู อายุ ไม่น่าเกิน 7 , 8 ขวบ
เด็กมาก และกล้ามาก ๆ กับการขึ้นไปยืนอยู่บนเวทีสูง ๆ
ท่ามกลางสายตาคนนับพัน ซึ่งเด็กสมัยก่อนคงจะยืนม้วนเหมือนถูกใครจับบิด
แต่นี่หล่อนกล้าแสดงออกถึงขั้นที่นักร้องและแดนเซอร์ตัวจริงยังทึ่ง
เพราะถูกขโมยซีนไปต่อหน้าต่อตา  ทำอะไรไม่ถูก  
ได้แต่ยืนเท้าสะเอวมองอีหนูสู้ไม่ถอยที่กระโดดขึ้นมาวาดลวดลายแทน
(ท่าทางคลื่นลูกใหม่จะมารั้งตำแหน่งเร็วเกินไปเป็น 10 ปี)
คิดว่าคงไม่มีใครไปสอนท่าเต้นแบบนั้นให้แกหรอก  ถ้าพ่อแม่บ้านไหน
สอนให้ลูกเต้นท่าแบบนั้น ต้องบอกว่าพ่อแม่คู่นั้นจัญไรจริงๆ (ขออภัยที่ต้องใช้
คำนี้ แต่คุณจะเข้าใจได้ทันทีว่าภาพที่ปรากฎนั้น ไม่ใช่
การแสดงออกของพวกเราชาวพุทธ  ไม่ใช่แค่เหยียบย่ำวัฒนธรรม
ของชาติให้แหลกเละไม่มีชิ้นดี แต่นี่มันไร้อารยธรรมชัดๆ เรากำลัง
ยัดเยียดอะไรให้กับเยาวชนรุ่นใหม่ ขอถาม)
คุณคิดอย่างไรที่เห็นสาวๆ โคโยตี้ เต้นยั่วยวนกวนอารมณ์ในผับในบาร์
นั่นคืออาชีพ ๆ หนึ่ง  ถ้าบรรลุนิติภาวะ  ถูกกาละเทศะกับเวลาและสถานที่
ก็คงไม่ผิดอะไร  (ผู้เขียนก็ชอบ)  แต่ไม่ใช่กับเด็กตัวเท่านี้
สิ่งที่ย่ำแย่เข้าไปใหญ่ คือ มีผู้ใหญ่ตัวเท่าควาย (ต้องใช้คำนี้จริงๆ) ไม้รู้ใช้อะไรคิด
นอกจากความเมามันส์แบบสิ้นสติ  ทะลึ่งออกไปเชียร์ให้เด็กๆ เต้นยั่วหนักขึ้น
แลกกับธนบัตรในมือ  นี่มันอะไรกัน  คุณเห็นอะไรในสายตา
เขาคือเยาวชนไทยตัวน้อยๆ ที่กำลังกระหายจะเรียนรู้เรื่องราวจากสิ่งรอบตัว
เขาคือผู้รับสื่อที่ถูกถ่ายทอดออกมาจากผู้ใหญ่ที่ไร้สามัญสำนึกโดยแท้
คุณคิดดู  เด็ก ๆ จะไปจดจำท่าเต้นแบบนั้นมาจากที่ไหน
นี่ยาพิษมันไหลทะลักเข้าไปถึงโลกใบเล็กของเด็กๆ แล้วหรือไง
ใครจะรับผิดชอบกับอนาคตของเขา
ถ้าหนูน้อยรักจะเดินตามรอยอาชีพนี้
มันไม่ใช่อาชีพที่ผิดแต่อย่างใดก็จริง  
แต่เด็กก็คือเด็กเขายังไม่มีวิจารณญาน
เพียงพอจะควบคุมและรับผิดชอบตัวเองได้    
เชื่อว่า  เสียงกรีดร้องชอบใจ  ผสมกับเสียงเชียร์
ให้กับลีลาท่าเต้นรูดเสาแบบนั้น
คงไม่มีใครรู้สึกอิ่มเอม  ปลาบปลื้ม
ถ้าเป็นลูกสาวของตัวเอง
ยิ่งนับรวมไอ้บ้าวัยร่วมครึ่งชีวิต
ที่เข้าไปเต้นเย้าแหย่อยู่ข้างเวทีด้วยแล้ว
มันยังจะทำได้อยู่อีกหรือ
ถ้านั่นเป็นลูกหลานของตัว
อยากรู้จริงๆ...


