1 กันยายน 2550 17:49 น.
ช.รัตนกุล รุตนชาติ
ทะเลใจ(หนึ่งในพันธนาการ)
หลังจากอกหักเพราะรักไม่เป็น ฉันต้องหอบเป้ถุงนอน หนีกรุงมุ่งสู่ทะเล ทะเลแห่งเราสองคน คือที่ที่ฉันบอกว่าอยากจะมาเที่ยวกับเธอสองคน และเธอก็บอกว่าจะมากับฉันเร็วนี้ จนแล้วจนรอดมันก็ผ่านมา สามปีกับเจ็ดเดือนแล้วก็ไม่ได้มา แต่วันนี้ฉันมาในฐานะคนอกหักและมาจุดที่ฉันแสนจะเจ็บปวด แต่ก็ต้องมา เพราะว่าเสียงคลื่นทะเลซัดฝั่งจะช่วยประทังให้หัวใจเศร้า เหงา ดีขึ้นบ้างไม่มากก็น้อย หรือไม่น้อยก็มาก
ดวงตาของฉันยังบอบช้ำ เรื่องร้ายซ้ำเดิมไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก แต่เท่าที่ผ่านมานั้น ฉันไม่เคยคิดว่าความรักที่เริ่มต้นจะจบลงด้วยเส้นทางที่ไม่ได้คาดฝันมาก่อน เป็นอย่างนี้เพราะชะตาขาดเรื่องความรัก หรือเพราะบังเอิญมิปรากฏ ขณะที่ฉันกำลังนั่งลิ้มรสกาแฟหอมกรุ่นละมุนลิ้นเคล้าเสียงคลื่นนั้น พระเอกหน้าใหม่ก็ย่างเข้ามาทักทาย
"สวัสดีครับ นั่งด้วยคนได้ไหมครับ" คำทักทายแสนจะธรรมดาและเชยไหนเลยจะปฏิเสธได้
"ครับเชิญครับ" ฉันขยับแก้วกาแฟหมุนไปหมุนมาอยู่ในมือ ตอบคำถามชายหนุ่มซึ่งตอนนี้ขยับมานั่งเก้าอี้ตรงกันข้ามเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
"มาคนเดียวหรือครับ"
"ครับมาคนเดียว"
"ผมมากับเพื่อนครับ เป็นฝูงเลย แต่ยังไม่มีใครตื่นสักคน"
"เหรอครับ"แต่ในใจของฉันกลับอยากจะถามเหลือเกินว่าใครถามคุณ ฉันไม่อยากจะรู้สักหน่อย ฉันตอบพร้อมกับวางแก้วกาแฟลง หากหัวใจลอยได้ ยังอยากให้หัวใจลอยคว้างอยู่ ไม่อยากจะคิดอะไรสมองไม่อยากสั่งการว่าควรจะวางตัวอย่างไร หรือคอยคิดภวังค์ว่าเพื่อนใหม่ข้างหน้าฉันนั้นมาไม้ไหน หรือมีจุดประสงค์อะไร
"เมื่อเย็นวานผมเห็นกางเต็นท์อยู่คนเดียว ว่าจะช่วยแล้วแต่กลัวโดนไล่กลับไป ไม่ทราบคุณชื่ออะไรครับ ผมชื่อแก้วครับ"
"ชื่อเพราะดีนะครับ ชื่อเหมือนผู้หญิงเลย ชื่อ ชิน ครับ"
"ปกติทานข้าวเช้าไหมครับ" ฉันถามตามวิสัยของคนไทย
"ครับ ติดเลยล่ะครับ ถึงต้องลุกขึ้นมาคนเดียว พรรคพวกผมเมื่อคืนดึกกว่าจะฟื้นคงเที่ยงหรือบ่าย"
"ดึกอะไรกันครับ ผมได้ยินเสียงกีตาร์แทบทั้งคืน"
"แฮ่ ต้องขอโทษด้วยครับ นาน ๆ รวมตัวกันได้สักที"
"ไม่เป็นไรหรอกครับ เสียงคลื่นบ้าง เสียงกีตาร์บ้าง เพลินดีเหมือนกัน" ฉันยิ้ม นี่เป็นยิ้มแรกของฉันในเช้าวันนี้ คงเป็นยิ้มที่น่ารักน่าดู
เพราะมีใครบางคนกำลังรู้สึกดี และรู้สึกว่าฉันเป็นคนพิเศษ
ฉันกับแก้ว เดินเอาเท้าลุยคลื่นไปตามหาดทราย ซึ่งส่วนใหญ่แก้วจะเป็นคนคุยฉันจะเงียบแล้วตอบรับมากกว่า นอกจากคำว่า "ครับ, เหรอ" แล้ว ฉันไม่รู้ว่าจะหาเรื่องอะไรมาคุยกับแก้วเลย แต่ต้องยอมรับว่าการได้คุยกับแก้วนั้นทำให้ฉันรู้สึกว่าเช้าวันนี้ไม่เหงาจนเกินไป มีความสุขที่ไม่ต้องคุยคนเดียว ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจมาเหงาอย่างเต็มที่ก็ตามที
