" คุณยิหวา รับพัสดุด้วยครับผม " เสียงหนุ่มไปรษณีย์เรียกฉันให้ออกไปรับพัสดุ " โห อะไรกันเนี่ยะ กล่องเบ้อเร่อเลย ของวาแน่นะคะ ? " ยิหวาอุทานพลางเซ็นชื่อรับพัสดุ แปลกใจไม่ใช่น้อยเลย " ครับของคุณยิหวา ส่งมาจากทางใต้ด้วยนะครับ สงสัยระเบิดมั้ง " " อย่าเพิ่งรีบแกะกล่องนะครับ ให้ผมไปไกลห่างรัศมีสัก500เมตรก่อนแล้วกันนะครับ " หนุ่มไปรณีย์ไม่วายที่จะล้อเล่นกับยิหวา รู้จัก ทักทายกันมานาน แม้ไม่เคยรู้ชื่อเขา แต่เพราะความมีน้ำใจให้กันและกัน ต่างยิ้มให้กันฉันมิตรร่วมโลกใบเดียวกัน " อะไรน่ะวา ใครส่งอะไรมาให้ กล่องใหญ่จัง " พี่รองถาม " ไม่รู้ซิ หนุ่มจากที่ไหน ส่งอะไรมาให้หว่า ยัง งง ? " ยิหวายังแปลกใจนิดๆ แต่แล้วก็ถึงบางอ้อ เมื่อแกะกล่องพัสดุใบนั้นออกมา "อ่อ.. คุณลุงชอบ ส่งมาจาก อ.กาญจนดิษฐ์นี่เอง " ยิหวาอมยิ้มนิดๆเมื่อเห็นชื่อลุงชอบ ก็ลุงชอบท่านนี้เป็นเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายกับเตี่ยสม้ยหนุ่มๆ ทั้งเตี่ยของฉันและลุงชอบต่างสร้างวีรกรรมไว้เยอะแยะมากมาย ลุงชอบบอกว่า ท่านเป็นหนี้ชีวิตเตี่ยตอนสมัยหนุ่มๆ (เรื่องอะไรนั้นค่อยเล่าทีหลังค่ะ) " ไหน เปิดดูซิวา ลุงชอบส่งอะไรมาให้วา ? " พี่สางคนรองคงอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน " ฮั่นแน่ะ .. อยากรู้ล่ะซี จ่ายก่อนสองร้อยค่าเปิดซอง 5555 " " มะเหงกแน่ะยัยวา .. " ทั้งยิหวาและพี่รองต่างลุ้นระลึก เอ๊ย ลุ้นระทึกว่า ภายในกล่องพัสดุนั้นเป็นอะไรกันแน่นะ อยากรู้จัง มาช่วยยิหวาลุ้นหน่อยซิคะ อิอิ ... " ลูกประ " ทั้งฉันและพี่รองต่างอุทานพร้อมกันเบาๆ แล้วก็มองหน้ากันหัวเราะที่จะได้กินของจากภาคใต้อีกครั้ง หลังจากห่างหายไปนาน นานจนเกือบลืมว่า หน้าตาของเจ้าลูกประนั้นเป็นยังไง " นี่ๆ มีจดหมายแนบมาด้วยนะพี่รอง เดี๋ยววาอ่านก่อน " เนื้อความจดหมายมีดังนี้ ....... " วา หลานรัก.... หลานวาสบายดีไหม ลุงส่งลูกประมาให้กินเล่นๆหลังเลิกงานนะ เมื่อหลานได้รับพัสดุแล้ว ให้นำลูกประไปแช่น้ำเกลืออ่อนๆ แล้วแช่ตู้เย็นไว้นะจะทำให้กินได้หลายวัน หลานอยู่กรุงเทพฯดูแลตัวเองดีๆนะ คนกรุงเทพฯ ไม่เหมือนคนบ้านเรา ที่ยังไงก็เป็นญาติพี่น้องกันทั้งนั้น มีอะไรก็ช่วยเหลือกันได้ ครอบครัวของลุงที่นี่ก็สบายกันดีทุกคน หลานก็ดูแลตัวเองดีๆด้วยนะ เป็นห่วงหลานๆทุกคนแหละ รักเป็นห่วงมาก ..ลุงชอบ / กาญจนดิษฐ์.. .................................. ยิหวาอ่านจดหมายน้อยๆของลุงชอบแทบน้ำตาซึม "พี่รอง วาสงสารลุงชอบจัง อุตส่าห์คิดถึงพวกเรา ส่งลูกประมาให้กินอีกแน่ะ " "ดีแล้ว ผู้ใหญ่เขารัก เอ็นดูเราน่ะซิ เขาถึงมีเมตตาคิดถึงเรา ส่งมาให้เราน่ะ อย่าคิดมากน่ะ เอาลูกประไปแช่น้ำเกลือไป๊ น้องพี่ " แหมๆ .. พี่รองเหมือนจะปลอบใจ แต่ใช้แรงงานน้องนี่นา อิอิ " พี่รอง วาทำไม่เป็นอ่ะ พี่รองทำให้หน่อยซิ น๊าๆ นะคะๆ " เจอลูกอ้อนของยิหวามีหรือที่พี่รองจะไม่ทำให้น้อง " วา ไปหยิบกระปุกขนาดกลางที่มีฝาปิดมาไป เดี๋ยวพี่ทำให้ดู " พี่รองได้ที สั่งเลย " ใส่น้ำเปล่าลงไปสักครึ่งกระปุกนะ เติมเกลือป่นลงไปสัก1ช้อนโต๊ะ คนให้เกลือละลายกับน้ำ เอาลูกประใส่ลงไป ดูพอดีๆให้น้ำพอท่วมมิดลูกประล่ะ ปิดฝา แช่ตู้เย็น วางทื้งไว้ ก็แค่นี้เอง ไม่ยากน่ะ " พี่สาวรองอธิบายอย่างคนที่เคยผ่านงานมาแล้ว อิอิ "อ่อ..ค่ะ พี่รองเก่งจัง ง่ายเนอะ " ยิหวาพูดประจบพี่สาวรอง " ง่าย วันหน้าก็ทำเองเลยนะยัยวา ไม่ต้องใช้แรงงานพี่ล่ะ " พี่สางรองมองค้อนควับ (ดีนะที่ยิหวาไม่ส่งตะปูให้สักสองตัว ) ... ขณะที่เราสองพี่น้องกำลังวุ่นกับการดองลูกประอยู่นั้น ลุงเจตน์ผู้ใจดีที่ให้ขนมวาบ่อยๆ แกร้องทักทาย " อ้าว สองสาวทำอะไรกันน่ะ ลุงเอาขนมมาให้แน่ะ " " อ่อ .. ลุงเจตน์ ขอบคุณค่ะ วา กำลังดองลูกประน่ะค่ะ " " หือ ..