				
26 กุมภาพันธ์ 2550 11:35 น.

ไม่อยากเป็นกบ

ชมพูภูคา J.


ไม่มีใครอยากเป็นกบ
โดยเฉพาะกบในกะลา
เพราะกบในกะลาดูโง่เง่า  ล้าลัง  ไม่เท่าทันโลก
โลกหมุนเร็ว  ชีวิตก็ต้องหมุนให้เร็วขึ้น เร็วขึ้น  เร็วขึ้น
ใครๆ จึงพยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากกะลา 
ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไปทำไม
หรือแค่ต้องหลุดให้พ้นจากคำว่ากรอบ หรือ กะลา เท่านั้น

ไม่อยากเป็นกบเพราะ
อิสระกับการได้ทำอย่างใจ  อิสระของการโลดแล่นไปบนวิถีแห่งเสรีภาพ  
ได้คิด  ได้ทำ  ไม่มีกฎเกณฑ์  รับรู้รสชาติของการได้ท่องไปในโลกกว้าง
ไร้ซึ่งพันธนาการใดๆ  และภาคภูมิกับการได้ชื่อว่า  หลุดพ้นกรอบ 
ได้ออกมายืนชูคอสลอนอยู่ในโลกใบใหญ่

แต่กบก็ยังเป็นกบ
ตัวก็เท่านี้  พยายามหลุดพ้นจากกะลาใบนี้
ก็ไปเจอกะลาใบที่ใหญ่กว่า ใหญ่กว่า และใหญ่กว่า
ในที่สุดกะลาก็ใบใหญ่เท่าโลก  แล้วกบจะทำอย่างไร  
อิสระอย่างที่ใจคิด  แต่หัวใจกบเล็กนิดเดียว  ไม่ได้ใหญ่โตกว่าตัว
หากอิสระอยู่แค่เพียงความสุขในหัวใจ
จะต้องตะเกียกตะกายไขว่คว้าทำไม  
เพราะอิสระภาพไม่ได้อยู่ไกลเกินกว่าหัวใจดวงนี้เลย


				
31 มกราคม 2550 15:53 น.

นิทานข้างห้อง...นอน (ตอน หนูเป็นสาวแล้วแต่เขายัง)

ชมพูภูคา J.