ไม่บ่อยนักหรอกที่เราจะได้เก็บเกี่ยวมิตรภาพที่ดีจากคนแปลกหน้า และไม่ถี่นักที่มิตรภาพที่อาจจะเรียกได้ว่า "มิตรภาพข้างถนน" หรือ "มิตรภาพริมทะเล" จะสานต่อยาวไกล และเนิ่นนาน
"นี่.ชิน เจ้าของเต็นท์สีฟ้าใกล้ทะเลโน่น เราไปทำความรู้จักมาเมื่อเช้า"
แก้วแนะนำให้พรรคพวกอีกสี่ห้าคนรู้จัก ทุกคนหน้ายู่ยี่เพิ่งตื่นนอน และยังมีเหลืออีกคนที่ยังไม่ตื่น
"เพื่อนผมครับ ชื่อโต้ง เหน่ง เม่น โจ้ แล้วที่ยังไม่ตื่น มันชื่อว่าไอ้โก้"
"สวัสดีครับทุกคน เมื่อคืนเพลงเพราะดี" ฉันทักทุกคนด้วยรอยยิ้ม นั่งเล่นสักพักก็ขอตัวกลับไปที่เต็นท์ เพราะรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินบนพื้นที่ตรงนั้น แม้ทุกคนจะพยายามเป็นกันเองกับฉันเท่าไหร่ก็ตาม คนมากไปมักทำให้รู้สึกแปลกแยกได้มากกว่า อยู่กันน้อย ๆ
"ขอตัวไปอ่านหนังสือก่อนนะครับ แล้วเจอกันใหม่"
"เย็นนี้ทานข้าวด้วยกันสิครับ พวกผมน่ะหนักยอดข้าว แต่ไม่เป็นไรมานั่งเป็นเพื่อนกัน มานั่งร้องเพลงก็ได้ ฟังเพลงก็ได้ มานั่งเงียบ ๆ ก็ได้นะครับ" เหน่งกับเม่นชวน
"ครับ งั้นเดี๋ยวเย็นนี้ค่อยเจอกัน" ฉันบอกลา แก้วเดินมาส่งฉันที่เต็นท์
โก้เล่นกีตาร์ดุ พอ ๆ กับกินเหล้าดุ เหน่งชอบชวนคุยและมีเรื่องขำ เรื่องอำของเพื่อน ๆ แต่ละคนมาเล่าให้ฟังเป็นระยะ โต้งขรึมและดูเหมือนจะเป็นพี่ใหญ่ของกลุ่ม คอยดูแลเอาใจใส่เพื่อน ๆ ทุกอย่าง เม่นนั่งข้างกระติกน้ำแข็ง หนักผสมเหล้าและร้องเพลงผสมโรง โจ้เงียบที่สุด ประหยัดคำที่สุด
ฉันรู้สึกอบอุ่นในหมู่คนที่เพิ่งรู้จัก ต้นไม้มิตรภาพเติบโตทีละขั้นอย่างสวยงาม ส่วนใหญ่ฉันจะนั่งนิ่ง นั่งฮัมเพลงตามเบา ๆ และกินโค้กผสมเหล้าบาง ๆ
ขณะนั่งอ่านหนังสือ จิบกาแฟยามเช้าอยู่นั้น เพื่อนใหม่ที่ปรากฏกายอยู่ตรงหน้ากลับไม่ใช่แก้ว แต่คือโก้ นักกีตาร์ตาสวยนั่นเอง
"สวัสดีครับ ตื่นเช้าทุกวันหรือครับ เมื่อคืนกว่าจะกลับก็ดึกแล้ว"
"ตื่นมารับแดดยามเช้าก่อนนะครับ เดี๋ยวค่อยหาที่หลบหลับถ้าไม่ร้อนเกินไป นอนเต็นท์มันไม่มีทางเลือกมากหรอกครับ เช้าแล้วก็ต้องตื่น ดื่มกาแฟด้วยกันซิ เชิญครับ" ฉันวางหนังสือลง โก้นั่งลงพร้อมถ้วยกาแฟที่ถือติดมาด้วยแล้ว
"วันนี้ตื่นเช้านะครับ"
"ครับ วันนี้ผมตื่นเช้าเป็นพิเศษ เดี๋ยวไอ้แก้วคงตามมา รายนั้นก็ตื่นแล้วเหมือนกัน แต่คนอื่นยังหลับสนิท
ฉัน แก้ว โก้ นั่งคุยกันอย่างสนุกสนาน เพื่อนกลุ่มใหญ่เพิ่งหนีงานมาเที่ยวได้พร้อม ๆ กัน ส่วนฉันหนีงานมานอนริมทะเลคนเดียวด้วยเหตุผลที่บอกกับทุกคนว่า
"ทำแบบนี้ประจำครับ เป็นเรื่องธรรมดาเสียแล้ว ชอบหนีเมืองมาฟังเสียงคลื่น"