ลูกประคำเหรอ หรือว่า อะไร กินได้หรือเปล่าล่ะ " " แล้วลูกประที่ว่า หน้าตาเป็นยังไงล่ะ ชื่อแปลกจัง " ลุงเจตน์ซักถามเป็นชุด ทำให้ยิหวาอมยิ้มขำ " ลูกประ เป็นไม้ยืนต้นทางภาคใต้ค่ะลุง คล้ายๆเกาลัดน่ะค่ะ มีเปลือกแข็งๆสีน้ำตาลๆ ข้างในมีเนื้อสีขาวๆต้องแกะเปลือกออก ถึงจะกินเนื้อข้างในได้คะ " " อ่อ คล้ายเกาลัด ก็คงมีรสชาตมันๆมั้ง ดูข้างนอกเปลือกแข็งๆด้วยนี่ " ลุงเจตน์ ยังไม่วายสงสัยในลูกประ " ภาคใต้ เขาเรียก ลูกประ คะ แต่ภาคกลางบางที่เรียกว่า ลูกกระ เพราะมีลักษณะคล้ายกระดองเต่ากระ คนทางภาคใต้นิยมนำมาแช่ดองน้ำเกลือ หรือไม่ก็ดองพร้อมกับ สะตอดองน่ะค่ะ " " อืม.. ก็ดูเหมือนน่าอร่อยนะ เขาก็ต้องแกะเปลือกออกก่อนกินซิ " " หรือลุงจะกินทั้งเปลือก วา ก็ไม่ห้ามนะคะ อิอิ " ยิหวา ไม่วายที่จะแซวลุงเจตน์เล่นๆ " ลูกประเนี่ยนะลุง เท่าที่วาจำได้นะคะ ทางภาคใต้ขายกัน กิโลกรัมล่ะ 30 - 40 บาทมั้งคะ ตอนนี้ไม่รู้ว่าขายกันยังไงแล้วค่ะ " " แล้วทางภาคอื่น ที่อื่นไม่มีขายเหรอหนูวา หือ ? " ลุงสงสัย " วาไม่แน่ใจว่ามีไหม แต่ที่แน่ๆมีเยอะคะที่ จ.นครศรีธรรมราช ลูกประนี่ เป็นไม้ยืนต้นนะคะ มีเยอะตอนเดือนกรกฏาคม - สิงหาคม " " แหมๆ ลุงเพิ่งรู้ว่าหนูวาเป็นนักชำนาญด้านพืชศาสตร์ด้วย " ประโยคนี้ของลุงเจตน์ ทำเอาพี่รองยืนอมยิ้ม " วา ก็บอกให้ลุงทราบเท่าที่วารู้หรอกคะ แหมๆๆ " คราวนี้เป็นทีวา ที่จะมองค้อนลุงบ้างละ อิอิ " ลุงว่านะหนูวา ทำไม ไม่เอาลองมาคั่วทรายเหมือนเกาลัดบ้างล่ะ ท่าทางน่าจะอร่อยพอๆกันมั้ง " " ไม่ทันแล้วล่ะลุงเจตน์ วานำลูกประไปนอนตีพุงในกระปุกหมดแล้วล่ะคะ" .. 4 วันผ่านไป (ไวเหมือนโกหก อิอิ ) ขณะที่ยิหวากำลังนั่งทำงานด้วย เล่นด้วย กำลังเพลินๆอยู่นั้น เธอนึกขึ้นได้ " ว๊ายๆ พี่รองๆ วา ลืม....." ยิหวา (แกล้ง)ร้องเสียงดังพลางทำหน้าตื่นๆ " ว๊ายๆ ยัยวาๆ ลืมอะไรย่ะหล่อน " พี่รองซึ่งเป็นคนบ้าจี้อยู่แล้ว เธอร้องตกใจเสียงยิหวา สีหน้าตื่นยิ่งกว่าน้องสาวซะอีก " วาลืม ลืมลูก.....ประ ดอง " พูดจบ ยิหวาก็หัวเราะคิกคัก ที่แกล้งพี่สาวได้สำเร็จ " เออ..ใช่ กินได้แล้วมั้งป่านนี้ วาไปเปิดดูซิ " " เย้ๆ กินได้แล้ว แต่ว่า แหวะๆ เค็มปะแล่มๆ " ยิหวาทดลองเอานิ้วจิ้มน้ำเกลือแตะในปากตัวเอง 555 " แต่ว่า เอ.. อร่อยเหมือนกันแหะ ไม่ได้กินนานเลย ยิ่งเคี้ยว ยิ่งมัน ยิ่งติดฟัน ยิ่งอร่อย 5555 " วา พูดพลางหัวเราะชอบใจ พี่รองมองค้อนรอบสอง " คิดถึงลุงชอบเนอะพี่รอง ท่านยังอุตส่าห์คิดถึงพวกเรา ยังส่งมาให้อีก ค่าส่งตั้งเกือบร้อยบาทแน่ะ เฮ้อ " ขอบคุณลุงชอบ กาญจนดิษฐ์ ที่ยังคิดถึงหลานๆ ยังมีน้ำใจส่งของฝากจากปักษ์ใต้มาให้หลานๆถึงกรุงเทพฯ อยากบอกลุงชอบเหลือเกินว่า ลูกประที่ลุงชอบส่งมาให้นั้น อร่อยมาก ถึงเชลล์ไม่ชวน ก็ควรชิม แหะ..แหะ.. ... ( ฉางน้อย ทะเลไร้คลื่น )
วา มาถึงไหนแล้วล่ะ ? " พี่เมี่ยงคำ ถามเบาๆทางโทรศัพท์ขณะที่ยิหวานั่งบนรถเมล์สาย....... ...สายเสมอ อิอิ วา มาได้ครึ่งทางแล้วค่ะพี่ อีกสัก 30 นาที วาคงไปถึงค่ะ ยิหวาตอบออกไป จ๊ะๆ ได้ๆ งั้นพี่ไปนั่งรอที่ริมน้ำ ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์แล้วกันนะจ๊ะ พี่เมี่ยงคำพูดเพราะๆเสมอสำหรับยิหวา 30 นาทีผ่านไปไวเหมือนโกหก อิอิ ตกลงว่า ไปวัดโพธิ์นะวา เดินไปแป๊บเดียว แค่ 5ป้ายรถเมล์เองน่ะ ไหวไหมเนี่ยะเราน่ะ ไหวคะ .. แค่ 5 ป้ายรถเมล์(เอง) ยิหวาตอบ พลางลอบกลืนน้ำลาย อิอิ ก็เห็นวาชอบไปวัด หาข้อมูล ถ่ายรูปไง พี่เลยอยากพาวาไปวัดโพธิ์ไง สวยดีนะ 5 ป้ายรถเมล์ของพี่เมี่ยงคำ เหมือนไกล เหมือนเหนื่อย แต่จริงๆแล้วไม่ไกลอย่างที่คิดไม่เหนื่อยอย่างที่คาดเอาไว้ เพราะสองข้างทางมีสิ่งให้น่าตื่นตาตื่นใจได้ตลอดเวลา ไม่ว่าศูนย์พระเครื่องชื่อดังย่านท่าพระจันทร์ ร้านอาหารต่างๆในย่านนั้น เดินลัดเลาะเข้าออกตรอกซอกซอยดูวิถีชีวิตริมแม่น้ำเจ้าพระยา โน่น ร้านทำฟันปลอม อยู่ปากทางเข้าร้านอาหารลานเท ..ด้านซ้ายมือนั่นก็เป็นวัดมหาธาตุฯ เดินเรื่อยเปื่อยมองสองฝากฝั่งถนน จนกระทั่งถึงป้ายรถเมล์ที่ท่าช้าง ที่นี่มีสินค้าแบกะดินวางบนทางเท้าขายเยอะแยะมากมายไปหมด ไม่ว่า เสื้อผ้า อาหาร ผักสด ผลไม้ตามฤดูกาล หรือสินค้าจุ๊กจิ๊กสำหรับวัยรุ่น ยิหวาแอบคิดในใจ เดี๋ยวขากลับต้องย้อนกลับมาถ่ายรุปอีกสักครั้ง ก็เห็นว่าสินค้าต่างๆสวยดีน่ะ ครั้นจะถ่ายตอนนี้เลยก็กระไรอยู่ เกรงใจพี่เมี่ยงคำ เพราะความตั้งใจจริงๆของพี่เมี่ยงก็คือ วัดโพธิ์ เหนื่อยไหมวา ร้อนไหม ?" ...