วันวัยเยาว์ของเราแล่นฉิวติดจรวด
หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป
เราผ่านหน้าร้อน หน้าฝน หน้าหนาว มาด้วยกัน 3 รอบ
บางปีไม่มีหน้าหนาว  แต่เราก็ถูกจับใส่เสื้อกันหนาวสีสวยด้วยกันทั้งคู่
(หมายถึงฉันกับโก้)  จนแล้วจนรอดพ่อแม่ก็ยังไม่เข้าใจลูก ๆ 
ของพวกเขาอยู่ดี  และบางครั้งความหวังดีก็แฝงด้วยยาพิษ
จำได้ว่าพอพ้นสายตาของพวกท่าน  ฉันก็แทบจะถอดเสื้อไหมพรม
ตัวนั้นทิ้ง  ก่อนจะเก็บเอามาใส่อีกครั้งในตอนเย็นก่อนกลับบ้าน
แน่นอน  ฉันกับเขาใจตรงกัน  เราเกลียดเสื้อกันหนาวเข้าไส้
โดยเฉพาะสีสันลวดลายเดียวกันเป๊ะแบบนี้  ช่างโหดร้ายสิ้นดี
เราไม่ใช่ฝาแฝดที่พ่อแม่ต้องจับแต่งตัวให้เหมือนกัน
แล้วเราก็ตัวโตเกินไปที่ทำอะไรแล้วดูน่ารักไปทั้งหมด 
ดังนั้น  ยอมหนีโรงเรียนดีกว่าจะไปโรงเรียนด้วยความอัปยศเช่นนั้น
ปีสุดท้ายของชั้นมัธยมต้น ณ สถาบันแห่งท้องทุ่งนี้
ความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเริ่มแสดงให้เห็น
ฉันดูอวบขึ้น  ทั้งที่ปริมาณอาหารการกินเท่าเดิม
ขายาวขึ้น  เริ่มมีสิวเม็ดเล็ก ๆ น่าเกลียดที่สองข้ามแก้ม
แม่บอกว่าฉันกำลังก้าวข้ามจากวัยเด็กมาสู่วัยวันอันสดใส
ปีนี้ความเปลี่ยนแปลงยังเกิดขึ้นกับฉันอย่างต่อเนื่องและเห็นได้ชัด
ในขณะที่โก้เหมือนเดิม  เขาตัวเตี้ยกว่าฉันแล้วในปีนี้
เราสองคนดูเสมือนคู่มวยคนละรุ่น
โก้เริ่มพยายามแยกตัวห่างจากฉันเท่าที่เขาจะทำได้
ซึ่งก็เป็นการดีสำหรับฉันเช่นกัน  เพราะทำแค่อยู่เฉยๆ เท่านั้น
โก้เริ่มเข้ากลุ่มเพื่อนกลุ่มใหม่  ต่างห้อง ต่างระดับชั้น
ทำตัวเหมือนเด็กมีปัญหาในสายตาของฉัน  
ชอบทำตัวแปลกแยก  ไม่คบเพื่อนห้องเดียวกัน  มั่วสุมตามมุมตึก   
ยึดห้องน้ำเป็นสมาคมส่วนตัว  และ  ฉันคิดว่าโก้เริ่มหัดสูบบุหรี่
ฉันไม่อยากสนใจเขาเท่าไร  มีเรื่องแบบผู้หญิง ๆ น่าสนใจกว่าเยอะแยะ
โดยเฉพาะการรักษาหัวสิว  ที่เริ่มบวมเป่งขึ้นทุกที
เดี๋ยวนี้พ่อแม่ไม่ค่อยตามรับตามส่งเราเหมือนเมื่อก่อน
ไม่รู้เพราะท่านมีงานยุ่ง  หรืออาจเห็นว่าถึงเวลาควรปล่อยกบ
อย่างเราออกนอกกะลาเสียบ้าง
โก้ถือโอกาสเถลไถลออกนอกเส้นทางในบางวัน  สำหรับฉันนาน ๆ ครั้ง  
มีข่าวไม่ดีแว่วมาเข้าหูบ้างเกี่ยวกับโก้
 ซิโก้แอบปิ๊งรุ่นพี่  
 ซิโก้นัดสาวไปดินเนอร์ 
ฉันไม่รู้ว่าโก้ทำอะไรบ้างในแต่ละวัน  
แม้ว่าเราสองคนยังออกจากบ้านมาโรงเรียนพร้อมกัน  อยู่ห้องเดียวกัน
นั่งโต๊ะติดกัน  แต่ทำไมเหมือนอยู่ไกลกันคนละโลกก็ไม่รู้
ฉันคิดว่าเราสองคนแทบไม่มีกันและกันในสายตาด้วยซ้ำไป

วันหนึ่งก่อนปิดภาคเรียน  โก้ลากฉันออกมาจากกลุ่มสาวๆ
 รู้แล้วใช่ไหม  เทอมหน้าเราสองคนต้องแยกชั้นเรียน 
ฉันพยักหน้า  
 อือ   
 วันนี้รอด้วย  กลับบ้านพร้อมกันนะ  
โก้บอกแค่นั้น  แล้วก็หายหัวไปไม่เข้าห้องเรียนอีกเลยจนกระทั่งเย็น

เราสองคนนั่งเคียงข้างกันอยู่ริมสระน้ำหน้าโรงเรียน
เด็กๆ หลายคนถูกเพื่อนจับโยนลงน้ำสนุกสนาน
บ้างก็แลกลายเซ็น  คำร่ำลา  ประทับบนเสื้อผ้า ผิวหนัง
เรื่อยไปตามแต่ความพิเรนของแต่ละคน
หลายคนจบการศึกษาและกำลังจะจากไป
แต่ฉันกับโก้ยังเลือกเรียนต่อที่นี่ในระดับชั้นมัธยมปลาย
ดังนั้น  เราไม่จำเป็นต้องมานั่งทำซึ้งยังกับจะไม่ได้กลับมาอีก
 มีอะไรหรือเปล่า   ฉันถาม  หลังจากเราสองคนนั่งมองทางโน้นทีทางนี้ทีอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง  โดยไม่ได้มองหน้ากันเลย
 เปล่าหรอก  ฉันยังไม่กลับนะ  เธอกลับก่อน  บอกพ่อกับแม่ด้วย  จะไปฉลองกับเพื่อน 
 กะยายนั่นน่ะเหรอ  คำถามแรงแซงเร็วแบบไม่ต้องคิด  
โก้พยักหน้า  แล้วก็ลุกจากไปดื้อๆ  ฉันมองเขางง ๆ 
ไม่เข้าใจเด็กผู้ชายเลยจริงๆ  
ยายนั่นคือเด็กผู้หญิงห้องอื่นที่มีข่าวคราวว่ากุ๊กกิ๊กกัน  
หล่อนไม่ได้เรียนต่อที่นี่  และโก้คงเสียใจไม่น้อย
แย่จังที่ฉันช่วยอะไรเขาไม่ได้  

ฉันไม่เห็นโก้ในอีกหลายวันถัดมา
พ่อแม่ของเขาบอกว่าโก้ขอไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ ที่ต่างจังหวัด
และสงสัยว่าทำไมฉันถึงไม่ร้องขอไปด้วย  ก็เรียนอยู่ห้องเดียวกันแท้ๆ
ฉันได้แต่บอกว่า  มีแต่เพื่อนผู้ชายเท่านั้นที่ไป
ก่อนจะสบโอกาสปลีกตัวขึ้นห้องนอน  ทั้งที่ตั้งใจจะนั่งกินขนมมากกว่า
ขอบตาผ่าวร้อน  สัมผัสถึงอุ่นไอของน้ำตาที่เริ่มหลั่งรินช้าๆ 
เสียงสะอื้นแผ่วเบา  นานจนหลับไปในที่สุด
นาทีนั้นโลกของฉันกับโก้ก็ห่างกันไปไกลสุดขอบฟ้าแล้ว
แม้ว่าไม่ช้าไม่นานเราก็กลับมาเจอกันอีก (เพราะบ้านอยู่ติดกัน)
แต่เราสองคนก็รู้ว่า  ...ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว...
  


				
27 มกราคม 2550 16:41 น.

นิทานข้างห้อง...นอน (ตอน เทอมใหม่กับใครคนเก่า)

ชมพูภูคา J.



คงอีกนานกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง  และฉันก็ไม่รีบ
หนูน้อยผู้ส่งจดหมายฉบับนั้นแกรอได้  เพราะอายุแกยังน้อยมีเวลาอีกเยอะ
แต่ฉันก็คงไม่ใช้เวลาทั้งชีวิตในการเดินทางครั้งนี้หรอก  กรุงเทพระยองแค่นี้เอง
ฉันเพียงแค่อยากใช้เวลาเงียบๆ ตามลำพัง  เพื่อรำลึกถึงใครบางคน
ซึ่งเมื่อก่อนไม่ค่อยได้นึกถึง  (เราคงไม่จำเป็นต้องนึกถึงใครคนหนึ่ง
หากเห็นหน้ากันอยู่ตลอดเวลา)

ทำไมฉันจึงตั้งชื่อเรื่องนี้ว่า  นิทานข้างห้อง...นอน
มันง่ายมากสำหรับคนที่ขี้เกียจใช้หัวคิดอย่างฉัน
เพราะเรื่องราวทั้งหมด  เกิดขึ้นข้างห้องของฉันนี่เอง  
แล้วจะไปเสียเวลานอนมานั่งคิดให้วุ่นวายทำไม
หลังจากจำใจรู้จักโก้มานาน  นานถึง 2 ปี  
เราก็มีเรื่องต้องใกล้ชิดกันมากขึ้น  แกะกันไม่ออกมากขึ้น
เมื่อพ่อแม่รอเวลาจะจับเราสองคนมาไว้โรงเรียนเดียวกันได้เสียที
เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าอย่างชาญฉลาด  พ่อแม่นักบริหารของเราว่าอย่างนั้น
ใช้รถไปรับไปส่งแค่คันเดียว  เผลอๆ ก็ใช้ผู้ปกครองคนเดียวกันไปด้วย
ฉันไม่เคยคิดอยากมีพ่อแม่เพิ่มขึ้นมาอีกคู่หนึ่งเลย  แล้วก็ไม่อยากมีพี่ชายหรือน้องชายด้วย
ฉันอยากมีชีวิตเรียบง่าย  สงบๆ บ้าง  ไม่ใช่ครื้นเครงได้ตลอดเวล่ำเวลา
พ่อแม่ของพวกเราเป็นพวกเอ็นจอยไลฟ์ หากลูกๆ ของพวกเขาตรงกันข้าม
ฉันเบื๊อเบื่อจริงๆ ให้ตาย  แต่โก้คิดไปไกลกว่าฉันเสียอีก  
เขาบอกว่าถ้ามีโอกาสดีๆ จะฆ่าให้ตายยกครัวเลย

