หลายวันที่ผ่านมาที่ฉันกลับมาบ้านต่างจังหวัด การดำเนินชีวิตต่างๆก็เรียบง่ายอย่างคนชนบททั่วไป เชื่อหรือไม่แถวละแวกบ้านฉันนั้นไม่มีเซเวน ไม่มีร้านสะดวกซื้อใหญ่ๆให้ เดินตากแอร์ มีเพียงร้านของชำเล็กๆที่คิดว่าสมบูรณ์ที่สุด เป็นร้านของชำที่ไม่มีสินค้าให้เลือกซื้อมากนัก แต่ฉันจำใจซื้อด้วยความจำยอมเพราะจำเป็นต้องใช้ว่างั้นเหอะ อิอิ วันก่อนฉันไปซื้อแชมพูสระผม " พี่ๆ แพนทีนมีไหมคะ ? " " ม่ายมีน้องเหอ มีแตออด๊าด เอาหม้าย " พี่คนขายเธอขายทั้งแชมพูสระผม ขายทั้งขดลวดทองแดง แฮ่..แฮ่... นี่เป็นตัวอย่างเล็กๆน้อยๆที่นำมาเล่าสู่กันฟัง อิอิ . 6 โมงเช้าตื่นด้วยเสียงปลุกของนกเขาเถื่อนที่กู่ร้องบนยอดไม้ในป่าสวนยางข้างบ้าน กับข้าวอาหารการกินนั้นน่ะเหรอ ก็แกงเลียงยอดตำลึงข้างบ้านนั่นไง แถมด้วยน้ำพริกกะปิ(ฝีมือแม่) มีทั้งผักสด ผักลวก บ้านฉันอาจไม่มีอาหารบุฟเฟ่ที่เลิศหรูแต่มีกับข้าว ผักให้เลือกทานได้ตามใจ ไม่ว่าผักบุ้งริมคลอง(บ้านน้า) หรือ มะเขือพวงข้างบ้าน หรือดอกแคริมรั้ว อืมนะ บุฟเฟ่ก็บุฟเฟ่เห๊อะ บุฟเฟ่เมืองกรุงคงยอมแพ้บุฟเฟ่บ้านชนบท อิอิ อ่อ กับข้าวรสเด็ดฝีมือแม่อีกอย่างก็คือ แกงส้มเปลือกแตงโมใส่เนื้อหมู พูดถึงเรื่องเนื้อหมู ฉันทะเลาะกับแม่บ่อยเรื่องเนื้อหมู 5555 ก็ฉันบอกให้แม่ใส่หมูน้อยๆใส่ผักเยอะ แต่แม่ซิชอบใส่หมูเยอะๆผักน้อยๆ ทำให้ฉัน(แอบ)บ่นแม่พอเป็นกระษัย อิอิ ขืนบ่นมากไป กลัวแม่ขว้างไม้หน้าสามให้น่ะซิ แต่สรุปแล้วกับข้าวมื้อนั้นก็อร่อยเพียงพอแล้วกับบ้านชนบทริมป่าสวนยาง . กลับมาบ้านต่างจังหวัดฉันไม่ค่อยแตะต้องกาแฟยามเช้ามากนัก เพราะตื่นเช้ามาด้วยความสดชื่น ลมพัดเย็นๆผะแผ่วผิวกาย อากาศปลอดโปร่ง หายใจได้โล่งเต็มปอด กาแฟไม่มีความจำเป็นสำหรับฉันอีกต่อไปแล้ว(มั้ง) แหงนมองท้องฟ้าด้วยความสบายใจ ฟ้าเบื้องบนสูงลิบ ฟ้าเป็นสีฟ้า กว้างกว่ากว้างมากมายนัก อยากรู้นักนะ ใครช่างเสกสรรระบายฟ้าสีครามนั่น กลุ่มเมฆขาวบริสุทธิ์ดุจปุยนุ่นแต่ก็นั่นแหละไกลเกินเอื้อมถึง ฉันเผลอยิ้มให้กับตัวเอง โชคดีจังที่เกิดเป็นคนชนบท ฉันคิดนะว่า คนกรุงเทพฯ น้อยคนนักที่จะมีโอกาสได้แหงนมองฟ้าสูง น้อยคนนักที่จะมีโอกาสได้สูดอากาศบริสุทธิ์ได้เต็มปอดเช่นนี้ อ่อ ลืมบอกอีกแล้ว นอกจากนกเขาคู่นั้นแล้วยังมีนกฮูกหรือนกอะไรสักอย่าง (บ้านฉันเรียกนกคูด หรือนกเค้าแมว) พวกเขาจะส่งเสียงฮูกๆๆเซ็งแซ่ในป่าสวนยาง แต่ไม่มีโอกาสได้เห็นตัว เป็นๆของพวกเขาหรอกนะ ใครบอกล่ะนกฮูกจะหากินแค่ตอนกลางคืน ฉันขอเถียงเลยล่ะ นึกขอบคุณเจ้านกเขาเถื่อนคู่นั้นที่ส่งเสียงร้องปลุกฉันยามเช้าทุกครั้งไป ทำให้ฉันได้มีโอกาสตื่นมารับความสดชื่นของอากาศยามเช้า วันที่ฉันกลับถึงบ้านวันแรก สนามหญ้าญี่ปุ่นที่เคยเขียวสดชื่นกลับเหี่ยวแห้ง เฉาตาย ฉันยืนมองด้วยความฉงนสงสัย เสียดายมากเลยทีเดียว แต่ความเสียดายไม่เท่ากับความเสียใจที่ได้เห็นขยะ เศษสิ่งเหลือใช้ เศษกระดาษทิชชูทิ้งเกลื่อนกลาดในบริเวณสนามหญ้า โน่นก็เปลือกหอยแครง นั่นก็ฝาเบียร์ นี่ก็ฝาน้ำอัดลม นี่ก็อีกขวดโซดาข้างสนาม เกิดอะไรขึ้นกับบ้านฉันระหว่างที่ฉันไม่อยู่ สอบถามแม่พูดคุยได้ความว่า พี่ชายคนข้างบ้าน(ญาติทางแม่) เขามาขอยืมสถานที่จัดงานแต่งงานให้ลูกชาย แต่ทว่า เมื่อเสร็จงานเรียบร้อยแล้วกลับไม่สนใจที่จะเก็บ รักษาความสะอาดให้ กลับคืนมาเหมือนเดิม ฉันส่ายหน้ากับนิสัยคนมักง่าย ฉันลงมือเก็บเศษขยะเหล่านั้นทิ้งทีละชิ้นๆ ฉันคิดนะ ขยะบนพื้นสนามหญ้าเก็บกวาดได้ แต่ขยะในใจคนทำยังไงจะเก็บกวาดได้สะอาดกันเล่า จะสอนใคร บอกใครก็ไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องสอนตัวเราเอง เริ่มต้นที่ตัวเราก่อน แล้วค่อยเผื่อแผ่ไปยังคนรอบข้าง " ดอกฝาเบียร์เบ่งบานบนลานหญ้า แต่ดอกฟ้าเบ่งบานบนลานใจ " ปล. งานแต่งงานที่ฉากหน้าสดชื่นสวยงาม แต่ฉากหลังนั่นเล่า หลังงานเลี้ยงเลิกลา เจ้าดอกไม้ขยะกลับเบ่งบานเต็มสนามหญ้าอย่างนั้นหรือ .. ( ฉางน้อย ทะเลไร้คลื่น )
เย็นวันที่ 26 เม.ย 53 ที่ผ่านมานั้นฉันเตรียมตัวเดินทางกลับบ้านต่างจังหวัดอย่างเร่งด่วน โดยมิได้จองตั๋วล่วงหน้า แต่ก็คิดว่าคงมีที่ว่างสำหรับสำหรับฉันสักที่แหละน่ะ แต่แล้วฉันต้องพบกับความผิดหวังเมื่อพนักงานขายตั๋วที่สถานีหัวลำโพงบอกว่า ตั๋วเดินทาง ขบวนที่ฉันต้องไปนั้นเต็มหมดทุกชั้น ทุกขบวน อ่อ แต่ยังก่อน ยังมีที่ว่างของชั้น 3 ซึ่งเป็นทางเลือกสุดท้ายทำให้ฉันจำเป็นต้องเลือก ไม่เช่นนั้นแล้วจะไม่มีที่นั่งเหลือให้ฉันได้หย่อนก้นแม้แต่สักตัวเดียว อิอิ การเดินทางบนรถไฟชั้น 3 ในครั้งนั้นทำให้ฉันได้มองเห็นความหลากหลายของชีวิตผู้คน ซึ่งเปรียบเสมือนเพื่อนร่วมทาง ฉันและพวกเขาเหล่านั้นอาจมีจุดเริ่มต้นที่เดียวกัน ทว่า แต่ละคนอาจมีจุดหมายปลายทางที่ต่างกันออกไป ..................................................................... เวลาผ่านไปประมาณสัก 2 ทุ่มกว่าๆรถไฟวิ่งมาถึงสถานีราชบุรี ซึ่งอาจได้กลิ่นไม่พึงประสงค์บ้าง พ่อค้าแม่ค้าต่างทยอยนำอาหาร ของขบเคี้ยวขึ้นมาขาย ฉันคิดเล่นๆว่า เอ..ไม่เห็นมีแม่ค้าคนใดแบกโอ่งราชบุรีมาขายบนรถไฟบ้างนะ อิอิ แค่คิด ฉันก็แอบอมยิ้มคนเดียว รถไฟเริ่มเคลื่อนตัวออกจากสถานีราชบุรี ฉันยังคงนั่งมองการดำเนินชีวิตของผู้คน บนรถไฟอย่างเงียบๆ ผู้โดยสารเริ่มแออัดขึ้นเรื่อยๆ วัยรุ่นกลุ่มนั่งยืนดื่มเบียร์กระป๋องใกล้ บันไดทางขึ้นรถไฟ ทำให้เจ้าหน้าที่บนรถไฟมากล่าวตักเตือนให้ลดความคะนองลง ..................................................................... ฉันเผลองีบหลับไป เวลาผ่านไปเท่าไหร่ไม่ทราบได้ หวูดรถไฟร้องก้องที่ สถานีรถไฟเพชรบุรี เสียงพ่อค้าแม่ค้าและผู้โดยสารยังคงส่งเสียงจ่อกแจ่กจอแจ แข่งกับเสียงล้อเหล็กของรถไฟ บ้างก็นำข้าวกล่องมาขาย บ้างก็นำข้าวเกรียบเมืองเพชรและขนมหม้อแกงของกินมีชื่อในเมืองเพชรมาขาย แต่สำหรับฉันแล้วเมื่อนึกถึงจ.เพชรบุรีฉันกลับนึกถึงซุ้มมือปืนชื่อดังต่างๆในเมืองเพชร ซุ้มหรือคุ้ม ฉันไม่ทราบว่าสองคำนี้ความหมายค่างกันอย่างไร ......................................................................... ตี 2 กว่าๆเป็นเวลาดึกสงัดพอสมควร ถ้าเป็นค่ำคืนปกติฉันคงนอนหลับสบายที่บ้าน แต่ทว่า ณ.เวลานี้คงไม่มีใครที่จะนอนหลับได้อย่างสบายใจสบายกาย อย่างน้อยแสงนีออนที่ส่องแสงสลัวๆบนฝ้าเพดานรถไฟที่ส่องแยงตา ผู้โดยสารบางคนก็คุยกันเบาๆ บ้างก็ลุกขึ้นห้องน้ำในโบกี้ถัดไป ฉันเหลียวมองเพื่อนร่วมทางบนรถไฟอีกครั้งและไม่แปลกใจเลยสักนิด กับภาพที่เห็นตรงหน้า บนพื้นรถไฟบริเวณทางเดินนั้นผู้หญิงคนหนึ่งนำ กระดาษหนังสือพิมพ์มาปูนอนแทนเสื่อแทนฟูกนุ่มๆที่บ้าน แค่นี้เธอคงพอใจแล้วกระมังกับการเดินทางในครั้งนี้ วัยรุ่นกลุ่มนั้นหายจากความคะนอง