พี่เมี่ยงถามด้วยความห่วงใย ทั้งๆที่ตัวเองเพิ่งจะสร่างไข้มาหมาดๆ ไหวคะ ไม่ต้องห่วง พี่เมี่ยงซิ เพิ่งหายป่วย มาเดินตากแดดร้อนๆอีก " พี่น่ะ หายดีแล้วล่ะ เห็นวามีความสุขในสิ่งที่วาชอบ พี่ก็สุขใจแล้วจ้า " กำลังใจแอบใส่ความหวานมีให้นิดหนึ่งจากพี่เมี่ยง ห้ามอิจฉาล่ะ อิอิ . เย้ๆๆ....ในที่สุดก็ถึงวัดโพธิ์ซะที อิอิ (แอบดีใจเล็กๆ) " วาอยากถ่ายรูปอะไร ข้อมูลยังไงบอกมา พี่แนะนำให้ " " แล้วพี่เมี่ยงพอจะรู้ว่าที่นี่มีอะไรที่น่าสนใจไหมล่ะคะ? " " คำว่า วัด น่ะ มีเยอะแยะไปหมดแหละวา ไม่ว่าพระอุโบสถ ศาลาการเปรียญ หรือ โบราณวัตถุ หรือ..." วา แอบทำหน้าย่นนิดหนึ่ง แต่แล้วก็ตาโต เมื่อพี่เมี่ยงคำบอกว่า .... " หรือ แม้แต่ ตุ๊กตาจีน งั้นเราไปดูตุ๊กตาจีนกันไหม ? " " พี่ว่า วาต้องชอบแน่ๆเลย น่ารักเชียวนะวา " " ไปๆๆ ไปดูตุ๊กตาจีนค่ะพี่เมี่ยง วาอยากดู คงน่ารัก เนอะ " คราวนี้วาเป็นฝ่ายทั้งดึงทั้งพี่เมี่ยงคำเดินดุ่มๆไปซะเอง "นอกจากตุ๊กตาจีนแล้วยังมีไม้ดัดอีกนะวา ไหนจะรูปปั้นฤษีดัดตนอีกล่ะ " " นี่ๆวาๆ ในวัดนะ มาเกาะแขนเกาะขาได้ไง เขาถือรู้ไหม ? พี่เมี่ยงท้วงติง " ก็วาไม่รู้นี่ ลืมตัวไปนะ แหมๆๆ " ยิหวาไม่วายที่จะเถียง " ในวัดโพธิ์ ยังมีเขามออีกนะวา " พี่เมี่ยงบอก วาทำหน้า งง "เขามอ คือไรคะพี่เมี่ยง ? " คน งง ถาม " เขามอ หรือสวนหย่อมเป็นสวนหิน ปลูกไม้ประดับสมัยรัชกาลที่3 โดยก่อหินเป็นภูเขาและปลูกต้นไม้ รวมทั้งจัดวางสถูป และเสาโคมแบบจีนหรือแม้แต่นำตุ๊กตาจีนมา ประดับวางไว้เพื่อความสวยงาม " พี่เมี่ยงอธิบายยาวเหยียด ยิหวาถึงบางอ้อก็คราวนี้เอง " เขามอในวัดโพธิ์น่ะ มีทั้งหมดประมาณ 24 ลูกมั้ง ถ้าพี่จำไม่ผิดนะ " "เช่น เขาประดู่ เขาสะเดา เขาโศก เขาฤษีดัดตน อีกหลายชื่อน่ะวา " " อ๋อ.. ค่ะ ... " คำรับรู้ที่ดีที่สุดสำหรับยิหวาเขาละ อิอิ สำหรับยิหวานั้น หูก็ฟัง สมองก็สั่งการ ตาก็จ้องตุ๊กตาหิน มือก็เตรียมเก็บภาพน่ารักๆเหล่านั้น .. " เดี๋ยวพี่พาไปดูเขาฤษีดัดตนด้านโน้นดีกว่านะวา ตามมา " พี่เมี่ยงพูดพลางเดินนำหน้า ทำให้ยิหวาที่กำลังเก็บภาพน่ารักๆวิ่งตามแทบไม่ทัน "เขาฤษีดัดตน เป็นสวนสุขภาพนะวา เอ..สร้างในรัชกาลที่เท่าไหร่ วาทายซิ ? " อีกแล้วนะพี่เมี่ยง.....ชอบให้วาทายในสิ่งที่วาไม่รู้เรื่อยเลย ยิหวา แอบคิดในใจ แต่ปากตอบว่า .. " วา ทายไม่ถูกหรอกคะ ยอมแพ้แล้วกัน " " ถ้าพี่จำไม่ผิดนะ เขาฤษีดัดตนสร้างในรัชกาลที่ 1 นะ ตอนแรกจะปั้นด้วยดินแต่เพิ่งเปลี่ยนเป็นหล่อเนื้อชินในรัชกาลที่ 3 มั้ง " " ท่าฤษีดัดตนน่ะ เมื่อก่อนมี 80 ท่า ตอนนี้เหลือ 24 ท่าแล้วล่ะ " " 24 ท่าที่เหลือ รวมท่าช้างกับท่าพระจันทร์ด้วยไหมคะ ? " ยิหวาพูดเหมือนคนซื่อๆ(บื้อ)แถมยังทำตาใสไม่รู้เรื่อง กวนโทสะดีนักล่ะ 55 "อีกที่หนึ่งที่พี่อยากพาวาไปดูก็คือ พระมหาเจดีย์สี่รัชกาล ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 - รัชกาลที่4 สร้างด้วยกระเบื้องเคลือบสีต่างๆแตกต่างกันออกไปตามแต่สมัยรัชกาล " เหรอคะ เหมือนน่าสนใจเลยเนอะ ไปดูก็ได้ค่ะ " วา พยักหน้า "พระมหาเจดีย์แต่ละองค์นี่นะวา เป็นเจดีย์ย่อไม้สิบสองเพิ่มมุม สูง 42เมตร " พี่เมี่ยงคำอธิบายได้เหมือนผู้ชำนาญการราวกับไกด์มืออาชีพเลยนะนั่น อิอิ " อ๋อ.. ค่ะ " ยิหวา ฟังแล้วเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง แต่ก็รับรู้ในสิ่งที่พี่เมี่ยงคำอธิบายให้ฟัง แม้ว่ามือจะสาละวนกับการเก็บภาพสวยๆในวัด " ฟังอยู่ไหมเนี๊ยะวา ..? " พี่เมี่ยงอดที่จะถามไม่ได้ " ฟังไงคะ แต่วาก็ถ่ายรูปด้วยนี่นา เห็นไหมคะ แสงกำลังดีเลยค่ะ " แถไปได้เรื่อยยัยวา แหะ.. แหะ.. " วาเชื่อไหม วัดโพธิ์น่ะ เดินวันเดียว เที่ยวไม่ทั่วหรอก เวลาน้อยไง นอกจากวันที่ว่างๆจริงๆถึงจะมานั่งเล่นได้ทั้งวัน " " ไว้วันหน้าเนอะพี่เมี่ยง ค่อยมาเดินเล่นกันใหม่ วันนี้กลับเหอะ พี่เมี่ยงเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว " " อืม.. แล้วแต่วานะ เก็บภาพพอใจหรือยังล่ะ " พี่เมี่ยงถาม " พอใจค๊า ขอบคุณมากๆที่พาเที่ยวนะคะ " . นานพอสมควร ที่เราสองคนเดินเที่ยว(เกือบ)รอบวัดโพธิ์ " พี่เมี่ยง เหนื่อยไหม เหมือนไม่สบายอีกหรือเปล่าคะ เหงื่อเยอะเชียว " ยิหวาถามพี่เมี่ยงคำด้วยความเป็นห่วง เพราะเห็นว่าเพิ่งฟื้นไข้ด้วย " กลับกันดีไหมพี่เมี่ยง พี่จะได้พักผ่อนก่อนนะคะ " " ทำไมล่ะ จะหนีไปเที่ยวไหนอีกล่ะซิ " พี่เมี่ยงดักคออย่างรู้ทัน บางครั้งก็แอบน้อยใจนิดๆที่เขาไม่เห็นความห่วงใยของเราเลย แถมยังแปลเจตนาความห่วงใยของเราเป็นอย่างอื่นซะอีกแน่ะ " ถ้าอยากให้พี่กลับ กลับก็ได้ พี่ส่งวาขึ้นรถก่อนนะ " พี่เมี่ยงยอมจำนน " ไม่เป็นไร วากลับเองได้ วาส่งพี่ขึ้นรถก่อนนะ เดี๋ยววาจะเดินเล่นต่อแถวท่าช้าง ท่าพระจันทร์ด้วย กะว่าจะถ่ายรูปสองข้างทางด้วยค่ะ " พี่เมี่ยงฟังยิหวาพูดแล้วทำสีหน้างุนงง หาว่าไม่บอกกันจะได้เดินเป็นเพื่อน " นะคะพี่เมี่ยง พี่กลับก่อนนะ วันหน้าค่อยมาเดินที่วัดโพธิ์กันใหม่นะคะ " " ไม่ล่ะ ไม่ว่าวันไหน พี่จะไม่ไปนั่งรอวาที่ ริมน้ำธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์อีกแล้วล่ะ พี่จะไม่ไปเดินที่วัดโพธิ์กับวาอีกต่อไปแล้วด้วย " ยิหวาได้ฟังคำพูดของพี่เมี่ยงก็อึ้งไปเหมือนกัน ดีนะที่พี่เมี่ยงพูดต่อว่า. "ต่อไปพี่ไม่ไปวัดโพธิ์กับวาอีกแล้ว เพราะพี่จะพาไปเดินถ่ายรูปที่วัดอื่นไง วัดที่วาไม่เคยไปน่ะ ดีไหม ? " พี่เมี่ยงพูดพลางอมยิ้มที่แกล้งวาได้สำเร็จ อ้าวววววว .. แล้วกันซิพี่เมี่ยง แกล้งเค้านี่นา ฝากไว้ก่อนเถอะโอฬาร สักวันจะเอาคืน ฮึ... ( ฉ า ง น้ อ ย ท ะ เ ล ไ ร้ ค ลื่ น ) ........................................................................ (ขอโทษเพื่อนๆด้วยนะคะ ฉางน้อยทำข้อมูลที่นำมาประกอบภาพหายไปหมดเลยค่ะ แทบร้องไห้ เลยมีแต่ภาพเปล่าๆให้เพื่อนๆได้ดูกันคะ ....โปรดให้อภัยคนน่ารักสักครั้ง อิอิ แหวะๆๆ .....ติ๊ง ต่อง ...ขอบคุณที่ใช้บริการค่ะ.....)
........เป็นเวลาสี่เดือนแล้วซินะที่พี่ชายฉันจากบ้านต่างเมืองไปอยู่แดนไกล ป่านนี้พี่ชายคนดีจะเป็นอย่างไรบ้างไหมหนอ กินอิ่ม นอนหลับบ้างหรือเปล่า พี่ชายจะหนาว ร้อน หรือเย็น เป็นเช่นไรอยากรู้จัง นึกถึงวันแรกก็ใจหาย วันที่พี่ชายมาบอกว่า.. " วา วีซ่าของเราผ่านแล้วนะ " คำว่า เรา พี่ชายใช้แทนตัวเองเสมอๆ พี่ชายพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆไม่มีแววตื่นเต้นดีใจ พี่ชายคงกำลังสับสน ว่าจะไปดีหรือไม่อย่างไร ทั้งๆที่ตอนแรกๆพวกเราสี่คนพี่น้องลุ้นกันแทบตาย ขอให้วีซ่าผ่านไวๆ ฉันรุ้ พี่ชายมีความใฝ่ฝันรักในอาชีพที่เขาทำ เขาได้สั่งสมประสบการณ์มามากพอควร เพียงแต่ในเมื่อโอกาสมาเยือน พี่ชายมีความตั้งใจว่าจะลอง ไปใช้ประสบการณ์ชีวิตนอกบ้านต่างเมืองดูบ้าง " ดีแล้วละ ไปทำงานที่โน่นเถอะ อาจจะดีกว่าที่บ้านเราขณะนี้ ไม่ต้องห่วงน้องๆน่ะ อยู่กันได้สบายมาก " วา บอกพี่ชายไปแบบนั้น จริงๆแล้วพี่ชายก็คงใจหายเหมือนกัน ไม่เพียงแต่พี่ชายหรอกนะที่ใจหาย พวกเราสามคนพี่น้องก็ใจแป้วไปหน่อยหนึ่ง พวกเราสี่คนพี่น้องต่างนิ่งอึ้งไม่มีใครกล่าวอะไรออกมาสักคำ กลัวเหลือเกินว่า น้ำตาจะรินไหลด้วยความใจหาย " เราไม่ไปได้ไหมนี่ ? " พี่ชายถามพลางหัวเราะกลบเกลื่อน ความรู้สึกสับสนภายในใจตัวเอง " บ้าซิ วีซ่าผ่านแล้วนะ กว่าพี่จะผ่านมาจุดนี้ได้ เพราะความตั้งใจของพี่ไม่ใช่เหรอ " วา คุยกับพี่ชาย พี่ชายนิ่งเงีบย ยอมจำนนต่อเหตุและผลของน้องสาวคนนี้ ... " วา เราเข้าไปในห้องได้ป่าว ? " เสียงพี่ชายร้องเรียก พลางเคาะประตูหน้าห้องเบาๆ " อ้าว เข้ามาซิ มีไรป่าว ? " ยิหวาแปลกใจ เพราะร้อยวันพันปี พี่ชายไม่มีล่ะที่จะย่างกรายเข้าห้องน้องสาว " วา สอนเราเช็คเมล์หน่อยซิ เขาทำไงบ้าง ลืมหมดแล้วล่ะ " " อ๋อๆ ได้ซิ เดี๋ยวสอนคุยเอ็มด้วยนะ ไม่ยากน่ะ " วาตอบ พลางอมยิ้ม หนึ่งชั่วโมงผ่านไปที่พี่ชายมึนๆกับวิธีการสอนของยิหวา แต่ก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ยิหวานั้นสมัครเมล์ใหม่ให้พี่ชาย พร้อมกันนั้นก็สอนแค่โปรแกรมสำคัญๆ แค่นั้นเอง