วันแรกของการไปโรงเรียนใหม่  เลวร้ายกว่าที่คิดไว้
ฉันต้องหนีบโก้ไปด้วยตลอดทั้งวัน
พ่อแม่ฝากฝังพวกเราไว้กับคุณครูประจำชั้นเสมือนเป็นพี่น้องท้องเดียว
แล้วก็หันมาฝากฝังฉันให้ช่วยดูแลโก้  เหมือนกับฝากโก้ให้ดูแลฉัน
ทั้งที่มันไม่มีความจำเป็นเลย  ต่อให้ปัญญาอ่อนดูแลตัวเองไม่ได้
ก็ไม่คาดหวังให้ฝ่ายตรงข้ามมาดูแล
ฉันกำลังมองหาเพื่อนผู้หญิงสักคนมาเป็นคู่หู  แต่ไม่มีใครยอมสบตา
ก็หน้าตาโก้  เด็กผู้หญิงน่ารักๆ ที่ไหนก็ไม่อยากเข้าใกล้
ไม่ใช่ว่าโก้ไม่หล่อเร้าใจ  เขาน่ะเคาะออกมาจากนิตยสารเด็กประเภทลูกรักเลยล่ะ
แต่เหตุผลที่เด็กอื่นไม่อยากเข้าใกล้เราสองคน  น่าจะมาจากไม่อยากโดนลูกหลงมากกว่า
เปล่าเลยเราไม่ได้กัดกันตลอดเวลา  แต่เรารอเวลาจะกระโดดเข้าห้ำหั่นกันมากกว่า
แล้วแบบนี้ใครจะอยากมาร่วมวงไพบูลย์ (เป็นวงที่มีแต่ความสุข) ซึ่งมันโนเวย์สเตชั่นมาก
โรงเรียนใหม่ของเราสองคนอยู่ชานเมือง  เมื่อก่อนเป็นทุ่งนา  แสดงว่าเป็นที่ลุ่มชุ่มน้ำ
พื้นที่โรงเรียนกว้างขวางมาก  แล้วตอนนั้นผู้บริหารใช้นโยบายเดินเรียน  หมายถึง
เราจะไม่มีห้องเรียนประจำ  เปลี่ยนชั่วโมงทีก็ต้องย้ายก้นกันที 
พะรุงพะรังแล้วก็เหนื่อยชะมัด  ไม่ใช่ว่ามีห้องเรียนไม่พอใช้  ไม่ใช่เลย
โรงเรียนของเราจัดได้ว่าอยู่ในระดับไฮโซของเขตเชียวนะ  แม้จะอยู่ไกลปืนเที่ยงไปหน่อยเถอะ
 ฉันชอบโรงเรียนแห่งนี้มาก  บรรยากาศดี  ต้นไม้เยอะ  นกแยะ  
บางครั้งนกก็มาเกาะขอบหน้าต่างร้องเพลง  คนอารมณ์สุนทรีย์เท่านั้นถึงเข้าใจ
โก้ไม่ใช่ใครคนนั้น  เขาจะเอาอะไรก็ได้ที่ใกล้มือขว้างใส่นกทุกตัว
ที่เข้าใจผิดว่าเด็กทุกคนจะรักสัตว์เหมือนกันหมด  
ฉันเกลียดโก้มาก  โก้ก็คงเกลียดทุกอย่างที่ฉันรัก  
อย่างไรก็ตาม  มันก็แค่ตกใจแล้วบินหนีไปไม่ทันหัวบุบเสียก่อน
โก้อาจไม่ตั้งใจทำร้ายมันจริงๆ  หรือคิดดูอีกที  มือเขาคงไม่แม่นพอมากกว่า