เพราะฉันเห็นว่านั่งพิงหลังกันหลับริมทางเดินเช่นกัน ................................................................... นี่ละชีวิตที่เลือกเดินทางไม่ได้(เช่นเดียวกับฉัน) ถ้าพวกเขาเหล่านั้น (และฉันคนนี้)เลือกได้ พวกเขาคงเลือกที่จะเดินทางที่สะดวกสบายกว่านี้เป็นแน่ ยิ่งดึกเท่าใดเสียงล้อเหล็กของรถไฟก็บดเบียดรางเหล็กทำให้มีเสียงดังยิ่งขึ้นกว่าเดิม สองข้างทางที่รถไฟวิ่งผ่านฉันมองฝ่าความมืดไปนอกหน้าต่าง บางช่วงก็เป็นป่ามืดมิด บางช่วงก็มองเห็นสลัวๆเป็นภูเขาสูงตั้งตระหง่านดูทะมึนน่ากลัว เงาทะมึนของภูเขาสามารถจินตนาการเป็นภูตผิปีศาจทำให้ดูน่ากลัวมากนักในยามดึก ความง่วงสุดท้ายทำให้ฉันละสายตาจากนอกหน้าต่างมาพักสายตา และพักความเหนื่อยล้าจากการเดินทางภายใต้หมวกแก๊ปใบเก่ง และแสงนีออนที่ส่องสลัวๆเหนือศรีษะ .......................................................................... สะดุ้งตื่นตกใจในเวลาตี 5 กว่าๆพร้อมๆกับแรงเหวี่ยงของรถไฟซึ่งคาดว่า เป็นทางโค้งแห่งหนึ่งในเส้นทางนั้น ฉันเหลียวมองรอบตัว เห็นลุงคนหนึ่งนั่งบนพื้นทางเดินข้างๆเบาะที่นั่งของฉัน ลุงบอกว่าจะไปลงที่สถานีปลายทาง นั่นก็คือ สถานีกันตัง จ.ตรัง ฉันเลยเอ่ยปากบอกลุง " เดี๋ยวหนูลงที่สถานีไชยา ซึ่งอยู่ข้างหน้านี่เอง ลุงมานั่งที่ตรงนี้ของหนูก็แล้วกัน " ลุงพยักหน้าเบาๆ พร้อมเอ่ย " ขอบใจนะหนู " คำพูดของลุงเพียงประโยคเดียวไม่ได้ทำให้ฉันดีใจเท่ากับที่ได้เห็น รอยยิ้มและแววตาดีใจที่ระบายไปทั่วใบหน้าของลุงท่านนั้น ใช่แล้ว..การเดินทางของฉันสิ้นสุดลงเพียงแค่นี้ แต่ลุงท่านนั้นและเพื่อนร่วมทางคนอื่นล่ะ พวกเขาต้องเดินทางกันอีกยาวไกล พร้อมๆกับชีวิตที่ต้องดิ้นรนต่อสู้ในโลกนี้อีกยาวนาน ............................................................. ( ฉางน้อย ทะเลไร้คลื่น ) ( ปล. พยายามลงเรื่องสั้น เป็นครั้งที่ 4 ฮึ่มๆๆ ใจเย็นแล้วนะเนี่ยะ )