พี่ชายตัวดีกลับไปห้องเขา สักพักหิ้วกระเป๋าเดินทางใบโตเข้ามา พร้อมของใช้จำเป็น " วา เราเอาเสื้อผ้ามาจัดในห้องวานะ " พี่ชายพูดพร้อมวางกระเป๋ากลางห้อง เป็นครั้งแรกที่ฉันแทบน้ำตาซึมกับคำพูดของพี่ชาย ฉันรู้ ความผูกพันของพี่น้อง ยังไงก็ตัดกันไม่ขาด อาจเคยทะเลาะกันบ้างด้วยเรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่คราจะห่างไกลกัน พี่น้องก็คือ พี่น้องหาใช่คนอื่นคนไกลไม่ พี่น้องจะยังรักและคิดถึงกันเสมอ " เอางี้ซิ ไปจัดของในห้องใหญ่กันไหม เดี๋ยววาช่วยจัดให้ด้วย นะ " .. ห้องใหญ่ หมายถึง ห้องนอนขนาดใหญ่ของพี่สาวสองคน ซึ่งมีเนื้อที่เยอะกว่าห้องวา " วา เราเอาชุดนอนไปด้วยดีไหม ? " " วา เราเอามีดโกนหนวดไปด้วยดีป่าว ? " " วา เราเอาถุงเท้าไปกี่คู่ดีนะ ? " " วา แล้วไม้แขวนผ้าล่ะ เราต้องเอาไปด้วยไหมนี่ เนอะ ? " " วา กางเกงยีนส์เอาไปกี่ตัวดีล่ะ ? " " วา.....แล้ว.....แล้ว ............ " สารพัดคำพูดจากพี่ชาย เป็นครั้งแรกกระมังที่พี่ชายเห็นวาเป็นคนสำคัญ ถามโน่น ถามนี่ตลอด วาได้แต่แอบอมยิ้มคนเดียว อิอิ แค่นึกขำในใจน่ะ " เฮ้ย เอาไปทำไม ชุดนอนนะ ที่โน่นเมืองหนาวจะตายไป ต้องชุดหนาๆซิ " " มีดโกนน่ะ เอาไปเผื่อเลยเยอะๆ หนวดของตัวเองขึ้นไวจะตายไป " " ถุงเท้าเหรอ เอาไปเลย 7 คู่ 7วันพอดี เนอะ " " ไม้แขวนเสื้อไม่ต้องเอาไปมั้ง..ไม่รู้ (ว่ะ) " " กางเกงยีนส์หนาๆเอาไปเยอะๆเลย ที่โน่นแพงด้วยนะ " " อ่อ..ยาจำเป็น ของส่วนตัวอย่าลืมล่ะ แยกไว้ต่างหากด้วย " " ตั๋วเดินทาง หนังสือเดินทาง วีซ่า สมุดบันทึก เก็บดีๆอย่าให้หายล่ะ " " ...รู้แล้วน่ะ บอกอยู่ได้ น่ารำคาญ " ประโยคสุดท้ายเป็นคำพูดของพี่ชาย ยิหวารู้ เขาพูดตัดบท(และตัดความรำคาญ)ไปยังงั้นเอง .. และแล้ววันเดินทางไกลของพี่ชายก็มาถึง เพื่อนบ้านรวมทั้งน้องๆด้วย ไปกันหลายคน เลยต้องเอารถไปสองคัน ทั้งๆที่คิดว่าไปกันแค่คนสนิทไม่กี่คน สารพัดคำปลอบโยนและกำลังใจที่มีให้จากคนรอบข้าง อดที่จะ ทำให้พี่ชายน้ำตาซึมเสียมิได้ ตอนแรกแค่น้ำตาซึม แต่สุดท้ายพี่ชายก็เสียน้ำตาออกมาจริงๆ อิอิ วา ที่ว่าใจแข็งแล้วยังต้องเบือนหน้าหนีแอบกลั้นน้ำตาเอาไว้ ไม่อยากให้พี่ชายเห็นว่า น้องสาวนั้นอ่อนแอ เสียงประกาศเรียกผู้โดยสารเข้าไปด้านในเพื่อรอขึ้นเครื่อง ยิหวาแตะไหล่พี่ชายเบาๆพลางพยักหน้าแต่ไม่มีคำพูดใดๆออกมา เพียงฝ่ามือสัมผัสเบาๆไม่ต้องเสกสรรค์คำพูด ไม่ต้องกล่าวเรียงร้อยถ้อยคำใดๆมาเอ่ยอ้าง แต่ฉันคิดว่าพี่ชายคงรู้ โปรดจงรับรู้นะ น้องสาวคนนี้ยังรักและรอการกลับมา ของพี่ชายคนนี้เสมอ ส่งยิ้มให้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจากลา " ไปเถอะ โชคดีล่ะ " พี่ชายเดินหายลับไปกับกลุ่มนักเดินทาง ซึ่งแต่ละคนอาจมีเป้าหมายต่างกัน บางคนอาจมีจุดมุ่งหมายของชีวิตที่ไม่เหมือนกัน พวกเขาเหล่านั้นจะเดินทางไปไหนกันนะ จะมีใครสักคนไหนที่จะเป็นเพื่อนร่วมทางกับพี่ชายของวา .. ขากลับ รถที่พวกเรานั่งมานั้นติดแช่ไฟแดงเป็นชั่วโมง ซึ่งก็ไม่ห่างจากสนามบินสุวรรณภูมิเท่าใดนัก ประมาณ 1 ทุ่มกว่า ท้องฟ้าเริ่มมืดมิด ฉันนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างรถผ่านกระจกใสๆ โน่น ..บนท้องฟ้านั่น เครื่องบินลำนั้นส่องไฟประกายวิบวับ จะใช่เป็นลำที่พี่ชายเดินทางหรือเปล่านะ ฉันแหงนมองตามจนสุดสายตา แล้วพี่ชายจะก้มมองเราผ่านกระจกใสบนเครื่องบินหรือเปล่านะ ฉันนั่งคิดๆแล้วก็ใจหายนิดๆ ครั้นนึกถึงเยาว์วัยในวันวาน " น้องๆ มาดูเรือบินเร็ว " เสียงพี่ชายเรียกพี่ๆน้องๆมาดูเครื่องบินด้วยความตื่นเต้น เด็กบ้านนอกอย่างพวกเราจะ ตื่นเต้นดีใจทุกครั้งที่เห็นเครื่องบิน บินผ่านน่านฟ้า หน้าบ้านเราแล้วแหวกว่ายหายไปในกลุ่มเมฆสีขาวบ้างหม่นบ้าง ยิ่งถ้าเป็นกลางคืนด้วยแล้ว จะเห็นแสงไฟระยิบระยับจาก เครื่องบินส่องประกายลงมาน่าชม เด็กๆก็จะวิ่งตามแสงไฟนั้น จนสุดสายตากันเลยทีเดียว " พี่ชาย ทำไมเรือบินถึงลอยได้ ? " ฉันเคยถามด้วยความอยากรู้ หลากหลายคำถาม มีให้พี่ชายได้ปวดหัวเสมอๆ ครั้งเยาว์วัยในวันวานฉันและพี่ชายมีโอกาสได้แค่แหงนมองเครื่องบิน