วันแรกของการเปิดเทอม  ฝนตก (อีกแล้ว)  
เด็กนักเรียนใหม่ชั้น ม.1 ได้แต่นั่งตาปริบๆ มองสายฝนที่ไหลหลั่งลงมาราวกับ
จะถมถนนให้เป็นทะเล  น้ำเริ่มเอ่อขึ้น เอ่อขึ้น  ลมแรง ๆ พัดพาเอาละอองเข้ามาในห้อง
หนักขึ้น หนาขึ้น  ไม่แน่ใจว่าเป็นละออง  หรือเม็ดฝนเม็ดโต ๆ กันแน่  
พวกเด็กนักเรียนเริ่มขยับไปรวมกันด้านหนึ่ง  ครูยังมานะสอนต่อไป  
ทั้งๆ ที่เหลือกระดานเขียว (รุ่นนั้นไม่มีกระดานดำใช้แล้ว) ให้เขียนเพียงครึ่งเดียว
เพราะอีกด้านชื้นไปเสียแล้ว
 ครูครับ  ผมขออนุญาตไม่เรียนหนังสือ 1 ชั่วโมง ครับ    
ฉันหันไปมองโก้  พร้อมกับเพื่อนทั้งห้อง  รวมคุณครูด้วย  
 เธอมีปัญหาอะไรหรือ   ครูถามอย่างมีเมตตา
 ไม่ใช่ปัญหาของผมหรอกครับ  แต่เป็นปัญหาของห้องเรียนเรามากกว่า
ถ้าครูยังสอนต่อ  แล้วผมก็นั่งเรียนกับครู  อีกแป๊บเดียวน้ำก็จะท่วมถึงเอว
ผมไม่มีสมาธิครับ   
ครูหัวเราะลั่น  แล้วก็เรียกพวกเราทั้งห้องมานั่งรวมกันตรงกลาง
ไม่มีการสอนต่อไป  ฉันชอบห้องเรียนชั่วคราวห้องนี้มาก
มันเป็นอาคารชั้นเดียวอยู่สูงจากพื้นสนามหญ้าแค่คืบ
มีผนังกั้นสองด้านคือด้านหน้าและด้านหลัง  ซึ่งอันที่จริงมันก็ไม่เชิงเป็นผนังหรอก
นั่นมันเป็นกระดานของครูมากกว่า  ส่วนผนังด้านข้างไม่มีอย่างที่ควรจะมี
โรงเรียนเราไม่ได้ยากจนอย่างที่บอกไปแล้ว  และเราก็ไม่มีความจำเป็นต้อง
มาอาศัยห้องชั่วคราวนี้เลยแม้แต่น้อย  แต่ครูบอกว่าอากาศดี  ไม่ต้องตะกายขึ้นไป
เรียนไปสอนบนตึกสูง ๆ (ครูมีข้ออ้างดีๆ ที่สมเหตุสมผลเสมอ) 
ฉันไม่คิดอะไรมาก  เรียนที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น  
โก้เองก็เหมือนกัน  เขาบอกว่าเรียนที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น
ยกเว้นที่ที่น้ำท่วมถึง  แต่หลังจากเราขึ้นชั้น ม.2 นโยบายเดินเรียนก็สิ้นสุดลง
ฉันเห็นโก้แอบแวะเวียนไปนั่งเล่นที่ห้องเรียนชั่วคราวนั้นบ่อยๆ แม้จะเป็นวันที่ฝนตกก็ตาม  

วันแรกของการเปิดเทอมอาจไม่ดีเท่าไร
แต่อย่างน้อยฉันก็มีโก้เป็นเพื่อนสำรองไว้ก่อนใคร
ไม่ต้องเคอะเขิน  ไม่ต้องเหนียมอายตอนทำความรู้จักเพื่อนใหม่
ฉันอาจไม่ชอบโก้  โก้ก็ไม่ชอบฉัน
หากเราสองคนก็เกาะติดกันอยู่ตั้งแต่เช้าจรดเย็นในวันนั้น
   




				
25 มกราคม 2550 12:14 น.

นิทานข้างห้อง...นอน (ตอน ใครว่าเราเพื่อนกัน

ชมพูภูคา J.