"ก็ไม่ค่อยมีใครว่างตรงกัน แล้วก็การเป็นกลุ่มกับมาคนเดียว บรรยากาศการเที่ยวมันต่างกันนะครับ แม้ว่าจะเที่ยวที่เดิมก็ตามที"
"อันนี้เห็นด้วยครับ" แก้วพยักหน้า
"ผมมาคนเดียวเหงาแทบตาย ทะเลมันทำให้คนยิ่งเหงาเข้าไปใหญ่ แต่มากับเพื่อนมันสนุก ผลัดกันเช็ดอ้วก ผลัดกันล้วงคอ"
วงสนทนาใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเพื่อนแก้วต่างตื่นเข้ามาสมทบ มิตรภาพระหว่าง ฉัน แก้ว โก้ เหน่ง โต้ง โจ้ เม่น เติบโตอย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น
ฉันเริ่มรู้สึกไม่มั่นใจในความรู้สึกตัวเอง ไม่ว่าความรู้สึกที่แก้วมีให้ฉัน หรือ ความรู้สึกที่โก้มีให้ฉัน ล้วนแต่เป็นความรู้สึกดี ๆ เป็นความรู้สึกพิเศษ แถมยังเป็นความรู้สึกสองจิตสองใจอีกด้วย นึกโกรธตัวเองแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเป็นความรู้สึกที่สดและออกมาจากข้างใน ระหว่างฉันกับแก้ว หรือ ระหว่างฉันกับโก้ ยังไม่เคยมีการพูดคุยกันมากมายหรือเป็นทางการเกินขีดพิกัดความเป็นเพื่อนเลย แม้ว่าต่างคนต่างก็รู้ว่าฝ่ายตรงกันข้ามมีความรู้สึกพิเศษให้กันและกัน
"ชินจะอยู่อีกกี่วัน เราจะกลับกันวันพุธนี้แล้ว อีกสามวัน"
"เหรอ เรายังไม่รูเลย ไม่ได้กำหนด"
"แล้วงานล่ะ"
"งานกับทะเล ทะเลก็ต้องมาก่อนสิ" ฉันตอบยิ้ม ๆ
"กลับไปแล้วเราคงได้นัดเจอนัดคุยกันอีกนะ นี่นามบัตรเรา" โก้ยื่นนามบัตรให้ วิศวะไฟฟ้า
"แก้วเรียนไฟฟ้าเหมือนกันหรือเปล่า"
"เปล่า แก้วมันจบทีหลัง มันรุ่นปู่แล้ว เปลี่ยนไป เปลี่ยนมา นี่มาฉลองมันนะเนี่ยที่เรียนจบ ได้งานทำเสียที ลากมานานจนรุ่นน้องแซงหมดแล้ว"
"อืมม์"
"คุยอะไรกันอยู่สองคน ไอ้โก้เดี๋ยวนี้ทำไมมึงตื่นเช้านักวะ" เสียงแก้วเรียกอยู่ข้างหลัง สองคนหันหลังกลับไปเห็นแก้วเร่งฝีเท้าเดินมาใกล้ ๆ
"คุยเรื่องคุณปู่แก้ว"ฉันตอบเสียงใส
"ก็เล่าให้ชินฟังแล้วไง" แก้วพูดยิ้ม ๆ
ฉันขอตัวกลับมานั่งอ่านหนังสือข้างเต็นท์ นั่นเป็นข้ออ้างที่จะกลับมาอยู่คนเดียวอีกครั้ง คิดทบทวนถึงความสัมพันธ์ มิตรภาพที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสี่ห้าวันที่ผ่านมา
"มิตรภาพยังแต่ประโยชน์ ความรักบางทีก็เจ็บปวด" ไม่รู้ว่าฉันจำคำใครเขามา แต่คำประโยคนี้มันก้องไปทั่วหัวสมอง และหัวใจของฉัน ใช่แล้ว ฉันเป็นคนรักคนง่าย ฉันกำลังกลัวจะหลงรักที่สำคัญฉันกำลังหลงรักคนสองคน เพื่อนกันในเวลาเดียวกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ แล้วสองคนก็มีท่าทีว่าจะชอบฉันด้วยทั้งสองคนแม้จะไม่ได้พูดออกมาจากปาก แต่ท่าทางและกิริยาที่เขาแสดงอออกมานั้น มันแสดงให้ฉันรู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ
ความรักไม่ใช่เรื่องของการตั้งใจ
เมื่อมันจะมา มันมาเอง..