แต่ค่ำคืนนี้แล้วที่พี่ชายมีโอกาสได้นั่งเครื่องบินไปเมืองนอกแดนไกล สุดท้ายพี่ชายก็สมหวังอย่างที่ตั้งใจไว้จริงๆด้วย " แล้วเราจะเอาโน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่มาฝากนะ " พี่ชายเคยพูดเย้าฉันครั้งก่อน " ไม่ล่ะ เอาจิงโจ้ตัวโตๆดีกว่า " จริงๆแล้วใจฉันไม่หวังอะไรจากพี่ชายเลย ขอเพียงให้พี่กินอิ่มนอนหลับ ทำงานด้วยความสุขกายสบายใจ น้องสาวคนนี้ก็มีความสุขแล้ว .. เหลียวมองกลับมาที่เดิมๆ โน่น ต้นข่อยไม้ดัดของพี่ชาย แตกกิ่งแตกใบรอการกลับมาตกแต่งกิ่งจากพี่ชายอยู่นะ นั่น ต้นลีลาวดีหลากหลายพันธ์ออกดอกสีสรรสวยงาม รอการกลับมาให้พี่ชายได้เชยชมความงามจากพวกเขานะ สวนหย่อม สนามหญ้าหน้าบ้านยังคงเขียวขจี พวกเขาคง รอต้อนรับการกลับมาของพี่ชายเช่นกันนะ แก้วกาแฟสีเทาหม่นใบโปรดใบนั้นวางสงบนิ่งที่เดิม เขาก็คงรอการกลับมาของพี่ชายอีกเช่นกัน วันแรกที่พี่ชายเดินทางไปแล้ว ทุกอย่างเงียบเหงา กระนั้นฉันก็ยังคงทำทุกอย่างด้วยความเคยชิน แม้แต่ชงกาแฟยามเช้าวางไว้ให้พี่ชาย กาแฟแก้วนั้นส่งกลิ่นหอมกรุ่นเย้ายวนจมูก ควันลอยอ้อยอิ่งโชยจากแก้วใบนั้นแล้วล่องลอยหายไปในที่สุด ฉันนึกขึ้นได้ พี่ชายไม่อยู่แล้วนี่นะ รอยยิ้มเหงาๆผุดขึ้นที่มุมปากนิดหนึ่ง ใช่ซินะ ...พี่ชายไปไกลลิบแล้วนี่ .. ป่านนี้แถวปักษ์ใต้บ้านเรา เจ้านกบินหลาคงบินกลับรังเดิมของเขาแล้วซินะ เจ้านกบินหลา แม้จะบินไปหากินที่อื่น แต่สุดท้ายพวกเขาก็กลับคืนรัง กลับคืนคอน ยิ่งเป็นเจ้านกบินหลาดงด้วยแล้ว เป็นนกที่รักและ หวงถิ่นฐานเดิมมากทีเดียว เมื่อถึงเวลา เจ้าบินหลาดงก็กลับคืนถิ่นที่เคยอาศัย เจ้าบินหลาดงยังบินกลับคืนคอน แล้วพี่ชายฉันล่ะ ตอนนี้พี่อาจจะทำงาน เก็บเงิน พร้อมทั้งเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตในต่างแดนอีกสักพัก แต่ถ้าพี่อยู่ทางโน้นไม่มีความสุขกายไม่สบายใจ ก็ขอให้กลับมาบ้านเรา บ้านเรายังมีข้าว มีน้ำให้กิน มีที่ให้หลับนอนสบายใจไม่ต้องไปซื้อไปเช่า ทุกคนที่นี่ ยังรอคอยการบินกลับคืนคอนของพี่ชายนะ .. ( ฉางน้อย ทะเลไร้คลื่น )
เธอ..ฉัน..ต่างมีแก้วน้ำคนละใบ แต่ละใบ..สวย..ใส..เปราะบาง เวลาผ่านไป..แก้วที่เคยใส..กลับหมองหม่น มีสิ่งรอบข้าง..มากระทบกระแทกมากขึ้น และแล้ว..แก้วที่เคยสวย..กลับมีร่องรอยขีดข่วน จนกระทั่ง..เวลาผ่านไป..นานเข้า..นานเข้า.. แก้วใบนั้น..ก็มีรอยร้าว..ในที่สุด ..แก้วที่มีรอยร้าว..สักวันมันคงแตก.. . หัวใจ..ความรัก..ดั่งแก้วใส..ที่อยู่ในมือ อาจจะอ่อนไหว..อ่อนแอ..เปราะบางต่อสิ่งที่มากระทบ เธอ..ฉัน..เคยยึดมั่นในสัญญา จะดูแลหัวใจ..ของกันและกัน แต่บางครั้ง..หัวใจคนเรา..ก็เหมือนแก้ว เมื่อเกิดรอยร้าว..ก็ยากจะประสานให้เหมือนเดิม . แก้วร้าว..อาจทำลาย..ทิ้งไปได้ แต่หัวใจคน..มิอาจทำลายลงได้..อย่างแก้วบางๆ สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือ..รอยร้าวในหัวใจ ที่จะบั่นทอนความเชื่อใจ..ความไว้ใจที่เคยมีให้แก่กัน สุดท้าย..ก็จะเป็นคนแปลกหน้า..ของกันและกัน .. แก้วที่มีรอยร้าว..สักวันคงแตก แต่ตอนนี้..หัวใจฉันแหลกสลาย..เกินเยียวยา เธอมาเอ่ยคำลา..บอกว่า..ความสัมพันธ์ของสองเรา..จบลง ณ.ตรงนี้.. เธอบอกว่า..พอนะ ..พอกันที..จะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว.. ฉันเพิ่งรู้..ตลอดเวลาที่ผ่านมา..เธอคงอดทนกับฉันมามากพอ ขอโทษ..คงไม่เพียงพอ..กับคำว่า อดทน..สำหรับเธอ ขอบคุณ..วันเวลา..ที่พาเรา..มาให้รู้จัก..และรักกัน น้ำตาใสๆ..รินไหลอาบแก้ม..ขอยอมรับคำพิพากษาจากเธอ.. ... ฉันเผลอทำแก้วใบนั้นร้าวไปตอนไหนกันนะ ? ... ( ฉางน้อย ทะเลไร้คลื่น )
( ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต) " ไอ้วาน่ะใจร้อน ชอบทำตัวหัวหมอ ทำใจนักเลงเหมือนเตี่ยมัน สักวันเหอะ จะรู้สึก " ประโยคนี้หวนกลับเข้ามาในความทรงจำอีกครั้ง หลังจากห่างหายเนิ่นนานไปแล้วครั้งหนึ่งสมัยอยู่บ้านต่างจังหวัด ฉันไม่เข้าใจ ทำไมนะ แค่เราเอาตัวรอด รักษาผลประโยชน์ของตัวเอง เผลอๆยังรวมไปถึงคนอื่นด้วย การที่เราพูดอะไรที่ถูกต้อง ทำไมเขาชอบมองว่า คนใต้หัวหมอ นั่นซิ ทำไมต้องมาเน้นคำว่า คนใต้ด้วยนะ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ คนใต้หัวหมอ อย่างงั้นเหรอ ไม่หรอก สถานการณ์รอบข้างต่างหากทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นมา เหตุเกิดเพราะว่า พี่ชายโทรไปหาเตี่ยที่บ้านต่างจังหวัดนั่นเอง " เตี่ย แย่แล้ว ไอ้วามันไปมีเรื่องกับพวกวินมอไซค์ปากซอย " เสียงพี่ชายร้อนรนโทรไปฟ้องเตี่ย " เหรอ..เออดีแล้ว ให้มันได้รู้รสชาตของชีวิตซะบ้าง ฮ่าๆ " เตี่ย พูดเหมือนไม่สนใจต่อคำฟ้องของพี่ชาย แต่พอรุ่งเช้า เตี่ยมายืนยิ้มเผล่หน้าประตูบ้าน นั่นหมายถึงว่า เตี่ยยังห่วงลูกสาวคนนี้อยู่เหมือนกัน " ไหนๆ ไอ้ตัวไหนที่มันบังอาจมีเรื่องกับลูกสาวเตี่ย ? " " เตี่ยน่ะ ชอบให้ท้ายยัยวานัก มันถึงได้เหลิงไม่กลัวใคร " พี่สาวคนโตต่อว่าเมื่อเจอหน้าเตี่ย " เขาเรียกว่า รักษาและปกป้องศักดิ์ศรีของคนใต้เว้ย เราคนใต้ตัวดำก็จริง แต่ใจไม่ดำอย่างคนบางคนในเมืองหลวงนะ คนใต้ไม่เคยไปรังแกใครก่อน แต่ถ้าใครมารังแก อย่าไปยอมนะลูก " ประโยคสุดท้าย เตี่ยหันมาพูดกับฉันอย่างรู้กัน ... เช้าวันนั้น เตี่ยมาถึง ก็เดินไปมา 2 - 3 รอบระหว่าง วินมอเตอร์ไซค์หน้าบ้านฉัน แต่ไร้วี่แววคนที่มีเรื่องกับฉัน " เอ่อ...ขอเชิญไอ้วา เอ๊ย คุณชื่อวา ไปคุยที่ สน......หน่อยครับ " รถหวอตำรวจเข้ามาจอดนิ่งสนิทที่หน้าบ้าน ตำรวจนายหนึ่งเดินมาหน้าบ้านถามหาคนชื่อ " วา " ( งานเข้าแล้วไหมล่ะยัยวา อิอิ ) พี่ๆ 3คน มองหน้ากันเลิ่กลั่ก แต่เตี่ยยังคงนั่งนิ่งสงบ " หนูเองคะ ชื่อวา ทำไมคะ มีอะไรคะ ? " ยัยวายังแกล้งทำหน้าซื่อ(บื้อ) ถามไปอย่างงั้นแหละทั้งที่รุ้ต้นสายปลายเหตุดี " อ้าว ..ผู้หญิงหรือครับ ผมคิดว่า ผู้ชาย แหะ..แหะ.." ตำรวจนายนั้นทำหน้างงเล็กน้อยถึงปานกลาง พลางยิ้มแหยๆ " ผู้หญิงแล้วทำไมล่ะ ตีหัวคนไม่ได้หรือไง " ยิหวาพูดด้วยอารมณ์พาลพาโล จึงโดนพี่สาวคนรอง หยิกเข้าให้ที่ซี่โครงด้านขวา " ตำรวจก็ดีแต่คดีอย่างงี้ จับหมวกกันน๊อค จับไพ่ ทีคดีอื่นปล้นฆ่า เคยจับได้บ้างไหมล่ะ " ยิหวายังไม่เลิกพาล คราวนี้พี่สาวคนโตเขม็งตาเขียวใส่ " เอ่อ..ขอเชิญไปคุยกันที่ สน...ดีกว่านะครับ ขอเชิญขึ้นรถครับผม" ครั้งที่สองที่ตำรวจเอ่ย " ไม่ต้องเอารถตำรวจมารับหรอก ไปเองได้ รับรองไม่หนี ต้องใส่กุญแจมือด้วยไหมล่ะ ? " ยัยวา ยังโมโหไม่หาย " ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับคุณวา เดี๋ยวเจอกันนะครับ " " เจอซิ นั่งแท็กซี่ไปเองได้ " " เตี่ยไม่ต้องไปนะ เดี๋ยววาไปกับพี่สาวสองคนเอง ไว้วาโดนอุ้มลงถังแดง เตี่ยค่อยตามไปนะ " ยิหวา ยังไม่วายทะเล้นกับเตี่ย อิอิ " อ้าวๆ เฮ้ยๆ พี่สองคนไม่ไปไม่ได้เหรอวา " พี่สาวสองคนอิดออด " จะไปไหม....ห๋า... " คราวนี้ยิหวาตาเขียวใส่พี่ๆสองคนบ้างแล้ว " ไปก็ไป " ....... พี่สาวสองคนไปแบบอ่อยๆหมดแรง อิอิ .. " เอ่อ..ตอนที่วินมอไซค์มาแจ้งความครั้งแรกนะ ผมคิดว่าคนชื่อวา น่าจะเป็นผู้ชาย แต่คิดคาด " ตำรวจนายนั้นยศอะไรไม่ได้สนใจ พูดคุยพลางหัวเราะแหะ..แหะ.. "คดีทำร้ายร่างกาย ยอมความตกลงกันได้ แต่โดนปรับ 500 บาทนะครับคุณวา เพราะ ถือว่า เจตนา " ตำรวจเอ่ยชี้แจง " นายป้อม หนุ่มวินฯ เขาบอกว่า เขานั่งคร่อมมอไซค์อยู่ๆ คุณก็มาถึบเขาก่อน พอเขาล้มลง คุณก็ซ้ำเขา จริงไหมครับ ? " " ใช่..จะตั้งข้อหาเพิ่มหรือไงจ่า ? " ยิหวาถามไปงั้น ไม่รุ้หรอกว่าหมู่หรือจ่า " เปล่าครับ ตอนแรกผมไม่เชื่อ แต่ตอนนี้ผมเห็นคุณ ผมเชื่อแล้วครับ " " ผมเชื่อแล้วครับว่า คนใต้หัวหมอจริงๆ " ตำรวจนายนั้นพูดพลางหัวเราะ " คุณตำรวจ ผมเจ็บตัวฟรีซิ ขอเรียกค่าทำขวัญด้วยได้ไหมครับเนี่ยะ ? " นายป้อม หนุ่มวินมอไซค์ปากแมวร้องโอดครวญขึ้นมาทันทีเชียว มันน่าจับมาดีดหูนักล่ะ " ไปเอาที่เตี่ยชั้นโน่น กล้าจริงไหมล่ะ ? ยิหวาชักโมโห จะไม่ให้โมโหได้ไง มีเรื่องทะเลาะกับคนอื่น พี่ชายก็ด่าซ้ำ แล้วค่าปรับอีก 500 คงต้องให้พี่ชายมาจ่ายให้อีกล่ะซิ เฮ้อ เซ็ง..... " อย่าทะเลาะกันครับ ขนาดอยู่บนสน.