ฉันยังขับรถไปเรื่อย ๆ อากาศดีจัง  ที่รู้เพราะเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ 
รับลมบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด หวนนึกถึงใบหน้ากวน ๆ เปื้อนยิ้ม  แล้วก็อดยิ้มตอบไม่ได้
โก้คงรับรู้  แม้เขาไม่อยู่ตรงนี้  หากฉันหวังให้เป็นเช่นนั้น
ระหว่างเราสองคนมีเรื่องดี ๆ ร่วมกันน้อยมาก  
ซึ่งมันไม่ได้หมายความว่าพวกเรานิยมแต่เรื่องแย่ๆ  
คงเป็นเพราะดวงไม่สมพงษ์กันหรือเปล่าไม่รู้
(มิน่า  คนโบราณถึงนิยมตั้งชื่อลูกชายว่าสมพงษ์  มันเป็นแบบนี้นี่เอง)
และถ้าจะนั่งนึกดูให้ดี  นับนิ้ววนไปวนมาจากวันนั้นแล้ว
ก็ยังมีเรื่องแย่ๆ ตามมาอีกเป็นหางว่าว  
คิดดูสิว่าโลกของเราสองคนมันจะเลวร้ายแค่ไหน
เพราะงั้นในวันที่เราจากกันทุกอย่างคงจบลงเสียที
แน่นอนฉันเสียใจมากที่สุด  แต่ก็ปนความสบายใจลึก ๆ 
สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด  โล่งอก  
แต่ก็เหมือนมีใครแกล้งเอามือมาอุดจมูกซะงั้น  (ถ้าโก้อยู่  ก็คงเป็นโก้นี่แหละ)  
ฉันเริ่มกังวลจะเป็นอย่างไร  ถ้าวันข้างหน้าจะพบแต่ความสุข  (ที่เคยถวิลหา)
ภายใต้ความเศร้าโศก  ความเสียใจ  ความสุขก็ยังตามแทรกซึมไปทุกอณู
นี่กระมัง  อารมณ์ทั้งรักทั้งเกลียดน่ะ  ใช่เลยฉันยอมรับและยอมรับมานานแล้วด้วย
ฉันรักโก้  แล้วก็โคตรเกลียดมันเลยในเวลาเดียวกัน
ทว่า  หลังการจากไปของเขาไม่นาน  โลกหม่น ๆ ในวันสับสนของคนใกล้บ้า  
ก็พลันสว่างไสวขึ้นมา   มันไม่ได้ง่ายแค่เพียงการรับซองจดหมายลวดลายสุดเชย
จากมือของอดีตหนุ่มไปรษณีย์ซึ่งปัจจุบันเขาชราลงไปโข 
แต่ตัวหนังสือโย้เย้ในนั้นต่างหาก   ไม่มีข้อความเยิ่นเย้อใด ๆ 
นอกจาก  ประโยคสั้น ๆ  ประโยคเดียว  เท่านั้น
ที่ทำให้โลกของฉันสว่างไสว  เต็มตื้น  รับรู้ได้ถึงหัวใจคนไกลที่มีคุณค่า  
และคงอยู่คู่กันมาตลอดทั้งชีวิตของเรา    และจะยังคงอยู่ตลอดไปนับแต่นี้
น้ำตาซึมขอบตาอีกครั้ง  ฉันไม่แคร์หรอกว่ามันจะไหลเอ่อท้นจนเลอะแก้ม
เสียใจสิฉันต้องเสียใจแน่ๆ อยู่แล้ว  ด้วยว่าไม่เคยคิดจะเข้าใจในความจริง
ในสิ่งที่ตาเคยเห็น ในสิ่งที่หูก็เคยยิน  
หากบางช่วงเวลาที่ฉันเพียงหลงทางไปกับคำพูดของผู้คน  ที่เขาไม่เข้าใจในตัวตนของเธอเลย
ฉันน่าจะเข้าใจได้เองมาตั้งนานแล้ว  ก็มันไม่ใช่เรื่องยาก  แต่ทำไมบางเวลาโง่จัง
ถ้าฉันเป็นโก้เองก็คงเหนื่อย  แววตา  โคตรเซ็ง  เปล่งประกาย  ฉันรู้  ว่าเธอเหนื่อยแค่ไหน
อย่างไรก็ตาม  สุดท้ายเธอก็เลือกฉัน  ไม่ใช่หรอก  เธอไม่ได้ตัดสินใจมาเลือกเอาโค้งสุดท้าย
เธอเลือกฉันมาตั้งนานแล้วต่างหาก  
เธอมอบความไว้เนื้อเชื่อใจ  สอนให้ฉันรู้และเข้าใจความหมายของคำว่า  รัก
ซึ่งมันไม่ได้มีอะไรมากมายเลย  แต่น่าแปลกเอาอะไรมาบรรจุก็เก็บมันไว้ไม่ได้หมด    
เพราะงั้นจำไว้  คำว่า  รักล้นใจ  น่ะผิด  
จดหมายฉบับนี้ไม่ใช่จดหมายของโก้  เพราะถ้าเป็นจดหมายของโก้ส่งมา
ฉันคงช็อคตายก่อนทันดีใจ
แต่มันถูกส่งมาจากเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง
หนูน้อยคงต้องใช้ความบากบั่นพอสมควรในการบรรจงขีดเขียนมันออกมา
แค่ประโยคเดียวอาจเสียเวลาเป็นวัน  
มันเป็นภาษาไทยจริงๆ  และแม้ว่ามันไม่ได้เขียนยากเหมือนตัวหนังสือจีน
หากสำหรับเด็กน้อย  อายุน่าจะสักประมาณสี่ห้าขวบน่ะยากไหมล่ะ
เขียนกอไก่ถึงฮอนกฮูกได้ก็ฉลาดสุดๆ แล้ว  แต่เนี่ยเขียนได้ตั้งประโยค
เพียงคลิกเดียวจากนางฟ้าตัวน้อยที่ฉันเคยพบเจอเมื่อกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว  
(ตอนนั้นแกเพิ่งจะเกิด)
ช่วยเปิดหู  เปิดตา และเปิดหัวใจของฉันให้เข้าใจเสียที
โก้ใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตสอนคนโง่ๆ  อย่างฉัน  
แน่นอนเวลานี้  โก้คงแอบหัวเราะเยาะฉันอยู่ที่ไหนสักแห่งตามสันดานเดิมของเธอ
และฉันก็คงไม่มีโอกาสตามไปเอาคืนได้เช่นกัน  
เมื่อก่อนโก้ชอบว่าฉันโง่  แต่เป็นคนโง่ที่โก้ไว้ใจยอมให้เป็นที่ปรึกษาในยามคับขัน
นี่ก็น่าแปลกเพราะโก้มักจะนำตัวเองไปสู่สถานการณ์คับขันอยู่เสมอ  ไม่รู้ทำไม
ใครอื่นๆ  เขาคงพากันหนีตูดแน่บ  แต่เธอยังยืนเสนอหน้าอยู่
ไม่รู้อยากเป็นพระเอก  หรือโง่
สำหรับฉันคิดว่าเธอหนีไม่ทันมากกว่า  
และแทบทุกครั้งจะมีอย่างน้อยหนึ่งคน
ที่จะคอยซวยเป็นเพื่อนไปด้วยทุกที  หรือเรียกง่ายๆ ว่า  โก้พาเพื่อนซวยนั่นแหละ
แล้วมันจะเป็นใครอื่นไปได้ถ้าไม่ใช่ฉัน