เมื่อมันจะไป มันไปเอง..
เหลือทิ้งไว้แค่ความเจ็บปวด และความทรงจำ.
"พี่ครับ พี่เจ้าของเต็นท์สีฟ้าตรงโน้นเขาฝากจดหมายให้พวกพี่ครับ" เด็กเสิร์ฟอายุสิบสอง ตัวดำปี๋ด้วยไอทะเลยื่นจดหมายให้ ไม่มีเต็นท์กางอยู่ที่เดิมแล้ว เช้าวันนี้สำหรับแก้วและโก้หรือคนอื่น ๆ ด้วยดูแปลกไป
"สวัสดีเพื่อนใหม่ทุกคน ชินต้องกลับบ้านก่อนนะ ขอโทษที่กลับอย่างไม่ได้กินกาแฟร่ำลา หรือร่ำสุราบาง ๆ บอกลากันเลย ชินคงกลัวการบอกลามั๊งไม่หรอกมีเรื่องต้องทำ เลยกลับก่อน ขอบคุณสำหรับมิตรภาพที่แสนจะอบอุ่นจากเพื่อน ๆ ใหม่ทุกคนนะครับ จากชิน"
"ไปนานหรือยัง" แก้วถามพร้อมกันกับโก้
"ไปเรือรอบเช้าสุดเลยพี่ ตื่นมาเก็บเต็นท์ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง"เด็กน้อยตอบ
"พี่เขามาที่นี่บ่อยไหม" โก้ถามขึ้นก่อน
..วันนี้ไม่มีชินนั่งอยู่ แถมเลยออกไปยังไม่มีเต็นท์สีฟ้ากางอยู่เหมือนเคยอีกด้วย..
ฉันมองออกไปนอกหน้าต่าง เช้านี้ย่างเข้าหน้าหนาวแล้ว แม้อากาศจะไม่หนาวอย่างที่ใจอยากให้หนาว แต่ก็หนาวนักในหัวใจของฉัน ฉันเหน็บนามบัตรของโก้และเบอร์โทรของแก้วไว้ตรงเบาะรถ ไม่ได้เอากลับมาด้วย
ใช่แล้ว.ฉันกำลังหนีความรู้สึกผูกพันหรือพันธนาการ พันธนาการที่กำลังก่อตัวเงียบ ๆ กับคนสองคนมันมากเกินไป และคงเป็นนิยายรักเรื่องใหม่ของฉันที่อาจจะจบเร็วจบช้าฉันก็ไม่รู้ แต่รู้แน่ว่าตอนจบมันคงไม่สวยเท่าไหร่
"ความรู้สึกที่มากกว่าเพื่อน แต่ไม่กล้าสานต่อให้กลายเป็นความรัก"
ถ้ารักแล้วทุกข์ก็อย่ามีรักซะดีกว่า
"รักเธอเข้าแล้ว"
คำนี้เชยไหม
แต่นานมาแล้วนะ
ที่ฉันไม่เคยรู้สึกอย่างนี้
แต่อ้อมกอดเธอ
ทำให้เรือนกายแห้งแล้งของฉันอบอุ่น
อุ่นเลือดบนริมฝีปากเธอ
บนเรือนใจฉันให้ร้อนชื้น
เป่าหยดน้ำตาของฉันให้เหน็บหนาว
"รักเธอเข้าแล้ว"
คำนี้อ้างว้างนัก!