ฉันกับเขา เราเจอกันที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งย่านฝั่งธนฯ เขานั้นเล่า ดูท่าทางตัวเล็กๆ น่ารักๆ ดูบอบบางสะดุดตาผู้พบเห็น ตัวเขานั้นฉันไม่แน่ใจว่าเขาจะรุ้สึกอย่างไรเมื่อเจอฉันครั้งแรก แต่ฉันนี่ซิ กลับยิ้มแย้มถูกใจราวกับเขาเป็นของเล่นชิ้นใหม่ที่ฉันต้องได้มา นี่กะละมัง เอ้ย นี่กระมัง รักแรกพบของฉัน รู้เพียงว่า ฉันหวังอยากได้เขามาไว้ในครอบครอง อยากเป็นเจ้าของเขา ก่อนที่ใครจะคว้าไปชื่นชม .. เกือบ 3 ปีแล้วซินะที่ฉันกับเขา " เรา " ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ในวันว่างของกันและกัน ไม่ว่าเหนือ ใต้ ทะเล หรือแม้แต่ไปไหว้พระด้วยกัน ที่วัดต่างๆในเขตกทม. หรือแม้แต่จะกลับบ้านต่างจังหวัด "เรา"ก็ไม่เคยห่างกันไกล ฉันมักจะมีเขาเคียงข้างกายเสมอ แทบจะไม่มีสักครั้งที่เราต้องห่างกัน มีฉันก็ต้องมีเขา คอยเป็นเงาเคียงกาย เขาไม่เคยบ่น ไม่เคยมีแววตาว่าจะเหนื่อยหน่ายสักแค่ไหน ไม่ว่าฝนจะตก แดดจะออก " เรา "พร้อมจะเดินทางไปด้วยกัน ไม่เคยมีสัญญาณอะไรที่บ่งบอกว่า เขาจะจากฉันไปในที่สุด ใจหาย เศร้า เสียดายในความผูกพันธ์ตลอดระยะเวลาเกือบ 3 ปี สุดท้ายฉันจำต้องพาเขาเข้าศูนย์กล้องดิจิตอล ซึ่งพนักงานบอกว่า หน้าจอกล้องเสื่อม ซ่อมไปก็ไม่คุ้มค่า สมควรซื้อใหม่น่าจะดีกว่า โธ่เอ๋ย..เจ้ากล้องดิจิตอลตัวแรกในชีวิตของฉัน ในที่สุดมีอันต้องจากกัน " เขา " เป็นกล้องดิจิตอลตัวแรกของฉัน ที่ฉันซื้อมาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรง อันเป็นความภาคภูมิใจของฉันอย่างมาก แม้ภายนอกรูปลักษณ์จะแลดูเล็ก บอบบาง แต่ก็คุ้มค่ากับราคา และการใช้งานในตลอดเกือบ 3 ปีที่ผ่านมา .. ฉันยังคงเก็บรักษาเขาไว้อย่างดีเหมือนในสภาพที่ซื้อเขามาตอนแรก ขอบคุณ เขา ที่เป็นสื่อช่วยบันทึกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของฉัน ขอบคุณ เขา ที่ช่วยสานฝันให้เป็นจริงได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่งๆ ขอบคุณ เขา ที่ทำให้ฉันมีรอยยิ้มเมื่อมีเขาอยุ่เคียงข้างเสมอๆ และ สุดท้าย ขอบคุณสำหรับความผูกพันในช่วงระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ไม่มีเขา เราก็คงไม่มีเรื่องราว มาเล่าสู่กันฟัง ขอบคุณนะ ....ขอบคุณจริงๆ "เรามักจะรู้คุณค่าของบางสิ่งบางอย่าง ก็ต่อเมื่อบางสิ่งบางอย่างนั้น ได้จากเราไปไกลแสนไกล ฉะนั้นอย่าหลงลืมที่จะให้ความสำคัญกับบางสิ่งบางอย่างที่อยู่รอบตัวคุณ ก่อนที่เขาจะจากไปไกลเกินไขว่คว้ากลับคืนมาครอบครอง " .. ( ฉางน้อย ทะเลไร้คลื่น )