ใครๆ ก็ว่าเราเป็นเพื่อนกัน
ฉันแน่ใจพอ ๆ กับที่โก้เองก็แน่ใจ  ว่ามันไม่เป็นอย่างที่ใครคิด
ทุกครั้งที่เราเจอกัน  มันคือสภาวะบังคับ
จะให้ทำอย่างไรได้ก็บ้านมันดันติดกันเป็นฝาแฝดแบบนี้ 
จะไม่เจอกันก็คงตอนหลับตาเท่านั้นแหละ
ฉันรู้จักทุกซอกทุกมุมในบ้านของโก้  และโก้ก็สอดรู้ไม่ด้อยไปกว่ากัน
ไม่ใช่ว่าเราต้องการชิงดีชิงเด่นตามประสาเด็ก  ไม่ใช่เลย
แต่เป็นเพราะพวกพ่อแม่หรอก  ชอบใช้ให้เราหยิบโน่นหยิบนี่ได้ทั้งวัน
โดยไม่เลือกเลยว่าลูกใครแล้วไอ้ของที่ให้ไปเอาน่ะสมบัติบ้านใคร
เราไม่เคยนั่งเล่นด้วยกัน  แต่นั่งอยู่เคียงข้างกันเสมอ
ฉันคุยกับตุ๊กตาบาร์บี้แล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้าให้มันบ่อยๆ (อันนี้ไม่ค่อยเหมือนตัวเอง)
ในขณะที่โก้ก็คุยเหมือนกัน  แต่ไม่ใช่กับฉันแน่ๆ  บางครั้งเขายังเคืองไม่น้อย
สังเกตจากแววตาที่เหล่มา  ประมาณว่าพวกผู้หญิงชอบเล่นอะไรปัญญาอ่อน
ทั้งๆ  ที่  เราก็ทำเหมือนกันเปี๊ยบ  
ต่างกันตรงที่ฉันไม่ชอบคุยกับสัตว์ประหลาดเหมือนโก้ก็เท่านั้น
เป็นแบบนี้  ฉันกับโก้จึงไม่ใช่เพื่อนกันแน่ๆ  เรื่องนี้เราสองคนรู้ดีกว่าใคร  
แต่ไม่เคยมีใครเข้าใจเลยสักที

				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟชมพูภูคา J.
Lovings  ชมพูภูคา J. เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟชมพูภูคา J.
Lovings  ชมพูภูคา J. เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟชมพูภูคา J.
Lovings  ชมพูภูคา J. เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงชมพูภูคา J.