นะครับเนี่ยะ " ตำรวจส่ายหน้า " ก็หนูไม่มีตังค์จ่ายนี่ ..." ยิหวา อ้างดื้อๆ " ตกลงว่า คุณวาเขาไม่มีเงินจ่ายนะครับ แล้วคุณเป็นผู้ชายนะไปมีเรื่องกับผู้หญิง ไม่เป็นการสมควรนะครับ แถมยังโดนตีหัวอีก เป็นผม ผมคงอายไม่กล้ามาแจ้งความหรอกครับ " นี่ เป็นครั้งแรกที่ฉันนึกรักตำรวจอย่างจับใจ อิอิ ไม่รักได้ไง ขอบคุณที่ทำให้ฉันไม่ต้องเสียค่าทำขวัญอีก 500 .... ตำรวจที่รักของประชาชน 55555 .. " เดี๋ยว วา กดเบอร์โทรหาพี่ศักดิ์หน่อยนะลูกนะ " เตี่ยพูดกับลูกๆไพเราะเสมอ อ่อนหวานแต่อย่าอ่อนไหว เตี่ยสอนไว้จำได้ๆ อิอิ " เตี่ยจะให้พี่ศักดิ์มาคุยกับพวกวินนี่ซะหน่อยแล้ว " " อย่าไปยุ่งกับวินฯเขาเลยเตี่ย ให้เรื่องจบๆไปเหอะ " พี่สาวคนโตค้าน " ไม่ได้ซิ ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้ มันจะเหลิง มันเป็นใคร มันคิดว่าพวกลูกๆอยู่กันเอง แบบไม่มีผู้ใหญ่คอยดูแล มันถึงได้ย่ามใจ" เสียงของเตี่ยเข้มพอที่จะทำให้ไม่มีลูกคนไหนกล้าต่อปากต่อคำ สักพัก พี่ศักดิ์ก็มาถึง เดินไปถามหาชื่อ นายป้อม หนุ่มวินฯ ที่มีเรื่องกับฉัน ไม่เจอตัวนายป้อม แต่เพื่อนๆเล่าให้ฟังว่า .. " ไอ้ป้อม มันไม่กล้าอยู่แล้วครับ มันพูดกับผมว่า.. ขนาดลูกสาวยังกล้าตีหัว แล้วนี่พ่อมาเอง กูไม่ตายเลยหรือวะ " "มันยังบอกอีกว่า แม้แต่ตำรวจ ยังไม่เข้าข้างมัน " สรุปแล้ว นายป้อม หนุ่มวินมอเตอร์ไซค์คนนั้นเขากลับไปอยู่บ้านที่ ต่างจังหวัดแล้วจริงๆด้วย " เฮ้ย..ไอ้วา พี่ถามจริงๆเถอะ มีอะไรกันถึงได้เป็นเรื่องเป็นราวขนาดนี้ " พี่ศักดิ์เก็บความสงสัยไว้ไม่ไหว ถามยิหวาในเย็นวันนั้น " ก็ไม่มีอะไร ..คนปากแมว แซวผู้หญิง " " นั่นซิ เขาแซวว่าอะไรล่ะ ถึงได้ไปบู๊กับเขาแบบนั้น " พี่ศักดิ์คาดคั้น " ก็มันแซววา นี่.. ว่า.. ขาว...." ยิหวาเริ่มชักสีหน้าแดงๆ " แล้วไงต่ออย่าอ้ำอึ้ง " เหมือนพี่ศักดิ์จะรู้ ยังซักถามอยู่นั่นแหละ " มันว่า วา ขาว ..น่าเจี๊ยะ โอ๊ย พอแล้วไม่ต้องถาม อายนะ " ยิหวา แกล้งทำเสียงดังขู่พี่ศักดิ์ " 5555... แต่เออ ดีแล้วที่มันโดนแบบนั้น ถ้าพี่อยู่มันคงได้เจี๊ยะลูกปืนของพี่ด้วยนะนี่ " พี่ศักดิ์พูดพลางนั่งหัวเราะราวกับสิ่งที่ฉันได้เจอมานั้นขบขันซะเต็มประดา ... คืนนั้นเตี่ยนั่งคุยอะไรเยอะแยะมากมายให้ลูกๆฟังทั้ง4คน " คำว่านักเลงน่ะ ไม่ใช่แค่นักเลงแค่กายภายนอก ไม่ใช่ว่า สักยันต์ทั้งตัวแล้วจะเป็นนักเลงนะลูก " " แต่สิ่งเหล่านั้น เขาทำเพื่อเป็นเกราะป้องกันจิตใจพวกเขาเองต่างหาก สักยันต์เพื่อให้คนอื่นเกรงกลัว ให้คู่อริเกรงใจ แต่นั่นเป็นความคิดที่ผิด" " นักเลงน่ะ เขาวัดกันที่ใจนะลูกนะ น้ำใจนักเลง แพ้ก็คือแพ้ ไม่ใช่ว่า บอลแพ้ แต่คนไม่แพ้ แบบนี้ไม่ใช่ น้ำใจนักเลง หากเขาชนะ ก็คือชนะด้วยหัวใจ ไม่ไปเหยียดหยามผู้แพ้" " เตี่ยไม่เคยสอนให้ลูกๆของเตี่ยเป็นนักเลงหัวไม้หรือคนหัวหมอ แต่ต้องรู้จักสิ่งถูกผิด ยอมรับในสิ่งที่ถูกต้อง ห้ามไปรังแกคนอื่นก่อน แต่ถ้าใครรังแกก่อน เราก็ต้องสู้ อย่าคิดว่า เราเป็นผู้หญิง เราสู้ไม่ได้ ต้องมีสติ คิดให้รอบคอบ " เตี่ยพูดพลางมองหน้าลูกๆทุกคน " อย่าง วา ก็เหมือนกัน ยังดีที่ลูกไปมีเรื่องกับพวกเขาแค่คนเดียว ยังดีที่เขาไม่มีพรรคพวกมาช่วย ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนั้นแล้วลูกคงเอาตัวไม่รอด ทีหลังอย่าประมาทนะลูกนะ ข่มใจ อดทนต่อสิ่งยั่วยุ " วา นิ่งฟังเงียบ รู้ตัวว่า อาจใจร้อนไปด้วย วู่วามไปนิดก็ยอมรับ " เตี่ย แค่อยากบอกว่า ลูกอย่าไปกลัวพวกที่เป็นนักเลงแค่กาย สักยันต์เต็มหลังเต็มตัว แต่อยากให้ลูกกลัว เกรง คนที่เป็นนักเลงด้วยหัวใจ ขอให้ลูกกลัวคนดีๆ เพราะนั่นเขามีคุณธรรม มีความเป็นนักเลงเต็มร้อย" ... เหตุการณ์นี้แม้ว่าผ่านมานาน แต่ฉันก็ยังจำได้ดี จำได้ในคำสอนต่างของเตี่ย จำได้ในกิริยาความห่วงใยในความปลอดภัยของลูกสาว จำได้ในเหตุการณ์ต่างๆที่แม้นานผ่านมาแล้วแต่ยังเหมือนเพิ่งเกิดขึ้น ขอบคุณสำหรับคำสอนสิ่งดีๆของเตี่ย ขอบคุณสำหรับสิ่งดีๆที่เตี่ยมีให้ลูกสาวคนนี้ ขอบคุณสำหรับสนับมือกับมีดพับอันนั้นค่ะเตี่ย แฮ่..แฮ่..... ( ฉางน้อย ทะเลไร้คลื่น )